?>
ชมรมอนุรักษ์พุทธศิลป์แห่งภาคอีสาน
The Buddhist Art Conservation Club Of Esan (North Eastern Part Of Thailand)
29 เมษายน 2567, 02:09:14 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  

กติกาในการ เช่า-แลกเปลี่ยนพระเครื่อง | พระเครื่องเมืองอุบลราชธานี | แจ้งปัญหาการใช้งาน
แจ้งเรื่องการยืนยันตัวตนสำหรับผู้ที่จะให้เช่าพระเครื่องฯ | วิธีสมัครสมาชิกเว็บ

  แสดงกระทู้
หน้า: [1] 2 3 ... 5
1  หมวดทั่วไป / ข่าวสารของทางชมรมฯและพูดคุยเรื่องทั่วไปสัพเพเหระ / Re: สมีคำ กรรมติดจรวด ชาตินี้ไม่ได้เกิด ไม่ต้องรอชาดหน้า เมื่อ: 26 กรกฎาคม 2556, 15:50:02
http://www.dooeii.com/เจาะข่าวเด่น(หลวงปู่พุทธะอิสระกับกรณีปัญหาเณรคำ)25กรกฎา.html
2  หมวดทั่วไป / ข่าวสารของทางชมรมฯและพูดคุยเรื่องทั่วไปสัพเพเหระ / Re: สมีคำ กรรมติดจรวด ชาตินี้ไม่ได้เกิด ไม่ต้องรอชาดหน้า เมื่อ: 26 กรกฎาคม 2556, 15:49:00
http://www.dooeii.com/เจาะข่าวเด่น(พิสูจน์ภาพถ่ายเณรคำกับน้องชาย)24กรกฎาคม25.html
3  หมวดทั่วไป / ข่าวสารของทางชมรมฯและพูดคุยเรื่องทั่วไปสัพเพเหระ / Re: ** ยังจำได้ไหม ** เมื่อ: 26 กรกฎาคม 2556, 15:41:56
คนมีเงินไม่ชอบทำบุญ  แต่ชอบซื้อบุญ
4  ห้องพระ / พระคณาจารย์อริยสงฆ์รวมจังหวัดอุบลราชธานี,ศรีสะเกษ,ยโสธร,อำนาจเจริญและมุกดาหาร / Re: ประวัติ หลวงพ่ออ้วน โสภโณ วัดบ้านโนนค้อ เมื่อ: 16 มกราคม 2556, 11:16:47
โดยความเห็นแล้วผมว่าไม่ใช่หลวงพ่ออ้วน 

1. โดยเฉพาะพิจารณาจากเค้าโครงรูปหน้าเมื่อเทียบกับเหรียญ รุ่นแรก  และรุ่นสอง  หน้าคนละคนเลย

ซึ่งรูปหน้ารุ่นสอง  นั้นถือว่าไกล้เคียงหน้าจริงมาก  ส่วนล็อคเก็ตนั้นถ่ายรูปมาโดยตรงยังไม่เหมือน รูปถ่ายเลย  ครับ

2.ยันต์ด้านหลัง  นั้น เป็นยันต์ห้าซึ่งเป็นที่นิยมมากในพระสายสำนักวัดบ้านยางขี้นก  อำเภอเขื่องใน  สมัย นั้น
5  หมวดทั่วไป / ข่าวสารของทางชมรมฯและพูดคุยเรื่องทั่วไปสัพเพเหระ / Re: หลวงปู่เรณคำ http://www.samyaek.com/board2/index.php?topic=6475.0 เมื่อ: 08 พฤศจิกายน 2555, 13:04:41
http://www.komchadluek.net/detail/20130726/164333/DSI%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%84%E0%B8%B3.html
6  หมวดทั่วไป / ข่าวสารของทางชมรมฯและพูดคุยเรื่องทั่วไปสัพเพเหระ / สมีคำ กรรมติดจรวด ชาตินี้ไม่ได้เกิด ไม่ต้องรอชาดหน้า เมื่อ: 08 พฤศจิกายน 2555, 13:02:06
http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/politics/politics/20130726/519573/%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B9%88-%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%88%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%AD.html
7  พระเครื่องและวัตถุมงคล / ให้เช่า-รับเช่า-แลกเปลี่ยนพระเครื่องและวัตถุมงคล / ขายถูก หลวงพ่ออ้วน วัดบ้านโนนค้อ รุ่นแรก 1600 เมื่อ: 16 ตุลาคม 2555, 08:58:41
ขายแล้ว
8  พระเครื่องและวัตถุมงคล / ให้เช่า-รับเช่า-แลกเปลี่ยนพระเครื่องและวัตถุมงคล / หลวงพ่ออ้วน วัดบ้านโนนค้อ เมื่อ: 08 ตุลาคม 2555, 15:31:32
ขายแล้ว
9  พระเครื่องและวัตถุมงคล / ให้เช่า-รับเช่า-แลกเปลี่ยนพระเครื่องและวัตถุมงคล / หลวงพ่ออ้วน วัดบ้านโนนค้อ เมื่อ: 02 ตุลาคม 2555, 09:46:50
ขายแล้ว
10  พระเครื่องและวัตถุมงคล / ให้เช่า-รับเช่า-แลกเปลี่ยนพระเครื่องและวัตถุมงคล / หลวงพ่อสังข์ สุริโย เมื่อ: 30 สิงหาคม 2555, 12:57:40
หลวงพ่อสังข์ สุริโย
11  ห้องพระ / พระคณาจารย์อริยสงฆ์รวมจังหวัดอุบลราชธานี,ศรีสะเกษ,ยโสธร,อำนาจเจริญและมุกดาหาร / ***ประวัติหลวงปู่เกลี้ยง เตชธัมโม*** เมื่อ: 16 สิงหาคม 2555, 15:32:52

