middle spirit
|
 |
« ตอบ #765 เมื่อ: 30 มิถุนายน 2568, 06:33:50 » |
|
ธรรมะของพระพุทธเจ้า สอนไม่ใช่ของตื้นๆต่ำๆ มีความลึกซึ้งที่สุด เข้าถึงหัวใจของบุคคล ถ้าปฏิบัติเป็นธรรมแล้วจะอยู่เย็นเป็นสุขด้วยกันหมดทุกคนนั้น ให้ฟังธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ถ้าฟังไม่เข้าใจ ฟังก็หายไปเลย ไม่สนใจถึงเรื่องธรรมนั้นๆ บางทีเข้าใจว่าธรรมอันนี้เป็นของตื้นต่ำ เลยไม่อยากฟังซ้ำ แท้ที่จริงเราน่ะเป็นคนตื้น ฟังไม่ลึกซึ้งถึงธรรมนั้นต่างหาก จึงไม่ซาบซึ้งถึงอรรถธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า
จริงแล้วมันไม่ใช่เพียงแค่นั้น มันซึ้งเข้าไปอีกจนเหลือที่จะพูดให้คนฟัง ท่านตรัสให้คนอื่นฟังแต่เพียงตื้นๆ
แต่ความลึกซึ้งของพระธรรมจริงๆ ในใจของผู้เห็นธรรมปฏิบัติธรรมนั้น ไม่สามารถพูดออกมาได้
หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี
|
.
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
middle spirit
|
 |
« ตอบ #766 เมื่อ: 01 กรกฎาคม 2568, 05:14:10 » |
|
"..ความรู้อันเกิดจากปริยัติ จะมากหรือน้อยอย่างไรก็ตาม หากไม่รู้จักปล่อยวางแล้ว จะเป็นอุปสรรคแก่การภาวนากรรมฐานอย่างยิ่ง จิตที่จะเข้าถึงภาวนากรรมฐานที่เรียกว่า ฌานก็ดี สมาธิก็ดี ต้องทิ้งสัญญาความจดจำอะไรต่างๆ แม้แต่ปริยัติที่ได้ศึกษากันมามากๆ ก็จะไม่มีในฌานสมาธินั้นเลย.." หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี วัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย เรื่องสามทัพธรรม
|
.
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
middle spirit
|
 |
« ตอบ #767 เมื่อ: 02 กรกฎาคม 2568, 05:05:55 » |
|
ใจ เป็นของอันเดียว เมื่อทำดีแล้วมันก็ละชั่ว เมื่อทำชั่วแล้วมันก็ละดี เหตุนั้นตั้งใจทำดีเสียให้ละชั่ว ต้องปฏิบัติอย่างนี้จึงจะเข้าถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี
|
.
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
middle spirit
|
 |
« ตอบ #768 เมื่อ: 03 กรกฎาคม 2568, 05:41:40 » |
|
ธรรมเป็นของละเอียดมาก ยากที่ผู้มีปัญญาทั้งหลายจะอธิบายให้ถูกต้องถึงเนื้อแท้ของธรรมได้บริบูรณ์ แต่ถูกต้องที่สุดก็คือ เป็นผู้หวังดีต่อผู้อื่นแล้วพยายามอธิบายอรรถธรรมนั้นเพื่อให้ผู้ฟังเข้าใจ ตามความสามารถภูมิปัญญาของตนๆ พระสัพพัญญูพุทธแลสาวกพุทธะก็มีฐานไม่เสมอกัน แต่ท่านทั้งหลายเหล่านั้นก็มีปัญญาสามารถทำหน้าที่ของตนๆให้บรรลุตามความประสงค์ของตนได้
หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี
|
.
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
middle spirit
|
 |
« ตอบ #769 เมื่อ: 04 กรกฎาคม 2568, 05:34:20 » |
|
สติ ตัวนี้ เป็นของสำคัญมาก เป็นหลักฐานของการภาวนา เป็นหลักฐานของพุทธศาสนาทั้งหมด เป็นหลักฐานของคุณงามความดีทั้งนั้น หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี จากหนังสือธรรมเล่มที่๘๔
|
.
