?>
ชมรมอนุรักษ์พุทธศิลป์แห่งภาคอีสาน
The Buddhist Art Conservation Club Of Esan (North Eastern Part Of Thailand)
02 พฤษภาคม 2567, 07:24:56 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  

กติกาในการ เช่า-แลกเปลี่ยนพระเครื่อง | พระเครื่องเมืองอุบลราชธานี | แจ้งปัญหาการใช้งาน
แจ้งเรื่องการยืนยันตัวตนสำหรับผู้ที่จะให้เช่าพระเครื่องฯ | วิธีสมัครสมาชิกเว็บ

  แสดงกระทู้
หน้า: 1 [2] 3 4 ... 10
16  ห้องเวทย์วิทยาคมและสิ่งลี้ลับเหนือธรรมชาติ / เรื่องลึกลับเหนือธรรมชาติ(โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน) / Re: ปรอท ธาตุกายสิทธิ์ เมื่อ: 20 พฤศจิกายน 2554, 06:58:46
การทำปรอทให้แข็งแบบโบราณ

แบบที่ 1 ให้สะกดด้วยอาคมโดยนำเอาปรอทใส่ลงในกระทะเอาไม้สนเกี๊ยะจุดไฟใส่ใต้กระทะเป็นเชื้อเพลิงจากนั้นบริกรรมเติมไฟแต่ไม่ให้ร้อนมากชั่วเวลาหนึ่งให้ใส่ทองคำลงไปเพื่อล่อให้ปรอทแทรกตัวเข้าไปอยู่ในทองคำและแข็งตัวเมื่อปรอทแข็งตัวแล้วก็จะผ่อนไฟจนกระทั่งหยุดใส่ไหและเย็นลงในเวลาต่อมา

ขั้นตอนต่อไปเป็นการบูชาเจ้าป่าเจ้าเขาก่อนที่จะเอาปรอทแข็งตัวแล้วนำเอาไปใส่เอาไว้ในพานวางตั้งเอาไว้หน้าหิ้งพระคลุมด้วยทองคำเปลว

แบบที่ 2 ใช้ปรอท, ดีบุก, น้ำตะใคร้, จุนสี, กัมมะถัน, น้ำประสานทองอย่งละเท่าๆกันสำหรับจุนสีและน้ำประสานทองมีพาให้ระมัดระวังหน่อยต้องนำมาให้ความร้อนให้แตกตัวก่อนเรียกว่าการฆ่าพิษนำทั้งหมดมากวนรวมกันให้เข้ากันจนเป็นสีรุ้งการหุงนำไปตั้งในเตาแก๊สก็ได้แล้วนำเอาไปเทลงในแบบพิมพ์ต่างๆเมื่อปรอทแข็งตัวได้รูปแล้วนำเอามาแต่งด้วยกระดาษทรายละเอียดและนำเอาไปใช้ตามเจตนารมณ์ต่อไป

ข้อเสียของปรอทคือ กินทอง, กินดวงคนที่เกิดปีธาตุทองเช่นปีมะโรง,และกินคนที่มีชื่อว่าทองด้วย

หมายเหตุ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านอย่างรอบคอบ
17  ห้องเวทย์วิทยาคมและสิ่งลี้ลับเหนือธรรมชาติ / เรื่องลึกลับเหนือธรรมชาติ(โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน) / Re: ปรอท ธาตุกายสิทธิ์ เมื่อ: 20 พฤศจิกายน 2554, 06:53:44
ปรอทเป็นสรรพยามีสรรพคุณมากมากจึงมีกระบวนการทำตามแบบโบราณดังนี้ใช้วิธีการดักจับปรอทตามน้ำคลำน้ำที่เน่าเหม็นปรอทจะมากินสิ่งที่เน่าเหม็นมีกรรมวิธีการดักจับหลายวีธี
           การทำปรอทให้บริสุทธิ์ >> นำปรอทมาใส่ในชามกระเบี้องเคลือบนำข้าวที่หุงสุกใหม่ๆทิ้งเอาไว้ให้เย็นแล้วนำมาใส่ให้ท่วมปรอทคลุกเคล้าข้าวสุกกับปรอทให้เข้ากัน ด้วยไม้หรือกระเบื้องเคลือบพยายามบี้บดให้ปรอทแตกตัวสัก 15 นาทีหรือจนปรอทแตกตัวเป็นเม็ดละเอียดจะเห็นว่าข้าวสุกจะติดสีดำมากมายสุดท้ายล้างด้วยน้ำสะอาดโดยการเทน้ำสะอาดใส่ลงไปล้างหลายๆครั้งแล้วถ่ายน้ำออกหรือเทน้ำออกให้ระมัดระวังตามสมควรเนื่องจากปรอทมีน้ำหนักมากจะไม่เกาะติดสิ่งใดๆการล้างออกจึงทำได้ไม่ยากนัก
นำปรอทมาแช่น้ำปลาร้าหมั่นคนสักพักหนึ่งคนบ่อยๆทิ้งเอาไว้สัก 1 คืน รุ่งเช้าให้ล้างน้ำปรอทด้วยน้ำสะอาดเหมือนกับขั้นตอนแรกหลายๆครั้ง
         ให้นำเอาตะใคร้ทั้งต้นทั้งใบมาตำให้ละเอียดนำไปคลุกเคล้ากับปรอทคนให้เข้ากันทิ้งไว้อีก 1 คืนนำมาล้างออกด้วยน้ำสะอาดแบบเดียวกับการล้างน้ำในขั้นตอนแรก เอาปรอทมาแช่น้ำมะดันหรือมะกรูดหรือน้ำมะนาวหมั่นคนบ่อยๆทิ้งเอาไว้ 1 คืนวันรุ่งขึ้นให้นำไปล้างด้วยน้ำสะอาด
         เสร็จแล้วนำเอามาใส่เอาไว้ในขวดแก้วปิดฝาให้แน่นเพื่อกันมิให้ปรอทดูดเอาสิ่งที่เป็นพิษเข้ามาปะปนอีกปรอทที่ได้มานี้ยังเป็นของเหลวเชื่อกันว่าปรอทที่ผ่านวิธีการกรองเอาพิษออกแล้วนี้มีความบริสุทธิ์ 90 กว่าเปอร์เซ็นต์

