?>
ชมรมอนุรักษ์พุทธศิลป์แห่งภาคอีสาน
The Buddhist Art Conservation Club Of Esan (North Eastern Part Of Thailand)
19 สิงหาคม 2568, 18:10:03 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  

กติกาในการ เช่า-แลกเปลี่ยนพระเครื่อง | พระเครื่องเมืองอุบลราชธานี | แจ้งปัญหาการใช้งาน
แจ้งเรื่องการยืนยันตัวตนสำหรับผู้ที่จะให้เช่าพระเครื่องฯ | วิธีสมัครสมาชิกเว็บ

หน้า: [1] 2 3 ... 10
 1 
 เมื่อ: วันนี้ เวลา 06:10:47 
เริ่มโดย middle spirit - กระทู้ล่าสุด โดย middle spirit
จิตที่สงบนิ่งแน่วนั่น เป็นสุขอย่างยิ่ง
จิตที่สงบอย่างนั้น เป็นของหายาก
เพราะเหตุนั้นเราจึงต้องหัด
ทุกคนต้องหัดด้วยกันทั้งนั้น

หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี
จากหนังสือธรรมะเล่มที่๘๘

 2 
 เมื่อ: 18 สิงหาคม 2568, 06:38:37 
เริ่มโดย middle spirit - กระทู้ล่าสุด โดย middle spirit
เรามาแก้ตัวของเราอย่างเดียว
เขาจะโกรธจะเกลียดเรา
หรือเขาจะชอบอกชอบใจเรา
อันนั้นเป็นเรื่องของโลก
เราไม่ได้เอาอันนั้นมาเกี่ยวเกาะ
ไว้กับจิตกับใจของเรา
มันก็สบายเลย
หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี
จากหนังสือธรรมะเล่มที่๖๕

 3 
 เมื่อ: 17 สิงหาคม 2568, 06:16:52 
เริ่มโดย middle spirit - กระทู้ล่าสุด โดย middle spirit
เมื่อเกิดมาเป็นคน รู้ตัวว่าเราจะต้องตาย
จงรีบทำคุณงามความดีทำประโยชน์ไว้เสีย

การทำมากหรือทำน้อย ไม่เป็นปัญหา
ขอให้ตั้งเจตนาให้ดี
ให้เชื่อมั่นในบุญกุศลที่ตนทำนั่น
จิตใจแน่วแน่อยู่กับกุศลอันนั้น
ก็จะเป็นของมากอยู่เอง

ไม่ต้องเอาหน้า เอาเกียรติ
ไม่ต้องเอาชื่อ เอาเสียง
เอาเฉพาะใจของตนเอง
ตั้งศรัทธาแน่วแน่เฉพาะบุญกุศลที่ตนทำเอง
นั่นละ เป็นอานิสงส์มาก กุศลมาก ตรงนี้แหละ..”

หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี

 4 
 เมื่อ: 16 สิงหาคม 2568, 05:56:10 
เริ่มโดย middle spirit - กระทู้ล่าสุด โดย middle spirit
ขั้นแรกเราต้องมีสติ
ฝึกฝนอบรมจิตให้สงบระงับ
ให้เป็นเรือนที่อยู่ของจิต
ให้จิตชองเราอยู่ในอำนาจของสติ
แล้วก็คอยมองแต่จิตของตัวเอง
อยู่ทุกอิริยาบถ

หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี
จากหนังสือธรรมะเล่มที่๘๖

 5 
 เมื่อ: 15 สิงหาคม 2568, 06:22:00 
เริ่มโดย middle spirit - กระทู้ล่าสุด โดย middle spirit
การภาวนา คือ การอบรมจิตใจให้มีความสงบ
เป็นการชำระจิตใจให้สงบจากอารมณ์ต่าง ๆ
ยิ่งเป็นการละเอียดไปกว่าการรักษาศีลอีก

