ชมรมอนุรักษ์พุทธศิลป์แห่งภาคอีสาน

ห้องพระ => พระคณาจารย์อริยสงฆ์ทั่วประเทศ => ข้อความที่เริ่มโดย: maxnaka ที่ 11 กันยายน 2560, 11:57:36



หัวข้อ: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxnaka ที่ 11 กันยายน 2560, 11:57:36
ประวัติพระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)
วัดวังม่วง ตำบลหนองผือ อำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี
.................................
ชาติภูมิ
พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม) ถือกำเนิดในครอบครัวชาวนา ณ ตำบลเขมราฐ อำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี เกิดเมื่อวันที่ 12กุมภาพันธ์ พ.ศ.2510 ตรงกับวันอาทิตย์ ขึ้น ๓ ค่ำ เดือนสาม (๓) ปีมะเมีย จุลศักราช ๑๓๒๘ คริสตศักราช 1967,มหาศักราช 1888,รัตนโกสินทรศก 185 ปกติสุรทิน ปกติมาส ปกติวาร , อาทิจวาร(อ) มาฆมาส อัฐศก  
          บิดา     ชื่อ “นายรินทอง สนธิหา”            
          มารดา  ชื่อ “นางคูณ สนธิหา”  
          ได้ให้มงคลนามว่า “สมศักดิ์” มีความหมาย คือ ผู้ที่สมควรแก่เกียรติยศชื่อเสียง
          มีพี่น้องร่วมท้องเดียวกัน 7 คน ท่านเป็นบุตรคนที่ 3

รูปร่างลักษณะและนิสัย
พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม) เป็นคนร่างใหญ่ ผิวแดงน้ำตาล แข็งแรง ว่องไว สติปัญญาดีมาแต่กำเนิด ฉลาด เป็นผู้ว่าง่ายสอนง่ายในทางที่ถูก ไม่ยอมทำตามในทางที่ผิด มีความเมตตาเป็นที่ตั้งมาตั้งแต่เกิด

การบรรพชา
เมื่อพระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม) อายุได้ 29 ปี ได้บรรพชาในวัดบ้านนาหว้า ตำบลหนองผือ อำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี
โดยมีพระอุปัชฌาย์ พระครูวชิรธรรมโสภณ  พระกรรมวาจาจารย์ พระประทง ชาคโร และ พระอนุสาวนาจารย์ พระบุญมา ปุญญกาโม
บรรพชาเมื่อวันที่ 5 เดือนเมษายน พ.ศ.2539 เวลา 05.29 น.
ได้รับนามฉายาว่า “อุตฺตโม” แปลว่า ผู้สูงสุด  
           ครั้นบวชแล้วได้ศึกษาความรู้ทางพระศาสนา มีสวดมนต์และสูตรต่าง ๆ ในวัดบรรพชาจารย์ จดจำได้รวดเร็ว อาจารย์เมตตาปรานีมาก เพราะเอาใจใส่ในการเล่าเรียนดี ประพฤติปฏิบัติเรียบร้อย เป็นที่ไว้เนื้อเชื่อใจได้
ต่อมาได้ออกเดินธุดงค์ ครั้งนั้นพระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม) เริ่มจาริกธุดงค์ออกจาก วัดนาหว้า ตำบลหนองผือ อำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี มุ่งหน้าสู่จังหวัดต่างๆ ในประเทศไทย จนครบทุกจังหวัด เส้นทางธุดงค์ของพระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม) เอาแนวชายดงชายเขาอันเปล่าเปลี่ยวเป็นเส้นทางโคจร  จะหยุดยั้งปักกลดบำเพ็ญสมณธรรม  ก็ถือเอาทำเลชัยภูมิซึ่งห่างไกลชุมชนหมู่บ้านพอสมควร พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม) ได้เดินเท้าไปเรื่อยๆ  กระทั่งถึงจังหวัดที่ติดกับแม่น้ำโขง พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม) ได้อาศัยเรือข้ามแม่น้ำโขงไปขึ้นยังฝั่งลาว และได้ปักกลดบำเพ็ญธรรมตามทางไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเข้าพรรษาจึงได้จำพรรษาอยู่ที่วัดหนึ่งในฝั่งลาว หลังออกพรรษาแล้วได้อำลาเจ้าอาวาสผู้มีเมตตาอารีออกเดินธุดงค์ต่อไปอีก กลับมายังฝั่งไทย
            พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)จาริกธุดงค์ไปเรื่อยๆ หากพบหมู่บ้านก็พอได้อาศัยโคจรบิณฑบาต  หากไม่พบพานชุมชนคนอาศัยก็เท่ากับอดอาหารงดฉันไปโดยปริยาย แต่มิได้ทำให้เดือดร้อนวุ่นวายอะไรนัก  เพราะจิตใจนั้นอิ่มเอิบเบิกบานอยู่ด้วยธรรมตลอดเวลาจากชาวบ้าน พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม) จาริกไปจนถึงทางเหนือล่องลงมาทางใต้ของประเทศ มีทิวเขาโอบล้อมทอดตัวสลับซับซ้อน ผ่านเชิงเขาขนาดย่อม และขนาดใหญ่ มีถ้ำต่างๆ ดูร่มรื่นสงัดเงียบเป็นที่น่าพอใจ
            พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม) ได้เดินเท้าไปเรื่อยๆ กระทั่งถึงจังหวัดที่ติดกับประเทศพม่า แล้วท่านได้เดินข้ามไปปักกลดบำเพ็ญธรรมอยู่ในประเทศพม่า มีชาวบ้านที่พบเห็นท่านก็ต่างพากันปีนป่ายไต่เขาขึ้นมานมัสการท่าน แล้วนิมนต์ให้ท่านอยู่ที่นี้นานๆ เพื่อที่พวกตนจะได้มีโอกาสทำบุญใส่บาตรสร้างกุศลกันบ้าง  เพราะไม่มีพระสงฆ์องค์เจ้าผ่านมานานแล้ว พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม) ก็รับนิมนต์  ทำให้ชาวบ้านพากันปีติยินดีกันทั่วหน้า เมื่อออกพรรษาท่านก็ออกเดินเท้าไปเรื่อยๆ ไปต่อ จนไปถึงจังหวัดศรีสะเกษ ได้ข้ามไปปักกลดบำเพ็ญธรรมอยู่ในประเทศกัมพูชา (เขมร) เป็นที่เคารพศรัทธาของชาวบ้านที่ท่านเดินผ่านไปแต่ละหมู่บ้าน จนออกพรรษา ท่านจึงเดินทางกลับมายังฝั่งไทย ได้เดินเท้าไปเรื่อยๆ โดยมีเป้าหมายคือ ภาคเหนือของประเทศไทย ท่านได้ไปปักกลดบำเพ็ญธรรม ตามภูเขา ถ้ำต่างๆ มีวัตถุประสงค์เพื่อโปรดชนเผ่าชาวเขา ให้รู้จักหลักพระพุทธศาสนา ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
การปฏิบัติของท่านในช่วงธุดงค์อยู่นั้น เป็นไปอย่างเอาจริงเอาจัง ยอมมอบกายถวายชีวิตไว้กับป่าเขา ท่านก็ยังไม่ละความเพียร สมดังที่ท่านเคยสอนลูกศิษย์ว่า ในการประพฤติปฏิบัตินั้น จำต้องยอมมอบกายถวายชีวิตลงไปดังที่ท่านเคยกล่าวไว้ว่า "ถ้ามันไม่ดีหรือไม่ได้พบความจริงก็ให้มันตาย ถ้ามันไม่ตายก็ให้มันดี หรือได้พบกับความจริง”ดังนั้น อุปสรรคต่างๆ จึงกลับเป็นปัจจัยช่วยให้จิตใจของผู้ปฏิบัติแข็งแกร่งขึ้นเป็นลำดับ

การปกครองคณะสงฆ์
เมื่อครั้นอายุพรรษาได้ 19 พรรษา ก็ได้กลับรับตำแหน่ง เจ้าอาวาส วัดวังม่วง ตำบลหนองผือ อำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี
          พ.ศ.2554 ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาส วัดวังม่วง ตำบลหนองผือ อำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี
          พ.ศ.2558 ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะตำบล ตำบลหนองผือ อำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี
          พ.ศ.2560 ได้รับตำแหน่งได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ มีหน้าที่หลัก 2 อย่างคือเป็นผู้รับผิดชอบและรับรองผู้บวชในพิธีบรรพชาอุปสมบทและเป็นผู้รับปกครองดูแล แนะนำ ตักเตือนและติดตามความเป็นอยู่ของผู้ที่ตนบวชให้ เหมือนบิดาปกครองดูแลบุตร ตามกฎมหาเถรสมาคมนั้นได้กำหนดให้เขตปกครองคณะสงฆ์ตำบลหนึ่ง ให้มีพระอุปัชฌาย์เพียงหนึ่งรูป

ครูบาอาจารย์ที่ได้เล่าเรียน
      1.ครูบาอาจารย์อุ่นตาริน ชเวดากอง เมืองย่างกุ้ง ประเทศพม่า
      2.ครูบาอาจารย์พ่อใหญ่พิช จังหวัดธาตุพนม
      3.หลวงปู่คำมั่น คัมภีรปัญโญ วัดศิลาดาษ อำเภอภูผาม่าน จังหวัดขอนแก่น
      4.พ่อใหญ่หลาว บ้านหนองโพนเพ็ง ตำบลหนองสิม อำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี                    
      5.หลวงปู่สรวง ออยเตียนสรูล บายติ๊กเจีย วัดไพรพัฒนา อำเภอภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ
      6.หลวงพ่ออาจ อชิโต พักสงฆ์ภูปะปังเขาพลาญไทร อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี
      7.หลวงปู่ทา นาควัณโณ วัดศรีสว่างนาราม อำเภอโพธิไทร จังหวัดอุบลราชธานี(ศิษย์หลวงปู่ญาท่านตู๋)
   
         พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม) ถือเป็นปูชนียบุคคลที่สำคัญยิ่งในพระพุทธศาสนา เป็นผู้มีคุณูปการต่อพระพุทธศาสนา ข้อวัตรปฏิปทาอันหมดจดงดงามย่อมเป็นเนติแบบอย่างที่ดีแก่อนุชนรุ่นหลังได้เจริญรอยตาม การทำอัตตัตถจริยา คือ การบำเพ็ญประโยชน์ตน ก็ถึงที่สุดแล้ว โดยอยู่จบพรหมจรรย์เสร็จกิจในพระพุทธศาสนาบรรลุคุณธรรมขั้นสูงสุด  การทำญาตัตถจริยา คือ การสงเคราะห์ญาติมิตร ก็ถึงที่สุดแล้ว โดยเทศนาอบรมพระเณร และโปรดโยมมารดา จนตั้งอยู่ในอริยภูมิ  การทำโลกัตถจริยา คือ การบำเพ็ญประโยชน์ต่อโลก ก็ถึงที่สุดแล้ว ด้วยเมตตาธรรมอันเปี่ยมล้นแผ่ไปในเหล่าสรรพสัตว์ ดังเช่น การช่วยเหลือ โรงพยาบาล หน่วยงานราชการ โรงเรียนต่างๆ ผู้ด้อยโอกาส ผู้ประสบทุกข์ภัย การทำนุบำรุงพุทธศาสนา และที่สำคัญยิ่งคือ เทศนาธรรมที่ตรงแน่วต่อมรรคผลนิพพาน ถือเป็นธรรมสมบัติอันล้ำค่า ที่พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม) ได้มอบไว้แก่ปวงศิษย์ทุกคน
    เอวัง.



หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxnaka ที่ 13 กันยายน 2560, 16:12:39
เหรียญรุ่นแรก พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxnaka ที่ 13 กันยายน 2560, 16:13:18
เหรียญรุ่นสร้างโบถส์ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxnaka ที่ 13 กันยายน 2560, 16:13:45
ล็อกเก็ต พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxnaka ที่ 13 กันยายน 2560, 16:14:28
พระสมเด็จดำ-พระสมเด็จแดง พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxnaka ที่ 13 กันยายน 2560, 16:15:01
พระผงอุตฺตโม พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxnaka ที่ 15 กันยายน 2560, 20:06:35
เศียรพ่อปู่ฤาษีตาไฟ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตตโม ยุคแรก สร้างเมื่อ พ.ศ.2548-2549
จำนวนการจัดสร้าง มีทั้งหมด 3 แบบ
แบบที่ 1 มีจำนวน 9 เศียร ปี พ.ศ.2548 ได้แห่เหล็กไหล มา 9 เม็ด
แบบที่ 2 มีจำนวน 12 เศียรปี พ.ศ.2549 ได้แห่เหล็กไหล มา 12 เม็ด
แบบที่ 3 มีจำนวน 32 เศียร มวลสารที่ใช้ในแบบที่ 3 นี้ จะแน่น ผงเนื้อแกนขามฟ้า

ทุก 3 แบบ จะมีมวลสารในสมัยที่ท่านเดินธุดง นับ 20 ปี ร่วมอยู่ในเศียรทุกองค์

เหตุที่ลูกศิษย์ของพระอาจารย์สมศักดิ์ อุตตโม จัดสร้างเศียรบรมครูพ่อปู่ฤาษีตาไฟ
       เนื่องจาก พระฤาษีตาไฟนับเป็นบรมครูผู้หนึ่งในอดีตกาลที่เชื่อถือกันว่าท่านสำเร็จอภิญญาสมาบัติ สำเร็จวิชากสิณไฟ สามารถเพ่งจนเกิดไฟลุกได้อย่างน่าอัศจรรย์ หรือสามารถเพ่งตะกั่วโลหะด้วยสายตาจนตะกั่วหรือโลหะนั้นหลอมละลายตัวลง ในตำรามักกล่าวว่าท่านมีพระเนตรที่ 3 อยู่กึ่งกลางหน้าผาก หากเนตรที่สามหรือตาที่สามนี้ลืมขึ้นเมื่อใดจะเกิดไฟประลัยกัลป์ขึ้นเมื่อนั้น คล้ายกับพระอิศวรที่มีเนตรที่สามเช่นกัน ดังนั้นครูบาอาจารย์บางท่านเชื่อถือกันว่า พระฤาษีตาไฟผู้เป็นบรมครูนี้หาใช่ใครอื่นไม่ น่าจะเป็นการอวตารภาคของพระอิศวรในภาคบรมครูผู้สั่งสอนทางธรรมก็เป็นได้
บรมครูพ่อปู่ฤาษีตาไฟ นับเป็นบรมครูชั้นสูงอีกพระองค์ของไทยเรามีนามปรากฏอยู่หลายแห่งด้วยกัน อานิสงส์ของการได้ครอบ เศรียรปู่ฤาษีตาไฟนั้น นำความสุขความเจริญ ความมั่งคั่งร่ำรวย มาสู่ตัวผู้นั้น ที่สำคัญ คือ อำนาจจากการตบะบารมีของพ่อปู่ฤาษีตาไฟนั้นจะผลาญสิ่งชั่วร้ายทั้งหลายในชีวิตให้สิ้นไป ทั้งยังเป็นรัศมีอันแรงกล้าคอยคุ้มครองให้พ้นจากอำนาจคุณไสยมนต์ดำ ยังแสงสว่างให้บังเกิดในดวงชะตา เป็นสง่าราศีดั่งพระอาทิตย์พระจันทร์
         ความน่าอัศจรรย์ประการหนึ่งของพระฤษีตาไฟผู้มีจักษุทิพย์ที่สามกลางหน้าผาก คือ เรื่องของญาณหยั่งรู้เหนือมนุษย์ ซึ่งเหตุนี้เองที่ทำให้เกิดอานิสงส์สำคัญในยามที่ผู้นับถือทางโหราศาสรตร์ ศาสตร์แห่งการพยากรณ์ทั้งปวง ได้รับการครอบเศียรปู่ฤาษีตาไฟ เพราะอำนาจจากการตบะแห่งดวงตาที่สามที่นอกจากเป็นแรงคุ้มครองสิ่งชั่วร้ายแล้ว ยังก่อให้เกิดญาณหยั่งรู้ภายในตัวอีกด้วย
           ผู้ที่เป็นนักพยากรณ์หรือสนใจในศาสตร์นี้เมื่อได้รับครอบแล้วมักจะมีความรู้แปลกๆเกิดขึ้น มีญาณสัมผัสที่แม่นยำขึ้น แต่ความสามารถนี้ก็มิได้เกิดกับผู้ที่ร่ำเรียนทางโหราศาตร์เท่านั้น แม้ผู้ที่ศรัทธาท่านอื่นๆที่มีความสนใจในศาสตร์ที่เร้นลับ และหากยิ่งเป็นนักปฏิบัติธรรมแล้วด้วยก็ยิ่งเกิดความสามารถทางจิตในเชิงนี้ได้เร็วและดียิ่งๆขึ้นไปอีก
พลังแรงครูจะคอยคุ้มครองให้โชคลาภ เอื้ออำนวยประโยชน์สุขทุกๆด้านของชีวิต


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxnaka ที่ 29 พฤศจิกายน 2560, 15:39:08
พระกริ่งบรมครู ปี 2561 แจกในงานไหว้ครู วันศุกร์ ที่ 19 เดือนมกราคม พ.ศ.2561 ขึ้น 3 ค่ำ เดือน 3 ที่วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี พระกริ่งบรมครู สร้างเมื่อ ปี 2559 จำนวน 5 แบบ


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: ssnthiha ที่ 14 มีนาคม 2561, 12:57:42
บรมครูใหญ่ สายธรรมอุตตโมบารมี เป็นธรรมกรรมฐาน 40 กองนั้น จัดเป็นสมถะ คือไม่ก่อปัญญาแต่สามารถเป็นพื้นฐานในการไปสู่ปัญญาได้ มี 36 กอง ส่วนกรรมฐานที่จัดเป็นวิปัสสนาแท้ มีเพียง 4 กองเท่านั้น คือสติปัฏฐาน 4 ซึ่งได้แก่ กาย เวทนา จิต ธรรม หากแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ ก็ได้แก่ กรรมฐานฝ่ายโลกียะ 36 กรรมฐาฝ่ายโลกุตตระ 4 ซึ่งแน่นอนว่ากรรมฐานฝ่ายโลกียะไม่สามารถทำให้ใครบรรลุธรรมได้ แต่ถ้าคนเข้าใจก็เป็นบันไดชั้นดีเพื่อไปสู่ธรรมขั้นสูงและยังทำให้ผู้ปฏิบัติมีที่ยึดเหนี่ยวใจให้ปฏิบัติในศิลธรรม เป็นคนดีของสังคม รักษาศิลอย่างเคร่งครัด


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: ssnthiha ที่ 14 มีนาคม 2561, 13:12:34
ประวัติพระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)
วัดวังม่วง ตำบลหนองผือ อำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี
.................................
ชาติภูมิ
พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม) ถือกำเนิดในครอบครัวชาวนา ณ ตำบลเขมราฐ อำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี เกิดเมื่อวันที่ 12กุมภาพันธ์ พ.ศ.2510 ตรงกับวันอาทิตย์ ขึ้น ๓ ค่ำ เดือนสาม (๓) ปีมะเมีย จุลศักราช ๑๓๒๘ คริสตศักราช 1967,มหาศักราช 1888,รัตนโกสินทรศก 185 ปกติสุรทิน ปกติมาส ปกติวาร , อาทิจวาร(อ) มาฆมาส อัฐศก  
          บิดา     ชื่อ “นายรินทอง สนธิหา”            
          มารดา  ชื่อ “นางคูณ สนธิหา”  
          ได้ให้มงคลนามว่า “สมศักดิ์” มีความหมาย คือ ผู้ที่สมควรแก่เกียรติยศชื่อเสียง
          มีพี่น้องร่วมท้องเดียวกัน 7 คน ท่านเป็นบุตรคนที่ 3

รูปร่างลักษณะและนิสัย
พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม) เป็นคนร่างใหญ่ ผิวแดงน้ำตาล แข็งแรง ว่องไว สติปัญญาดีมาแต่กำเนิด ฉลาด เป็นผู้ว่าง่ายสอนง่ายในทางที่ถูก ไม่ยอมทำตามในทางที่ผิด มีความเมตตาเป็นที่ตั้งมาตั้งแต่เกิด

การบรรพชา
เมื่อพระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม) อายุได้ 29 ปี ได้บรรพชาในวัดบ้านนาหว้า ตำบลหนองผือ อำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี
โดยมีพระอุปัชฌาย์ พระครูวชิรธรรมโสภณ  พระกรรมวาจาจารย์ พระประทง ชาคโร และ พระอนุสาวนาจารย์ พระบุญมา ปุญญกาโม
บรรพชาเมื่อวันที่ 5 เดือนเมษายน พ.ศ.2539 เวลา 05.29 น.
ได้รับนามฉายาว่า “อุตฺตโม” แปลว่า ผู้สูงสุด  
           ครั้นบวชแล้วได้ศึกษาความรู้ทางพระศาสนา มีสวดมนต์และสูตรต่าง ๆ ในวัดบรรพชาจารย์ จดจำได้รวดเร็ว อาจารย์เมตตาปรานีมาก เพราะเอาใจใส่ในการเล่าเรียนดี ประพฤติปฏิบัติเรียบร้อย เป็นที่ไว้เนื้อเชื่อใจได้
ต่อมาได้ออกเดินธุดงค์ ครั้งนั้นพระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม) เริ่มจาริกธุดงค์ออกจาก วัดนาหว้า ตำบลหนองผือ อำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี มุ่งหน้าสู่จังหวัดต่างๆ ในประเทศไทย จนครบทุกจังหวัด เส้นทางธุดงค์ของพระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม) เอาแนวชายดงชายเขาอันเปล่าเปลี่ยวเป็นเส้นทางโคจร  จะหยุดยั้งปักกลดบำเพ็ญสมณธรรม  ก็ถือเอาทำเลชัยภูมิซึ่งห่างไกลชุมชนหมู่บ้านพอสมควร พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม) ได้เดินเท้าไปเรื่อยๆ  กระทั่งถึงจังหวัดที่ติดกับแม่น้ำโขง พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม) ได้อาศัยเรือข้ามแม่น้ำโขงไปขึ้นยังฝั่งลาว และได้ปักกลดบำเพ็ญธรรมตามทางไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเข้าพรรษาจึงได้จำพรรษาอยู่ที่วัดหนึ่งในฝั่งลาว หลังออกพรรษาแล้วได้อำลาเจ้าอาวาสผู้มีเมตตาอารีออกเดินธุดงค์ต่อไปอีก กลับมายังฝั่งไทย
            พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)จาริกธุดงค์ไปเรื่อยๆ หากพบหมู่บ้านก็พอได้อาศัยโคจรบิณฑบาต  หากไม่พบพานชุมชนคนอาศัยก็เท่ากับอดอาหารงดฉันไปโดยปริยาย แต่มิได้ทำให้เดือดร้อนวุ่นวายอะไรนัก  เพราะจิตใจนั้นอิ่มเอิบเบิกบานอยู่ด้วยธรรมตลอดเวลาจากชาวบ้าน พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม) จาริกไปจนถึงทางเหนือล่องลงมาทางใต้ของประเทศ มีทิวเขาโอบล้อมทอดตัวสลับซับซ้อน ผ่านเชิงเขาขนาดย่อม และขนาดใหญ่ มีถ้ำต่างๆ ดูร่มรื่นสงัดเงียบเป็นที่น่าพอใจ
            พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม) ได้เดินเท้าไปเรื่อยๆ กระทั่งถึงจังหวัดที่ติดกับประเทศพม่า แล้วท่านได้เดินข้ามไปปักกลดบำเพ็ญธรรมอยู่ในประเทศพม่า มีชาวบ้านที่พบเห็นท่านก็ต่างพากันปีนป่ายไต่เขาขึ้นมานมัสการท่าน แล้วนิมนต์ให้ท่านอยู่ที่นี้นานๆ เพื่อที่พวกตนจะได้มีโอกาสทำบุญใส่บาตรสร้างกุศลกันบ้าง  เพราะไม่มีพระสงฆ์องค์เจ้าผ่านมานานแล้ว พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม) ก็รับนิมนต์  ทำให้ชาวบ้านพากันปีติยินดีกันทั่วหน้า เมื่อออกพรรษาท่านก็ออกเดินเท้าไปเรื่อยๆ ไปต่อ จนไปถึงจังหวัดศรีสะเกษ ได้ข้ามไปปักกลดบำเพ็ญธรรมอยู่ในประเทศกัมพูชา (เขมร) เป็นที่เคารพศรัทธาของชาวบ้านที่ท่านเดินผ่านไปแต่ละหมู่บ้าน จนออกพรรษา ท่านจึงเดินทางกลับมายังฝั่งไทย ได้เดินเท้าไปเรื่อยๆ โดยมีเป้าหมายคือ ภาคเหนือของประเทศไทย ท่านได้ไปปักกลดบำเพ็ญธรรม ตามภูเขา ถ้ำต่างๆ มีวัตถุประสงค์เพื่อโปรดชนเผ่าชาวเขา ให้รู้จักหลักพระพุทธศาสนา ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
การปฏิบัติของท่านในช่วงธุดงค์อยู่นั้น เป็นไปอย่างเอาจริงเอาจัง ยอมมอบกายถวายชีวิตไว้กับป่าเขา ท่านก็ยังไม่ละความเพียร สมดังที่ท่านเคยสอนลูกศิษย์ว่า ในการประพฤติปฏิบัตินั้น จำต้องยอมมอบกายถวายชีวิตลงไปดังที่ท่านเคยกล่าวไว้ว่า "ถ้ามันไม่ดีหรือไม่ได้พบความจริงก็ให้มันตาย ถ้ามันไม่ตายก็ให้มันดี หรือได้พบกับความจริง”ดังนั้น อุปสรรคต่างๆ จึงกลับเป็นปัจจัยช่วยให้จิตใจของผู้ปฏิบัติแข็งแกร่งขึ้นเป็นลำดับ