      ประวัติหลวงปู่เกลี้ยง เตชธัมโม     วัดศรีธาตุ (โนนแกด) บ้านโนนแกด ตำบลทุ่ม อำเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ

     เดิมชื่อ เกลี้ยง คุณมานะ เกิดวันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๔๕๐  ณ บ้านก้านเหลือง ตำบลหมากเขียบ อำเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ
เป็นบุตรของนายบุญมี คุณมานะ และนางผิว คุณมานะ มีพี่น้องทั้งหมด ๗ คนด้านการศึกษา
     หลวงปู่เข้ารับการศึกษาชั้นประถมศึกษาในโรเรียนวัดบ้านโนนเกด  จนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ และเรียนต่อ ม.๓ จบในปี ๒๔๖๖ จึงออกมาช่วย  มารดาประกอบอาชีพ เพื่อช่วยเหลือครอบครัว ในปี พ.ศ.๒๔๖๗ ทางราชการ รับสมัครผู้ที่จบประถมปีที่ ๔ เข้าสมัครเป็นครูช่วยสอน หลวงปู่ไปสอบและสอบผ่านจึงได้มีโอกาสเป็นครูช่วยสอน ครั้งแรกที่โรงเรียนบ้านโนนแกด สอนได้สองเดือน ทางราชการให้ย้ายไปช่วยสอนที่โรงเรียนบ้านโพรง ตำบลไพรบึง อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ เป็นเวลา ๓ ปี ๖ เดือน

การศึกษาด้านธรรม
     ในขณะที่สอนหนังสืออยู่นั้น สุขภาพร่างกายของหลวงปู่ไม่ค่อยสู้ดีนักจึงขอลาออกมาเพื่อรักษาตัว เมื่อสุขภาพดีขึ้นแล้ว หลวงปู่จึงขอลาบวชสามเณรที่วัดบ้านโนนแกด ด้วยความยากเรียนต่อ กอปรกับได้เคยทำการสอนมาแล้วจึงมองเห็นความสำคัญของการศึกษา จึงขออนุญาตเจ้าอาวาสไปเรียนนักธรรมที่วัดบ้านดวนใหญ่ กิ่งอำเภอวังหิน (ในขณะนั้น) จังหวัดศรีสะเกษเรียนนักธรรมตรีที่สนามหลวง ซึ่งมีพระ สามเณร ไปสอบจำนวน ๔๗ รูปปรากฏว่า หลวงปู่เกลี้ยงและพระภิกษุสิงห์ สอบผ่านแค่ ๒ รูป เท่านั้นจากนั้นก็เรียนต่อนักธรรมโทที่จังหวัดบุรีรัมย์ ในขณะที่ศึกษานักธรรมโทอยู่นั้นทางราชการก็มีหมายเรียกให้เข้ารับการเกณฑ์ทหาร หลวงปู่จำเป็นต้องลาสิกขาด้านความรู้ความสามารถพิเศษ
     หลวงปู่ได้อาศัยความรู้เดิมประสบการณ์ที่เคยมีนาในขณะรับราชการทหาร เคยออกรบสงครามมหาเอเชียบูรพา ในการรักษาพยาบาล หลวงปู่ช่วยชาวบ้านรักษาพยาบาลด้วยสมุนไพร ผู้คนที่เจ็บป่วยก็หายป่วย จึงเป็นที่รู้จักกันทั่วไปจนเป็นที่เลื่อมใสศรัทธา

การอุปสมบท
     เมื่อพุทธศักราช ๒๕๑๘ หลวงปู่ได้อุปสมบท ณ วัดบ้านแทง ตำบลซำอำเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ โดยมีพระเกษตรศีลาจารย์ วัดเจียงอีศรีมงคลวราราม ตำบลเมืองใต้ อำเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ เป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๘ ขณะอายุ ๖๗ ปี  หลวงปู่ได้รับสมณศักดิ์ พระครูโกวิทพัฒโนดม พร้อมตาลปัตรพัดยศ เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๓๔ ถึงปัจจุบัน