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
middle spirit
|
 |
« ตอบ #770 เมื่อ: 05 กรกฎาคม 2568, 06:18:05 » |
|
ถ้าหากทุกคนพากันเรียนธรรม รู้ว่าธรรมมีอยู่ในตัวของเราแล้ว เราตั้งใจปฏิบัติให้ถูกต้อง มันก็เรียบร้อยดี มีความสุขทุกคน หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี จากหนังสือธรรมะเล่มที่ ๘๘
|
.
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
middle spirit
|
 |
« ตอบ #771 เมื่อ: 06 กรกฎาคม 2568, 07:59:21 » |
|
จดหมายท่านพระอาจารย์หลุย จันทสาโร ถึงท่านพระอาจารย์เทสก์ เทสรังสี..
ที่ ก.ม.๒๗ สวนเจ้ากรม พล.อ.อ.พโยม เย็นสุขใจ กราบเรียน พระเดชพระคุณ ท่านเจ้าคุณ เทสก์ ด้วยกระผมไม่ได้มาในงานบุญท่านเจ้าคุณ เพราะแก่ชรา มักป่วยบ่อยๆ ๓วันดี ๔ วันร้าย แม้จะเปลี่ยนอริยบท นั่ง นอน ยืน เดิน มีสานุศิษย์พยุงเรื่อยๆ กระผมระลึกคำพูดเจ้าคุณเคยให้โอวาทแก่กระผม ตามที่ผ่านมา กล่าวว่า ผมเป็นคู่ทรมานท่านหนึ่ง ท่านหลุยให้ระวัง อย่าอวดอุตริมนุสสธรรมหนา เพราะอาจารย์มั่นตายไปแล้วหนึ่ง ท่านอย่าสัตตาหะ ไปทางอื่นในระหว่างพรรษา ท่านอาจารย์มั่นไม่พาประพฤติเช่นนั้น มืท่านเจ้าคุณได้เตือนธรรมวินัยผมเรื่อยๆ ซึ่งกินเวลานมนานหลายปี แต่กระผมไม่เคยลืม อนึ่ง เวลานี้กระผมเที่ยววิเวกอยู่ในชานจังหวัดพระนคร ถ้าป่วยหนักก็อาศัยหมอพยาบาลหายป่วยทุกครั้ง จึงมีชีวิตตลอดมาจนถึงทุกวันนี้ นับว่าเป็นพระคุณมาก ทุกวันนี้กระผมจึงใช้กระแสจิตมาเยี่ยม พ่อ แม่ ครูบาอาจารย์เท่านั้น งานบุญพ่อแม่ครูบาอาจารย์ กระผมไม่ได้มา มีแต่ส่งลูกศิษย์มาแทนตัวกระผม ด้วยความเคารพยิ่ง พระจันทะสาโร หลุย ป.ล. มีท่านเจ้าคุณคนเดียว รู้นิสัยกระผมอย่างลึกซึ้ง นอกจากท่านเจ้าคุณกับท่านอาจารย์มั่นไปแล้ว ไม่มีใครรู้นิสัยกระผมอย่างพิสดารได้ กระผมถือขลังในตอนนี้มากกว่าอย่างอื่น
|
.