การปกครองคณะสงฆ์
เมื่อครั้นอายุพรรษาได้ 19 พรรษา ก็ได้กลับรับตำแหน่ง เจ้าอาวาส วัดวังม่วง ตำบลหนองผือ อำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี
          พ.ศ.2554 ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาส วัดวังม่วง ตำบลหนองผือ อำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี
          พ.ศ.2558 ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะตำบล ตำบลหนองผือ อำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี
          พ.ศ.2560 ได้รับตำแหน่งได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ มีหน้าที่หลัก 2 อย่างคือเป็นผู้รับผิดชอบและรับรองผู้บวชในพิธีบรรพชาอุปสมบทและเป็นผู้รับปกครองดูแล แนะนำ ตักเตือนและติดตามความเป็นอยู่ของผู้ที่ตนบวชให้ เหมือนบิดาปกครองดูแลบุตร ตามกฎมหาเถรสมาคมนั้นได้กำหนดให้เขตปกครองคณะสงฆ์ตำบลหนึ่ง ให้มีพระอุปัชฌาย์เพียงหนึ่งรูป

ครูบาอาจารย์ที่ได้เล่าเรียน
      1.ครูบาอาจารย์อุ่นตาริน ชเวดากอง เมืองย่างกุ้ง ประเทศพม่า
      2.ครูบาอาจารย์พ่อใหญ่พิช จังหวัดธาตุพนม
      3.หลวงปู่คำมั่น คัมภีรปัญโญ วัดศิลาดาษ อำเภอภูผาม่าน จังหวัดขอนแก่น
      4.พ่อใหญ่หลาว บ้านหนองโพนเพ็ง ตำบลหนองสิม อำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี                    
      5.หลวงปู่สรวง ออยเตียนสรูล บายติ๊กเจีย วัดไพรพัฒนา อำเภอภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ
      6.หลวงพ่ออาจ อชิโต พักสงฆ์ภูปะปังเขาพลาญไทร อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี
      7.หลวงปู่ทา นาควัณโณ วัดศรีสว่างนาราม อำเภอโพธิไทร จังหวัดอุบลราชธานี(ศิษย์หลวงปู่ญาท่านตู๋)
   
         พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม) ถือเป็นปูชนียบุคคลที่สำคัญยิ่งในพระพุทธศาสนา เป็นผู้มีคุณูปการต่อพระพุทธศาสนา ข้อวัตรปฏิปทาอันหมดจดงดงามย่อมเป็นเนติแบบอย่างที่ดีแก่อนุชนรุ่นหลังได้เจริญรอยตาม การทำอัตตัตถจริยา คือ การบำเพ็ญประโยชน์ตน ก็ถึงที่สุดแล้ว โดยอยู่จบพรหมจรรย์เสร็จกิจในพระพุทธศาสนาบรรลุคุณธรรมขั้นสูงสุด  การทำญาตัตถจริยา คือ การสงเคราะห์ญาติมิตร ก็ถึงที่สุดแล้ว โดยเทศนาอบรมพระเณร และโปรดโยมมารดา จนตั้งอยู่ในอริยภูมิ  การทำโลกัตถจริยา คือ การบำเพ็ญประโยชน์ต่อโลก ก็ถึงที่สุดแล้ว ด้วยเมตตาธรรมอันเปี่ยมล้นแผ่ไปในเหล่าสรรพสัตว์ ดังเช่น การช่วยเหลือ โรงพยาบาล หน่วยงานราชการ โรงเรียนต่างๆ ผู้ด้อยโอกาส ผู้ประสบทุกข์ภัย การทำนุบำรุงพุทธศาสนา และที่สำคัญยิ่งคือ เทศนาธรรมที่ตรงแน่วต่อมรรคผลนิพพาน ถือเป็นธรรมสมบัติอันล้ำค่า ที่พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม) ได้มอบไว้แก่ปวงศิษย์ทุกคน
    เอวัง.




หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxnaka ที่ 28 เมษายน 2561, 07:27:38
เศียรบรมครู พ่อปู่ฤาษีตาไฟ รุ่นแรก


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: ืืnakabelieve ที่ 23 กรกฎาคม 2561, 15:57:35
รุ่นนี้สร้างพิเศษ รูปหล่อพ่อปู่ฤาษีดำ เหตุเพราะได้วานไพรดำกับพ่อใหญ่สัมฤทธิ์ และข้าวดำมาทำเป็นมวลสาร อีกทั้งยังได้เกษา บรมครูใหญ่มาใส่ ยังทำให้เป็นวัตถุมงคลที่หาได้ยากมาก


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: ืืnakabelieve ที่ 25 กรกฎาคม 2561, 06:23:14
พ่อปู่ฤาษีดำ


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: nubwo23 ที่ 04 สิงหาคม 2561, 10:15:30
กำลังตามหาประวัติ ความเป็นมาของท่านพอดีเลยค่ะ มีประโยชน์มากๆค่ะ
อุทกภัย (https://blastosaurus.com/อุทกภัย/)


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: ืืnakabelieve ที่ 08 สิงหาคม 2561, 16:23:05
เศียรบรมครู พ่อปู่ฤาษี รุ่นแรก ของญาถ่านเบิ้ม อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี สวยมาก


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: ืืnakabelieve ที่ 08 สิงหาคม 2561, 16:24:52
พระปิดตาไกเซอร์ รุ่นแรก ญาถานเบิ้ม อ.เขมราฐ จ.อุบลฯ แจกงานกฐิน 61 ติดตามนะครับ มวลสารดี พิธีใหญ่ จัดส้าง 299 องค์ มี 3 แบบ แบบที่หนึ่งด้านหลังเรียบ จำนวน 99 องค์ แบบที่สองด้านหลังหลุม จำนวน 199 องค์ และพิเศษ 1 องค์


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: ืืnakabelieve ที่ 08 สิงหาคม 2561, 16:25:38
สายธรรมอุตตโมบารมี เรียนเพื่อหนุนการหนุนงานชีวิตครอบครัว ให้อยู่ในศีลในธรรม ตามหลักขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยมีบรมครูใหญ่เป็นผู้ชี้แนะแนวทางการปฏิบัติที่ถูกต้อง เน้นสัจจะวาจา ศีล 5 ครบ สาธุครับ


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: ืืnakabelieve ที่ 10 สิงหาคม 2561, 10:55:50
เศียรบรมครู รุ่นแรก สร้าง 3 แบบ


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: ืืnakabelieve ที่ 10 สิงหาคม 2561, 10:56:35
เศียรบรมครู แบบที่ 2 สวยงามมาก เศียรบรมครูญาถานเบิ้ม


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: ืืnakabelieve ที่ 15 สิงหาคม 2561, 07:58:33
เศียรบรมครู แบบที่ 1 สวยงามมาก เศียรบรมครูญาถานเบิ้ม
1.ขี้เหล็กไหลจากถ้ำสกลนคร.ที่แตกตัวออกเป็นเม็ดโดยธรรมชาติ ตามจำนวนเศียร
2.วานไพรดำพ่อฤทธิ์และข้าวดำให้หลวงพี่สมัยพ่อสัมฤทธิ์มาช่วยงานวัดพระธาตุพนม
3.แร่ไพธิ์เงินจากอีนเดีย.ที่มีลักษณะเหมือนเกล็ดเงิน.
4.ผงมวลสารของหลวงปู่ทวด วัดช้างให้
5.กาฝากไม้มงคล 9 อย่าง 1.กาฝากรักซ้อน 2.กาฝากมะรุม 3.กาฝากมะยม 4.กาฝากมะขาม 5.กาฝากกาหลง 6.กาฝากขนุน 7.กาฝากยอ 8.กาฝากพยุง 9.กาฝากคูณ
6.ผงแก่มขามฟ้าผ่า
7.ผงแก้นงิ้วดำ ตัวผู้ ตัวเมียจากเขมร
8.หน้าผากเสือ.ที่นอนตายโดยธรรมชาติ
9.ผงเงินเมืองผีบังบด
10.ผงช่องระอา
11.งาช้างจากเขมร
12.ผงกระดูกช้างจากบุรีรัมม์
13.วานสายเสน่ห์
14.วานสายเหนียว
15.จีวรหลวงปู่คูณ
16.เกษาหลวงปู่สรวง
17.เกษาหลวงปู่วัดพิช
18.เกษาญาถ่านเบิ้ม
19.เม็ดต้นมณีโคตร.จากฝั่งลาว
20.หอยพันปีจากบ้านสามแยกเมืองใหม่
21.ผงพระสมเด็จแท้จากวัดระฆัง
22.ประหลอด
23.ผงกาลาตาเดียว
24.ผงวาน108
25.ผงพระลักษณ์ของหลวงกาหลง
26.คำหมากฤาษีที่ยุในหิน ญาถ่านท่านนั่งเห็นแล้วให้ลูกศิษย์ไปทุบเอา


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: ืืnakabelieve ที่ 05 กันยายน 2561, 10:33:35
ประวัติ เศียรพ่อปู่ฤาษีนารอด-เศียรพ่อปู่ฤาษีตาไฟ สร้างเมื่อปี 2549-2550 มี 3 รุ่น ของญาถานเบิ้ม อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
1.ขี้เหล็กไหลจากถ้ำสกลนคร.ที่แตกตัวออกเป็นเม็ดโดยธรรมชาติ ตามจำนวนเศียร
2.วานไพรดำพ่อฤทธิ์และข้าวดำให้หลวงพี่สมัยพ่อสัมฤทธิ์มาช่วยงานวัดพระธาตุพนม
3.แร่ไพธิ์เงินจากอีนเดีย.ที่มีลักษณะเหมือนเกล็ดเงิน.
4.ผงมวลสารของหลวงปู่ทวด วัดช้างให้
5.กาฝากไม้มงคล 9 อย่าง 1.กาฝากรักซ้อน 2.กาฝากมะรุม 3.กาฝากมะยม 4.กาฝากมะขาม 5.กาฝากกาหลง 6.กาฝากขนุน 7.กาฝากยอ 8.กาฝากพยุง 9.กาฝากคูณ
6.ผงแก่มขามฟ้าผ่า
7.ผงแก้นงิ้วดำ ตัวผู้ ตัวเมียจากเขมร
8.หน้าผากเสือ.ที่นอนตายโดยธรรมชาติ
9.ผงเงินเมืองผีบังบด
10.ผงช่องระอา
11.งาช้างจากเขมร
12.ผงกระดูกช้างจากบุรีรัมม์
13.วานสายเสน่ห์
14.วานสายเหนียว
15.จีวรหลวงปู่คูณ
16.เกษาหลวงปู่สรวง
17.เกษาหลวงปู่วัดพิช
18.เกษาญาถ่านเบิ้ม
19.เม็ดต้นมณีโคตร.จากฝั่งลาว
20.หอยพันปีจากบ้านสามแยกเมืองใหม่
21.ผงพระสมเด็จแท้จากวัดระฆัง
22.ประหลอด
23.ผงกาลาตาเดียว
24.ผงวาน108
25.ผงพระลักษณ์ของหลวงกาหลง
26.คำหมากฤาษีที่ยุในหิน ญาถ่านท่านนั่งเห็นแล้วให้ลูกศิษย์ไปทุบเอา


