middle spirit
|
 |
« ตอบ #795 เมื่อ: 01 สิงหาคม 2568, 05:36:43 » |
|
สติปัญญาที่เกิดจากการฝึกฝนอบรม พิจารณาตัวเองนี้ เปรียบเหมือนของที่มีคม สามารถตัดกิเลสตัณหา ให้ขาดไปได้เป็นชั้นๆ ถ้าเรามีสมาธิมั่นคงก็ตัดได้ หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี จากหนังสือธรรมะเล่มที่๘๗
|
.
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
middle spirit
|
 |
« ตอบ #796 เมื่อ: 02 สิงหาคม 2568, 06:12:13 » |
|
กระทบแต่ก็ไม่เข้าถึงใจ เราจับหลักอันนั้นได้ แน่วแน่อยู่ในหลักอันนั้น เชื่อมั่นอยู่ในหลักอันนั้น ตั้งอยู่อันนั้นแหละ เป็นไปเพื่อความพ้นทุกข์อย่างแน่นอน หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี จากหนังสือธรรมะเล่มที่๘๒
|
.
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
middle spirit
|
 |
« ตอบ #797 เมื่อ: 03 สิงหาคม 2568, 05:34:09 » |
|
การสร้างคุณงามความดี ค่อยเก็บเล็กผสมน้อย จะทำให้ค่อยมากมูลเพิ่มพูนขึ้นมา จนเป็นคนไม่จน หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี จากหนังสือธรรมะเล่มที่๕๑
|
.
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
middle spirit
|
 |
« ตอบ #798 เมื่อ: 04 สิงหาคม 2568, 05:44:13 » |
|
พระพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสว่า ธรรมอย่างยิ่งทั้ง ๔ อย่างนี้เราได้ทำมาแล้ว ซึ่งไม่มีใครจะทำได้เหมือนเรา แต่ก็ไม่เป็นไปเพื่อความพ้นทุกข์ได้
ธรรม ๔ อย่างเป็นไฉน ธรรม ๔ อย่าง คือ เกลียดอย่างยิ่ง ๑ กลัวอย่างยิ่ง ๑ ระวังอย่างยิ่ง ๑ ตบะอย่างยิ่ง ๑ เกลียดอย่างยิ่งเป็นไฉน คือ เห็นร่างกายของตนและของคนอื่นเป็นของน่าเกลียด และทุกข์ทั้งหลายในโลกนี้เป็นของน่าเบื่อหน่ายแทบจะอยู่ไม่ได้เสียเลย นั่นเรียกว่า เห็นหน้าเดียว คนทั้งโลกพร้อมด้วยตัวของเราทำไม่จึงอยู่มาได้จนบัดนี้ เขาโง่หรือตัวเราโง่ ท่านผู้รู้ทั้งหลายเห็นสภาพตามความเป็นจริงแล้วเกิดสลดสังเวชเบื่อหน่าย ถอนความยินดีในโลกด้วยอุบายแยบคายอันชอบแล้ว กลัวอย่างยิ่งเป็นไฉน คือ กลัวบาปอกุศลแม้แต่อาบัติเล็กๆ น้อยๆ ก็กลัวเป็นต้นว่า จะยกย่างเดินเหินไปมาที่ไหนก็กลัวจะไปเหยียบมดและตัวแมลงต่างๆ ให้ตายเป็นอาบัติ นั่นเรียกว่า ระวังส่งออกไปนอก พระวินัยท่านสอนให้ระวังที่ใจถ้าไม่มีเจตนาแกล้งทำให้ล่วงเกินก็ไม่เป็นอาบัติ ระวังอย่างยิ่งเป็นไฉน คือ สังวรกาย วาจา ใจ ไม่ให้เกิดกิเลสบาปอกุศลทั้งหลาย ซึ่งมันล่องลอยมาตาม อายตนะทั้ง ๖ นี้ ระวังจนไม่ให้เห็น ไม่ให้ได้ยินสิ่งต่างๆ จนเข้าไปอยู่ในป่าคนเดียว เวลาเข้าไปบิณฑบาตในบ้านก็เอาตาลปัตรบังหน้าไว้ กลัวมันจะเห็นคน อย่างนี้เขาเรียกว่า ลิงหลอกเจ้า กิเลสมันไม่ได้เกิดขึ้นที่อายตนะ แต่มันจะเกิดที่ใจต่างหาก ขอโทษเถิด คนตายแล้วให้ผู้หญิงคนสวยๆ ไปนอนด้วย มันก็นิ่งเฉย ผู้หญิงที่ไปนอนกลับกลัวเสียอีก ตบะอย่างยิ่งเป็นไฉน คือ นักพรตที่ทำความเพียรเร่งบำเพ็ญตบะธรรมที่จะให้พ้นจากทุกข์ในเดี๋ยวนั้น ทำความเพียรตลอดทั้งกลางวันกลางคืน ไม่คิดถึงชีวิตชีวาเลย เหมือนกับกิเลสมันเป็นตัวเป็นตนวิ่งจับผูกเอามาได้ฉะนั้น แท้จริงกิเลสมันวิ่งเข้ามาซุกอยู่ในความเพียร (คือ ความอยากพ้นจากทุกข์) นั่นเอง ไม่รู้ตัวมัน ความอยากทำให้ใจขุ่นมัว น้ำขุ่นทำให้ไม่เห็นตัวปลา ถึงแม้น้ำใสแต่ยังกระเพื่อมอยู่ก็ไม่เห็นตัวปลาเหมือนกัน ความเกลียด ความกลัว ความระวัง และตบะ อย่างยิ่งทั้ง ๔ อย่างนี้ พระองค์ได้ทรงบำเพ็ญมาแล้ว พระองค์ทรงเห็นว่าไม่เป็นไปเพื่อพ้นจากทุกข์ทั้งปวง จึงละเสีย แล้วทรงปฏิบัติทางสายกลางจึงทรงสำเร็จพระโพธิญาณ
จากหนังสือ ปุจฉาวิสัชชนาในประเทศ โดย พระราชนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาวิศิษฏ์ (เทสก์ เทสรํสี) วัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
|
.
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
middle spirit
|
 |
« ตอบ #799 เมื่อ: 05 สิงหาคม 2568, 05:49:28 » |
|
ตัวจิตหรือตัวใจอันนี้แหละไม่มีตนมีตัว ถ้าเรารู้เรื่องจิตเรื่องใจเสียแล้ว มันง่ายนิดเดียว ฝึกหัดปฏิบัติกัมมัฏฐานก็เพื่อชำระใจ หรือต่อสู้กับกิเลสของใจนี้ ถ้าไม่เห็นจิตหรือใจแล้ว ก็ไม่ทราบว่าจะไปต่อสู้กับกิเลสตรงไหน เพราะกิเลสเกิดที่ใจ สงครามไม่มีสนามเพลาะ ไม่ทราบว่าจะรบอย่างไรกัน ต้องมีสนามเพลาะสำหรับยึดไว้เป็นที่ป้องกันข้าศึก มันจึงค่อยรู้จักรบ รู้จักแพ้ รู้จักชนะ ขอให้พากันพิจารณาทุกคน ๆ เรื่องใจของตน เวลานี้เราเห็นใจแล้วหรือยัง ใจหรือจิตของเรานั้นมันอยู่ที่ไหน มีอาการอย่างไร หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี วัดหินหมากเป้ง อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย
|
.
