?>
ชมรมอนุรักษ์พุทธศิลป์แห่งภาคอีสาน
The Buddhist Art Conservation Club Of Esan (North Eastern Part Of Thailand)
19 สิงหาคม 2568, 23:03:45 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  

กติกาในการ เช่า-แลกเปลี่ยนพระเครื่อง | พระเครื่องเมืองอุบลราชธานี | แจ้งปัญหาการใช้งาน
แจ้งเรื่องการยืนยันตัวตนสำหรับผู้ที่จะให้เช่าพระเครื่องฯ | วิธีสมัครสมาชิกเว็บ

หน้า: 1 ... 3 4 [5] 6 7 ... 10
 41 
 เมื่อ: 17 กรกฎาคม 2568, 05:02:30 
เริ่มโดย middle spirit - กระทู้ล่าสุด โดย middle spirit
#ธรรมอาศัยโลก
ธรรมต้องอาศัยอยู่กับโลก ไม่มีโลก ธรรมก็อยู่ไม่ได้
ผู้เห็นธรรม รู้ธรรมก็คือ ผู้มารู้มาเห็นโลกตามความเป็นจริง
แล้วเบื่อหน่ายคลายจากโลกเอง
ถ้ารู้เท่า รู้เรื่อง มันเป็นธรรมทั้งหมด
ผู้ปฏิบัติจะเห็นความดีความชั่วของตนตรงนั้นแหละ
เมื่อไม่มีโลกแล้ว ธรรมก็ไม่ทราบว่าจะเอาไปตั้งไว้ตรงไหน
จะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร
โลกอันใดธรรมก็อันนั้น
จะเป็นโลกหรือเป็นธรรม อยู่ที่ "ฝึกอบรม" ต่างหาก
การพิจารณากาย - เวทนา - จิต - ธรรม ให้เห็นเป็นสักแต่ว่านั้น ไม่ใช่ของง่าย
เพราะมันเป็นการลบสมมติบัญญัติของเดิมทั้งหมด
ที่เห็นเป็นสักแต่ว่านั้น
มันเป็นบัญญัติสมมติใหม่ซึ่งเกิดจากสติปัฏฐาน
ถ้าผู้ปฏิบัติพิจารณาได้อย่างนี้
มันก็จะละการถือตน ถือตัว ถือเขา ถือเรา ให้หมดสิ้นไปจากใจได้
นี้เป็นเบื้องต้นของสติปัฏฐาน
คำสอนของพุทธศาสนาทั้งหมด มาลงอยู่ที่ "สติ" อันเดียว
ตั้งแต่เบื้องต้นก็สอนสติ ที่สุดก็สอนสติ
อย่าให้จิตอยู่แต่ในอำนาจของกิเลส
ให้จิตอยู่แต่ในอำนาจของสติ
สติเป็นตัวระมัดระวัง
อันนั้นแหละเป็นประโยชน์ส่วนตัวโดยแท้
มีสติสมบูรณ์บริบูรณ์ เรียกว่า ถึงศาสนา
สติที่สมบูรณ์จะไม่ต้องควบคุมและรักษา
แต่มันจะมีสติพอดีกับอารมณ์ที่จะมาปรากฏขึ้นที่จิต แล้วรู้เท่าทันกัน อันเนื่องมาจากที่เราได้อบรมไว้ดีแล้ว
ไม่มีการส่งส่ายออกนอกไปจากอารมณ์ที่ปรากฏขึ้นที่จิตนั้น
รู้แล้ววางเฉย
บางทีก็ทำให้เกิดความสลดสังเวชในเรื่องนั้นๆ
เรื่องสติมันต้องเป็นอย่างนั้น คือ มันกลัวอารมณ์ต่างๆ
เมื่อมีอารมณ์อะไรเกิดขึ้นจะต้องเห็นเป็นโทษ
โดยมากมักเห็นเป็นทุกข์
เมื่ออบรมฝึกฝนอยู่อย่างนั้นนานๆ เข้า สติจึงจะพอดี
ไม่แข็งจนเกินไป แล้วก็ไม่หย่อนยานจนส่งออกไปข้างนอก
สติ สมาธิ ปัญญา สมดุลกันโดยอัตโนมัติเมื่อไรแล้ว
ปัญญาวิปัสสนาจึงจะเกิดขึ้น
คือไม่ว่าจะเห็นหรือรู้อะไรโดยทางอายตนะทั้งหกแล้ว พระไตรลักษณ์จะเกิดขึ้นครบพร้อมทั้งสาม..."
หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี
วัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย

 42 
 เมื่อ: 16 กรกฎาคม 2568, 05:26:34 
เริ่มโดย middle spirit - กระทู้ล่าสุด โดย middle spirit
บุญ ไม่ใช่อยู่ที่ในพรรษา นอกพรรษา
อยู่ที่ศรัทธา เจตนาบริสุทธิ์ จิตใจผุดผ่องเต็มที่แล้ว
นั่นเป็น ตัวบุญ อยู่ตรงนั้นต่างหาก

หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี
จากหนังสือธรรมะเล่มที่๖๐

 43 
 เมื่อ: 15 กรกฎาคม 2568, 06:20:01 
เริ่มโดย middle spirit - กระทู้ล่าสุด โดย middle spirit
 

 44 
 เมื่อ: 14 กรกฎาคม 2568, 05:23:48 
เริ่มโดย middle spirit - กระทู้ล่าสุด โดย middle spirit
๓ภพ ๓ภูมิ เกิดจากมนุษย์คนเดียว
ภูมิของมนุษย์นี้ ได้ชื่อว่า
เป็นภูมิสูงสุด ทำดีก็ได้
สูงถึง เทวดา อินทร์ พรหม
ถึง มรรค ผล นิพพาน ก็ได้
เป็นภูมิต่ำสุด ก็มนุษย์นี่แหละ
ทำชั่วช้าเลวทรามที่สุด
จนเหลือที่จะเป็นมนุษย์

หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี
จากหนังสือธรรมะเล่มที่๖๑

 45 
 เมื่อ: 13 กรกฎาคม 2568, 05:52:55 
เริ่มโดย middle spirit - กระทู้ล่าสุด โดย middle spirit
#นิมิต_สิ่งที่เห็นในสมาธิ
#พุทธศาสนาไม่ได้สอนให้คนเป็นบ้า
บางอาจารย์เมื่อนิมิตเกิดขึ้นมาแล้ว สอนให้ถือเอานิมิตนั้น เป็นขั้นเป็นชั้นของมรรคทั้ง ๔ มีโสดาปัตติมรรคเป็นต้น เช่น นิมิตเห็นแสงเล็กเท่าแสงหิ่งห้อย ได้สำเร็จชั้นพระโสดาบัน เห็นนิมิตแสงใหญ่ขึ้นมาหน่อยเท่าแสงดาว ได้สำเร็จชั้นพระสกทาคามี เห็นนิมิตแสงใหญ่ขึ้นมาเท่าแสงพระจันทร์ ได้สำเร็จชั้นพระอนาคามี เห็นนิมิตแสงใหญ่ขึ้นมาเท่าแสงพระอาทิตย์ ได้สำเร็จชั้นพระอรหันต์อย่างนี้เป็นต้น
ไปถือเอาแสงภายนอก ไม่ถือเอาใจของคนที่บริสุทธิ์มากน้อยเป็นเกณฑ์ ความเห็นเช่นนั้น ยังห่างไกลจากความเป็นจริงนัก
นิมิตเกิดจากภวังค์เป็นส่วนมาก
ภวังค์เป็นอุปสรรคของมรรคโดยเฉพาะอยู่แล้ว มันจะเป็นมรรคได้อย่างไร (หน้า๑๕-๑๖)
(เหตุที่ภวังค์เป็นอุปสรรคของมรรค ก็เนื่องจากในภวังค์นั้นเคลิบเคลิ้มเลื่อนไหลไปในจิตภายในตน จึงไม่สามารถใช้สติได้เต็มภูมินั่นเอง)
แท้ที่จริงนิมิตทั้งหลาย ดังที่อธิบายมาแล้วก็ดี หรือนอกไปกว่านั้นก็ดี ถึงไม่ใช่เป็นทางให้ถึงความบริสุทธิ์ก็จริงแล แต่ผู้ปฏิบัติทั้งหลายจะต้องได้ผ่านทุกๆคน เพราะการปฏิบัติเข้าถึงจิตรวมเข้าถึงภวังค์แล้วจะต้องมี เมื่อผู้มีวาสนาเคยได้กระทำมาเมื่อก่อน เมื่อเกิดนิมิตแล้ว จะพ้นจากนิมิตนั้นหรือไม่ ก็แล้วแต่สติปัญญาของตน หรืออาจารย์ผู้นั้นจะแก้ไขให้ถูกหรือไม่ เพราะของพรรค์นี้ต้องมีครูบาอาจารย์เป็นผู้แนะนำ ถ้าหาไม่แล้วก็ต้องจมอยู่ปรัก คือนิมิต นานแสนนาน เช่น อาฬารดาบส แล อุททกดาบส เป็นตัวอย่าง........(หน้า๑๗)
จากธรรมนิพนธ์ สิ้นโลก เหลือธรรม
โดย หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี
ขอสรุปใจความย่อๆ ในหนังสือเล่มนี้ว่า (หมายถึงหนังสือ "สิ้นโลก เหลือธรรม")
พระคณาจารย์ทั้งหลายที่ได้ศึกษาเรื่องจิต-ใจยังไม่เข้าใจแจ้งชัด ขอได้โปรดอย่าไปสอนสานุศิษย์ทั้งหลาย เพราะอาจเป็นบ้าเป็นบอไปก็ได้ ขายขี้หน้าพาหิรกะภายนอกศาสนา เพราะศาสนาพุทธสอนให้เข้าถึงจิต-ใจ แต่ผู้สอนไม่เข้าถึงจิต-ใจ จึงทำให้ลูกศิษย์เห็นผิด เกิดวิปลาสเป็นบ้าไปต่าง ๆ นานา แล้วก็ทอดทิ้งให้ระเกะระกะอยู่ทั่วไป
ผู้เขียน (หมายถึง ท่านหลวงปู่เทสก์ เทสรํสี)ได้ประสบเรื่องนี้มามากแล้ว ถ้าผู้นั้นยังพอมีสติอยู่ ก็พอพูดกันรู้เรื่องบ้าง ถ้าเป็นมาก ก็พูดไม่รู้เรื่องกัน แล้วก็เลยพากันทอดทิ้งกันหมด น่าสงสารจริง ๆ
พุทธศาสนาสอนให้เข้าถึงจิต-ใจ ให้มีสติควบคุมจิตของตนให้เป็นคนดีเรียบร้อย แต่ว่าผู้สอนกลับสอนตรงกันข้าม จึงเป็นหนทางให้เสื่อมพุทธศาสนา คนภายนอกเลยพากันเห็นว่า พุทธศาสนาสอนคนให้เป็นบ้า (หน้า๑๐๒)

 46 
 เมื่อ: 12 กรกฎาคม 2568, 05:53:35 
เริ่มโดย middle spirit - กระทู้ล่าสุด โดย middle spirit
ที่สุดของ ทาน คือ ศรัทธา
ที่สุดของ ศีล คือ เจตนา
ที่สุดของ ฌาน คือ อัปนา
ที่สุดของ สมาธิ คือ อัปนา
ที่สุดของ ปัญญา คือ พระไตรลักษณ์

หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี
ที่สุดของพระพุทธศาสนา
วันที่ ๒๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๒๘

 47 
 เมื่อ: 10 กรกฎาคม 2568, 04:55:33 
เริ่มโดย middle spirit - กระทู้ล่าสุด โดย middle spirit
 