ผมขอแนะนำว่า ศึกษาก่อนลองทำนะครับ
18  ห้องเวทย์วิทยาคมและสิ่งลี้ลับเหนือธรรมชาติ / เรื่องลึกลับเหนือธรรมชาติ(โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน) / Re: ปรอท ธาตุกายสิทธิ์ เมื่อ: 20 พฤศจิกายน 2554, 06:49:21
ประโยชน์ของปรอทมักจะใช้ในการผลิตเคมีทางอุตสาหกรรม หรือในการประยุกต์ทางไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ปรอทใช้ในเทอร์มอมิเตอร์บางชนิด โดยเฉพาะที่ใช้วัดอุณหภูมิสูง (ในสหรัฐฯ บางรัฐและท้องถิ่นห้ามการขายปรอทวัดไข้โดยไม่มีใบสั่งแพทย์) การใช้อื่นๆ นอกจากนี้มีเช่น

เครื่องวัดความดันเลือดทีเมอโรซอล (Thimerosal) เป็นสารประกอบอินทรีย์ ที่ใช้เป็นสารกันบูดในวัคซีน และหมึกสำหรับทำรอยสัก (Thimerosal in vaccines)
บาโรมิเตอร์ปรอท ปั๊มสูญญากาศ (diffusion pump) เครื่องวัดปริมาณไฟฟ้า, และอุปกรณ์ห้องปฏิบัติการอื่นๆ เนื่องจากเป็นของเหลวที่มีความหนาแน่นสูง ปรอทจึงเหมาะสมที่จะใช้
จุด triple point ของปรอท คือ -38.8344 ?C คือจุดที่ใช้เป็นอุณหภูมิมาตรฐานสำหรับมาตราอุณหภูมินานาชาติ (International Temperature Scale, ITS-90)
ในหลอดอิเล็กตรอนบางชนิด รวมถึงเครื่องปรับกระแสสลับให้เป็นกระแสตรง (mercury arc rectifier)
ไอปรอทใช้ในหลอดไฟไอปรอท และป้ายโฆษณา "หลอดนีออน" บางชนิด และหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์
ปรอทเหลวในบางครั้งใช้เป็นตัวทำความเย็นสำหรับเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ อย่างไรก็ดี มีการเสนอให้ใช้โซเดียมสำหรับเครื่องปฏิกรณ์ที่ใช้โลหะเหลวในการทำความเย็น เนื่องจากปรอทมีความหนาแน่นสูงทำให้ต้องใช้พลังงานในการหมุนเวียนตัวทำความเย็น
ปรอทในอดีตเคยใช้ในวิธีการแอมัลกาเมชัน (amalgamation) สำหรับการทำให้แร่ทองคำและเงินบริสุทธิ์ ซึ่งวิธีการที่ทำให้เกิดมลพิษนี้ยังคงใช้โดยนักขุดทอง garimpeiros ของลุ่มแม่น้ำอะเมซอนในบราซิล
ปรอทยังคงใช้ในบางวัฒนธรรมสำหรับยาพื้นบ้าน และสำหรับวัตถุประสงค์ทางพิธีกรรม ซึ่งอาจรวมถึงการรับประทาน การฉีด หรือการโปรยปรอททั่วบ้าน
ใช้ในเคมีไฟฟ้าเป็นส่วนของขั้วไฟฟ้าทุติยภูมิอ้างอิงที่เรียกว่าขั้วไฟฟ้าคาโลเมล (calomel electrode) เป็นทางเลือกใหม่ต่างจากขั้วไฟฟ้าไฮโดรเจนมาตรฐาน (Standard Hydrogen Electrode ใช้เพื่อหาศักย์ขั้วไฟฟ้า (electrode potential) ของครึ่งเซลล์
การใช้อื่นๆ: สวิตช์ปรอท ขั้วไฟฟ้าสำหรับการ การแยกสารด้วยกระแสไฟฟ้าบางชนิด ถ่านไฟฟ้า (ถ่านไฟปรอท รวมถึงสำหรับการผลิตโซเดียมไฮดรอกไซด์และคลอรีน และถ่านอัลคาไลน์) , คะตาลิสต์ ยาฆ่าแมลง โลหะอุดฟัน และ กล้องโทรทรรศน์กระจกเหลว (liquid mirror)
การใช้ในอดีต: ป้องกันไม้ ล้างรูปดาแกร์โรไทป์ (daguerreotypes) เคลือบกระจกเงา สีสำหรับป้องกันเรือสกปรก (ยกเลิกเมื่อ พ.ศ. 2533) , ยาฆ่าพืช (ยกเลิกเมื่อ พ.ศ. 2538) การทำความสะอาด และเครื่องปรับระกับในรถยนต์ สารประกอบของปรอทได้เคยใช้ใน ยาฆ่าเชื้อโรค ยาถ่าย ยาแก้ซึม และ ยาแก้โรคซิฟิลิส. นอกจากนี้ ยังมีการกล่าวหาว่า สายลับพันธมิตรชาติตะวันตกใช้ปรอทเพื่อก่อวินาศกรรมเครื่องบินของเยอรมัน โดยทาปรอทไว้บนอะลูมิเนียมเปลือย ทำให้โลหะสึกกร่อนอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดความเสีย
ในวัตถุมงคลโดยเฉพาะกลุ่มเครื่องรางที่เรียกว่า เบี้ยแก้ ได้มีการใช้ปรอทบรรจุลงไปในตัวเบี้ยด้วยเช่นเดียวกันและพระกริ่งปวเรศรุ่นแรกเนื้อนวโลหะได้มีส่วนผสมของปรอทเช่นกัน
19  ห้องเวทย์วิทยาคมและสิ่งลี้ลับเหนือธรรมชาติ / เรื่องลึกลับเหนือธรรมชาติ(โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน) / ปรอท ธาตุกายสิทธิ์ เมื่อ: 20 พฤศจิกายน 2554, 06:40:50
                ทางวิทยาศาสตร์  ปรอท (อังกฤษ: Mercury; ละติน: Hydragyrum) เป็นโลหะหนักสามารถหาปรอทได้จากหินที่ขุดพบในเหมือง โดยการนำหินนั้นมาทำให้ร้อนด้วยอุณหภูมิ 357 องศาเซลเซียส ปรอทเป็นสารที่มีความหนาแน่นสูง ถึงขั้นที่ก้อนตะกั่วหรือเหล็กสามารถลอยอยู่ได้ ถึงแม้ปรอทจะมีลักษณะคล้ายตะกั่วและเป็นของเหลว แต่ก็มีน้ำหนักมากกว่าตะกั่ว (มวลอะตอม 200.59) และถึงแม้ปรอทจะเป็นโลหะ แต่ก็ไม่ดึงดูดกับแม่เหล็ก เราสามารถนำปรอทมาใช้ในอุตสาหกรรมหลายๆ ประเภท ได้แก่ อุตสาหกรรมเครื่องวัดอุณหภูมิและความดัน การย้อมสี การผลิตเยื่อกระดาษ พลาสติก เภสัชภัณฑ์ อุปกรณ์ในการถ่ายรูป อุปกรณ์ไฟฟ้า สารฆ่าแมลงและยาฆ่าเชื้อ. นอกจากนี้ เนื่องจากว่าปรอทมีจุดเดือดไม่สูงนัก จึงได้มีการทดลองนำ เมอคิวริคออกไซด์ มาผลิดเป็นออกซิเจนบริสุทธิ์อีกด้วย
20  ห้องเวทย์วิทยาคมและสิ่งลี้ลับเหนือธรรมชาติ / เรื่องลึกลับเหนือธรรมชาติ(โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน) / Re: "ช้องหมูป่า"ของขลัง.. เมื่อ: 20 พฤศจิกายน 2554, 06:19:49
ขอบคุณพี่VS12 กับเรื่องราวลี้ลับของช้องหมูป่า