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: ืืnakabelieve ที่ 14 กันยายน 2561, 07:37:21
สีผึ้งบรมครูใหญ่ ญาถ่านเบิ้ม
มวลสารที่ใช้ผสมทำสีผึ้ง มีดังนี้
1.วานไพรดำ จากพ่อสัมฤทธิ์ สีขวา
2.น้ำนัมช้างผสมโขลง พ่อบุญมา แสนดี
3.น้ำตาปลาพะยูนสายใต้
4.น้ำมันพราย
5.ขี้สูตรดินเพียง
6.ขี้ผึ้งแท้เดือนห้า
7.น้ำผิ้งแท้เดือนห้า
8.มวลสารความเชื่อเกี่ยวกันของสิ่งไม่ดี
9.นางสายฝนนำใส่ในหม้อตอนทำพิธีกรรม
10.ไม้มงคล 9 อย่าง
11.กาฝาก 9 อย่าง 1.กาฝากรักซ้อน 2.กาฝากมะรุม 3.กาฝากมะยม 4.กาฝากมะขาม 5.กาฝากกาหลง 6.กาฝากขนุน 7.กาฝากยอ 8.กาฝากพยุง 9.กาฝากคูณ
12.ผงช่องระอา
13.ผงกระดูกช้างจากบุรีรัมม์
14.ผงเม็ดต้นมณีโคตร.จากฝั่งลาว
15.ผงเงินเมืองผีบังบด
16.ผงแก้นงิ้วดำ ตัวผู้ ตัวเมียจากเขมร
17.ผงแก่มขามฟ้าผ่า
18.สีผึ้งบรมครูต่างๆ
วาน 108  
003 003 003  
1.ไก่แดง ให้ผลทางเมตตามหาเสน่ห์ มหานิยมชั้นยอด
2.มหาลาภ ให้ผลทางโชคลาภเป็นสิริมงคลดีนัก
3.สี่ทิศ ให้ผลทางโชคลาภทำการสิ่งใดจะประสบความสำเร็จทุกประการ
4.เทพประชุมพร ว่านทางด้านเมตตามหานิยม โชคลาภ ช่วยให้ค้าขายเจริญรุ่งเรือง
5.เทพประสิทธิ์ เป็นสิริมงคลดีนัก
6.ขมิ้นขาว เด่นทางด้านเมตตา
7.นางคำ คุณวิเศษทางด้านเสน่ห์มหานิยม ใช้ได้นานาประการ
8.สาวหลง ว่านที่ทรงคุณค่าทางด้านเมตตามหานิยมอย่างสูงสุด
9.ทิพยเตร เด่นเรื่องเมตตามหานิยม
10.มหาอุดม เป็นว่านมหานิยมสูงมาก เป็นที่รักใคร่
11.ดินสอฤาษี สรรพคุณทางด้านมหานิยมยังอยู่ในระดับเยี่ยม
12.ไพลดำ แคล้วคลาดปลอดภัย
13.ดอกทองตัวผู้ เป็นว่านในทางมหาเสน่ห์เป็นพระยาเทครัว
14.ดอกทองตัวเมีย เป็นว่านในทางมหาเสน่ห์ เมตามหานิยมอย่างแรงอีกชนิดหนึ่ง
15.กุมารทอง ให้ผลทางโชคลาภ
16.พะตะบะ กันอัปมงคลต่างๆแคล้วคลาดปลอดภัย
17.ทรหด เด่นทางด้านคงกระพันและแคล้วคลาด
18.กระแจะจันทร์หงสา ด้านเมตตามหาเสน่ห์
19.เปราะหอม เป็นว่านทางเสน่ห์มหานิยมทางชู้สาว และช่วยให้ค้าขายดี
20.ไก่ขัน ใช้ในทางเสน่ห์เลห์กลดีหนักหนา
21.เพชรน้อย เด่นทางด้านคงกระพันและแคล้วคลาด
22.เพชรน้อยแดง เด่นทางด้านคงกระพันและแคล้วคลาด
23.ดอกทองกระเจา เป็นเสน่ห์ทางด้านชู้สาว และช่วยให้ค้าขายดี
24.นางพญาหงส์ทอง เป็นว่านทางเมตตามหานิยม เจรจาสิ่งใดจะเป็นที่พอใจ
25.นางพญาหงส์เงิน เป็นว่านทางเมตตามหานิยม เจรจาสิ่งใดจะเป็นที่พอใจ
26.กลิ้งกลางดง เด่นทางด้านคงกระพันและแคล้วคลาด
27.พระฉิม เป็นมงคล เสริมสิริมงคล และขจัดความชั่วร้ายทำให้แคล้วคลาด
28.หอมดำ จัดเป็นว่าน 108 ที่ใช้ในการผสมสร้างพระผงคงกระพันชาตรี อีกทั้งยังมีเมตตามหานิยมใคร
29.แม่ทองใบ มีอานุภาพบันดาลให้ประสบโชคลาภ ความร่มเย็นเป็นสุข
30.ไชยมงคล ความเป็นมงคล เป็นว่านทรงอำนาจช่วยคุ้มครองป้องกันภัย
31.สลักไกร เสน่ห์เมตตามหานิยม คงกระพันชาตรีอีกด้วย
32.สบู่หยวก เสน่ห์เมตตามหานิยม
33.ดอกทองโยนี (เขียด) เป็นว่านเสน่ห์เมตตามหานิยม ทำให้ค้าขายดี
34.พญาลิ้นงู แคล้วคลาด
35.มหาบัว เป็นว่านสิริมงคลชั้นสูงต้นหนึ่ง
36.พญาจงอาง คงกระพันแคล้วคลาด
37.เทพรำลึก เสน่ห์เมตตามหานิยมเป็นยอด
38.เงินไหลมา มีอานุภาพเรียกเงินทองให้เข้ามาสู่เคหะสถานบ้านเรือน
39.พญาว่าน แคล้วคลาด
40.ขมิ้นขาวปัดตลอด โชคลาภความเจริญ ความมีเมตตามหานิยม และความร่มเย็นเป็นสุขมั่งคั่ง
41.นะหน้าทอง ทางเสน่ห์เมตตามหานิยม ให้ผลดีางการค้า
42.มหาจักรพรรดิ เหมือนมีกำแพงแก้วป้องกันภัยบังเกิดความเจริญรุ่งเรืองเป็นเนืองนิตย์
43.หนุมานยกทัพ เป็นเมตตามหานิยมและกันทางคุณไสยาศาสตร์
44.หอมแดง จัดเป็นว่าน 108 ชนิดที่ใช้ในการผสมเพื่อสร้างพระผงในสมัยก่อน
45.เศรษฐีเรือนนอก อานุภาพให้คุณทางด้านลาภผล เงินทอง
46.เศรษฐีเรือนใน อานุภาพให้คุณทางด้านลาภผล เงินทอง
47.เศรษฐีเรือนกลาง อานุภาพให้คุณทางด้านลาภผล เงินทอง
48.แสนนางล้อม เป็นว่านที่มีสิริมงคลและป้องกันอัคคีภัย
49.ขุนแผนสะกดทัพ อานุภาพ ทางเสน่ห์เมตตานิยม
50.เศรษฐีน้ำเต้าทอง เด่นทางเมตตา โชคลาภ
51.ว่านมหามงคล เป็นเสน่ห์เมตตามหานิยม เสริมบารมี
52.เฒ่าหนังแห้ง คงกระพันแคล้วคลาด
53.ไก่กุ๊ก อานุภาพ ทางเสน่ห์เมตตานิยม
54.เสน่ห์จันทร์ดำ จะเด่นทางด้านเสน่ห์เมตตามหานิยมเป็นที่รักเมตตาแก่ผู้พบเห็น
55.เสน่ห์จันทร์เขียว จะเด่นทางด้านเสน่ห์เมตตามหานิยมเป็นที่รักเมตตาแก่ผู้พบเห็น
56.เสน่ห์จันทร์ขาว จะเด่นทางด้านเสน่ห์เมตตามหานิยมเป็นที่รักเมตตาแก่ผู้พบเห็น
57.เสน่ห์จันทร์แดง จะเด่นทางด้านเสน่ห์เมตตามหานิยมเป็นที่รักเมตตาแก่ผู้พบเห็น
58.กวักนางพญามหาเศรษฐี อานุภาพทางด้านโชคลาภ เมตตามหานิยม ดีทางโภคทรัพย์ เป็นสิริมงคล
59.กวักนางพญาใหญ่ อานุภาพทางด้านโชคลาภ เมตตามหานิยม ดีทางโภคทรัพย์ เป็นสิริมงคล
60.กวักพุทธเจ้าหลวง อานุภาพทางด้านโชคลาภ เมตตามหานิยม ดีทางโภคทรัพย์ เป็นสิริมงคล
61.มหาโชค บันดาลทางโชคลาภโดยตรงและเป็นสิริมงคลแก่บ้านเรือน
62.พัดแม่ชี อานุภาพสูงทางด้านปัดเป่าสิ่งอัปมงคล ป้องกันอำนาจคุณไสย
63.นางคุ้ม คุ้มกันภยันตรายต่างๆ
64.มหาปราบ ดีทางฤทธิ์และอำนาจ อยู่ยงคงกระพัน ป้องกัน ภูติ ผี ปีศาจ
65.ถุงเงินถุงทอง มีอานุภาพทางด้านโภคทรัพย์ ประดุจถุงเงินถุงทอง
66.ขอทอง เด่นเรื่อง เมตตา มหานิยม
67.หนุมานนั่งแท่น ทางคงกระพันชาตรี
68.ไก่ดำ อำนาจและบารมี อีกทั้งให้คุณทางด้านการค้าขาย
69.กำบัง ป้องกันสรรพภัยจากผู้ปองร้ายด้วยวิทยาคุณต่างๆ
70.เทพรำพึง เป็นเอกทางด้านเมตตามหานิยม เป็นสิริมงคล
71.เสน่หา เป็นว่านมงคลมหานิยม
72.เต่านำโชค เป็นว่านทางเมตตา
73.นางล้อม เป็นว่านมหามงคล ป้องกันสรรพสัตว์ทั้งปวง
74.กล่อมนางนอน ว่านที่มากด้วยเมตตามหานิยม มีอานุภาพสามารถทำให้ผู้คนเคลิบเคลิ้มได้
75.ขมิ้นขาวเสน่ห์ ดีทางด้านเมตตามหานิยม ทั้งยังเป็นเมตตามหานิยม
76.เทพรัญจวน ให้ในทางเมตตามหานิยม เป็นที่รัก เมตตาต่อผู้พบเห็น
77.มหานิยม ทางเสน่ห์เมตตามหานิยม
78.จูงนาง เป็นว่านทางด้านเสนห์ เมตตามหานิยม
79.เสน่ห์จันทร์หอม เป็นว่านมหาเสน่ห์ช่วยให้ค้าขายดีขึ้นดุจเทน้ำเทท่า
80.พัดโบก เป็นว่านมหามงคลสูงพร้อมด้วยเมตตา มหานิยม
81.เถาว์วัลย์หลง ดีทางเจรจาพาที เป็นที่เมตตามหานิยม
82.มหากวัก อานุภาพสิริมงคล ส่งเสริมกิจการธุรกิจการค้าและเจริญก้าวหน้า
83.พุทธกวัก ว่านนี้ดีทางเมตตาและทางการค้า
84.สบู่เลือด ดีทางด้านคงกระพันชาตรี โบราณนิยมมาสร้างพระ
85.แมงมุม เด่นทางแคล้วคลาด ปกป้องจากสิ่งอัปมงคล
86.พระเจ้า5พระองค์ ในทางแคล้วคลาดอันตรายอุบัติเหตุต่างๆ
87.ธรณีสาร ความเป็นมงคลอานุภาพสิริมงคล ส่งเสริมกิจการธุรกิจการค้า
88.สิบแสน เป็นว่านทางเมตตามหานิยม ทำให้ประสบโชคลาภ
89.กวักโพธิ์เงิน ว่านเสน่ห์เมตตามหานิยม นำโชคนำลาภ
90.เสน่ห์ขุนแผน เป็นเมตตามหานิยมรักใคร่และความเจริญรุ่งเรือง
91.เศรษฐีพญาบดินทร์ ทางเมตตามหานิยมสูงทั้งนำโชค
92.กวักทองคำ ว่านสิริมงคล ว่านแห่งโชคลาภ
93.ห้าร้อยนาง ใช้ในทางเมตตามหานิยม
94.สาลิกา มีอานุภาพทางเมตตามหานิยม
95.ดอกทองเขมร เป็นว่านในทางมหาเสน่ห์ เมตามหานิยมอย่างแรงอีกชนิดหนึ่ง
96.ช้างผสมโขลง เป็นเสน่ห์เมตตามหานิยม
97.กำแพงเงิน เป็นเสน่ห์เมตตามหานิยม แก่ผู้พบเห็นยิ่งนัก
98.มหาเมฆ เป็นว่านนิยมมาตั้งแต่โบราณ ดีทางคลกระพันชาตรี เป็นตบะเดชะ
99.ไพลปลุกเสก อานุภาพเกิดลาภผล ความอุดมสมบูรณ์พูนสุขเจริญรุ่งเรือง
100.จ่าว่าน เป็นว่านอานุภาพสูงให้ทรงด้วยอานุภาพ ป้องกันเสนียดจัญไร
101.จังงัง เป็นเมตตามหานิยม เป็นที่รักใคร่เมตตาแก่ศัตรูหมู่มารทำให้ไม่กล้าคิดร้าย
102.กวักเงินกวักทอง ว่านเสน่ห์เมตตามหานิยม นำโชคนำลาภเงินทอง
103.เพชรกลับดำ เด่นทางแคล้วคลาด ปกป้องจากสิ่งอัปมงคล ไปที่ใดปราศจากอันตราย
104.วาสนาทางลาย เด่นทางโชคลาภวาสนา เจริญด้วยความสมบูรณ์พูนสุข
105.เศรษฐีขอดทรัพย์ ใช้ในทางลาภเป็นเมตตามหานิยม
106.ทองคำ ใช้ในทางโชคลาภเงินทอง
107.ปราบสมุทร สรรพคุณทางคงกระพันชาตรี
108.เศรษฐีนางกวัก ช่วยกวักทรัพย์ กวักลาภ กวักผู้คน ลูกค้าให้ไปมาหาสู่มิได้ขาด


