middle spirit
|
 |
« ตอบ #720 เมื่อ: 22 พฤษภาคม 2568, 05:40:42 » |
|
ให้หัดทำสติพิจารณาจิต ให้เห็นความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นของไม่มีสาระ จึงจะ ละ ปล่อยวางได้ หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี จากหนังสือธรรมะเล่มที่๘๖
|
.
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
middle spirit
|
 |
« ตอบ #721 เมื่อ: 23 พฤษภาคม 2568, 05:08:33 » |
|
สติตั่งมั่นลงในที่ใด กิเลสเหล่านั้นต้องหายไปในที่นั้น ถ้าหากสติตั้งมั่นอยู่ทุกอิริยาบถ กิเลสมันก็ไม่เกิดอีกเท่านั้นซิ หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี จากหนังสือธรรมะเล่มที่๖๒
|
.
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
middle spirit
|
 |
« ตอบ #722 เมื่อ: 23 พฤษภาคม 2568, 19:52:02 » |
|
การที่จะรักษาคุณงามความดีของตนไว้ได้นั้น จะต้องเห็นคุณค่าของคุณงามความดีที่เราสร้างนั้นก่อน เห็นเป็นของมีค่ามีประโยชน์ยิ่ง เมื่อได้มาแล้วเราก็ยินดีพอใจในการที่เราได้กุศลนั้น หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี เพียรสร้างความดี แสดง ณ วัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย ในพรรษา พ.ศ.2515
|
.
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
middle spirit
|
 |
« ตอบ #723 เมื่อ: 24 พฤษภาคม 2568, 05:44:25 » |
|
อารมณ์ที่ทำให้ใจเศร้าหมอง เรียกว่ากิเลส บ่อเกิดของกิเลสคือ อายตนะภายในทั้ง ๖ มีตา เป็นต้น คําว่าเป็นผู้หมดจดจากกิเลสเครื่องเศร้าหมองทั้งหลายนั้น ความหมายก็ชัดอยู่แล้ว ท่านไม่ได้พูดว่ากิเลสมันหมดสิ้นไป ไม่มีเหลือเหมือนกับไฟไหม้ฟาง ฉะนั้นท่านหมายเอาใจไม่เข้าไปเกาะเกี่ยวยึดเอาอารมณ์ทั้งหลายที่เป็นเครื่องเศร้าหมองมาหุ้มห่อจิตใจของผู้นั้นต่างหาก................. ไม่เข้าไปยึดเอากิเลสมาไว้ให้เศร้าหมองแก่ใจด้วยอำนาจของสติ-สมาธิ-ปัญญา ที่ได้ อบรมไวดีแล้วนั่นเอง หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ธรรมปฏิบัติ
|
.
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
middle spirit
|
 |
« ตอบ #724 เมื่อ: 25 พฤษภาคม 2568, 05:43:22 » |
|
พระพุทธศาสนาจึงสอนเข้าถึงใจ คือสอนถึงที่สุด คือเข้าถึงความบริสุทธิ์นั่นเอง สุดนั่นก็คือที่สุดของทุกข์นั่นเอง ถ้าเข้าถึงใจแล้ว ไม่มีทุกข์มีร้อน ไม่ปรุงไม่แต่ง ไม่คิดไม่นึกก็หมดเรื่องเท่านั้นแหละ ถ้าปรุงแต่งก็จะไปกันมากมาย หลงใหลไม่มีที่สิ้นสุด หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี เทสก์ภาษิต เมษายน ๒๕๓๔
|
.
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
middle spirit
|
 |
« ตอบ #725 เมื่อ: 26 พฤษภาคม 2568, 06:20:40 » |
|
ผู้ถาม : การหัดสติก็ยากเพราะเป็นฆราวาส แล้ววิธีจะหัดเบื้องต้นคืออะไรครับ? หลวงปู่เทสก์ : ไม่ว่าฆราวาสและนักบวชล่ะ มันยากด้วยกันทั้งนั้น แต่ว่านักบวชถ้าผู้ตั้งใจ ก็มีเวลาที่จะทำให้ดีกว่าฆราวาสหน่อย เรื่องสตินี้เป็นของจำเป็นที่ทุกคนจะต้องทำ ไม่ว่าจะยากหรือง่ายก็จำเป็นต้องทำ เหมือนกับเรามีรถ มีเรือ เราใช้ไม่ได้ ขับไม่เป็น มันก็ไม่เป็นประโยชน์แก่พวกเราซิ เหมือนกันนั่นแหละ สติเรามีอยู่แต่เราไม่คุมสติให้อยู่ใต้อำนาจของเรา สตินั้นก็เหลวใช้ไม่ได้ แล้วแต่สติจะพาเราไปทำชั่ว ไปทำผิด ทุจริตต่างๆ เราก็ไม่รู้ เลยกลายเป็นผู้มีสติฟั่นเฟือน ต้องคุมให้อยู่ในอำนาจของเรา เราทำดี ทำชั่ว ทำผิด ทำถูก ทำอะไรทั้งหมดให้รู้ตัวอยู่เป็นนิจ เมื่อทำอย่างนี้อยู่เสมอจนเคยชินแล้วจะรู้สึกตัวว่า เมื่อไม่ได้ทำจะไม่สบาย หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี ปุจฉาวิสัชนาในต่างประเทศ ณ.ประเทศออสเตรเลีย วันที่ 19 พ.ย. – 12 ธ.ค. พ.ศ. 2519
|
.