ว่าแต่สมัยนี้จะไปหาได้จากที่ไหนครับท่าน  

          แต่ผมขออนุญาตแสดงความเห็นว่า อย่าไปหาของอย่างนี้เลยครับน้องใหม่ แขวนพระญาท่านสวนก็สุดยอดแล้วครับ
          เรื่องช้องหมูป่าฟังไว้เป็นนิทานประดับความรู้ก็พอเพราะพ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่านสอนมาว่า 1.อย่าเอาของต่ำมาเป็นวัตถุมงคล 2.อย่าเอาชีวิตของผู้อื่นมาต่อชีวิตเรา
          ช้องหมูป่า คือ ขนเพชรหรือขนบริเวณอวัยวะเพศของหมูป่า ถือเป็นของต่ำ ไม่มีความเป็นมงคลเลย
ที่เป็นอาถรรพ์ป้องกันอาวุธได้ เพราะเดรัจฉานวิชาต่างหาก คิดดูนะครับ หมูที่บำเพ็ญศีลจึงจะมีตบะมีจิตอันแก่กล้า จึงมีความ
ประสงค์อยากจะให้ร่างกายมีเกราะกำบัง จึงนำเอา ขนเพชร ซึ่งเป็นขนที่แข็งที่สุดมาเสกให้ตัวเองมีหนังเป็นดั่งเกราะเพชร
         พรานหรือผู้คน เห็นว่าหมูมีของสิ่งนั้นแล้วยิงแทงไม่เข้า ก็ไปเสาะหามาเป็นของป้องกันตน โดยการจ้องฆ่าหมูในตอนที่กินอาหารหรือออกจากตบะ

สงสารชีวิตสัตว์มากกว่าที่ต้องมาสังเวยให้กับความอยากของมนุษย์(แต่ก่อนผมก็เป็นหนึ่งในนั้นที่อยากได้และเคยสั่งพรานที่กาญจนบุรีหามาให้ แต่ตอนนี้ทิ้งหายไปไหนแล้วไม่รู้)
ขอบคุณพี่ VS12 อีกครั้งนะครับที่นำเรื่องราวดีๆ มาเป็นอุทธาหรณ์ให้พี่น้องสมาชิกได้ทราบกัน
21  ห้องเวทย์วิทยาคมและสิ่งลี้ลับเหนือธรรมชาติ / เรื่องลึกลับเหนือธรรมชาติ(โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน) / พุทธานุภาพรักษาโรค เมื่อ: 17 พฤศจิกายน 2554, 23:09:58
เรื่องราวดังกล่าว มาจากประวัติบ้านบกน้อยและวัดบกน้อย คำเขื่อนแก้ว ยโสธร