 48 
 เมื่อ: 09 กรกฎาคม 2568, 04:33:52 
เริ่มโดย middle spirit - กระทู้ล่าสุด โดย middle spirit
ความประมาทเป็นเหตุให้ทำชั่วต่าง
จิตมุ่งไปในทางที่ผิด คิดในทางที่ไม่ชอบ
วุ่นวายส่งส่าย มันก็เลยไม่แน่วแน่เสียที

หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี
จากหนังสือธรรมะเล่มที่๖๗

 49 
 เมื่อ: 08 กรกฎาคม 2568, 04:57:27 
เริ่มโดย middle spirit - กระทู้ล่าสุด โดย middle spirit
ถ้าผู้ใดเห็นผิด รู้จักผิด
แล้วละผิด ละชั่ว นั้นเสียได้
ผู้นั้นถึงซึ่ง พระธรรมแท้
นี่คือ การสร้างพระในพุทธศาสนา
ที่แท้จริง

หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี
จากหนังสือธรรมะเล่มที่๗

 50 
 เมื่อ: 07 กรกฎาคม 2568, 04:46:32 
เริ่มโดย middle spirit - กระทู้ล่าสุด โดย middle spirit
เวลาเข้าพรรส่งพรรษา
       อวดตนอวดตัว แหมปีนี้กูจะรักษาศีลละ เคยดื่มสุราจะไม่ดื่มมันละ
       ศีล๕ศีล๘ โกหกก็ไม่เอาละ ศีลเจ้าชู้กูก็ไม่เอาละ ฆ่าสัตว์ลักทรัพย์กูก็ไม่เอาละ
เวลาพ้นพรรษาสามเดือนแล้ว
        เรียกถอยหลัง เรียกบัญชีเรียกถอยหลัง เรียกกลับถอยหลัง ปิดบัญชีถอยหลังเลย           
        เหล้านั้นหมดในพรรษาไม่ทราบกี่ขวดแล้วที่เราเว้นไว้แล้วไม่ทราบกี่ขวดละ
        ออกพรรษาแล้วเพิ่มทวีขึ้นอีก มากกว่าเก่า
อันนี้เรียกว่าหลอกตนเอง และก็หลอกลวงคนอื่นอีกด้วย
เรียกว่าคนยังไม่เชื่อของจริง ยังไม่เชื่อว่าของดีว่าเป็นของดีแท้
หลอกตนว่าตนทำดี แต่แท้ที่จริงภายในมันเสียดายอยู่
หลอกคนอื่นว่าเราเป็นคนทำดี แต่ผลในที่สุดกลับเลวกว่าเก่า

พวกที่บวชเรียนในพระพุทธศาสนา
        อาตมาก็คงมีเคยเห็นเป็นส่วนมาก รักษาศีล๕ศีล๘ศีล๑๐ศีล๒๒๗
       เป็นพระเป็นสงฆ์ งดเว้นหมด ศึกษาพยายามงดเว้นละ บางทีตั้ง๕ปี๑๐ปีบวชอยู่
        เวลาสึกออกไปยิ่งร้ายกว่าคนที่ไม่บวชด้วยซ้ำ เลวกว่าคนที่ไม่ได้บวชด้วยซ้ำ
        นี่แสดงได้ว่าคนไม่เชื่อในพุทธศาสนาที่แท้จริง
อาตมาเคยพูด
       มันรีบทำความชั่วให้มันทันเขา
       คือท้าทายความชั่วอยู่นาน ๙ปี๑๐ปี
       พอสึกมาจากพระแล้วรีบทำให้มันทันเขา
       ทำมากกว่าเรา แข่งความชั่วกัน
       เหมือนกับคนงดเว้นความชั่วในสามเดือน เหมือนๆกัน .....

.
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
20 มกราคม พ.ศ.2520

หน้า: 1 ... 3 4 [5] 6 7 ... 10
Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.19 | SMF © 2006-2009, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!