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06 กรกฎาคม 2568, 12:10:40 โดย middle spirit »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
middle spirit
|
 |
« ตอบ #772 เมื่อ: 07 กรกฎาคม 2568, 04:46:32 » |
|
เวลาเข้าพรรส่งพรรษา อวดตนอวดตัว แหมปีนี้กูจะรักษาศีลละ เคยดื่มสุราจะไม่ดื่มมันละ ศีล๕ศีล๘ โกหกก็ไม่เอาละ ศีลเจ้าชู้กูก็ไม่เอาละ ฆ่าสัตว์ลักทรัพย์กูก็ไม่เอาละ เวลาพ้นพรรษาสามเดือนแล้ว เรียกถอยหลัง เรียกบัญชีเรียกถอยหลัง เรียกกลับถอยหลัง ปิดบัญชีถอยหลังเลย เหล้านั้นหมดในพรรษาไม่ทราบกี่ขวดแล้วที่เราเว้นไว้แล้วไม่ทราบกี่ขวดละ ออกพรรษาแล้วเพิ่มทวีขึ้นอีก มากกว่าเก่า อันนี้เรียกว่าหลอกตนเอง และก็หลอกลวงคนอื่นอีกด้วย เรียกว่าคนยังไม่เชื่อของจริง ยังไม่เชื่อว่าของดีว่าเป็นของดีแท้ หลอกตนว่าตนทำดี แต่แท้ที่จริงภายในมันเสียดายอยู่ หลอกคนอื่นว่าเราเป็นคนทำดี แต่ผลในที่สุดกลับเลวกว่าเก่า
พวกที่บวชเรียนในพระพุทธศาสนา อาตมาก็คงมีเคยเห็นเป็นส่วนมาก รักษาศีล๕ศีล๘ศีล๑๐ศีล๒๒๗ เป็นพระเป็นสงฆ์ งดเว้นหมด ศึกษาพยายามงดเว้นละ บางทีตั้ง๕ปี๑๐ปีบวชอยู่ เวลาสึกออกไปยิ่งร้ายกว่าคนที่ไม่บวชด้วยซ้ำ เลวกว่าคนที่ไม่ได้บวชด้วยซ้ำ นี่แสดงได้ว่าคนไม่เชื่อในพุทธศาสนาที่แท้จริง อาตมาเคยพูด มันรีบทำความชั่วให้มันทันเขา คือท้าทายความชั่วอยู่นาน ๙ปี๑๐ปี พอสึกมาจากพระแล้วรีบทำให้มันทันเขา ทำมากกว่าเรา แข่งความชั่วกัน เหมือนกับคนงดเว้นความชั่วในสามเดือน เหมือนๆกัน ..... . หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี 20 มกราคม พ.ศ.2520
|
.
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
middle spirit
|
 |
« ตอบ #773 เมื่อ: 08 กรกฎาคม 2568, 04:57:27 » |
|
ถ้าผู้ใดเห็นผิด รู้จักผิด แล้วละผิด ละชั่ว นั้นเสียได้ ผู้นั้นถึงซึ่ง พระธรรมแท้ นี่คือ การสร้างพระในพุทธศาสนา ที่แท้จริง หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี จากหนังสือธรรมะเล่มที่๗
|
.
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
middle spirit
|
 |
« ตอบ #774 เมื่อ: 09 กรกฎาคม 2568, 04:33:52 » |
|
ความประมาทเป็นเหตุให้ทำชั่วต่าง จิตมุ่งไปในทางที่ผิด คิดในทางที่ไม่ชอบ วุ่นวายส่งส่าย มันก็เลยไม่แน่วแน่เสียที หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี จากหนังสือธรรมะเล่มที่๖๗
|
.
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
middle spirit
|
 |
« ตอบ #775 เมื่อ: 10 กรกฎาคม 2568, 04:55:33 » |
|
|
.
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
middle spirit
|
 |
« ตอบ #776 เมื่อ: 12 กรกฎาคม 2568, 05:53:35 » |
|
ที่สุดของ ทาน คือ ศรัทธา ที่สุดของ ศีล คือ เจตนา ที่สุดของ ฌาน คือ อัปนา ที่สุดของ สมาธิ คือ อัปนา ที่สุดของ ปัญญา คือ พระไตรลักษณ์ หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี ที่สุดของพระพุทธศาสนา วันที่ ๒๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๒๘
|
.
