แสดงกระทู้
|
หน้า: [1] 2 3 ... 74
|
5
|
ห้องพระ / พระคณาจารย์อริยสงฆ์ทั่วประเทศ / Re: พระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิศิษฏ์ ( หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี )
|
เมื่อ: 10 กันยายน 2568, 11:58:58
|
#นิพพาน "...มรรคผลนิพพานไม่ใช่อื่นไกล คือผู้มาชำระใจของตนให้บริสุทธิ์ด้วยปัญญาอันชอบแล้ว มองเห็นโลกตามสภาพความเป็นจริงด้วยปัญญาอันชอบนั้น แล้วไม่เข้าไปยึดถือในโลกทั้งปวง จะเรียกว่ามรรคผลนิพพาน หรืออะไรก็ตาม คนต่างหากเสื่อมสูญจากมรรคผลนิพพาน ก็เท่านั้น เพราะไม่ปฏิบัติให้เข้าถึงตรงนั้น พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ก็ไม่ได้เอามรรคผลนิพพานมาจากที่อื่น ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้เอามาจากที่อื่นเลย สัพพัญญุตญาณมารู้ของจริงก็ของในโลกนี้ทั้งนั้น รู้ด้วยพระองค์เองจึงเรียกว่าสัพพัญญุตญาณ..." คติธรรมคำสอน หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี วัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
|
|
|
9
|
ห้องพระ / พระคณาจารย์อริยสงฆ์ทั่วประเทศ / Re: พระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิศิษฏ์ ( หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี )
|
เมื่อ: 06 กันยายน 2568, 06:50:26
|
#ทำดีได้ดี เราทำดีแล้วความดีของเราย่อมไม่หนีไปไหน เราเป็นตัวของเองอยู่ดีๆ นั่นแหละ คนอื่นให้ก็เป็นการส่งเสริมความดีอย่างหนึ่ง เขาไม่ให้ ความดีนั้นก็เป็นเราอยู่ดีๆ นั่นเอง ถ้าพิจารณาได้อย่างนี้ ก็จะเป็นความดีของเราขึ้นอีกขั้นหนึ่ง ถ้าไปคิดว่า เราทำดีแล้วเขาไม่ให้ความดีแก่เรา เลยโกรธ คิดน้อยใจ เกิดอิจฉาริษยาอาฆาตพยาบาทแก่เขา เลยสร้างกิเลสขึ้นมาใหญ่โต กิเลสสร้างกิเลสขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง แทนที่จะชำระ เลยสะสมให้พอกพูนขึ้นมา กิเลสคือความเศร้าหมองของใจ
เราเห็นง่าย ความเศร้าหมองที่เห็นง่ายๆ คือ ความโกรธ กลุ้มใจ ทำให้มืดมิดปิดไม่ให้เห็นความดีของตนและคนอื่น เขาจะดีสักเท่าไหร่ก็ไม่ยอมเห็น ไม่ยอมรู้ อันนั้นกิเลสปกปิดไว้ คือ ปิดใจของเรา หุ้มห่อใจของเรา ปัญญาของเรา ไม่ให้เห็นเรื่องความดีของคนอื่นและสิ่งอื่น จากพระธรรมเทศนาเรื่อง กิเลส โดยหลวงปู่เทสก์ เทสรํสี วันที่ 17 กุมภาพันธุ์ 2520 ณ วัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
|
|
|
11
|
ห้องพระ / พระคณาจารย์อริยสงฆ์ทั่วประเทศ / Re: พระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิศิษฏ์ ( หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี )
|
เมื่อ: 04 กันยายน 2568, 06:15:06
|