จิตของเราถ้ายังไม่สงบตราบใดแล้ว มันก็จะต้องยุ่งวุ่นวายอยู่ตราบนั้น
เมื่อมาฝึกหัดภาวนา เห็นโทษเห็นภัย ของความยุ่ง ความไม่สงบด้วยตนเองแล้ว
เราก็จะพยายามทุกวิถีทางที่จะละความไม่สงบ
เมื่อสิ่งใดที่ละได้แล้ว อารมณ์ใดที่วางได้แล้ว
เราก็จะต้องรักษาไม่ให้สิ่งนั้น มันเกิดขึ้นมาอีก
ไม่ใช่ว่าเราละได้แล้ว ก็แล้วไปเลย ไม่ต้องคำนึงถึงมันอีก อย่างนั้นไม่ถูกต้อง
เพราะมันอาจสามารถที่จะฟื้นฟู ขึ้นมาใหม่อีก ถ้ามันเกิดมาทีหลังจะยิ่งร้ายกว่าเก่า

หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี

 6 
 เมื่อ: 14 สิงหาคม 2568, 07:00:15 
เริ่มโดย middle spirit - กระทู้ล่าสุด โดย middle spirit
รู้อะไรไม่มีคุณประโยชน์เท่ารู้จิต
การเห็นจิตของเรานั่นแหละดี
มันคิดดี คิดชั่ว คิดหยาบ คิดละเอียดก็รู้
ดูจนกระทั่งมันวางลง
ถ้าเห็นอยู่เสมอๆแล้วมันก็วางหมด
หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี

จากหนังสือธรรมะเล่มที่๙๐

 7 
 เมื่อ: 12 สิงหาคม 2568, 06:01:02 
เริ่มโดย middle spirit - กระทู้ล่าสุด โดย middle spirit
อายตนะทั้งหลาย เป็นเครื่องวัดจิตของตนได้อย่างดีที่สุด
เมื่ออายตนะ มากระทบจิตของเรา เราหวั่นไหวหรือไม่

เมื่อหวั่นไหวมาก ก็แสดงว่า มีสติน้อย
มีธรรมเป็นเครื่องอยู่ ก็ยังน้อย

เมื่อหวั่นไหวน้อย หรือไม่หวั่นไหวเสียเลย ก็แสดงว่า มีสติมาก
มีธรรมะเป็นเครื่องอยู่มาก แล้วรักษาตัวได้


หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี

 8 
 เมื่อ: 11 สิงหาคม 2568, 05:50:59 
เริ่มโดย middle spirit - กระทู้ล่าสุด โดย middle spirit
"ทำทาน  มีมากมีน้อยก็ต้องทำด้วยตนเอง
รักษาศีล ก็โดยเฉพาะส่วนตัวแท้ ๆ ใครรักษาศีลให้ไม่ได้
ทำสมาธิ ยิ่งลึกซึ้งหนักแน่นเข้าไปกว่านั้นอีก
แต่ละคนก็ต้องรักษาจิตใจของตน ๆ ให้มีความสงบหยุดวุ่นวายแส่ส่าย
ถ้าเราไม่รู้จักวิธีทำสมาธิแล้ว ก็ทำสมาธิไม่เป็น
จิตใจก็เดือดร้อนดิ้นรนเป็นทุกข์
เหตุนั้นจึงว่า การทำทาน รักษาศีล ทำสมาธิ นี่เป็นกิจเฉพาะส่วนตัว
ทุก ๆ คนจะต้องทำให้เกิดมีขึ้นในตน"


หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี

 9 
 เมื่อ: 10 สิงหาคม 2568, 05:46:27 
เริ่มโดย middle spirit - กระทู้ล่าสุด โดย middle spirit
การปฏิบัติพุทธศาสนานั้น เราอย่าไปเอาถ่ายเดียว
จะนั่งภาวนาให้มันตายละ เอาภาวนาอย่างเดียว
รักษาศีลอย่างเดียวละ ไม่ต้องทำทานก็แล้วกัน
ทำทานอย่างเดียวแล้วไม่ต้องไหว้พระสวดมนต์
อะไรไม่ต้องทำทั้งหมด ไม่มีกิจวัตร ก็ไม่ได้เหมือนกัน
การปฏิบัติพุทธศาสนาปฏิบัติมาโดยลำดับ ตั้งแต่ไหว้พระสวดมนต์
ทำความเคารพคารวะบิดามารดาคนเฒ่าคนแก่ ได้ทั้งนั้นแหละ
บูชาดอกไม้ธูปเทียนได้ทั้งนั้น
เป็นความดีทั้งนั้น มันทำใจให้เบิกบาน ให้สะอาด


หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี


 10 
 เมื่อ: 09 สิงหาคม 2568, 14:36:10 
เริ่มโดย maxnaka - กระทู้ล่าสุด โดย maxna
พระผงสมเด็จไพรดำ

วัตถุประสงค์เพื่อการกุศล ถวายมหาสังฆทานเพล ณ วัดวังม่วง อำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี
ข้อมูลการจัดสร้าง
รายการการจัดสร้าง มีทั้งหมด 5 รายการ
รายการที่ 1 พระผงสมเด็จไพรดำ ฝังตะกรุดทองแท้ จำนวน 3 องค์
รายการที่ 2 พระผงสมเด็จไพรดำ ฝังตะกรุดเงินแท้  จำนวน 5 องค์
รายการที่ 3 พระผงสมเด็จไพรดำ ฝังตะกรุดนาคแท้  จำนวน 7 องค์
รายการที่ 4 พระผงสมเด็จไพรดำ หลังเหล็กเปียกยอดพระธาตุพนม
จำนวน 108 องค์
รายการที่ 5 พระผงสมเด็จไพรดำ หลังเรียบ จำนวน 199 องค์ (แจกในงาน)
มวลสารหลัก
1.ผงว่านไพรดำแท้
2.ผงว่านเสน่ห์ 108 ชนิด
3.ผงว่านมหาปราบ 108 ชนิด
4.ผงกะลามะพร้าวตาเดียว 108 ลูก
5.ผงงาช้าง 108 เชือก
6.ผงไม้งิ้วดำ 108 ต้น
7.ผงแก่นขามฟ้าผ่า 108 ต้น
8.ผงเม็ดข้าวไพรดำ
9.ผงแร่เหล็ก 108 อย่าง
การประกอบพิธีกรรมหุงข้าวเหนียว จากดินไพรดำ พุทธคุณ 108 อย่าง
สรรพคุณของว่านคือ คงกะพัน กันมีดของมีคม กันปอบ ผี แคล้วคลาดในการเดินทาง รักษาโรค ไพลดำเป็นที่รู้จักกันในวงกว้าง ถึงความหนังเหนียว ความแคล้วคลาด ชื่อเสียงของว่านไพลดำ และยิ่งทำการหุงข้าวเหนียวด้วยว่านไพลดำหรือดินดำไพรดำเพื่อเป็นยารักษาโรค ยิ่งมีพุทธคุณหาสิ่งใดเปรียบเทียบได้เลย
หนึ่งเดียวในประเทศไทยที่กล้าท้าพิสูจน์ของจริงที่มีอยู่ในโลก
#ดินไพรดำที่อยู่ในความดูแลของสายธรรมอุตฺตโมบารมี
ยอดแร่คือ เหล็กไหล
ยอดว่านคือ ไพรดำ
ยอดไม้คือ ไม้มณีโคตร
#สรุปง่าย..คือความเหนียวที่อยู่ในดินไพรดำ คือ น้ำมันที่ผ่านเวลามาเป็นร้อยปี ดินไพรดำจึงมาความศักดิ์สิทธิ์ในตัว
...ดินไพลดำจะมีคุณสมบัติทางฤทธิ์ ว่ากันว่าดินไพลดำจะเด่นในด้านชักนำเงินทองมาให้ผู้ครอบครองได้โดยง่าย ด้วยศาสตร์มนต์ดำเน้นการพนันขันต่อ เล่นแร่แปรธาตุ เช่น นำเอาดินไพลดำไปเล่นพนัน หรือนำเอาดินไพลดำไปทำพิธีทำให้เงินที่เราใช้ไปแล้วกลับมาหาเราเช่นเดิม เป็นต้น
ยังเด่นเรื่องอยู่ยงคงกระพัน กล่าวกันถ้าใช้คู่กับเหล็กไหลจะทำให้คนผู้นั้นฟันแทงไม่เข้า
#ดินไพลดำจะมีลักษณะดำ เหนียว แต่เมื่อจับจะไม่ติดมือ ฤทธิ์อำนาจที่มีอยู่ในตัวมีคุณสมบัติ คงทนเหมือนเหล็กไหล มีคุณวิเศษ เลิศล้ำ