12  ห้องพระ / พระคณาจารย์อริยสงฆ์รวมจังหวัดอุบลราชธานี,ศรีสะเกษ,ยโสธร,อำนาจเจริญและมุกดาหาร / หลวงปู่ห้วย พระญาณวิเศษ (จรัส เขมจารี) เมื่อ: 16 สิงหาคม 2555, 15:17:43
           พระญาณวิเศษ (จรัส เขมจารี)  เจ้าอาวาสวัดหลวงสุมังคลาราม อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ  และวัดประชารังสรรค์  อำเภอห้วยทับทัน จังหวัดศรีสะเกษ
           เป็นพระเถระรูปหนึ่งของจังหวัด ศรีสะเกษ ที่มีวัตรปฏิบัติเคร่งครัด ในพระธรรมวินัย ในสายของหลวงปู่ศรี (พระญาณวิเศษ) วัดหลวงสุมังคลารามและในสายของหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต พระครูวิจารย์สมถกิจ (จรัส เขมจารี)
          เกิดเมื่อวันที่ ๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๐ ที่บ้านเมืองจันทร์ บิดาชื่อนายมา มารดาชื่อนางผุย  นามสกุลเดิม ศรีสุข  เป็นไทยเชื้อสายกูยหรือส่วย มีอาชีพทำนา และมีพี่น้องร่วมบิดามารดา ๗ คน ได้รับการศึกษาเบื้องต้นที่โรงเรียนประชาบาลวัดบ้านเมืองจันทร์ เรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ ได้ออกมาช่วยบิดาในการทำไร่ ทำนา จนอายุได้ ๑๗ ปี จึงได้ออกบรรพชาเป็นสามเณรที่วัดบ้านเมืองจันทร์ อำเภออุทุมพรพิสัย  จังหวัดศรีสะเกษ
          พ.ศ. ๒๔๙๕ ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ พัทธสีมาวัดหลวงสุมังคลาราม อำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ โดยมีพระครูสิริสารคุณ (พระญาณวิเศษ)  หรือหลวงปู่ศรี เป็นพระอุปัชฌาย์  พระมหาธวัช วิมโล เป็นกรรมวาจาจารย์ พระมหาหน่วย ขนฺติโก  (พระศาสนดิลก)  เป็นพระอนุสาวนาจารย์ และได้ฉายาว่า  เขมจารีภิกขุ  หลังจากได้ศึกษานักธรรมและบาลีจากสำนักเรียนวัดหลวงสุมังคลาราม และได้ฝึกวัตรปฏิบัติกัมมัฏฐานกับหลวงปู่ศรีฯได้ระดับหนึ่งแล้วในปี พ.ศ.๒๔๙๕ ได้รับมอบหมายจากพระครูสิริสารคุณ (หลวงปู่ศรี ฐิตธมฺโม) เจ้าอาวาสวัดหลวงสุมังคลารามซึ่งเป็นอาจารย์ ให้ไปเผยแพร่ธรรม และสร้างวัดขึ้นในเขตพื้นที่อำเภออุทุมพรพิสัย เพื่อเป็นการขยายสาขาวัฒนธรรมยุตให้มากยิ่งขึ้น ประกอบกับในบริเวณเขตพื้นที่ดังกล่าวเป็นที่อยู่อาศัยของชาวกูยด้วย ในปี พ.ศ.๒๔๙๖ ชาวบ้านห้วยทับทันได้ร่วมกันสร้างกุฎิไม้ขึ้นถวายหลังหนึ่ง พอได้เป็นที่พักอาศัย (รื้อเมื่อ พ.ศ.๒๕๓๙) และในปีต่อมาได้สร้างศาลาไม้ใต้ถุนสูง ๑ หลัง เพื่อประกอบศาสนพิธีและให้ชาวบ้านได้มาทำบุญ ชาวบ้านเรียกว่า ศาลาบุญ มาจนทุกวันนี้ และเวลาเพียงไม่กี่ปีสำนักสงฆ์เล็กๆ ริมฝั่ง ห้วยทับทัน ซึ่งเดิมมีพื้นที่เพียง ๑๐ ไร่ ปัจจุบันพุทธศาสนิกชนได้ร่วมกันจัดซื้อที่ดินถวายเพิ่มเติมเป็น ๓๐ ไร่ และ ในปี พ.ศ.๒๕๑๓ สำนักสงฆ์แห่งนี้ ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาตั้งเป็นวัดชื่อ วัดประชารังสรรค์หมายถึง วัดที่ประชาชนร่วมกันสร้างวัดประชารังสรรค์ ได้รับการพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว ด้วยแรงศรัทธาที่มีต่อพระเดชพระคุณพระครูวิจารณ์สมถกิจ (จรัส เขมจารี) ในปี พ.ศ. ๒๕๒๐ ได้สร้างอุโบสถทรงไทยยกฐานสูง มูลค่าประมาณ ๑๐ ล้านบาท นอกจากนี้ญาติโยม พ่อค้าคหบดี ได้ร่วมกันสร้างกุฎิไม้สักทอง ทั้งเสาและพื้นปูด้วยหินอ่อนถวายอีกจำนวน ๕ หลัง เป็นสถาปัตยกรรมไทย ซึ่งหาดูไม่ได้ง่ายนักในภูมิภาคนี้ นอกจากนี้  ในปี พ.ศ.๒๕๓๔คณะศิษย์และพุทธศาสนิกชนยังร่วมกันสร้างศาลาการเปรียญหลังใหญ่ (ขนาดกว้าง ๒๐ เมตร ยาว ๕๔ เมตร) ทั้งเสาและพื้นปูด้วยหินอ่อน จั่วและหน้าบันทำเป็นลายปูนปั้นสวยงาม เมื่อเสร็จสมบูรณ์คงจะต้องใช้งบประมาณทั้งสิ้นประมาณ ๑๕-๒๐ ล้านบาท โดยมิได้ใช้งบประมาณของทางราชการแต่อย่างใด  พระครูวิจารณ์สมถกิจ ยังได้รวบรวมวัตถุปัจจัยที่ญาติโยมนำมาถวาย จดทะเบียนจัดตั้งเป็นมูลนิธิ ชื่อ มูลนิธิวัดประชารังสรรค์ จรัส เขมจารีนุสรณ์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำดอกผลมาพัฒนาปฏิสังขรณ์ สนับสนุนการศึกษาพระภิกษุ สามเณร ตลอดจนเด็กและเยาวชนผู้ด้อยโอกาสและยากไร้ นับว่า เป็นพระผู้มีสายตาที่ยาวไกลในการสร้างสรรค์ทรัพยากรมนุษย์ในท้องถิ่นห่างไกลและกันดาร นอกจากนี้ ยังรับเป็นธุระดำรงตำแหน่งประธานมูลนิธิ การศึกษาอำเภอห้วยทับทันอีกตำแหน่งหนึ่งด้วย    ส่วนงานบริหารองค์การคณะสงฆ์นั้น
     ในพ.ศ. ๒๕๒๕ ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะตำบลห้วยทับทัน (ฝ่ายธรรมยุต) และหลังจากพระเดช พระคุณ พระครูโสภิตธรรมภาณ (โส)  เจ้าอาวาสวัดประชานิมิต และเจ้าคณะอำเภออุทุมพรพิสัย-ห้วยทับทัน (ธ.) ได้มรณภาพเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๘ คณะสงฆ์  จังหวัดศรีสะเกษ  (ฝ่ายธรรมยุต) จึงได้เสนอพระเดชพระคุณ พระครูวิจารณ์สมถกิจ (จรัส เขมจารี) ให้ดำรงตำแหน่งแทน ปัจจุบันได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าคณะอำเภอธรรมยุต ๖ อำเภอ คือ เจ้าคณะอำเภออุทุมพรพิสัย ห้วยทับทัน เมืองจันทร์ โพธิ์ศรีสุวรรณ บึงบูรพ์ และอำเภอราษีไศล