.... อยู่ด้วยกันมากๆ หลายผู้หลายคน ถ้าหากว่าอยู่ด้วยความสงบ มันก็เย็น อยู่ด้วยความไม่สงบ ตาก็เป็นไฟ หูก็เป็นไฟ จมูก ลิ้น กาย และใจก็เป็นไฟ เป็นไฟด้วยกันทั้งหมด ไฟไหม้เจ้าของแล้วจึงค่อยไหม้คนอื่น เพราะเหตุว่าไฟไหม้ไม้แห้งหมดแล้วนั่นแหละ มันจึงค่อยลุกลามไปไหม้ไม้สด ฉันใดก็ฉันนั้น มันต้องไหม้ตัวเราเสียก่อน ให้เห็นโทษของมัน ถ้าหากไม่เห็นโทษ มันก็ไม่มีเวลาสงบได้ ในใจของเรามันมุ่งพุ่งเห็นโทษคนอื่น ไม่เห็นโทษตัวเอง ก็เลยเป็นไฟเผาผลาญซึ่งกันและกัน อย่างที่ท่านว่า ตาเป็นไฟ ถ้าหากว่าเห็นโทษเกิดขึ้นที่ใจของเราแล้วว่า ไฟมันเกิดในที่นี้ของใครของมัน คนอื่นก็ของคนอื่น ก็หมดเรื่องกันระงับตัวเองแล้วก็แล้วกัน พระพุทธเจ้าทรงเทศนาว่า ราคัคฺคินา โทสัคฺคินา โมหัคฺคินา ความหมายว่า ราคะ โทสะ โมหะ เป็นไฟ ราคะ โมหะ โทสะ เกิดขึ้นก็ร้อนตั้งแต่ทีแรกนั่น ที่ตัวของเราเกิดความร้อนขึ้นแล้ว มันค่อยลุกลามไปหาคนอื่น ให้เห็นใจของตนทุกๆ คน เพ่งพิจารณาตัวของเรา ที่มันเกิดวับแวบขึ้นมาครั้งแรกนั้น มันเกิดราคะ มันเกิดโทสะ มันเกิดโมหะ ขึ้นมาตั้งแต่ทีแรก ให้ระงับเสียในเบื้องต้น ถ้าต่างคนต่างระงับ อยู่มากคนก็เป็นสุข กี่ร้อยกี่พันคนก็เป็นสุข ถ้าหากไม่ระงับ อยู่คนเดียวก็เป็นทุกข์ ไม่ต้องหาเพื่อนถึงสองคนละ ของทั้งหลายเหล่านี้มันเป็นของร้อน เผาตัวของเราอยู่ทั้งกลางวันและกลางคืน แต่ไม่ยอมสละปล่อยทุกข์หรอก เรียกว่าตกนรกทั้งกลางวันและกลางคืน เพราะไม่เห็น ถ้าเห็นเช่นนี้แล้ว พึงปล่อยวางเสีย เอานรกนั่นมาเปลี่ยนแปลงให้เป็นสวรรค์ เมื่อเกิดราคะขึ้น สิ่งที่มันเกิดขึ้นก็ให้รู้จักรู้เรื่องของมัน จะระงับดับมันไป โทสะเกิดขึ้น ก็พิจารณาเหตุผลของมัน จนระงับดับไป โมหะเกิดขึ้นก็ให้ระงับ ให้พิจารณาเหตุผล แล้วก็ระงับดับไป โอวาทธรรม "หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี" วัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
|
|
|
15
|
ห้องพระ / พระคณาจารย์อริยสงฆ์ทั่วประเทศ / Re: พระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิศิษฏ์ ( หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี )
|
เมื่อ: 30 สิงหาคม 2568, 05:56:13
|
เมื่อมีสติแล้ว อะไรจะมาผูกมัดไม่ได้ ถ้ามีสติอยู่ทุกเมื่อ มันก็ไม่หลงใหล นั่นแหละมารไม่สามารถจะมองเห็นได้ ตัวมาร คือ ไม่มีสติ ตัวมาร คือ ความลุ่มหลง คือ ความประมาท เพลิดเพลินในกามคุณทั้งห้า อันมี รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (สัมผัสกาย) เป็นดอกไม้ของมาร
เมื่อไปชมดอกไม้ มันก็ดักเอาตรงนั้นน่ะซี ตาเห็นรูป มารก็ไปดักเอาตรงนั้น มีความยินดีพอใจ หลงมัวเมาประมาท ตรงนั้นแหละไปถูกบ่วงมารแล้ว หูได้ยินเสียง มันก็ดักเอาตรงนั้น ที่ชอบใจไม่ชอบใจอะไรต่างๆ ถูกบ่วงหมด กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ทั้งหมดทั้งดีและชั่ว เรียกว่าถูกบ่วงมารทั้งนั้น
เราทุกคนไม่มี “สติ” ได้ชื่อว่า ถูกบ่วงของมารแล้ว
หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี ชีวิตเป็นของน้อย
|
|
|
|