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
middle spirit
|
 |
« ตอบ #777 เมื่อ: วันนี้ เวลา 05:52:55 » |
|
#นิมิต_สิ่งที่เห็นในสมาธิ #พุทธศาสนาไม่ได้สอนให้คนเป็นบ้า บางอาจารย์เมื่อนิมิตเกิดขึ้นมาแล้ว สอนให้ถือเอานิมิตนั้น เป็นขั้นเป็นชั้นของมรรคทั้ง ๔ มีโสดาปัตติมรรคเป็นต้น เช่น นิมิตเห็นแสงเล็กเท่าแสงหิ่งห้อย ได้สำเร็จชั้นพระโสดาบัน เห็นนิมิตแสงใหญ่ขึ้นมาหน่อยเท่าแสงดาว ได้สำเร็จชั้นพระสกทาคามี เห็นนิมิตแสงใหญ่ขึ้นมาเท่าแสงพระจันทร์ ได้สำเร็จชั้นพระอนาคามี เห็นนิมิตแสงใหญ่ขึ้นมาเท่าแสงพระอาทิตย์ ได้สำเร็จชั้นพระอรหันต์อย่างนี้เป็นต้น ไปถือเอาแสงภายนอก ไม่ถือเอาใจของคนที่บริสุทธิ์มากน้อยเป็นเกณฑ์ ความเห็นเช่นนั้น ยังห่างไกลจากความเป็นจริงนัก นิมิตเกิดจากภวังค์เป็นส่วนมาก ภวังค์เป็นอุปสรรคของมรรคโดยเฉพาะอยู่แล้ว มันจะเป็นมรรคได้อย่างไร (หน้า๑๕-๑๖) (เหตุที่ภวังค์เป็นอุปสรรคของมรรค ก็เนื่องจากในภวังค์นั้นเคลิบเคลิ้มเลื่อนไหลไปในจิตภายในตน จึงไม่สามารถใช้สติได้เต็มภูมินั่นเอง) แท้ที่จริงนิมิตทั้งหลาย ดังที่อธิบายมาแล้วก็ดี หรือนอกไปกว่านั้นก็ดี ถึงไม่ใช่เป็นทางให้ถึงความบริสุทธิ์ก็จริงแล แต่ผู้ปฏิบัติทั้งหลายจะต้องได้ผ่านทุกๆคน เพราะการปฏิบัติเข้าถึงจิตรวมเข้าถึงภวังค์แล้วจะต้องมี เมื่อผู้มีวาสนาเคยได้กระทำมาเมื่อก่อน เมื่อเกิดนิมิตแล้ว จะพ้นจากนิมิตนั้นหรือไม่ ก็แล้วแต่สติปัญญาของตน หรืออาจารย์ผู้นั้นจะแก้ไขให้ถูกหรือไม่ เพราะของพรรค์นี้ต้องมีครูบาอาจารย์เป็นผู้แนะนำ ถ้าหาไม่แล้วก็ต้องจมอยู่ปรัก คือนิมิต นานแสนนาน เช่น อาฬารดาบส แล อุททกดาบส เป็นตัวอย่าง........(หน้า๑๗) จากธรรมนิพนธ์ สิ้นโลก เหลือธรรม โดย หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี ขอสรุปใจความย่อๆ ในหนังสือเล่มนี้ว่า (หมายถึงหนังสือ "สิ้นโลก เหลือธรรม") พระคณาจารย์ทั้งหลายที่ได้ศึกษาเรื่องจิต-ใจยังไม่เข้าใจแจ้งชัด ขอได้โปรดอย่าไปสอนสานุศิษย์ทั้งหลาย เพราะอาจเป็นบ้าเป็นบอไปก็ได้ ขายขี้หน้าพาหิรกะภายนอกศาสนา เพราะศาสนาพุทธสอนให้เข้าถึงจิต-ใจ แต่ผู้สอนไม่เข้าถึงจิต-ใจ จึงทำให้ลูกศิษย์เห็นผิด เกิดวิปลาสเป็นบ้าไปต่าง ๆ นานา แล้วก็ทอดทิ้งให้ระเกะระกะอยู่ทั่วไป ผู้เขียน (หมายถึง ท่านหลวงปู่เทสก์ เทสรํสี)ได้ประสบเรื่องนี้มามากแล้ว ถ้าผู้นั้นยังพอมีสติอยู่ ก็พอพูดกันรู้เรื่องบ้าง ถ้าเป็นมาก ก็พูดไม่รู้เรื่องกัน แล้วก็เลยพากันทอดทิ้งกันหมด น่าสงสารจริง ๆ พุทธศาสนาสอนให้เข้าถึงจิต-ใจ ให้มีสติควบคุมจิตของตนให้เป็นคนดีเรียบร้อย แต่ว่าผู้สอนกลับสอนตรงกันข้าม จึงเป็นหนทางให้เสื่อมพุทธศาสนา คนภายนอกเลยพากันเห็นว่า พุทธศาสนาสอนคนให้เป็นบ้า (หน้า๑๐๒)
|
.
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|