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
middle spirit
|
 |
« ตอบ #800 เมื่อ: 06 สิงหาคม 2568, 04:55:21 » |
|
คนที่จะพ้นจากทุกข์ได้ พ้นจากโลกนี้ได้ พ้นจากกรรมได้ ก็เพราะใจอันเดียว จงยึดใจถือใจ เป็นสำคัญ จะมาเกิดก็เพราะใจ เกิดแล้วจะมาสร้างกิเลสขึ้นก็เพราะใจ เป็นทุกข์ก็เพราะใจ ถ้าใจไม่เป็นทุกข์ ใจไม่ยึดถือ ปล่อยทิ้งเสีย กายอันนี้ก็ไปตามเรื่องของกาย ใจก็เป็นตามเรื่องของใจ หมดเรื่องหมดราวกันที หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี
|
.
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
middle spirit
|
 |
« ตอบ #801 เมื่อ: 07 สิงหาคม 2568, 05:46:03 » |
|
"..บางคนบอกว่า ไม่เห็นทุกข์ อยู่กับทุกข์ ทุกวันทุกคืน ไม่เห็นอย่างไร ? ทำไมจึงไม่พิจารณา ยืน เดิน นั่ง นอน เปลี่ยนอิริยาบถ ก็ล้วนแต่เปลี่ยนเพื่อระงับทุกข์ การอยู่ การกิน การนอน ก็ล้วนแล้วแต่เพื่อระงับทุกข์ทั้งนั้น การเจ็บการป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ เรียกว่า เวทนา มันมีอยู่ประจำ ปวดหัว ตัวร้อน เป็นไข้ เป็นหนาว ด้วยอาการต่าง ๆ ก็ล้วนแต่เรื่องทุกข์ทั้งนั้น ครั้นพิจารณาลงอันเดียวมันเห็น เห็นในตัวของเรานี่แหละ ไม่ต้องไปพิจารณาที่อื่น อย่างนั้นจึงเป็นกัมมัฏฐานแท้.." หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี พระธรรมเทศนาเรื่อง การพิจารณากัมมัฏฐาน
|
.
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
middle spirit
|
 |
« ตอบ #802 เมื่อ: 08 สิงหาคม 2568, 05:59:50 » |
|
ทำให้มาก เจริญให้ยิ่ง ผู้ชำนาญในวสีห้านี้ ฌาน-สมาธิของผู้นั้นจะไม่มีเสื่อมเลย พระพุทธองค์จึงทรงตรัสย้ำว่า “ภาวิตา พหุลีกตา อภิญฺญาย สมฺโพธาย นิพฺพานาย สํวตฺตติ” แปลว่า ท่านทั้งหลายจงทำให้มาก เจริญให้ยิ่ง จึงจะเป็นไปเพื่อความตรัสรู้ เพื่อความดับทุกข์ดังนี้ คือพระองค์ประสงค์ว่า ทั้งผู้ที่กำลังเจริญอยู่ก็ดีหรือผู้ที่เจริญเป็นไปแล้วก็ดีในกรรมฐานหรือฌาน-สมาธิ-วิปัสสนาใดๆ ก็ตาม ไม่ให้ประมาท จงพากันเจริญอยู่เสมอๆ เพราะสิ่งที่จะยั่วยวนชวนให้เราหลงใหล มีอยู่รอบตัวในตัวของเรานี้ตลอดกาล ถ้าผู้ใดมาเห็นว่า ตัวของเราทั้งหมดพร้อมด้วยสิ่งแวดล้อม ตกอยู่ในภายใต้ของกามคุณห้า จะทำอย่างไรๆ ก็เอาชนะมันไม่ได้ ไปไม่พ้นแล้ว ผู้นั้นชื่อว่า “เป็นผู้ยอมแพ้แล้ว (ตั้ง)แต่ยังไม่ทัน ออกสู่สนาม” ถ้าผู้ใดมาเห็นว่า การรักษาอายตนะทั้ง ๖ เป็นการยุ่งยากลำบากมาก ผู้นั้นได้ชื่อว่า “กำลังต่อสู้กับข้าศึกอยู่ ชัยชนะมอบไว้ให้แก่กาลเวลาในอนาคต” ถ้าผู้ใดมาเห็นว่า อายตนะทั้ง ๖ เรารู้เท่าเข้าใจตามความเป็นจริงแล้ว อารมณ์ทั้ง ๖ เราเอาชนะมันได้แล้ว ผู้นั้น ได้ชื่อว่า “ใกล้อวสานแห่งการแพ้ต่อข้าศึกอยู่แล้ว ความหายนะ กำลังคืบคลานเข้ามาใกล้เข้า ทุกวินาที” หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี ที่มา ธาตุ-ขันธ์-อายตนะ สัมพันธ์
|
.