หมู่บ้านบกน้อย เดิมชื่อว่า บ้านบกใหญ่ ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของหมู่บ้าน
ในขณะนั้นที่มีประชากรในหมู่บ้านมากจนได้แบ่งออกเป็น ๒ คุ้ม  คุ้มเหนือ และคุ้มใต้ โดยมีผู้ใหญ่จือ รวมธรรม
เป็นผู้นำคุ้มบ้านเหนือ ผู้ใหญ่มั่ง รวมธรรม เป็นผู้นำคุ้มบ้านใต้
              
       ? วัดป่าบ้านบกน้อย ? ในปัจจุบัน ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของหมู่บ้าน ในช่วงเวลานั้น ชาวบ้านต่างอยู่กันด้วยความสงบสุข
ตามวิถีชีวิตความเป็นอยู่อย่างเรียบง่าย ช่วยเหลือสิ่งกันและกันครั้งอยู่มาถึง พ.ศ. ๒๔๘๕ ชาวบ้านเกิดเจ็บป่วยด้วยอาการแปลกประหลาด
แต่ก็ยังถือว่าไม่มาก จวบจนมาถึงพ.ศ.๒๕๘๖ -๒๕๘๙ มีการป่วยกันมากขึ้น ถึงกับล้มตายกันเป็นจำนวนมาก คือวันหนึ่งตายกันหลายศพ
ซึ่งมีอาการแบบเดียวกัน จนหาคนจะนำศพไปประกอบพิธีตามประเพณีก็ยังไม่มี เพราะต่างคนก็มีอาการอย่างเดียวกัน
จนเกิดความเกรงกลัวต่อโรคภัย ที่เกิดขึ้น ยาที่จะนำมารักษาก็ไม่มี อาศัยก็แต่ยาสมุนไพรเท่านั้น โรคที่เกิดขึ้น
ชาวบ้านเรียกกันว่า โรคห่าลง (แต่ถ้าในปัจจุบันเรียกว่า โรคไข้มาเลเรีย)แต่ชาวบ้านในขณะนั้นเชื่อว่า เป็นพระผี
เป็นผู้ทำจึงได้ไปหาอาจารย์ที่เก่งกล้า มาทำพิธีรักษาหลายท่าน อาทิ พระครูศรีสุตาภรณ์ วัดคู่ขาด พ่อใหญ่แพทย์บัว
บ้านไผ่ ครูวิชิต บ้านลุมพุก มาทำการักษาก็ไม่ทุเลา
           ช่วงนั้นก็เป็นเวลาเดียวกันที่เกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒ ชาวบ้านบกใหญ่เกิดความทุกข์ยากมากขึ้น บางครอบครัวถึงกับ
อพยบหนีไปตั้งหลักแหล่งกันในที่อื่นเป็นจำนวนมาก โดยย้ายไปตามหมู่บ้านต่างๆ เช่นบ้านดงแคนใหญ่ บ้านนาแก บ้านปลาอีด
บ้านนาหลู่ บ้านโคก บ้านสวน บ้านหนองแคน บ้านหนองแปน เป็นต้น จึงทำให้ชาวบ้านบกใหญ่ มีญาติพี่น้องอยู่ทุกหมู่บ้าน
โรคห่าที่เกิดขึ้นก็ฆ่าชีวิตของชาวบ้านไม่เว้นแต่ละวัน จนท่านผู้ใหญ่จันทร์ รวมธรรม (ต่อมาได้เป็นกำนัน)
ได้ปรึกษาหาลือกับผู้หลักผู้ใหญ่ ผู้เฒ่า ผู้แก่ ว่าจะหาใครมารักษาโรคนี้ได้ เพราะมันเป็นโรคที่เกิดจากภูตผีปีศาจ
ต้องหาครูบาอาจารย์ที่เก่ง ๆ มาทำการรักษาและปราบผีร้ายนั้น ขณะนั้น จารย์ครูสิงห์ บกน้อย จึงพูดขึ้นในที่ประชุมว่า
พระอาจารย์ดี ฉนฺโน ท่านมีความสามารถในด้านนี้ ขณะนั้นท่านจำวัดอยู่ที่ วัดป่าสุนทราราม บ้านกุดแห่
ตำบลกุดเชียงหมี อำเภอเลิงนกทา จังหวัดอุบลราชธานี (ปัจจุบันเป็นจังหวัดยโสธร) ท่านเป็นศิษย์
ของพระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล ซึ่งถือว่าท่านเป็นพระเถระผู้มีความเมตตาสูง รูปหนึ่งในขณะนั้น
           ชาวบ้านที่มาประชุมกันในวันนั้นต่างเห็นพร้องต้องกันว่า ให้ส่งคนไปนิมนต์ท่านมาช่วยเหลือ จึงมีมติให้จารย์ครูสิงห์
บกน้อย คุณพ่อทอน ทำทอง รับหน้าที่ในการไปนิมนต์ โดยท่านทั้งสองได้ใช้ม้าเป็นพาหนะในการเดินทาง
ท่านทั้งสองก็เร่งออกเดินทางไปในทันที จนถึงวัดป่าสุนทราราม แต่ขณะนั้นพระอาจารย์ดีไม่อยู่ที่วัด
ท่านเดินทางไปทำกิจธุระที่ วัดภูเขาแก้ว พิบูลมังสาหาร ท่านทั้งสองจึงต้องพักรอท่านอาจารย์ ดี อยู่ที่นั่น
เป็นเวลา ๓ คืน ท่านอาจารย์ดีจึงเดินทางกลับมา
ท่านทั้งสองจึงได้กราบอาราธานานิมนต์และเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับชาวบ้านบกใหญ่
ท่านพระอาจารย์มีความเมตตารับคำนิมนต์ สร้างความยินดีแก่ท่านทั้งสองอย่างมาก
          พระอาจารย์ดีได้นิมนต์พระอาจารย์มาอีก ๒ รูป คือ พระอาจารย์อ่ำ และพระอาจารย์หนู
หลังจากที่เตรียมบริขารเรียบร้อยจึงออกเดินทางมายังบ้านบกน้อย ครั้งเมื่อพระอาจารย์ดีมาถึงหมู่บ้าน
ท่านได้ถามสารทุกข์สุขดิบของชาวบ้าน และถามถึงอาการว่าเป็นเช่นไร