13  ห้องพระ / พระคณาจารย์อริยสงฆ์รวมจังหวัดอุบลราชธานี,ศรีสะเกษ,ยโสธร,อำนาจเจริญและมุกดาหาร / Re: *** หลวงปู่สรวง ตำนานพระอริยะเจ้า แห่งทุ่งละลม จ.ศรีษะเกษ*** เมื่อ: 16 สิงหาคม 2555, 15:07:46
หลวงปู่สรวง  ตำนานพระอริยะเจ้า แห่งทุ่งละลม
14  ห้องพระ / พระคณาจารย์อริยสงฆ์รวมจังหวัดอุบลราชธานี,ศรีสะเกษ,ยโสธร,อำนาจเจริญและมุกดาหาร / *** หลวงปู่สรวง ตำนานพระอริยะเจ้า แห่งทุ่งละลม จ.ศรีษะเกษ*** เมื่อ: 16 สิงหาคม 2555, 15:05:11
                          หลวงปู่สรวงตำนานพระอริยะเจ้าแห่งทุ่งละลม จ.ศรีษะเกษ

เพื่อเป็นการเผยแผ่บารมีธรรมของหลวงปู่สรวง จึงขออนุญาตนำเรื่องนี้มาลงและขอขอบคุณ ทิพยจักร ผู้เขียน มา ณ โอกาสนี้