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
middle spirit
|
 |
« ตอบ #726 เมื่อ: 27 พฤษภาคม 2568, 06:09:07 » |
|
กรรมและเวรเป็นของที่คนอื่นจะแก้ไขด้วยพิธีกรรมต่างๆ ตัดเวรตัดกรรม สะเดาะเคราะห์ ดูฤกษ์ยามว่า วัน เดือน ปีนั้นๆ จะให้โชคร้ายหรือจะให้โชคลาภต่างๆไม่ได้เด็ดขาด หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี จากหนังสือธรรมะเล่มที่๖
|
.
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
middle spirit
|
 |
« ตอบ #727 เมื่อ: 27 พฤษภาคม 2568, 12:22:07 » |
|
เอตํ พุทฺธานสาสนํ จิตอันเดียวเท่านั้นแหละเป็นศาสนา..... จิต กับ ใจ ก็อันเดียวกันนั่นแหละ จิตอันใดใจอันนั้น ครั้นถ้าหากจับจิตไม่ได้จับใจไม่ถูกแล้ว ก็หลงโลกอยู่นั่นแหละ ไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าจับจิตได้แล้ว เห็นเลย โอ้!…อันนั้นมันอาการของจิต คิดนึกปรุงแต่งสารพัดทุกอย่าง ร้อยแปดพันประการที่อธิบายมากมายนั้น เป็นเรื่องอาการของจิตทั้งหมด ถ้าเข้าถึงใจแล้ว ไม่มีอะไร นิ่งเฉยเลย หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี จับจุดในพระพุทธศาสนาให้ได้ วันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๒๘
|
.
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
middle spirit
|
 |
« ตอบ #728 เมื่อ: 28 พฤษภาคม 2568, 05:39:10 » |
|
เราเชื่อมั่นแล้วว่า เราทานในวันนี้เดี๋ยวนี้แหละ วันหนึ่งข้างหน้าเราต้องได้รับผลอานิสงส์ที่เราทำ พูดเข้ามาใกล้ๆ อีกว่า เราได้เดี๋ยวนี้ คือ ใจอิ่มเอิบเบิกบานคือ บุญ หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี จากหนังสือธรรมะเล่มที่๕๖
|
.
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
middle spirit
|
 |
« ตอบ #729 เมื่อ: 29 พฤษภาคม 2568, 06:10:29 » |
|
ศาสนาสอนให้คนทำ ไม่ใช่สอนให้คนพูด สอนแล้วเอาไปพูดไปคุย..ไม่ใช่อย่างนั้น ให้ทำ ทำมากก็ทำ ทำน้อยก็ทำ หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี จากหนังสือธรรมะเล่มที่๑
|
.
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
middle spirit
|
 |
« ตอบ #730 เมื่อ: 30 พฤษภาคม 2568, 05:40:19 » |
|
เราปล่อยวาง ทำใจให้เฉยตามสภาพของมันแล้วก็หมดเรื่องเท่านั้นเอง การต่อสู้กับอารมณ์ที่ค้างภายในจิตนั้น(เป็นการเดินมรรค) เมื่อเอาชนะมันได้แล้ว จิตสงบเป็นกลางวางเฉย หากอารมณ์ใหม่จะเกิดขึ้นมาอีก เราต้องยึดความเป็นกลางไว้ก่อนเสมอ แล้วจึงน้อมเอาจิตอีกส่วนหนึ่งออกไปตรวจค้นพิจารณาดู ให้เห็นเหตุผลของอารมณ์นั้นๆ อารมณ์นั้นก็จะหายไป แล้วมากำหนดไว้ตรงที่เดิมอีก เมื่อทำได้อย่างนี้ทุกๆกรณี จะเป็นการเดินมรรคที่สม่ำเสมอดีมาก แลมั่นคงที่สุด หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี บันทึกธรรมภาษิต (๕๐)
|
.
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
middle spirit
|
 |
« ตอบ #731 เมื่อ: 30 พฤษภาคม 2568, 15:54:06 » |
|
ผู้มาตามรู้เท่าความคิด พูด ทำ ของตนอยู่ทุกขณะ ผู้นั้นได้ชื่อว่า “ เป็นผู้รู้ขันธโลกภายนอกภายใน “ อารมณ์ทั้งหลายที่ข้องอยู่แล้วย่อมหายไป ตั้งอยู่ไม่ได้ หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี บันทึกธรรมภาษิต (๕๓)
|
.