           ท่านจึงได้ให้ญาติโยมหาที่พักปักกรดจึงได้ที่ใกล้ๆ หลักบ้าน (เจ้าปู่) พระอาจารย์ดีได้เริ่มนำชาวบ้านทำวัตร
รักษาศีล ฟังธรรม และร่วมกันเจริญพุทธมนต์ ทำอย่างนี้อยู่ทุกๆวัน จนชาวบ้านเริ่มมีอาการดีขึ้น เพราะมีสุขภาพจิตที่ดีขึ้นนั่นเอง
 
             ต่อมาท่านพระอาจารย์ได้เรียกชาวบ้านมาประชุมกัน ท่านจึงได้บอกกับชาวบ้านว่า ต้องย้ายหมู่บ้านออกจากที่เดิม
ให้ย้ายไปอยู่ทางทิศตะวันออกของหมู่บ้าน คือบริเวณดอนปู่ตา
ในขณะนั้นชาวบ้านจึงได้ย้ายบ้านเรือนไปปลูกสร้างใหม่ตามที่พระอาจารย์ดีบอก
แล้วพระอาจารย์ได้ตั้งตรงบริเวณดอนปู่ตานั้นตั้งเป็นวัด (วัดบกน้อยในปัจจุบัน) และจึงตั้งหลักบ้านใหม่ขึ้น
โรคร้ายก็ได้หายขาดจากชาวบ้าน จึงเกิดความผาสุกสงบเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
ดังนั้นวัดบกน้อยจึงมีธาตุของพระอาจารย์ ดี อยู่บริเวณกลางวัด
         รวบรวมและเรียบเรียง โดย พระมหาจิรศักดิ์ จิรปุญโญ
22  ชมรมสืบสานตำนานบูรพาจารย์สายสำเร็จลุน / หลวงปู่ญาถ่านตู๋ ธัมมสาโร / Re: หลวงปู่ญาท่าน(สำเร็จ)ตู๋ ปรมาจารย์ศิษย์แห่งสำเร็จลุน เทพเจ้าแห่งอำเภอตระการพืชผล เมื่อ: 17 พฤศจิกายน 2554, 21:30:53
หนึ่งในวัตถุมงคลของญาท่านตู๋  ธัมมสาโร  ผิดถูกประการใดท่านใดรู้ช่วยแนะนำด้วยครับ ไม่ทราบมีใครศึกษาและสะสมบ้างมั้ยครับ จะได้นำมาเทียบเคียงกัน