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: ืืnakabelieve ที่ 25 ตุลาคม 2561, 10:35:10
เหรียญเนื้อตะกั่ว ลองพิมพ์เหรียญรุ่นแรก รุ่นมหานิยม
 เหรียญเนื้อตะกั่ว ลองพิมพ์ จำนวน 3 คู่
    1.ด้านหน้า 3 เหรียญ 
    2.ด้านหลัง 3 เหรียญ
ลักษญะพิเศษ
    ผู้สร้างได้นำโค๊ด ประจำกายญาถ่านเบิ้ม มาตอก จำนวน 9 จุด
    โค๊ด หนุมาร


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: ืืnakabelieve ที่ 06 พฤศจิกายน 2561, 11:15:51
รูปหล่อญาถานเบิ้ม รุ่นแรก ปี 2561
    ทุกองค์มีตอกโค๊ด(หนุมาน)ใต้ฐานอุดมวลสารวาน 108 และเกษาญาถานเบิ้ม
วัตถุประสงค์ในการจัดสร้าง
     เพื่อเป็นวัตถุมงคลที่ระลึกให้ลูกศิษย์ที่มาร่วมบุญสร้างกำแพงแก้วพระอุโบถส์วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
จำนวนการจัดสร้าง มี 7 เนื้อ
     1.เนื้อทองเหลือง   จำนวน    1   องค์
     2.เนื้อทองแดง      จำนวน    9   องค์
     3.เนื้อปลอกลูกปืน  จำนวน    9   องค์
     4.เนื้อตะกั่ว          จำนวน   59  องค์
     5.เนื้อเงิน            จำนวน  149 องค์
     6.เนื้อเรซิ่น          จำนวน  199 องค์
     7.เนื้อวาน 108     จำนวน  299 องค์
และยังมีรูปหล่อชุดกรรมการ โดยมีลักษณะ การตอกโค๊ดรอบฐาน เป็นเลข 9 จำนวน 9 จุด
     จัดสร้างรูปหล่อชุดกรรมการ จำนวน 29 องค์


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: ืืnakabelieve ที่ 13 พฤศจิกายน 2561, 08:45:32
ฤาษีดำ ญาถ่านเบิ้ม อ.เขมราฐ จ.อุบล ที่เดียวให้อุบลที่นำวานไพรดำมาจัดสร้างได้ จำนวนสร้าง 59 องค์ มวลสารที่ใช้ เป็นวานไพรดำ พ่อสัมฤทธิ์ ผสมไม้มงคล 108 ราคาวานไพรดำคนที่รู้จัก จะรู้ว่ามีราคาที่แพงมาก และยิ่งทำเป็นวัตถุมงคล ยังมีราคาแพงเหมือน ฤาษีดำ สร้างตามจำนวนจอง


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 20 มกราคม 2562, 09:35:29
พระผงนาคา รุ่นแรก ญาถานเบิ้ม วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี แจกงานไหว้ครูปี 62                                                                                                                                                                                                                                           
        จำนวนการจัดสร้าง
               1.พระผงนาคา เนื้อผสมมวลสาร เฉพาะองค์ เช่น ข้าวเหนียววานไพรดำ 10 องค์ แร่เหล็ก10 องค์ ตะกรุดนางสายฝน 3 องค์ พลอยดำ10 องค์ พลอยขาว10 องค์ เป็นต้น จำนวนอย่างละ 10 องค์ รวม 43 องค์
               2.พระผงนาคา ฝังตะกรุด 3 ดอก จำนวน 3 องค์ นำฤกษ์
               3.พระผงนาคา ฝังตะกรุด 1 ดอก จำนวน 108 องค์
               4.พระผงนาคา ฝังตะกรุด 9 ดอก จำนวน 108 องค์
               5.พระผงนาคา รวมมวลสาร จำนวน 999 องค์
       มวลสารหลัก
               มีมวลสารหลัก 23 ชนิด ดังนี้
               1.เม็ดผงกฤติยาคม หรือผงวิเศษ ที่ญาถานเบิ้มปลุกเสก
               2.ผงดอกไม้แห้ง
               3.ผงขี้ธูป ก้านธูป
               4.ผงดินสอพองหรือแป้งกระแจะ
               5.ผงใบลานดิบ
               6.ใบลานสุก
               7.ผงผงสบู่เลือด
               8.เม็ดผงน้ำตาเทียนไขบด เทียนแหลืองบด
               9.ผงพระสมเด็จหัก
               10.ผงพระเนื้อดินเก่า
               11.เม็ดเกสรบัวแดง
               12.เม็ดเกสรบัวหลวง
               13.ผงวานไพรดำ พ่อสัมฤทธิ์
               14.แร่ดาวตก แร่สะเก็ดดาว หรือกากยายักษ์
               15.วานช่วงระอา
               16.ข้าวสุกตากแห้ง
               17.เกศาญาถ่านเบิ้ม วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
               18.เศษจีวรญาถ่านเบิ้ม วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
               19.ดินโป่งเหลือง
               20.ดินโป่งแดง
               21.ดินโป่งเขียว
               22.ว่านเสน่ห์ค้าขาย และไม้มงคลต่างๆ
               23.เกสร ๑๐๘


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 20 มกราคม 2562, 11:52:55
พระผงนาคา รุ่นแรก ญาถานเบิ้ม วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี แจกงานไหว้ครูปี 62


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 22 มกราคม 2562, 11:43:58
ภาพวัตถุมงคลที่แจก งานไหว้ครู ปี 61


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2562, 09:01:15
พระกริ่งกฐิน ปี 62
    วัตถุประสงค์การจัดสร้าง เพื่อมอบเป็นกำลังใจให้กับประธานผู้จัดหากองกฐิน ปี 62                       
จำนวนจัดสร้าง มี 2 ลักษณะ ทุกองค์ ตอกโค๊ดใต้ฐาน ตอกเลข ๙
1.พระกริ่งกฐิน ลักษณะที่หนึ่ง ตอกโค๊ด ตอง ๙๙๙  ด้านหลังฐาน มีจำนวนจัดสร้าง 9 องค์ 
2.พระกริ่งกฐิน ลักษณะที่สอง ตอกโค๊ด เลข ๙  ด้านหลังฐาน มีจำนวนจัดสร้าง 39 องค์


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2562, 09:02:14
สติกเกอร์ แจกงานไหว้ครูปี 62


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2562, 09:02:57
เสื้อ ใช้ใส่ในงานไหว้ครูปี 62


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2562, 09:04:43
เสื้อ ไหว้ครูปี 62


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 05 มีนาคม 2562, 15:17:04
ความภูมิใจ ของญาติธรรมเขมราฐ 1 ใน 10 พระคณาจารย์ ด้วย อธิบดีกรมศิลปากร สังกัด กรมศิลปากร สำนักงานส่วนกลาง กรุงเทพมหานคร จัดสร้างพระพิฆเนศในโอกาสครบรอบ 108 ปี แห่งการสถาปนากรมศิลปากร ทางกรมศิลปากรจึงได้ขอความอนุเคราะห์ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตตโม (ญาถ่านเบิ้ม) วัดวังม่วง อำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี ลงอักขระยันต์ในแผ่นโลหะทอง เพื่อนำไปเททองหล่อองค์พระพิฆเนศ ประดิษฐาน ณ กรมศิลปากร สำนักงานส่วนกลาง กรุงเทพมหานคร


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 05 มีนาคม 2562, 15:20:53
ประมวลภาพพิธีไหว้ครูธรรมใหญ่ บรมครูญาถานเบิ้ม สายธรรมอุตตโมบารมี วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี ขอบคุณปู่ ยาย ตา ย่า พี่ น้อง ที่ให้ความร่วมมือร่วมใจดำเนินการจัดงานให้เสร็จลุล่วง สาธุครับ บรมครูใหญ่ หนุนการหนุนงาน สาธุครับ


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 05 มีนาคม 2562, 15:29:28
พระกริ่งกฐิน รุ่นแรก ปี62 ญาถานเบิ้ม วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
    วัตถุประสงค์การจัดสร้าง เพื่อมอบเป็นกำลังใจให้กับประธานผู้จัดหากองกฐิน ปี 62
จำนวนจัดสร้าง มี 2 ลักษณะ ทุกองค์ ตอกโค๊ดใต้ฐาน ตอกโค๊ดเลข ๙
1.พระกริ่งกฐิน ลักษณะที่หนึ่ง ตอกโค๊ด ตอง ๙๙๙ ด้านหลังฐาน มีจำนวนการจัดสร้าง 9 องค์
2.พระกริ่งกฐิน ลักษณะที่สอง ตอกโค๊ด ตอง ๙ ด้านหลังฐาน มีจำนวนการจัดสร้าง 39 องค์


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 23 มีนาคม 2562, 22:02:01
การสืบสายธรรมของ (ญาถ่านเบิ้ม)มาจากไหนบ้าง..จึงได้จัดทำเนียบการสืบทอด...จนมาเป็นสายธรรมอุตตโมบารมี...สาธุครับบรมครูชี้นำ
การก่อตั้ง สายธรรมอุตฺตโมบารมี

ประวัติความเป็นมาพิธีกรรมไหว้ครูธรรมใหญ่
สายธรรมอุตฺตโมบารมี
     เดิม ศิษย์รุ่นแรกจะ เรียกว่า สายอุตฺตมะอุตฺตโม ความเป็นมาพิธีกรรมไหว้ครูธรรมใหญ่สายอุตฺตมะอุตฺตโม ในทุกปีจะมีการทำพิธีกรรมไหว้ผีไท้หรือผีเชื่อสาย พร้อมกับพิธีไหว้ครูธรรมใหญ่ที่ต้องจัดขึ้นทุกปี หลวงปู่เล่าว่า หลวงปู่สำเร็จต้นบอกกับท่านว่า พิธีกรรมไหว้ครูธรรมใหญ่เท่าที่ท่านจำได้ว่า น่าจะเริ่มมีการจัดในสมัยที่ญาท่านอุตตะมะปฐมาจารย์ใหญ่ผู้เป็นอาจารย์ของสำเร็จลุน เจ้าอาวาส วัดสิงหาญ ต.สะพือ อ.ตระการพืชผล จ.อุบลราชธานี พ.ศ.2345-2395 ก่อนท่านมรณะ 10 ปี ก็จะอยู่ในช่วงปี พ.ศ.2405 และเป็นช่วงของญาท่าน(สำเร็จ)สีดา เจ้าอาวาส พ.ศ.2395-2450 เพราะหลวงปู่สำเร็จต้นจำได้ว่าตรงกับวันสำคัญ คือ วันพระราชสมภพ เจ้าแก้วนวรัฐ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่องค์ที่ 9 แห่งราชวงศ์ทิพย์จักราธิวงศ์ (เจ้าเจ็ดตน) ซึ่งเป็นองค์สุดท้ายแห่งนครเชียงใหม่ พ.ศ.2405 จะอยู่ในช่วงนี้ ดังนั้นการหาวันพิธีกรรมไหว้ครูธรรมใหญ่ปีนั้นจึงมีความง่ายมาก เพราะครูบาอาจารย์ได้ให้ลูกศิษย์ใช้ วันที่ขึ้น 3 ค่ำ เดือนสาม ของทุกปีจัดพิธีกรรมไหว้ครูธรรมใหญ่ จึงสามารถสรุปวันพิธีกรรมไหว้ครูธรรมใหญ่ ทั้งแรกคือ วัน อาทิตย์ ที่ 2 เดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ.2405 ขึ้น ๓ ค่ำเดือนสาม(๓) ปีระกา นับจากนั้นมาจึงเริ่มมีการทำพิธีไหว้ครูธรรมใหญ่อย่างเป็นทางการ ปัจจุบันปี 2563 มีอายุการประกอบพิธีกรรมมาแล้ว 158 ครั้ง