#ความหายากของ “ดินไพลดำ” นั้นเล่ากันว่า ต่อให้ถึงไปเจอในป่าลึก ก็ไม่สามารถขุดออกมาได้ เพราะดินรอบโคนต้นนั้นจะมีสีดำแข็งเป็นหิน เนื้อดินเหมือนผงเหล็กดำสนิท
โบราณกล่าวว่า “ว่านไพลดำ” เป็นที่สุดของบรรดาว่านกายสิทธิ์ เพราะสมัยก่อนคนเราอยู่กับป่ากับเขา อยู่กับการรบราฆ่าฟันรบทัพจับศึกอยู่บ่อยครั้ง จึงนิยมพกชิ้นส่วนของว่านไพลดำ ดินไพรดำ วัตถุมงคลที่ทำจากว่านไพลดำ
และที่สุดของว่านไพลดำ คือการสักน้ำมันไพลดำเข้าตัว เพราะเน้นเรื่องความอยู่ยงคงกระพัน หนังเหนียว เน้นใช้ว่านในการป้องกันตัวเอง
#เรื่องดินดำไพรดำ ผู้ครอบครอง บรมครูสายธรรมอุตตโมบารมี
ตำราเขียนไว้อย่างชัดเจนในลักษณะ ต้น ดิน หัว ราก ใบ
ไพรดำ คือ วานที่มีชีวิตทิพย์
ชีวิตทิพย์ คือ มีวิญญาณ หายไปที่ไหนก็ได้
วิญญาณในที่นี้คือ เทวาขั้นสูงที่มีตบะหลายพันปีที่ยุสร้างบารมีในไพรดำเมื่อมีตบะ ถึงพันปีไพรดำ จะกลายเป็นหิน หรือแร่เหล็ก
#จุดนี้ละ ที่เขาเรียกว่า เหล็กไหลไพรดำ ส่วนที่เป็นต้นว่านไพรดำ คือ เทวาที่เข้าไปบำเพ็ญตบะ ตอนจะหายตัวไปบำเพ็ญที่อื่น ก่อนที่จะไป จะมีต้นใหม่มาแทน หรือเรียกในคำเข้าใจว่า ต้นลูกวานไพรดำ เพราะต้นแม่จะดำทั้งต้น
ในบริเวณที่ต้นไพรดำอยู่ เนื้อดินจะดำในรัศมี 2 เมตร แต่รัศมีที่อยู่ใกล้ต้นวานไพรดำ ประมาณ 12 นิ้ว ในบริเวณนั้นพื้นดิน จะดำเหนี่ยวเหมือนน้ำมันยางมะตอย ใช้มือจับจะรู้สึกเหนียวมือ แต่ไม่ติดมือ มีลักษณะเงางามเป็นเอกลักษณะ
ในส่วนนี้ คือ...ต้นวานไพรดำขับน้ำมันในตัวออกมาโดยตามธรรมชาติในส่วนนี้จึงมีความเชื่อว่า มีฤทธิ์ 108 อย่าง เทียบเท่าของหายากเท่ากับเหล็กไหลเพราะ กว่าจะทำให้ดินนั้นเกิดความเหนียวต้องใช้เวลาเป็นร้อยปี และบริเวณที่จะพอได้ต้องอยู่ในป่าลึก น้อยคนที่เข้าไปได้
นอกเหนือจากนี้แล้วจะเข้าใกล้ต้นว่านได้ยากเพราะว่านจะมีญาณเทพคุ้มครองท่านอยู่ในรัศมี 1-2 เมตร มีฤทธิ์ที่รุณแรงมากอาจทำให้หมดสติ หรือเกิดอาการปวดไปทั้งตัวโดยหาสาเหตุไม่เจอ ถ้าจะใกล้ก็ต้องเป็นคนที่ถูกเลือกไว้ได้แค่วันที่กู้ว่าถือเป็นวันทีอันตรายน้อย จะมีแต่ผู้ครอบครองเท่านั้นที่จะสามารถ จับต้องได้ในวันนั่น หลังจากกู้ขึ้นมาแล้วชิ้นส่วนต่างของว่านต้องผ่านพิธีกรรมอีกหลายอย่างจึงจะสามารถใช้การได้ และมีประโยชมหาศาล

หน้า: [1] 2 3 ... 10
Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.19 | SMF © 2006-2009, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!