ผิดครับคุณโก้  ผิดอย่างใหญ่หลวงเลยครับ
ผิดที่คุณโก้มีองค์เดียวครับ ต้องหามาแบ่งให้ผมอีกคนละองค์ ถึงจะถูกต้องครับ 
23  ห้องเวทย์วิทยาคมและสิ่งลี้ลับเหนือธรรมชาติ / เรื่องลึกลับเหนือธรรมชาติ(โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน) / Re: เรื่องเล่าของเดียรัจฉานวิชา เมื่อ: 17 พฤศจิกายน 2554, 21:25:41
เจ้าเมืองขอนแก่นปล่อยช้างขับไล่
   ครั้งหนึ่ง พระอาจารย์ดี ได้นำพระเณรเดินธุดงค์ไปถึงบ้านกุดค้าว   ท่าพระ จังหวัดขอนแก่น ได้ไปพักอยู่ดอนปู่ตาอันมีกู่เก่าแก่อยู่ในดอนนั้นด้วย ชาวบ้านหวงแหนมาก ถือเป็นสถานศักดิ์สิทธิ์ จึงให้โยมมานิมนต์ให้หนีไปอยู่แห่งอื่น ท่านพระอาจารย์ดี ท่านถือในใจว่าท่านไม่ได้มาทำลายอะไรจึงไม่หนี ดังนั้นอัญญาเกษ นายอำเภอ  จึงเขียนหนังสือขู่ว่าจะมายิงให้ตาย ท่านพระอาจารย์ดี ตั้งปณิธานในใจว่า ?จะต้องชักนำคนพวกนี้ให้มานับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และตั้งวัดขึ้นที่นี่ให้ได้ ธรรมย่อมชนะอธรรม?
   ดังนั้นชาวบ้านจึงไปปรึกษาอัญญาเกษ นายอำเภอและพระยาบริหารราชอาณาเขตเจ้าเมือง แล้วนายอำเภอและคณะจึงเดินทางมาสอบสวน ท่านพระอาจารย์ดี บอกว่า ?อาตมามาอยู่ที่ว่างเปล่า ไม่มีผู้ใดเป็นเจ้าของและบ่ได้มาทำความเดือดร้อนให้กับใคร พวกผียิ่งจะดีใจที่ได้ฟังธรรมเทศนา เขาจะได้บุญไปผุดไปเกิด ดีกว่าคนที่ไม่ถือธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเห็นพระสงฆ์องค์เจ้าควรมารับศีลกินทาน ฟังเทศน์ฟังธรรม กลับจะพามาไล่หนี ถือเป็นอวิชชาคือความไม่รู้ ให้ท่านนายอำเภอไปบอกให้ชาวบ้านให้เข้าใจมาถือศีลถือธรรมดีกว่า? นายอำเภอคงจะโกรธกลับไป พอวันรุ่งขึ้นได้เห็นฝูงช้างไม่น้อยกว่า ๖ เชือก เข้ามาเต็มที่พักสงฆ์ดอนกู่เก่า ท่านจึงถามโยมที่มาว่า ?ช้างนี้เป็นของไผ? โยมตอบว่าเป็นของอัญญาเกษทั้งหมด เพื่อจะเอามาขับไล่พระให้ออกจากกู่นี้ ช้างตัวจ่าฝูงตัวใหญ่มากมีงายาวทั้งสองข้าง เดินหน้าเข้ามาพระเณรกลัวแตกกันไปคนละทิศคนละทาง ช้างจ่าฝูงท่าทางกราดเกรี้ยวตรงเข้าใส่ พระอาจารย์ดี ฉันโน หวังจะทำร้าย ท่านจึงยืนกำหนดจิตเป็นสมาธิสงบนิ่งหันหน้าไปทางฝูงช้าง ไม่นานนักช้างจ่าฝูงก็เข้ามาใกล้ แล้วเหตุอัศจรรย์ก็เกิดขึ้น!! คือแทนที่ช้างจ่าฝูงจะใช้งาอันแหลมยาวของมันแทงไปที่ตัวท่านพระอาจารย์ดี แต่กลับแทงงาของมันลงไปในดินตรงหน้าพระอาจารย์ดี จนมิดงา พอมันเงยหัวขึ้นงาทั้งสองข้างก็หักปักติดดินคาอยู่ตรงนั้น เปรียบเสมือนยอมศิโรราบถอดทิ้งเขี้ยวเล็บแล้ว อาการกราดเกรี้ยวของมันก็หายไป แล้วกลับหลังเดินจากไปอย่างสงบ และตัวอื่นๆ ก็หันหลังเดินตามกลับไป ข่าวอันอัศจรรย์นี้ก็แพร่ไปทั่วบ้านทั่วเมืองท่าพระ จังหวัดขอนแก่น และแล้วเย็นวันนั้น ชาวบ้านก็หลั่งไหลมาถามข่าวฟังเหตุการณ์และเกิดมีความศรัทธา ฟังธรรม ถือศีล เลิกนับถือผีต่อไป ส่วนท่าน อัญญาเกษ นายอำเภอและพระยาบริหารราชอาณาเขตเจ้าเมือง ก็ได้นำขันธ์ ๕ ดอกไม้ ธูป เทียน มากราบขอขมาโทษกับพระอาจารย์ดี และยอมรับเป็นโยมอุปการะพาชาวบ้านปลูกสร้างวัดขึ้นที่นั่น ท่านพระอาจารย์ดี   ฉันโน จึงอยู่จำพรรษาที่นั่น ๑ พรรษา หลังจากนั้นจึงออกเดินธุดงค์ต่อไปตามกิจของท่าน ส่วนงาช้างคู่นั้นน่าจะถูกเก็บรักษาไว้ที่วัดบ้านกุดค้าว ปัจจุบันอยู่ในตำบลเมืองเก่า จังหวัดขอนแก่น

(ตอนนี้ผู้อยู่ในเหตุการณ์หลวงปู่จันทา วัดป่าสุนทราราม บ้านกุดแห่ บันทึก)
24  ห้องเวทย์วิทยาคมและสิ่งลี้ลับเหนือธรรมชาติ / เรื่องลึกลับเหนือธรรมชาติ(โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน) / Re: เรื่องเล่าของเดียรัจฉานวิชา เมื่อ: 17 พฤศจิกายน 2554, 21:22:07
แสดงธรรมปราบมิจฉาทิฐิ
   