   หลังจากนั้นเริ่มมีศิษย์เข้ามาขอเล่าเรียนพระเวทย์อาคม มีทั้งพระและฆราวาส โดยเรียกกันในกลุ่มว่า สายธรรมอุตฺตะอุตฺตโม บ้างท่านก็เลือกเรียนเฉพาะอย่าง เช่น บ้างท่านเลือกธรรมพุทโธ บ้างท่านเลือก ธรรมบรรลุ บ้างท่านเลือกธรรมอะระหัง เป็นต้น แต่ในกลุ่มจะรู้กันดีว่าออกจากสายธรรมอุตฺตะอุตฺตโม
   หลวงปู่สว่าง โพธิญาโณ ท่านเล่าว่า ตัวท่านเองได้มาเล่าเรียนในสายธรรมอุตฺตะอุตฺตโมสมัยที่ท่านนั้นยังไม่ข้ามมาฝังไทย ยังธุดงปฏิบัติกรรมฐานตามป่าเขาในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
จึงมีโอกาสได้เข้าไปฝากตัวเป็นศิษย์เล่าเรียนอาคมกับหลวงปู่สำเร็จลุน หลวงปู่สำเร็จลุนท่านจึงได้ส่งต่อให้กับสำเร็จตันที่ประสิทธิ์วิชาท่านเป็นเคยอุปถากหลวงปู่สำเร็จลุนเป็นผู้ชี้แนะสั่งสอน จนได้เจอกับศิษย์ผู้น้อง คือ หลวงปู่จันทร์หอม สุภาทโร หลังจากนั้นก็ตามพากันกราบลาปรมาจารย์แยกออกเดินทางเพื่อปฏิบัติตามป่าเขา
ต่อมาหลวงปู่สว่าง โพธิญาโณ ท่านได้รับการแจ้งข่าวเรื่องการมรณภาพของหลวงปู่สำเร็จลุน ตรงกับ พ.ศ. ๒๔๖๓ ที่วัดเวินไซ เมืองโพนทอง แขวงนครจำปาศักดิ์ ประเทศลาว (สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวปัจจุบัน) รวมอายุ ๘๔ ปี พรรษา ๖๔ หลวงปู่สว่าง โพธิญาโณ ท่านได้ไปร่วมงานพิธี ช่วยสำเร็จตันและเจ้าบุญอุ้ม ณ จำปาศักดิ์จนเสร็จเรียบร้อย จึงได้กราบลาสำเร็จตันเพื่อเดินทางกับยังวัด  สำเร็จตันจึงได้มอบพระเกษา พระอิฐิ บ้างส่วนให้หลวงปู่สว่าง โพธิญาโณ ติดตัว หลังจากนั้นไม่นานเกิดปัญหาภายในประเทศหลวงปู่สว่าง โพธิญาโณ จึงข้ามมาฝังไทยแล้วจำพรรษาที่วัดบ้านนาหว้านาสนาม อ.เขมราฐ จ.อุบล
หลวงปู่สว่าง โพธิญาโณ ท่านมาอาศัยอยู่ที่วัดบ้านนาหว้านาสนาม ก็ได้มีเหล่าศิษย์ที่หลวงปู่เคยชี้แนะสั่งสอนพระเวทย์อาคมให้รู้ว่าท่านอยู่ที่วัดบ้านนาหว้านาสนาม จึงเดินทางมากราบท่านทุกปี ในแต่ละปีจะเป็นภาพที่มีผู้คนเดินทางมีทำพิธีไหว้ผีทัย ผีเชื่อ ทั้งจาก สปป.ลาว และจากไทย
เริ่มให้ใช้ชื่อ สายธรรมอุตฺตโมบารมี
หลวงปู่สว่าง โพธิญาโณ ท่านมอบว่า ในอนาคตจะมีฆราวาสเข้ามาเล่าเรียนในสายหลวงปู่สำเร็จลุนมากมาย ท่านจึงให้ตัดคำว่า อุตฺตมะ ออกให้เหลือแต่คำว่า อุตฺตโม แปลว่า สูงสุด, ดีที่สุด, ยอดเยี่ยม, เลิศ เป็นผู้ใฝ่รู้ใฝ่เรียน เป็นผู้มีความเพียรในคำสอน เป็นผู้ยึดคำสอนครูเป็นหลัก ศิษย์ฆราวาสรุ่นต่อมาจึงใช้ชื่อ   สายธรรมอุตฺตโมบารมี สืบทอดต่อมา
จากต้นกำเนิดมาจนถึงปัจจุบันการสืบทอดสายธรรมนี้ก็มีอายุนับร้อยขึ้น สืบทอดกันเป็นรุ่น        ก่อนที่หลวงปู่สว่าง โพธิญาโณ จะล้มป่วย ท่านได้มอบพระเกษา พระอิฐิให้กับปู่รินทอง หัวหน้าโรงเลื่อยบ้านนาสนาม ปู่รินทองคือบิดาของญาถานเบิ้ม อุตฺตโม ผู้สืบทอด รุ่นที่ 3  ต่อมาพระเกษา พระอิฐิปรมาจารย์      หลวงปู่สำเร็จลุน วัดเวินไซ เมืองโพนทอง แขวงนครจำปาสัก สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวที่ได้รับการส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นจนมาถึงสายธรรมอุตฺตโมบารมี โดยมีหลักฐานพยานบุคคล ไม่ว่าจะเป็นเชื่อสายตรง ชาวบ้านที่อยู่ใกล้วัดเวินไซ หรือศิษย์ที่ข้ามมาไทยท่านได้นำข้ามมายังประเทศไทย บ้างท่านได้แต่ผงพระอัฐิ บ้างท่านได้ เขี้ยวท่านหรือฟัน บ้างท่านได้ พระเกษาและยิ่งมีเกิดความบังเอิญ ท่านที่ได้ครอบครอง ได้แบ่งให้บรมครูสายธรรมอุตฺตโมบารมี วัตถุประสงค์เพื่อให้เป็นเสาหลักให้ศิษย์ ได้กราบบูชาเป็นตัวแทนของปรมาจารย์ใหญ่หลวงปู่สำเร็จลุน และให้ สืบทอดต่อไป


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 19 เมษายน 2562, 14:56:04
ไหว้ครูธรรมใหญ่สายธรรมอุตตโมบารมี ปี 2563 ครั้งที่ 158

ประวัติความเป็นมาไหว้ครูธรรมใหญ่สายธรรมอุตตโมบารมีครั้งแรก
ประวัติจากคำบอกเล่าจากปากท่าน และชาวบ้าน

หลวงปู่สว่าง โพธิญาโณ วัดสนามชัย บ.นาหว้าน้อย อ.เขมราฐ จ.อุบลฯ เกิดปี 2472 ศิษย์ผู้เป็นพี่ของหลวงปู่จันทร์หอม สุภาทโร เจ้าอาวาสวัดบุ่งขี้เหล็ก อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
...หลวงปู่สว่างได้เล่าให้ลูกหลานฟังว่า สมัยนั้นท่านยังไม่ข้ามมาฝังไทย ยังธุดงปฏิบัติกรรมฐานตามป่าเขาในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
เล่าเรียนอาคมสายปู่สมเด็จลุน จึงมีโอกาสได้เจอกับศิษย์ผู้น้อง คือ หลวงปู่จันทร์หอม สุภาทโร ต่อมาท่านปรมาจารย์ใหญ่ท่านอาจารย์สมเด็จตันที่ประสิทธิ์วิชา
ท่านเป็นเคยอุปถากหลวงปู่สมเด็จลุน จึงได้แบ่งเกษา อิฐิ บ้างส่วนให้หลวงปู่สว่างติดตัว ต่อมาหลวงปู่ท่านได้เดินทางข้ามมาฝั่งประเทศไทยในปี พ.ศ.2513 มาอยู่ที่วัดสนามชัย หลังจากนั้นไม่นานเกิดปัญหาภายในประเทศลาวเมื่อ พ.ศ.2518 พี่น้องทางประเทศลาวจึงข้ามมาฝังไทยเป็นจำนวนมาก

ประวัติความเป็นมาพิธีกรรมไหว้ครูธรรมใหญ่
สายธรรมอุตฺตโมบารมี
     เดิม ศิษย์รุ่นแรกจะ เรียกว่า สายอุตฺตมะอุตฺตโม ความเป็นมาพิธีกรรมไหว้ครูธรรมใหญ่สายอุตฺตมะอุตฺตโม ในทุกปีจะมีการทำพิธีกรรมไหว้ผีไท้หรือผีเชื่อสาย พร้อมกับพิธีไหว้ครูธรรมใหญ่ที่ต้องจัดขึ้นทุกปี หลวงปู่เล่าว่า หลวงปู่สำเร็จต้นบอกกับท่านว่า พิธีกรรมไหว้ครูธรรมใหญ่เท่าที่ท่านจำได้ว่า น่าจะเริ่มมีการจัดในสมัยที่ญาท่านอุตตะมะปฐมาจารย์ใหญ่ผู้เป็นอาจารย์ของสำเร็จลุน เจ้าอาวาส วัดสิงหาญ ต.สะพือ อ.ตระการพืชผล จ.อุบลราชธานี พ.ศ.2345-2395 ก่อนท่านมรณะ 10 ปี ก็จะอยู่ในช่วงปี พ.ศ.2405 และเป็นช่วงของญาท่าน(สำเร็จ)สีดา เจ้าอาวาส พ.ศ.2395-2450 เพราะหลวงปู่สำเร็จต้นจำได้ว่าตรงกับวันสำคัญ คือ วันพระราชสมภพ เจ้าแก้วนวรัฐ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่องค์ที่ 9 แห่งราชวงศ์ทิพย์จักราธิวงศ์ (เจ้าเจ็ดตน) ซึ่งเป็นองค์สุดท้ายแห่งนครเชียงใหม่ พ.ศ.2405 จะอยู่ในช่วงนี้ ดังนั้นการหาวันพิธีกรรมไหว้ครูธรรมใหญ่ปีนั้นจึงมีความง่ายมาก เพราะครูบาอาจารย์ได้ให้ลูกศิษย์ใช้ วันที่ขึ้น 3 ค่ำ เดือนสาม ของทุกปีจัดพิธีกรรมไหว้ครูธรรมใหญ่ จึงสามารถสรุปวันพิธีกรรมไหว้ครูธรรมใหญ่ ทั้งแรกคือ วัน อาทิตย์ ที่ 2 เดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ.2405 ขึ้น ๓ ค่ำเดือนสาม(๓) ปีระกา นับจากนั้นมาจึงเริ่มมีการทำพิธีไหว้ครูธรรมใหญ่อย่างเป็นทางการ ปัจจุบันปี 2563 มีอายุการประกอบพิธีกรรมมาแล้ว 158 ครั้ง


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 27 เมษายน 2562, 17:24:34
ประวัติ เศียรพ่อปู่ฤาษีนารอด-เศียรพ่อปู่ฤาษีตาไฟ สร้างเมื่อปี 2549-2550 มี 3 รุ่น ของญาถานเบิ้ม อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
1.ขี้เหล็กไหลจากถ้ำสกลนคร.ที่แตกตัวออกเป็นเม็ดโดยธรรมชาติ ตามจำนวนเศียร
2.วานไพรดำพ่อฤทธิ์และข้าวดำให้หลวงพี่สมัยพ่อสัมฤทธิ์มาช่วยงานวัดพระธาตุพนม
3.แร่ไพธิ์เงินจากอีนเดีย.ที่มีลักษณะเหมือนเกล็ดเงิน.
4.ผงมวลสารของหลวงปู่ทวด วัดช้างให้
5.กาฝากไม้มงคล 9 อย่าง 1.กาฝากรักซ้อน 2.กาฝากมะรุม 3.กาฝากมะยม 4.กาฝากมะขาม 5.กาฝากกาหลง 6.กาฝากขนุน 7.กาฝากยอ 8.กาฝากพยุง 9.กาฝากคูณ
6.ผงแก่มขามฟ้าผ่า
7.ผงแก้นงิ้วดำ ตัวผู้ ตัวเมียจากเขมร
8.หน้าผากเสือ.ที่นอนตายโดยธรรมชาติ
9.ผงเงินเมืองผีบังบด
10.ผงช่องระอา
11.งาช้างจากเขมร
12.ผงกระดูกช้างจากบุรีรัมม์
13.วานสายเสน่ห์
14.วานสายเหนียว
15.จีวรหลวงปู่คูณ
16.เกษาหลวงปู่สรวง
17.เกษาหลวงปู่วัดพิช
18.เกษาญาถ่านเบิ้ม
19.เม็ดต้นมณีโคตร.จากฝั่งลาว
20.หอยพันปีจากบ้านสามแยกเมืองใหม่
21.ผงพระสมเด็จแท้จากวัดระฆัง
22.ประหลอด
23.ผงกาลาตาเดียว
24.ผงวาน108
25.ผงพระลักษณ์ของหลวงกาหลง
26.คำหมากฤาษีที่ยุในหิน ญาถ่านท่านนั่งเห็นแล้วให้ลูกศิษย์ไปทุบเอา