      เรื่องราวของหลวงปู่สรวงแห่งทุ่งละลมเป็นเรื่องราวที่เล่าขานมานานหลายต่อหลายชั่วอายุคน ว่ามีพระอริยะเจ้าองค์หนึ่งมีอายุยืนยาวหลายร้อยปี มีผู้พบเห็นมาตั้งแต่รุ่นทวด รุ่นปู่ย่าตายายจนกระทั่งรุ่นลูกรุ่นหลาน แต่ท่านก็ยังคงสภาพอยู่อย่างนั้นอย่างน่าอัศจรรย์ ทั้งยังมีปาฏิหาริย์สารพัด เป็นเรื่องเหนือโลก เหนือความคิด ความคาดหมายของปุถุชนธรรมดา โดยกล่าวกันว่าท่านเดินตากฝนไม่เปียก ดำน้ำได้เป็นชั่วโมงๆ ล่องหนหายตัว เดินย่นย่อระยะทาง รักษาโรคภัยไข้เจ็บให้หายได้อย่างน่าอัศจรรย์ และมีอีกหลายต่อหลายเรื่อง เรียกว่าเป็นเรื่องเล่าที่ไม่รู้จบ ล้วนมีแต่ความน่าอัศจรรย์พิศวงในตัวท่านทั้งนั้น
      ความเป็นมาจริงๆของเรื่องหลวงปู่สรวงนั้นไม่มีใครทราบประวัติท่านแน่ชัด เพราะท่านไม่เคยบอกใคร ใครถามท่านว่าท่านจำไม่ได้ เขาเรียกเราว่าสรวงก็สรวง คำพูดคำตอบของหลวงปู่สรวงนั้น ฟังดูแล้วหากพิจารณาดีๆท่านมีความมุ่งหมายให้ผู้ถามผู้ฟังทั้งหลายเลิกยึดตัวตน เข้าหาธรรมแท้ ความปล่อยวางเป็นหลัก อย่างไรก็ตามด้วยความเป็นปุถุชนคนธรรมดา ก็ยังอยากรู้เรื่องราวของท่านว่าท่านคือใคร แม้ไม่รู้ก้อยากรู้ปาฏิหาริย์ของท่านอยู่ดี ซึ่งแท้จริงไม่ใช่เรื่องหลุดพ้นแต่อย่างใด
      หลวงปู่สรวง ท่านเป็นสรณะที่พึ่งของชาวสุรินทร์ ชาวศรีษะเกศ และทั้งผู้ศรัทธาทั้งใกล้และไกล รวมๆแล้วก็น่าจะมีผู้นับถือท่านอยู่ทั่วประเทศ เพราะกิติศัพท์ของท่านนั้นเลื่องลือจริงๆ ไม่ว่าการให้โชคลาภ การโปรดผู้ยากให้พ้นจากความทุกข์ทั้งการกินอยู่ การเงิน ต่างๆ ผู้ที่ท่านโปรดล้วนได้รับความสุขกายสุขใจ เปรียบดังว่าได้ตายแล้วเกิดใหม่ มีชีวิตที่ดีกว่าเดิม ดังนั้นจึงมีผู้คนจำนวนมากต่างพยายามแสวงหาที่จะพบท่านให้ได้สักครั้งหนึ่งในชีวิตเพื่อเป็นบุญวาสนา บางท่านได้เจอแต่บางท่านก็ผิดหวัง แต่กระนั้นหากมีความเชื่อความศรัทธาอย่างแน่นแฟ้นว่า หลวงปู่สรวงท่านเป็นพระผู้วิเศษมีจิตเป็นทิพย์ท่านย่อมรู้เรื่องราวที่เราอธิษฐานถึงท่านด้วยความจริงใจ และมีหลายต่อหลายคนที่ได้ประสบปาฏิหาริย์จากการอธิษฐานถึงหลวงปู่สรวงโดยการอธิษฐานต่อหน้ารูปของท่านบ้างหรือแม้แต่พนมมือขอบารมีท่านก็ยังมี
ตัวผู้เขียนเองนั้นไม่เคยได้กราบหลวงปู่สรวง แต่ได้ยินเรื่องเล่าของท่านจากหลวงปู่ครูบาอาจารย์ที่เคยได้ติดตามท่าน อย่างหลวงพ่อสร้อย วัดเลียบราษฏ์บำรุง ท่านเล่าว่าท่านเองพบเห็นหลวงปู่สรวงมาแต่เล็ก หลวงปู่สรวงท่านปักผ้าขาวไว้ที่ไหน ชาวเขมรอพยบที่หนีภัยสงครามจะมารวมกันอยู่บริเวณเพราะรู้กันว่าจุดที่หลวงปู่ปักผ้าขาวไว้ ลูกระเบิดไม่เคยตกลงมาสักครั้ง เพราะบารมีหลวงปู่คุ้มครอง ยามที่ชาวบ้านที่หนีตายจากภัยสงครามอดอยากหิวโหย ด้วยขาดแคลนอาหารการกินนั้นหลวงปู่สรวงท่านจะมีหม้อข้าวเล็กนำมาหุงจากนั้นก็ตักข้าวให้กับผู้ลี้ภัยสงครามทุกคน ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อหม้อเล็กๆที่เด็กใช้เล่นกันนั้นกลับสามารถมีข้าวเพียงพอแก่ความต้องการทุกคนอย่างน่าอัศจรรย์