เมื่อท่านพระอาจารย์ดี ฉันโน สร้างวัดใดขึ้นแล้ว ก็ได้แบ่งพระเณรไว้จำพรรษาทุกแห่ง ส่วนตัวท่านก็ออกเดินธุดงค์ไปถึงบ้านยางคำ หนองเรือ จังหวัดขอนแก่น มีพระเณรติดตามไปด้วย ๘ รูป ได้เข้าไปขออาศัยในวัดบ้านยางคำ อำเภอหนองเรือ จังหวัดขอนแก่น
 ญาครูตาลบวชได้ ๑๕ พรรษา เป็นเจ้าวัดบ้านยางคำ ท่านเลี้ยงหมู เลี้ยงไก่ สานตะกร้า กระบุงในวัด เพื่อขายเอาเงินเป็นส่วนตัว เมื่อเห็นพระกรรมฐานมาขอปักกลด ก็ไม่ยอมให้พัก ไล่ให้ไปพักที่ป่าช้า แต่ท่านพระอาจารย์ดี ไม่ไป ขอพักที่ใต้ถุนวัดสักคืน ญาครูตาลเจ้าอาวาสก็ไม่ยอม พระอาจารย์ดี จึงไปปักกลดที่กลางลานวัด ส่วนพระเณรที่ไปท่านให้ปักที่ใต้ถุนกุฏิ
ขณะนั้นตรงกับเดือน ๗ ข้างขึ้น ตกกลางคืนเกิดฝนตกหนักมาก น้ำฝนไหลนองทั่วทั้งบริเวณวัด ญาครูตาลทนไม่ไหวจึงได้กางร่มลงมาดู ก็เห็นท่านพระอาจารย์ดี ทั้งกลดและเครื่องบริขารต่างๆ ไม่เปียกฝนแม้แต่หยดเดียว เห็นเป็นอัศจรรย์ใจยิ่งนัก จึงกราบนิมนต์ขึ้นพักบนศาลา ขอยอมถวายตัวเป็นศิษย์พระอาจารย์ดี คืนนั้นท่านได้เทศนาให้ญาครูตาลฟังตลอดคืนแล้วกล่าวสั่งสอนว่า ?แต่ก่อนผมก็บวชเป็นมหานิกายมาแล้วถึง ๑๓ พรรษา ได้ทำการค้าหนัง ทำเครื่องหนังขายเหมือนดังท่าน แต่ได้รับคำชี้แนะจากหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต เห็นว่ามันไม่ใช่กิจที่สงฆ์พึงกระทำ จึงได้กลับมามุ่งปฏิบัติวิปัสนากรรมฐาน แล้วจึงได้ญัตติเป็นธรรมยุติใหม่ ขอให้ท่านกลับตัวกลับใจมาปฏิบัติวิปัสนาเสีย? รุ่งเช้าชาวบ้านได้มาตักบาตรถวายอาหารมากมาย ญาครูตาล จึงเล่าเหตุการณ์ของท่านพระอาจารย์ดี ให้ญาติโยมฟัง และประกาศขอตั้งวัดยางคำ เป็นวัดธรรมยุติ ตั้งแต่นั้นมา และญาติโยมชาวบ้านก็ไม่ขัดข้อง
25  ห้องเวทย์วิทยาคมและสิ่งลี้ลับเหนือธรรมชาติ / เรื่องลึกลับเหนือธรรมชาติ(โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน) / Re: เรื่องเล่าของเดียรัจฉานวิชา เมื่อ: 17 พฤศจิกายน 2554, 21:18:47
ขออนุญาตแจมพี่ VS12 สักสามตอนนะครับ
พระอาจารย์ดี ฉันโน ปราบอวิชชาวัวธนู ครูหน้าน้อย
   
ท่านพระอาจารย์ดี ฉันโน เดินธุดงค์ไปพักอยู่บ้านเม็งใหญ่    อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น(ปัจจุบันเป็นตำบลบ้านเม็ง) เป็นหมู่บ้านที่ใหญ่มี ๔๐๐ กว่าหลังคา ท่านพักอยู่ที่นั่นนาน ๓ สัปดาห์ เพราะมีชาวบ้านมารับศีลกินทาน ฟังเทศน์ฟังธรรมจำศีลทุกคืนเป็นจำนวนมาก แม้จะมิใช่วันพระก็ตาม จนมีคนมิจฉาทิฐิอิจฉาริษยา คืนหนึ่งท่านกำลังนั่งเทศนาอยู่ก็มีของตกลงมาใส่หน้าตักท่านถึง ๓ ครั้ง ครั้งที่ ๑ หยิบขึ้นมาดู เป็นหัวว่าน ครั้งที่ ๒ หยิบขึ้นมาดูเป็นวัวธนูทอง(รูปปั้นวัว) ครั้งที่ ๓ หยิบขึ้นมาดูเป็นเหมกระดูกไก่ปลายแหลม ท่านก็รู้ทันทีว่ามีคนในหมู่บ้านนี้ลองวิชา แต่ก็ทำอะไรท่านไม่ได้ ถ้าหากท่านไม่เก่งกว่าจะถูกของดี ๓ อย่างนี้ทำอันตรายตายทันที ท่านจึงเก็บใส่ย่ามของท่านไว้ เมื่อญาติโยมจะพากันกลับบ้าน ท่านจึงบอกกำนันว่า ?อาตมาได้จับของดี ๓ อย่างได้ ให้เจ้าของมาเอาในมื้ออื่นเช้า หากไม่เข้าแสดงตัวอาตมาจะปล่อยกลับไป ดูซิว่าเขาจะเก่งแค่ไหน?
   รุ่งเช้าญาติโยมพาหลั่งไหลกันมาวัดมากมาย เพราะรู้ข่าวว่าพระอาจารย์ดีจับของดีได้ จึงอยากรู้หน้าตาเจ้าของ  พร้อมกับร่ำลือว่าท่านพระอาจารย์ดี มีวิชาแก่กล้าด้วย เมื่อท่านฉันอาหารเช้าเสร็จ กำนันก็ได้นำชายคนหนึ่งชื่อว่าเฒ่าพรหมจันทร์ ซึ่งเป็นเจ้าของวัวธนู ว่าน เหมกระดูกไก่แหลม นำขันธ์ ๕ พร้อมดอกไม้ธูปเทียนมากราบขอขมา ขอยอม เข็ดหลาบ ขอเป็นศิษย์และขอเป็นโยมอุปัฏฐากพระศาสนาตลอดไป ท่านจึงคืนของทั้งสามอย่างให้พร้อมทั้งเทศนาสั่งสอนใจความสรุปว่า ?อันวิชา คาถาอาคม วัวธนู ครูหน้าน้อย ฝังหุ่น ทอบหนัง บังฟัน อาตมายิ่งเชี่ยวชาญ แต่ไม่สอนใครเพราะมันไม่ดี มันเป็นเดียรัจฉานวิชา ทำให้เดือดร้อนต่อตนเองและผู้อื่น สู้ธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าไม่ได้ ต่อแต่นี้ไปให้ทุกคนเข้าวัด ฟังธรรม จำศีลตลอดไป? 
   