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 27 เมษายน 2562, 17:29:15
นานๆจะเห็นมา เศียรพ่อปู่ฤาษีนารอด-เศียรพ่อปู่ฤาษีตาไฟ สร้างเมื่อปี 2549-2550 ญาถานเบิ้ม อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 27 เมษายน 2562, 18:28:40
สวยงาม แต่ละองค์ไม่เหมือนกัน เศียรพ่อปู่ฤาษีตาไฟ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตตโม ยุคแรก สร้างเมื่อ พ.ศ.2548-2549
จำนวนการจัดสร้าง มีทั้งหมด 3 แบบ
แบบที่ 1 มีจำนวน 9 เศียร ปี พ.ศ.2548 ได้แห่เหล็กไหล มา 9 เม็ด
แบบที่ 2 มีจำนวน 12 เศียรปี พ.ศ.2549 ได้แห่เหล็กไหล มา 12 เม็ด
แบบที่ 3 มีจำนวน 32 เศียร มวลสารที่ใช้ในแบบที่ 3 นี้ จะแน่น ผงเนื้อแกนขามฟ้า

ทุก 3 แบบ จะมีมวลสารในสมัยที่ท่านเดินธุดง นับ 20 ปี ร่วมอยู่ในเศียรทุกองค์

เหตุที่ลูกศิษย์ของพระอาจารย์สมศักดิ์ อุตตโม จัดสร้างเศียรบรมครูพ่อปู่ฤาษีตาไฟ
       เนื่องจาก พระฤาษีตาไฟนับเป็นบรมครูผู้หนึ่งในอดีตกาลที่เชื่อถือกันว่าท่านสำเร็จอภิญญาสมาบัติ สำเร็จวิชากสิณไฟ สามารถเพ่งจนเกิดไฟลุกได้อย่างน่าอัศจรรย์ หรือสามารถเพ่งตะกั่วโลหะด้วยสายตาจนตะกั่วหรือโลหะนั้นหลอมละลายตัวลง ในตำรามักกล่าวว่าท่านมีพระเนตรที่ 3 อยู่กึ่งกลางหน้าผาก หากเนตรที่สามหรือตาที่สามนี้ลืมขึ้นเมื่อใดจะเกิดไฟประลัยกัลป์ขึ้นเมื่อนั้น คล้ายกับพระอิศวรที่มีเนตรที่สามเช่นกัน ดังนั้นครูบาอาจารย์บางท่านเชื่อถือกันว่า พระฤาษีตาไฟผู้เป็นบรมครูนี้หาใช่ใครอื่นไม่ น่าจะเป็นการอวตารภาคของพระอิศวรในภาคบรมครูผู้สั่งสอนทางธรรมก็เป็นได้
บรมครูพ่อปู่ฤาษีตาไฟ นับเป็นบรมครูชั้นสูงอีกพระองค์ของไทยเรามีนามปรากฏอยู่หลายแห่งด้วยกัน อานิสงส์ของการได้ครอบ เศรียรปู่ฤาษีตาไฟนั้น นำความสุขความเจริญ ความมั่งคั่งร่ำรวย มาสู่ตัวผู้นั้น ที่สำคัญ คือ อำนาจจากการตบะบารมีของพ่อปู่ฤาษีตาไฟนั้นจะผลาญสิ่งชั่วร้ายทั้งหลายในชีวิตให้สิ้นไป ทั้งยังเป็นรัศมีอันแรงกล้าคอยคุ้มครองให้พ้นจากอำนาจคุณไสยมนต์ดำ ยังแสงสว่างให้บังเกิดในดวงชะตา เป็นสง่าราศีดั่งพระอาทิตย์พระจันทร์
         ความน่าอัศจรรย์ประการหนึ่งของพระฤษีตาไฟผู้มีจักษุทิพย์ที่สามกลางหน้าผาก คือ เรื่องของญาณหยั่งรู้เหนือมนุษย์ ซึ่งเหตุนี้เองที่ทำให้เกิดอานิสงส์สำคัญในยามที่ผู้นับถือทางโหราศาสรตร์ ศาสตร์แห่งการพยากรณ์ทั้งปวง ได้รับการครอบเศียรปู่ฤาษีตาไฟ เพราะอำนาจจากการตบะแห่งดวงตาที่สามที่นอกจากเป็นแรงคุ้มครองสิ่งชั่วร้ายแล้ว ยังก่อให้เกิดญาณหยั่งรู้ภายในตัวอีกด้วย
           ผู้ที่เป็นนักพยากรณ์หรือสนใจในศาสตร์นี้เมื่อได้รับครอบแล้วมักจะมีความรู้แปลกๆเกิดขึ้น มีญาณสัมผัสที่แม่นยำขึ้น แต่ความสามารถนี้ก็มิได้เกิดกับผู้ที่ร่ำเรียนทางโหราศาตร์เท่านั้น แม้ผู้ที่ศรัทธาท่านอื่นๆที่มีความสนใจในศาสตร์ที่เร้นลับ และหากยิ่งเป็นนักปฏิบัติธรรมแล้วด้วยก็ยิ่งเกิดความสามารถทางจิตในเชิงนี้ได้เร็วและดียิ่งๆขึ้นไปอีก
พลังแรงครูจะคอยคุ้มครองให้โชคลาภ เอื้ออำนวยประโยชน์สุขทุกๆด้านของชีวิต


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 27 เมษายน 2562, 18:40:12
เศียรพ่อปู่ฤาษีตาไฟ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตตโม ยุคแรก สร้างเมื่อ พ.ศ.2548-2549
แบบที่ 1 มีจำนวน 9 เศียร ปี พ.ศ.2548 ได้แห่เหล็กไหล มา 9 เม็ด




หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 01 พฤษภาคม 2562, 08:33:34
ยุคต้น ญาถานเบิ้ม อุตฺตโม บรมครูใหญ่สายธรรมอุตฺตโมบารมี


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 01 พฤษภาคม 2562, 08:39:57
วัตถุมงคลแจกในงานไหว้ครู 62 ญาถานเบิ้ม วัดวังม่วง อำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 13 พฤษภาคม 2562, 21:50:25
บรมครูใหญ่หลวงปู่ทา นาควัณโณ บูรพาจารย์ศิษย์สายสำเร็จลุน ศิษย์รุ่นสุดท้ายแห่งหลวงปู่ญาถ่านตู๋ ถ่ายภาพคู่กับญาถานเบิ้ม วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี บรมครูใหญ่สายอุตตโมบารมี


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 21 พฤษภาคม 2562, 15:41:27
ภาพอัดใส่กรอบไปให้บรมครูใหญ่หลวงปู่ทา นาควัณโณ ผู้สืบทอดวิชาอาคมบรมครูสมเด็จลุน..ท่านให้อนุญาตอัดภาพใส่แล้วนำไปให้ท่าน..เป็นการถ่ายภาพคู่ระหว่างญาถ่านเบิ้ม บรมครูสายธรรมอุตตโมบารมี...สาธุครับบรมครูสายธรรมอุตตโมบารมีหนุนนำ


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 26 พฤษภาคม 2562, 21:58:58
ญาถานเบิ้ม อุตฺตโม รับลูกศิษย์ สืบทอดพระเวทย์อาคม สายธรรมอุตฺตโมบารมี


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 26 พฤษภาคม 2562, 22:09:06
ศิษย์สายธรรมอุตฺตโมบารมี


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 26 พฤษภาคม 2562, 22:48:35
ตะกรุดครู รุ่นแรก ปี 61 สร้าง 9 ดอก พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตตโม ญาถ่านเบิ้ม วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบล
พุทธคุณ
มีพุทธานุภาพอำนาจพุทธคุณ ปกป้องภัย ความจัญไร ป้องกันพยันตราย 108
เเคล้วคลาดจากอันตรายทั้งปวง เขียนเป็นอักขระลงในแผ่นตะกั่ว    
มีอิทธิคุณเด่นทางด้านโภคทรัพย์โชคลาภ หนุนดวง เสริมดวงชะตาราศี
เป็นศิริมงคลบังเกิดลาภผล แคล้วคลาดป้องกันภัย เป็นของขลังของดี


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 26 พฤษภาคม 2562, 23:12:15
หลวงปู่ทา นาควัดโณ...มอบผ้าสังฆาฏิ
หลวงปู่ทา นาควัดโณที่สามารถสืบค้นประวัติการสืบทอดอาคมจากบรมครูใหญ่ปู่สมเด็จลุนได้อย่างชัดเจนที่สุด
เป็นบุญเหนือหัวจริงๆๆหลวงปู่ท่านเมตตาให้นำผ้าสังฆาฏิ ที่อยู่กับท่านสมัยบวชกับบรมครูญาถ่านตู๋ ประมาณ 26-30 พรรษา
หลวงปู่ให้นำไปเป็นมูลสืบทอดของสายธรรมอุตตโมบารมี


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 15 มิถุนายน 2562, 07:51:54
#ตะกรุดรกแมว รุ่นแรก ญาถานเบิ้ม อุตตโม วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
#แจกฟรีไปขอรับกับท่านโดยตรง จำนวนการจัดสร้าง 99 ดอก
#มวลสารหลัก มีดังนี้
0.รกแมวหรือน้องแมว ที่อัดแน่นในตะกรุก
1. ผงไม้มณีโคตร
2. ผงวานไพรดำแท้
3. ผงข้าวเม็ดวานไพรดำ
4. ผงอิฐพระธาตุพนมองค์เดิม
5. ธาตุกายสิทธิ์ผงพญานาคราช
6. ผงเพชรหน้าทั่งเงิน
7. ผงเพชรหน้าทั่งทอง
8. ผงแร่เหล็กน้ำพี้
9. ผงแร่โพธิ์เงิน
10. ผงไม้ไผ่ตัน
11. ผงดินช้างปง
12. ผงแก่นงิ้วดำ
13. ผงแก่นขามฟ้าผ่า
14. ผงสบู่เลือด
15. ผงไม้ช่องระอา
16. ผงวานอีเฒ่าเนื้อเหนียว
17. ผงวาน 108 อย่าง
18. ผงแร่เศรษฐี
19. ผงแร่เหล็กในถ้ำ
20. ผงนาคาพม่า....และอีกหลายอย่าง


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 17 มิถุนายน 2562, 10:39:56
มีประวัติชัดเจน


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 17 มิถุนายน 2562, 14:32:19
พระสมเด็จอัฐิ 5 พระองค์ วัตถุมงคลยุคต้น บรมครูใหญ่ญาถานเบิ้ม อุตตโม อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 30 มิถุนายน 2562, 21:23:32
พระผงแม่ธรณีคุ้มภัย แจกงานฉลองพระอุโบสถ
บรมครูญาถานเบิ้ม อุตฺตโม บรมครูใหญ่สายธรรมอุตฺตโมบารมี
ผู้จัดสร้างถวาย อาจารย์เวทย์ สีจันทะวง
การจัดสร้างมี 4 แบบ มีดังนี้
                          แบบที่ 1 เนื้อแร่กายสิทธิ ฝังตะกรุดทอง 3 ดอก จำนวน 19 องค์
                          แบบที่ 2 เนื้อวานกายสิทธิ ฝังตะกรุดเงิน 1 ดอก จำนวน 59 องค์
                          แบบที่ 3 เนื้อวานพิเศษปัดทอง จำนวน 99 องค์
                          แบบที่ 4 เนื้อวานพิเศษ จำนวน 9,999 องค์
มวลสารหลักมีดังนี้
1. ผงไม้มณีโคตร
2. ผงวานไพรดำแท้
3. ผงข้าวเม็ดวานไพรดำ
4. ผงอิฐพระธาตุพนมองค์เดิม
5. ธาตุกายสิทธิ์ผงพญานาคราช
6. ผงเพชรหน้าทั่งเงิน
7. ผงเพชรหน้าทั่งทอง
8. ผงแร่เหล็กน้ำพี้
9. ผงแร่โพธิ์เงิน
10. ผงไม้ไผ่ตัน
11. ผงดินช้างปง
12. ผงแก่นงิ้วดำ
13. ผงแก่นขามฟ้าผ่า
14. ผงสบู่เลือด
15. ผงไม้ช่องระอา
16. ผงวานอีเฒ่าเนื้อเหนียว
17. ผงวาน 108 อย่าง
18. ผงแร่เศรษฐี
19. ผงแร่เหล็กในถ้ำ