สมัยเด็กหลวงพ่อสร้อยหรือเด็กชายสร้อยสมัยนั้น เคยถูกชวนจากหลวงปู่ให้เดินจากศรีษะเกศไปจังหวัดจันทบุรี ด้วยว่ามีคหบดีท่านหนึ่งจากจันทบุรีนิมนต์ท่านให้ไปฉันเพลที่บ้าน หลวงปู่ตอบตกลงพอถึงวันนัด หลวงปู่ปลุกเด็กชายสร้อยแต่เช้าตรู่ตอนตีสี่ จากนั้นทั้งหลวงปู่สรวงกับเด็กชายสร้อยต่างก็ตั้งหน้าตั้งตาเดินไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีจุดมุ่งหมาย เวลาผ่านไปหลายชั่วโมง แสงแดดก็เริ่มแรงกล้าขึ้นทุกขณะ เด็กชายสร้อยก็เริ่มหมดแรงเพราะเดินมานานหลายชั่วโมง และไม่มีทีท่าว่าจะถึงสถานที่นัดหมายของเจ้าภาพนั้นได้ มันจะเป็นไปได้อย่างไรด้วยการเดินเท้าเปล่าจากศรีษะเกษไปจันทบุรี ที่สุดเมื่อเด็กชายสร้อยรู้สึกเหนื่อยจนใจจะขาดแล้วนั้น ก็เอ่ยปากถามหลวงปู่สรวงขึ้นว่า หลวงปู่มันจะถึงหรือเนี่ย หลวงปู่สรวงตอบว่าเดินตัดทุ่งนาที่เห็นนี่ก็ถึงบ้านเจ้าภาพแล้ว เด็กชายสร้อยคิดว่าหลวงปู่พูดหลอกตน เพราะมันไม่น่าเป็นไปได้อย่างแน่นอน มันจะเป็นไปได้อย่างไรเล่ากับการเดินด้วยเท้าเปล่า แต่เด็กชายสร้อยก็อดทนเดินตามหลวงปู่ไป เมื่อพ้นจากเขตทุ่งนาเด็กชายสร้อยก็เข้าไปถามคนละแวกนั้นว่าที่นี่ที่ไหน คำตอบที่ได้คือ เขตจังหวัดจันทบุรี คำตอบที่ออกมาจากปากคนแถวนั้นเป็นสิ่งที่เด็กชายสร้อยแทบไม่เชื่อ แต่ก็เป็นไปแล้ว พักเดียวหลวงปู่สรวงก็พาเด็กชายสร้อยขึ้นไปบนบ้านเจ้าภาพ ทันเวลาฉันเพลพอดี
เรื่องอัศจรรย์เช่นนี้มีอีกมาก หลวงพ่อสร้อยเคยเล่าว่าบางครั้งท่านนั่งรถตู้จากกรุงเทพไปทุ่งละลมเพื่อกราบหลวงปู่สรวง พอรถวิ่งเข้าเขตทุ่งละลมบางครั้งเห็นหลวงปู่สรวงท่านเดินดุ่มๆอยู่ข้างหน้าไม่ไกลนักท่านก็บอกคนขับรถว่าให้ขับแซงหน้าหลวงปู่ขึ้นไปจะได้รับหลวงปู่ขึ้นรถ คนขับก็เหยียบเกียร์เร่งหมายให้ทันหลวงปู่สรวงที่เดินอยู่ข้างหน้าไม่ไกลนัก แต่แปลกอะไรเช่นนั้นรถเร่งความเร็วเท่าไหร่ระยะห่างระหว่างหลวงปู่กับรถยังเท่าเดิม และทุกคนก็เห็นว่าหลวงปู่ท่านเดินเนิบๆอย่างมที่ท่านเคยเดินและหลวงปู่เองก็ชราแล้วไม่ได้เดินเร็วสักหน่อยแล้วทำไมรถถึงตามไม่ทัน เมื่อหลวงพ่อสร้อยฉุกคิดได้ ท่านจึงบอกให้รถหยุด จากนั้นท่านจึงเดินลงไปตามหลวงปู่สรวง ก็เดินทันนับเป็นเรื่องอัศจรรย์เกี่ยวกับการเดินหนย่นระยะทางที่หลวงปู่สรวงท่านแสดงให้เห็นเป็นประจักษ์  พวกเราชาวภาคกลางคนกรุงเทพเรียกท่านว่าหลวงปู่สรวง แต่สำหรับคนศรีษะเกษจะเรียกท่านว่าลูกตาเบ๊าะ หรือลูกตาเอ็อว แปลว่าพระดาบส แม้ว่าหลวงปู่สรวงจะสิ้นไปแล้วแต่ท่านก้ยังอยู่ในความทรงจำและเป้นอีกตำนานของพระผู้วิเศษแห่งภูตะแบง