(ตอนนี้หลวงปู่จันทา วัดป่าสุนทราราม บ้านกุดแห่ ทำการบันทึก)
26  พระเครื่องและวัตถุมงคล / ร้านพระเครื่อง VIP (ชมรมเพื่อนอนุรักษ์พระแท้) / Re: สมาชิกท่านใดต้องการเปิดร้านพระเครื่องแจ้งไว้ได้ที่กระทู้นี้ครับ เมื่อ: 17 พฤศจิกายน 2554, 21:10:57
ขออนุญาตท่านเจ้าของเวปเปิดแจมด้วนคนครับ ร้าน "ปรมังสุขัง"
รอพบกับพระเครื่องของร้านเร็วๆนี้ครับ

27  ห้องพระ / พระคณาจารย์อริยสงฆ์รวมจังหวัดอุบลราชธานี,ศรีสะเกษ,ยโสธร,อำนาจเจริญและมุกดาหาร / Re: ใครแขวนพระอะไรบ้างครับ เมื่อ: 17 พฤศจิกายน 2554, 21:06:03
ขอบคุณพี่น้องสมาชิกทุกท่านนะครับ
      อยากลองแขวนเหรียญกงจักร หลวงปู่เครื่อง เหมือนคุณ deknoy จัง
จะมีใครใจดี แบ่งให้มาแขวนบ้างมั้ยครับ
28  ห้องพระ / พระคณาจารย์อริยสงฆ์รวมจังหวัดอุบลราชธานี,ศรีสะเกษ,ยโสธร,อำนาจเจริญและมุกดาหาร / Re: ใครแขวนพระอะไรบ้างครับ เมื่อ: 06 พฤศจิกายน 2554, 13:23:17
ชุดสุดท้ายที่แขวนอยู่ครับ ไว้ใส่ตอนกลับบ้าน ถอดจากกรอบ ถ่ายมาให้ชมกัน
องค์นี้ เอาไว้ใส่ไปเที่ยวทรายมูล ยโสธรครับ


องค์นี้ใส่ไปหาพรรคพวกที่อุบลฯครับ

29  ห้องพระ / พระคณาจารย์อริยสงฆ์รวมจังหวัดอุบลราชธานี,ศรีสะเกษ,ยโสธร,อำนาจเจริญและมุกดาหาร / Re: ใครแขวนพระอะไรบ้างครับ เมื่อ: 06 พฤศจิกายน 2554, 13:17:02
อันนี้ ชุดใส่รับแขกที่ระยองครับ
เริ่มด้วยปิดตาพิมพ์ใหญ่ หลังแบบ ตัดห้าเหลี่ยม ลป.แก้ว วัดเครือวัลย์

ปิดตาผังพลอย ลป.ทิม วัดละหารไร่

ขุนแผนใหญ่ ผงพรายกุมาร บล็อกสอง

ขุนแผนเล็ก ผงพรายกุมาร เนื้อดำ ลองพิมพ์

เหรียญ ปรกแปดรอบ

เหรียญผูกพัทธสีมา

เหรียญเสมา แปดรอบ องค์ปฐมฤกษ์เนื้อทองแดง โค้ดนะ

รูปหล่อ ปู่ทิม หนังสือใหญ่

เหรียญหยดน้ำ สมเด็จ ณ ศรีราชา

ปิดท้ายด้วย กริ่งบางหอย หลวงพ่อจาด
30  ห้องพระ / พระคณาจารย์อริยสงฆ์รวมจังหวัดอุบลราชธานี,ศรีสะเกษ,ยโสธร,อำนาจเจริญและมุกดาหาร / Re: ใครแขวนพระอะไรบ้างครับ เมื่อ: 06 พฤศจิกายน 2554, 12:55:59
ชุดออกรบครับ 5555
หลวงปู่ทวด ปี 05 หลังหนังสือใหญ่ น้าเป็นตำรวจไดัรับพระราชทาน ครั้งไปอารักขาที่พระตำหนักทักษิณฯ


องค์นี้ มเหศวร วัดพระศรีฯ ท่านรองผู้ว่าฯเมืองสุพรรณให้มา


องค์นี้ กรุถ้ำเสือ เล็กหน้าแก่ น้องชายเป็นนายช่างที่นั่น ให้เณรแอบมุดถ้ำไปเอามาครับ 5555
หน้า: 1 [2] 3 4 ... 10
Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.19 | SMF © 2006-2009, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!