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
middle spirit
|
 |
« ตอบ #803 เมื่อ: 09 สิงหาคม 2568, 05:51:18 » |
|
"รู้อะไรไม่เท่า รู้ใจของตนเอง"
" การอบรมภาวนานั้นหมายความว่า "ทำใจของตนให้เป็นอารมณ์อันเดียวอยู่ในจุดเดียว ให้รู้ใจของตนว่า คิดดีคิดชั่วหยาบและละเอียดอยู่ตลอดเวลา" ยืน เดิน นั่ง นอน คิดดีก็พยายามประครองอารมณ์นั้นไว้ให้เกิดปิติอิ่มใจ "คิดชั่วก็พยายามละทิ้ง อย่าให้ติดอยู่กับใจ" ทำความรู้เรื่องของใจเท่านี้เป็นพอ " ไม่ไปรู้เรื่องอื่น เรื่องอื่นของคนอื่นไม่ใช่เรื่องของเรา" ถ้าเราเข้าไปเกี่ยวข้องแล้วจะทำให้เราไม่ได้ภาวนา คือหัดทำความสงบของใจ "รู้ใจของตนอยู่เสมอว่า คิดดีคิดชั่วหยาบและละเอียดทุกอิริยาบถ" ไม่ต้องอยากรู้โน่นนี่ต่าง ๆ นานา มันไม่เป็นภาวนาเสียแล้ว "รู้อะไรไม่เท่ารู้ใจของตนเอง" หากมันจะรู้ก็ให้มันเกิดเองเป็นของมันเอง จะไปคิดปรุงแต่งให้มันเกิดขึ้นมาใช้ไม่ได้ เมื่อมันเกิดขึ้นก็จงรักษาสติคุมใจให้อยู่ก็แล้วกัน .. " หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี
|
.
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
middle spirit
|
 |
« ตอบ #804 เมื่อ: 10 สิงหาคม 2568, 05:46:27 » |
|
การปฏิบัติพุทธศาสนานั้น เราอย่าไปเอาถ่ายเดียว จะนั่งภาวนาให้มันตายละ เอาภาวนาอย่างเดียว รักษาศีลอย่างเดียวละ ไม่ต้องทำทานก็แล้วกัน ทำทานอย่างเดียวแล้วไม่ต้องไหว้พระสวดมนต์ อะไรไม่ต้องทำทั้งหมด ไม่มีกิจวัตร ก็ไม่ได้เหมือนกัน การปฏิบัติพุทธศาสนาปฏิบัติมาโดยลำดับ ตั้งแต่ไหว้พระสวดมนต์ ทำความเคารพคารวะบิดามารดาคนเฒ่าคนแก่ ได้ทั้งนั้นแหละ บูชาดอกไม้ธูปเทียนได้ทั้งนั้น เป็นความดีทั้งนั้น มันทำใจให้เบิกบาน ให้สะอาด
หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี
|
.