      หลวงปู่สรวง (ลูกตาเบ๊าะ) ผู้วิเศษแห่งภูตะแบง
      ผู้เขียนเองเคยได้ยินคำร่ำลือมาแต่เด็กว่าตามตะเข็บชายแดนไทยกัมพูชานั้นเต็มไปด้วยป่าดิบ มีอันตายทั้งจากกับดักระเบิด สัตว์ร้าย โรคภัยไข้เจ็บ ภูตผีปีศาจ แต่กระนั้นก็เต็มไปด้วยผู้มีวิชาอาคม พระผู้วิเศษ ฤาษีชีไพร ที่หลีกเร้นซ่อนกายบำเพ็ญตบะณานอันแรงกล้า พระผู้วิเศษ และฤาษีชีไพร โยคีที่กล่าวถึงเหล่านั้น หลายท่านมีอายุเกินกว่าร้อยปีขึ้นไปทั้งนั้น
อำนาจจิตจากการบำเพ็ญตบะณาน ประกอบด้วยอิทธิบาทสี่ ทำให้ฤาษีโยคีและพระผู้วิเศษทั้งหลายสามารถชนะกาลเวลา รักษาสังขาร มีอายุยืนนานนับร้อยนับพันปี หลวงปู่แหวน สุจินโณ แห่งวัดดอยแม่ปั๋ง จ.เชียงใหม่ ศิษย์สำคัญของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต เล่าวว่าสมัยที่ท่านเดินธุดงค์ไปยังภูเขาควายและป่าลึกแถบจำปาศักดิ์นั้นท่านเคยพบโยคีบางตนมีอายุหลายร้อยปีนั่งนิ่งจิตดิ่งอยู่ในฌานสมาบัติ มีต้นโพธิ์ต้นไทรขึ้นโอบ บางตนก็มีจอมปลวกขึ้นหุ้มตัว บางตนเล่าก็มีหินงอกหินย้อยขึ้นตามร่างกายหุ้มไว้กลายเป็นหิน ท่านว่ามหาโยคีฤาษีเหล่านี้ไม่ตายนะ แต่จิตอยู่ในฌานบางตนถอดจิตไปชั้นพรหมโลก ที่เป็นฤาษีโพธิสัตว์ก็มี ท่านเหล่านี้มีฤทธิ์มากแม้ต้องการออกโปรดสัตว์ก็ใช้อำนาจจิตสลายสิ่งห่อหุ้มร่างกายออกเป็นจุลมหาจุล เที่ยวออกโปรดสัตว์ได้ตามสบาย ท่านเหล่านี้หลวงปู่แหวนกล่าวว่าแม้ได้ฟังธรรมจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็จะบรรลุไม่ตกต่ำ
       เรื่องที่หลวงปู่แหวนเล่านั้นดุจดั่งนิทานปรำปะรา แต่สำหรับชาวชนบทห่างไกล อย่างเมืองสุรินทร์ ศรีษะเกษนั้น ชาวบ้านแถบนั้นกลับมีพระผู้วิเศษที่มีวัตรปฏิปทาดุจดั่งมหาฤาษีโยคีที่หลวงปู่แหวนเคยเล่าไว้ไม่มีผิดนั่นคือ หลวงปู่สรวง ผู้วิเศษแห่งภูตะแบงนั้นเอง
ด้วยว่าวัตรปฏิบัติและความเป็นมาของหลวงปู่สรวงนั้นลี้ลับ ไม่มีใครรู้ว่าแท้จริงท่านคือใคร บางคนร่ำลือว่าท่านเป็นพระเจ้าชัยวรมันพระองค์หนึ่ง บ้างก็ว่าสันณิฐานไปต่างๆนาๆ บางคนเชื่อว่าท่านคือขรัวขี้เถ้าหนึ่งในคณะโลกอุดรที่ร่ำลือกัน แต่ที่แน่ๆคือหลวงปู่สรวงนั้นมีอายุยืนยาวมาหลายร้อยปีแล้ว เห็นกันมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายยาย มีอายุเฉลี่ยอย่างต่ำก็ไม่น้อยกว่า ๒๗๕ ปีอย่างแน่นอน ทั้งยังมีฤทธิ์ปาฏิหาริย์เป็นที่อัศจรรย์อีกด้วย เช่นหุงข้าวหม้อเล็กนิดเดียวแต่แจกจ่ายเท่าไหร่ก็ไม่หมด สามารถเดินหนย่นระยะทางได้ มีความสามารถแบบผู้ทรงอภิญญาสมาบัติอย่างน่าอัศจรรย์ รู้เห็นมิติต่างๆ เข้าออกดินแดนลี้ลับไปมาอย่างอัศจรรย์ยิ่ง
ในอดีตที่ผ่านมาเคยมีทั้งพระและฆราวาสที่ได้ร่วมเดินทางเข้าสู่ดินแดนลี้ลับแห่งเขมรและเป็นประจักษ์พยานถึงสิ่งลี้ลับในโลกที่ซ่อนเร้นสายตามนุษย์ปุถุชนทั้งหลาย เช่นดินแดนที่มีทองคำและเพชรพลอยงอกออกมาจากดินอยู่ตามลำธารอย่างเป็นธรรมชาติ เมื่อลองเอามือไปหยิบจับดู ทองคำที่งอกออกจากดินนั้นก็อ่อนนิ่มคล้ายเทียนโดนไฟลน แต่กลับไม่สามารถดึงให้ขาดออกมาได้ เป็นเรื่องน่าแปลกอย่างยิ่ง
       หลวงปู่สรวงจะบอกกับคณะที่ติดตามท่านไปนั้นว่ามันเป็นของเขา เพียงคำเดียวเท่านี้ ซึ่งหมายความว่าไม่ใช่ของๆเรา คำว่าของเขา อาจหมายถึงมันเป็นของธรรมชาติ เป็นสมบัติแผ่นดิน เป็นของผู้มีบุญญาธิการเท่านั้น ดังนั้นผู้ที่ไปกับท่านจึงได้แต่ดู และเก็บเรื่องราวเหล่านี้ไว้ในความทรงจำเท่านั้น ถือว่าเพียงเท่านี้ก็เป็นบุญวาสนาของชีวิตที่ได้เห็นของจริง ว่าในโลกนี้ยังมีสิ่งที่เราไม่รู้ไม่เห็นอีกมากมายนัก
ในชั่วระยะเวลาที่หลวงปู่สรวงได้โปรดลูกหลานทั้งหลายนั้น ท่านได้แสดงตัวอย่างของผู้ละโลก พร้อมทั้งแสดงความจริงในศักยภาพของจิตอันเป็นไปตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระศาสดาได้เป็นอย่างดีที่สุด แม้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาหลวงปู่จะพูดน้อยที่สุด แต่การกระทำของท่านนั้นยิ่งกว่าคำพูดเป็นหมื่นเป็นแสนคำ
หลวงปู่สรวง พระผู้พ้นไปจากโลกและความนึกคิดของปุถุชน ผู้มีจิตเมตตาไม่มีประมาณ และเป็นแสงสว่างให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย ผู้เป็นที่พึ่งให้กับผู้ที่ยังเวียนว่ายในสังสารวัฏฏ์ ผู้เขียนเชื่ออย่างยิ่งว่าพระผู้พ้นโลกย่อมเป็นผู้ที่มัจจุราชไม่เห็นตัว มัจจุราชย่อมไม่อาจทำอันตรายแก่ผู้พ้นโลกไปแล้วได้ฉันใด หลวงปู่สรวงย่อมเป็นพระผู้อยู่เหนือสมมุติทางโลกรวมทั้งความตายด้วยฉันนั้น