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30 พฤษภาคม 2568, 16:56:08 โดย middle spirit »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
middle spirit
|
 |
« ตอบ #732 เมื่อ: 30 พฤษภาคม 2568, 16:24:29 » |
|
#เสียแรงเป็นศิษย์หลวงปู่เทสก์ เห็นภาพนี้ แล้วนึกถึงบนสนทนา ระหว่าง ในหลวงรัชกาลที่ 9 กับ พล.อ.อ หะริน เรื่องสมาธิ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงถาม พล.อ.อ.หะรินว่า คนเราหายใจเข้าออก นาทีละกี่ครั้ง พล.อ.อ.หะริน : “คงประมาณ 18 ครั้ง พระพุทธเจ้าข้า” ในหลวง ร.9 : “ชั่วโมงละกี่ครั้ง” พล.อ.อ.หะริน : “ประมาณ 1,080 ครั้ง พระพุทธเจ้าข้า” ในหลวง ร 9 : “วันหนึ่งเล่า” พล.อ.อ.หะริน: “ตอนนี้ข้าพระพุทธเข้าต้องขอพระราชทานใช้เครื่องคิดเลข พระพุทธเจ้าข้า….ประมาณ 26,000ครัง พระพุทธเจ้าข้า” ในหลวง ร.9 : “ปีหนึ่งล่ะ” พล.อ.อ.หะริน : “ประมาณเก้าล้านสี่แสนหกหมื่น พระพุทธเจ้าข้า” ในหลวง ร.9 : “แล้วหกสิบปี” พล.อ.อ.หะริน : “ห้าร้อยหกสิบแปดล้าน พระพุทธเจ้าข้า” ในหลวง ร.9 : “ลมหายใจนี่ ซื้อเขามาหรือเปล่า เสียภาษีหรือเปล่า” พล.อ.อ.หะริน : (งงไปพักหนึ่ง) “เปล่า พระพุทธเจ้าข้า” ในหลวง ร.9 : “แล้วได้อะไรบ้าง จากลมหายใจเกือบห้าร้อยเจ็บสิบล้านครั้ง เสียแรงเป็นลูกศิษย์เอกของหลวงปู่ (หลวงปู่ เทสก์) ตั้งแต่เกิดมา หายใจทิ้งหายใจขว้างไปหลายร้อยล้านครั้งแล้ว” พล.อ.อ.หะริน : (ยังงงอยู่) ในหลวง ร. 9 : “นั่งรถมาทำงานและกลับบ้าน ก็ไม่ต้องขับเอง มีคนขับให้ แล้วทำไมไม่ใช้ลมหายใจให้เป็นประโยชน์ มัวแต่ไปคิดอะไร ดูแม่ค้าทะเลาะกันข้างถนน ดูจราจรจับคนไม่สวมหมวกกันน็อค ดูเจ๊กขายก๋วยเตี๋ยว ดูเด็กขายพวง มาลัย แล้วได้อะไรบ้าง” พล.อ.อ.หะริน : (นั่งนิ่ง) ในหลวง ร. 9 : “ทีนี้ หัดใช้ลมหายใจให้เป็นประโยชน์เสียบ้าง เวลาไม่มีอะไรทำก็ภาวนาอานาปาณสติไป หายใจเข้า ภาวนา “พุท” หายใจออก ภาวนา “โธ” วันหนึ่งก็ทำสมาธิได้เหลือหลาย ไม่เอาลมหายใจที่ได้มาฟรีๆ ไม่เสียภาษี ไป ทิ้งขว้างเสียเปล่าๆ เดือนละไม่รู้กี่ล้านครั้ง” ส่วนหนึ่งจาก บทความเรื่อง พ่อหลวง-หลวงพ่อ โดย พล.อ.อ.หะริน หงสกุล
|
.
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30 พฤษภาคม 2568, 16:26:03 โดย middle spirit »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
middle spirit
|
 |
« ตอบ #733 เมื่อ: 31 พฤษภาคม 2568, 21:37:25 » |
|
การรู้จิตของตนนี่แหละ จึงเป็นผลให้ได้ความสงบ ถ้ารู้เมื่อไรแล้ว สงบเมื่อนั้น มีความสุขความสบาย ครั้นไม่รู้แล้ว มันส่งไปวุ่นวายในสิ่งต่างๆ ให้เป็นทุกข์เดือดร้อน หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี จากหนังสือธรรมะเล่มที่๖๓
|
.
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
middle spirit
|
 |
« ตอบ #734 เมื่อ: 31 พฤษภาคม 2568, 21:53:58 » |
|
สติ เป็น เครื่องระลึกได้ สติ อันนี้แหละระงับเสียซึ่ง ความโลภ อยากได้ของเขา และความทุกข์ใจทั้งหมดในโลก เราจึงควรที่จะรีบเร่งฝึกฝนอบรมไว้ หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี จากหนังสือธรรมะเล่มที่๔
|
.
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|