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
middle spirit
|
 |
« ตอบ #805 เมื่อ: 11 สิงหาคม 2568, 05:50:59 » |
|
"ทำทาน มีมากมีน้อยก็ต้องทำด้วยตนเอง รักษาศีล ก็โดยเฉพาะส่วนตัวแท้ ๆ ใครรักษาศีลให้ไม่ได้ ทำสมาธิ ยิ่งลึกซึ้งหนักแน่นเข้าไปกว่านั้นอีก แต่ละคนก็ต้องรักษาจิตใจของตน ๆ ให้มีความสงบหยุดวุ่นวายแส่ส่าย ถ้าเราไม่รู้จักวิธีทำสมาธิแล้ว ก็ทำสมาธิไม่เป็น จิตใจก็เดือดร้อนดิ้นรนเป็นทุกข์ เหตุนั้นจึงว่า การทำทาน รักษาศีล ทำสมาธิ นี่เป็นกิจเฉพาะส่วนตัว ทุก ๆ คนจะต้องทำให้เกิดมีขึ้นในตน"
หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี
|
.
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
middle spirit
|
 |
« ตอบ #806 เมื่อ: 12 สิงหาคม 2568, 06:01:02 » |
|
อายตนะทั้งหลาย เป็นเครื่องวัดจิตของตนได้อย่างดีที่สุด เมื่ออายตนะ มากระทบจิตของเรา เราหวั่นไหวหรือไม่
เมื่อหวั่นไหวมาก ก็แสดงว่า มีสติน้อย มีธรรมเป็นเครื่องอยู่ ก็ยังน้อย
เมื่อหวั่นไหวน้อย หรือไม่หวั่นไหวเสียเลย ก็แสดงว่า มีสติมาก มีธรรมะเป็นเครื่องอยู่มาก แล้วรักษาตัวได้
หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี
|
.
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
middle spirit
|
 |
« ตอบ #807 เมื่อ: 14 สิงหาคม 2568, 07:00:15 » |
|
รู้อะไรไม่มีคุณประโยชน์เท่ารู้จิต การเห็นจิตของเรานั่นแหละดี มันคิดดี คิดชั่ว คิดหยาบ คิดละเอียดก็รู้ ดูจนกระทั่งมันวางลง ถ้าเห็นอยู่เสมอๆแล้วมันก็วางหมด หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี จากหนังสือธรรมะเล่มที่๙๐
|
.
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
middle spirit
|
 |
« ตอบ #808 เมื่อ: 15 สิงหาคม 2568, 06:22:00 » |
|
การภาวนา คือ การอบรมจิตใจให้มีความสงบ เป็นการชำระจิตใจให้สงบจากอารมณ์ต่าง ๆ ยิ่งเป็นการละเอียดไปกว่าการรักษาศีลอีก
จิตของเราถ้ายังไม่สงบตราบใดแล้ว มันก็จะต้องยุ่งวุ่นวายอยู่ตราบนั้น เมื่อมาฝึกหัดภาวนา เห็นโทษเห็นภัย ของความยุ่ง ความไม่สงบด้วยตนเองแล้ว เราก็จะพยายามทุกวิถีทางที่จะละความไม่สงบ เมื่อสิ่งใดที่ละได้แล้ว อารมณ์ใดที่วางได้แล้ว เราก็จะต้องรักษาไม่ให้สิ่งนั้น มันเกิดขึ้นมาอีก ไม่ใช่ว่าเราละได้แล้ว ก็แล้วไปเลย ไม่ต้องคำนึงถึงมันอีก อย่างนั้นไม่ถูกต้อง เพราะมันอาจสามารถที่จะฟื้นฟู ขึ้นมาใหม่อีก ถ้ามันเกิดมาทีหลังจะยิ่งร้ายกว่าเก่า หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี
|
.
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
middle spirit
|
 |
« ตอบ #809 เมื่อ: 16 สิงหาคม 2568, 05:56:10 » |
|
ขั้นแรกเราต้องมีสติ ฝึกฝนอบรมจิตให้สงบระงับ ให้เป็นเรือนที่อยู่ของจิต ให้จิตชองเราอยู่ในอำนาจของสติ แล้วก็คอยมองแต่จิตของตัวเอง อยู่ทุกอิริยาบถ หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี จากหนังสือธรรมะเล่มที่๘๖
|
.
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|