      หลวงปู่สรวงเพ่งกสิณไฟ
      ครั้งที่แล้วได้เล่าเรื่องประสบการณ์ของพระอาจารย์สร้อย วัดเลียบราษฏ์บำรุง เขตบางซื่อ ซึ่งถือเป็นท่านหนึ่งที่มีโอกาสได้ใกล้ชิดและสัมผัสปาฏิหาริย์จากหลวงปู่สรวง แต่เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่งที่ว่าในปัจจุบันท่านได้มรณภาพไปแล้ว
ตอนที่ผู้เขียนไปกราบหลวงพ่อสร้อยสมัยก่อนนั้น ไปแต่ละครั้งก็จะได้ยินที่น่าอัศจรรย์ เกี่ยวกับหลวงพ่อสร้อยบ่างหลวงปู่สรวงบ้าง โดยเฉพาะเรื่องของหลวงปู่สรวงนั้นแทบจะได้ฟังเรื่องราวไม่ซ้ำกันเลย เรื่องหนึ่งที่ยังจำได้เล่าว่าศิษย์ติดตามหลวงพ่อสร้อยท่านหนึ่งเป็นโรคหอบหืด เมื่ออาการกำเริบจะทรมานมาก ครั้งหนึ่งขณะที่ติดตามหลวงปู่สรวง หลวงปู่ท่านปัสสาวะเป็นยาให้ดื่ม ท่านนี้มีศรัทธาเชื่อมั่นจึงดื่มน้ำปัสสาวะของหลวงปู่สรวงนั่นแหละ ไม่น่าเชื่อเพราะตั้งแต่ดื่มน้ำปัสสาวะของหลวงปู่เข้าแล้ว อาการของโรคหอบหืดก็ไม่เคยกำเริบขึ้นอีกเลย
      เรื่องราวของหลวงปู่สรวงนั้นผู้เขียนได้ศึกษาดูแล้ว เหมือนๆกับเรื่องราวของผู้วิเศษในอดีตหลายๆท่านมารวมกัน ความยืนยาวของอายุหลวงปู่สรวง เหมือนเรื่องของเซียนเจียงกั๊วเล่าผู้มีอายุหลายยุคหลายสมัย ในโป๊ยเซียนไม่มีผิด ยาวิเศษของหลวงปู่สรวงนั้นท่านมักเอาขี้เล็บขี้ตาของท่านทำน้ำมนต์ ก็เหมือนกับอรหันต์จี้กงที่ปั้นขี้ไคลเป็นยา หลวงปู่สรวงได้อะไรเผาทิ้ง มักก่อกองไฟเสมอๆ เหมือนกับหลวงพ่อโอภาสี และหลวงปู่กบวัดเขาสาลิกา ที่เผาทุกอย่างที่มีคนนำมาถวาย
หลวงปู่สรวงท่านมีวัตรปฏิบัติแบบไม่ยึดติดกับสิ่งใดทั้งสิ้นการนุ่งห่มผ้าก็นุ่งแบบขอไปที บางครั้งนุ่งขาว บางนุ่งผ้าลาย บางครั้งนุ่งห่มเรียบร้อย แล้วแต่ ท่านอยากฉันตอนไหนก็ฉันไม่มีเวลา อยากไปไหนก็ไปไม่สนใจใคร เรื่องราวของท่านแม้เรียบง่ายที่สุดแต่ก็อัศจรรย์ที่สุด วัตรปฏิบัติของท่านเป็นพรหมจรรย์ ความเป็นอยู่ของท่านก็ประดุจพระพรหมโดยแท้
ความเป็นอยู่แม้จะธรรมดาแต่กลับมากด้วยปาฏิหาริย์ แม้กระทั่งเมื่อท่านละสังขารเข้าสู่นิพพาน ปาฏิหาริย์แห่งท่านก็ยังเล่าขานและปรากฏเป็นอัศจรรย์อย่างยิ่ง
        ท่านเป็นพระที่ไม่มีวัดอยู่แต่กลับอยู่ได้ทั่วทั้งจักรวาล ซึ่งประโยคเด็ดนี้มาจากที่ครั้งหนึ่งเคยมีคนถามท่านว่าท่านอยู่วัดไหน หลวงปู่สรวงตอบไปว่า ไม่มีวัดอยู่แต่เดินท่องทั่วทั้งจักรวาล ซึ่งหมายความว่าท่านไม่ติดในถิ่นที่อยู่ ไม่มีความเป็นของเขาของใคร มีอิสระเหนือทุกสิ่ง ทุกที่ที่ย่ำไปก็เป็นที่ของท่านโดยธรรม ในสิ่งที่ท่านไม่ยึดไม่ติด ไม่สนใจใคร แต่ในขณะเดียวกันกลับมีผู้ติดตามท่านมากมาย ปรารถนาอยากเป็นศิษย์ อยากเห็นอยากพบอยากกราบไหว้ สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ก็เป็นไปด้วยอำนาจธรรมเหนือโลก เหนือสมมุติ ที่เมื่อไม่ยึดติดสิ่งใดไม่ปรารถนาสิ่งใด ทุกๆสิ่งกลับเป็นของเราโดยปริยาย
      ชีวิตปฏิปทาของหลวงปู่ตราบเท่าที่แสดงให้เราเห็นนั้น นับเป็นสิ่งที่มีคุณค่าสูงสุดมากกว่าคำเทศน์เป็นร้อยเป็นพัน หลวงปู่แสดงให้เราเห็นจริง หากผู้ศรัทธาได้นำเอาท่านเป็นแบบอย่างแม้ไม่ทั้งหมดเพียงบางเสี้ยวบางส่วนเท่านั้นก็นับว่าก่อให้เกิดความจรรโลงใจ เบาใจ น้อมไปทางนิพพิทาญาณได้เป็นอย่างดี

15  พระเครื่องและวัตถุมงคล / ให้เช่า-รับเช่า-แลกเปลี่ยนพระเครื่องและวัตถุมงคล / หลวงปู่จันทร์ วัดสระบัว (บ้านกอก) รุ่นแรก เมื่อ: 16 สิงหาคม 2555, 09:26:52
หลวงปู่จันทร์  วัดสระบัว (บ้านกอก) รุ่นแรก
หน้า: [1] 2 3 ... 5
Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.19 | SMF © 2006-2009, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!