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 08 กรกฎาคม 2562, 22:40:33
พระผงอุตฺตโม พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
พระผงอุตฺตโม รุ่นแรก ปี2553
ประวัติการจัดสร้าง วัตถุประสงค์ที่ทำแจกเพื่อ ให้ผู้ที่มาร่วมถวายต้นกฐิน ในปี 2553 วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เนื้อผงไม้งิ้วดำ ตะกรุด 1 ดอก จำนวน 9 องค์
เนื้อผงงาช้าง ตะกรุด 3 ดอก จำนวน 9 องค์
เนื้อวาน 108 ตะกรุด 3 ดอก จำนวน 9 องค์
เนื้อดินอาถรรพ์ ตะกรุด 3 ดอก  จำนวน 9 องค
เนื้อรวมมวลสาร ไม่ฝังตะกรุด  จำนวน 64 องค

มวลสารหลัก มีดังนี้ 
1.ผงไม้งิ้วดำตายพราย 2.ผงงาช้าง 3.ผงกระดูกช้าง 4.เศษชิ้นส่วนเชือกประกำครู 5.ผงแก้นขามฟ้าผ่า 6.ดินใต้พระอุโบสถ 9 วัด 7.ผงแร่เหล็กน้ำพี้ 8.ผงแร่เหล็กกายสิทธิ์ หลวงปู่อ๋อง ฐิตธัมโม 9.ผงไม้ไผ่ตัน 10.เกษาญาถานเบิ้ม 11.ผงวาน 108 หลวงปู่จันทร์หอม สุภาทโร 12.แร่มงคลทนสิทธิ์ 108 อย่าง 13.ดินสอพอง หลวงพ่อบุญเรือง สารโท 14.ผงกฐินไฟ หลวงปู่สรวงเทวดาเดินดิน 15.มวลสารอีกมาก


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 14 กรกฎาคม 2562, 11:04:52
เหรียญ รุ่นสร้างโบสถ ของญาถานเบิ้ม อุตฺตโม ชุดกรรมการ จำนวนสร้างอย่างละ 10 เหรียญ แจกเฉพาะ หัวหน้าส่วนราชการ และคณะสงฆ์


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 14 กรกฎาคม 2562, 22:34:39
ล็อกเก็ต รุ่น ช้างเอราวัณประทานพร ญาถานเบิ้ม อุตฺตโม บรมครูสายธรรมอุตฺตโมบารมี
ผู้จัดสร้างถวาย อาจารย์เวทย์ สีจันทะวง
มวลสารหลักมีดังนี้
1.คตข้าวหินโบราณ
2.เชือกครูปะกำ
3.ปฐวีธาตุญาถานเบิ้ม
4.รูปหล่อพญาเต่าเรือนราชา
5.มวลสารทั้งหมดของสายธรรมอุตฺตโมบารมี เช่น ผงไม้มณีโคตร ผงวานไพรดำ เป็นต้น

จำนวนการจัดสร้าง มีดังนี้
1.ฉากทอง 2 เหรียญ ฝังตะกรุดตะกั่วเถื่อน 1 ดอก จีวร ปฐวีธาตุ
2.ฉากเงิน 199 เหรียญ
   * แบ่งใส่เชือกครูปะกำ 49 เหรียญ ทำเป็น ชุด พิเศษ
   * แบ่งเป็นชุดแจก 150 เหรียญ
  


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 15 กรกฎาคม 2562, 11:42:38
แจกในงานพิธีไหว้ครูปี 2563 ญาถานเบิ้ม อุตฺตโม บรมครูสายธรรมอุตฺตโมบารมี อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
(เฉพาะผู้มาร่วมงาน แจกฟรี สายนี้ไม่มีให้เช่าบูชา #วัตถุมงคลแจกฟรี)

พระสังกัจจายน์ รุ่น แก้วมณีโคตรสมปรารถนา

การจัดสร้าง มีดังนี้ #ตอกโค๊ด
          1.สร้างพิเศษฝังตะกรุด 9 ดอก 1 องค์
          2.สร้างพิเศษฝังตะกรุด 3 ดอก 3 องค์
          3.เนื้อวาน 299 องค์

พระเนื้อผงเหรียญปู่ฤาษี

การจัดสร้าง มีดังนี้ #ตอกโค๊ด
          1.สร้างพิเศษฝังปฐวีธาตุ 5 อย่าง 9 องค์
          2.เนื้อวานรวมมวลสาร 50 องค์
  


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 14 กันยายน 2562, 11:24:41
พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม (ญาถ่านเบิ้ม อุตตฺโม)บรมครูใหญ่สายธรรมอุตตฺโมบารมี
ท่านได้รับการยกย่องจากศิษยานุศิษย์ว่าเป็นผู้ปฏิบัติตนตามแนวทางคำสอนพระศาสดาอย่างเคร่งครัด
และยึดถือธุดงควัตรด้วยจริยวัตรปฏิปทางดงาม จนได้รับการยกย่องจากผู้ศรัทธาทั้งหลายว่าเป็นพระนักพัฒนา
และนักปฏิบัติสมถะและวิปัสสนาตามหลักธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาพุทธเจ้า
ให้แก่สมณะประชาชนอย่างกว้างขวาง จนมีพระสงฆ์และฆราวาสเป็นลูกศิษย์จำนวนมาก


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 17 กันยายน 2562, 10:07:07
ครูบาอาจารย์ที่ได้เล่าเรียน และปรมาจารย์ที่สืบทอด ที่ญาถานเบิ้ม อุตฺตโม รับการประสิทธิ์วิชา
1.ครูบาอาจารย์อุ่นตาริน ชเวดากอง เมืองย่างกุ้ง ประเทศพม่า
   (บูรพาจารย์ศิษย์สายพู่พู่อ่อง สุดยอดบรมครูแห่งเมืองม่าน)
2.ครูบาอาจารย์พ่อใหญ่พิช จังหวัดธาตุพนม
   (บูรพาจารย์ศิษย์สายหลวงปู่ขี้หอม เจ้าราชครูหลวงโพนสะเม็ก อริยะสงฆ์สองฝั่งโขง)
3.หลวงปู่คำมั่น คัมภีรปัญโญ (พระครูคัมภีรสารคุณ) วัดศิลาดาษ อำเภอภูผาม่าน จังหวัดขอนแก่น
   (หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต พระอาจารย์ใหญ่แห่งกองทัพธรรมสายวัดป่า)
4.พ่อใหญ่หลาว บ้านหนองโพนเพ็ง ตำบลหนองสิม อำเภอเขมราฐ
   จังหวัดอุบลราชธานี (บูรพาจารย์ศิษย์สายสำเร็จลุน)                    
5.หลวงปู่สรวง ออยเตียนสรูล บายติ๊กเจีย วัดไพรพัฒนา อำเภอภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ
   (บูรพาจารย์ศิษย์สายสำเร็จลุน)
6.หลวงพ่ออาจ อชิโต (หลานหลวงปู่สรวง) พักสงฆ์ภูปะปังเขาพลาญไทร อำเภอน้ำยืน
   จังหวัดอุบลราชธานี (บูรพาจารย์ศิษย์สายหลวงปู่สรวง)
7.หลวงปู่ทา นาควัณโณ วัดศรีสว่างนาราม อำเภอโพธิไทร จังหวัดอุบลราชธานี
   (บูรพาจารย์ศิษย์สายสำเร็จลุน ศิษย์หลวงปู่ญาถ่านตู๋ ธัมมสาโร)
8. พระครูสถิตธรรมมงคล (ญาถ่านอ่อง ฐิตธัมโม) วัดสิงหาญ จ.อุบลราชธานี
   (บูรพาจารย์ศิษย์สายสำเร็จลุน ศิษย์หลวงปู่กรรมฐานแพง จันทสาโร)



หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 18 กันยายน 2562, 10:18:23
ฤาษีดำ ญาถ่านเบิ้ม อุตตโม บรมครูสายธรรมอุตตโมบารมี อ.เขมราฐ จ.อุบล
ที่เดียวให้อุบลที่นำวานไพรดำมาจัดสร้างได้ จำนวนสร้าง 59 องค์
มวลสารที่ใช้ เป็นวานไพรดำ และที่สุดยอด คือ บรรจุเกษาบรมครู
หลวงปู่คำคะนิง หลวงปู่ทา หลวงปู่สรวง หลวงปู่กาหลงเขี้ยวแก้ว
หลวงตาชิต ญาถานเบิ้ม หลวงปู่อ๋อง หลวงปู่ยักษ์ ผสมไม้มงคล 108


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 23 กันยายน 2562, 11:47:47
พระปางอุตฺตโม จัดสร้าง  9  องค์
พระสมเด็จเทา  จัดสร้าง 29 องค์

จัดสร้างเมื่อปี 2547  
มวลสารหลัก
1.ผงเกสรดอกไม้
2.เศษอิฐวัดพระธาตุพนม
3.ผงเถ้าธูป
4.ผงใบลาน
5.ผงว่านมงคล ๑๐๘ อย่าง
6.ดินมงคล
7.ปูนเปลือกหอย
8.ผงไม้ฟ้าผ่า
9.ผงงาช้าง
10.ผงแร่เหล็กในถ้ำ


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 25 กันยายน 2562, 11:03:54
#เรื่องดินดำไพรดำ ผู้ครอบครอง บรมครูสายธรรมอุตตโมบารมี
ตำราเขียนไว้อย่างชัดเจนในลักษณะ ต้น ดิน หัว ราก ใบ
ไพรดำ คือ วานที่มีชีวิตทิพย์
ชีวิตทิพย์ คือ มีวิญญาณ หายไปที่ไหนก็ได้
วิญญาณในที่นี้คือ เทวาขั้นสูงที่มีตบะหลายพันปีที่ยุสร้างบารมีในไพรดำเมื่อมีตบะ ถึงพันปีไพรดำ จะกลายเป็นหิน หรือแร่เหล็ก #จุดนี้ละ ที่เขาเรียกว่า เหล็กไหลไพรดำ ส่วนที่เป็นต้นว่านไพรดำ คือ เทวาที่เข้าไปบำเพ็ญตบะ ตอนจะหายตัวไปบำเพ็ญที่อื่น ก่อนที่จะไป จะมีต้นใหม่มาแทน หรือเรียกในคำเข้าใจว่า ต้นลูกวานไพรดำ เพราะต้นแม่จะดำทั้งต้น
ในบริเวณที่ต้นไพรดำอยู่ เนื้อดินจะดำในรัศมี 2 เมตร แต่รัศมีที่อยู่ใกล้ต้นวานไพรดำ ประมาณ 12 นิ้ว ในบริเวณนั้นพื้นดิน จะดำเหนี่ยวเหมือนน้ำมันยางมะตอย ใช้มือจับจะรู้สึกเหนียวมือ แต่ไม่ติดมือ มีลักษณะเงางามเป็นเอกลักษณะ

ในส่วนนี้ คือ...ต้นวานไพรดำขับน้ำมันในตัวออกมาโดยตามธรรมชาติในส่วนนี้จึงมีความเชื่อว่า มีฤทธิ์ 108 อย่าง เทียบเท่าของหายากเท่ากับเหล็กไหลเพราะ กว่าจะทำให้ดินนั้นเกิดความเหนียวต้องใช้เวลาเป็นร้อยปี และบริเวณที่จะพอได้ต้องอยู่ในป่าลึก น้อยคนที่เข้าไปได้

นอกเหนือจากนี้แล้วจะเข้าใกล้ต้นว่านได้ยากเพราะว่านจะมีญาณเทพคุ้มครองท่านอยู่ในรัศมี 1-2 เมตร มีฤทธิ์ที่รุณแรงมากอาจทำให้หมดสติ หรือเกิดอาการปวดไปทั้งตัวโดยหาสาเหตุไม่เจอ ถ้าจะใกล้ก็ต้องเป็นคนที่ถูกเลือกไว้ได้แค่วันที่กู้ว่าถือเป็นวันทีอันตรายน้อย จะมีแต่ผู้ครอบครองเท่านั้นที่จะสามารถ จับต้องได้ในวันนั่น หลังจากกู้ขึ้นมาแล้วชิ้นส่วนต่างของว่านต้องผ่านพิธีกรรมอีกหลายอย่างจึงจะสามารถใช้การได้ และมีประโยชมหาศาล


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 02 ตุลาคม 2562, 09:49:11
ธงบารมีสายธรรมอุตฺตโมบารมี


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 18 ตุลาคม 2562, 21:07:23
ญาถานเบิ้ม อุตฺตโม บรมครูใหญ่สายธรรมอุตฺตโมบารมี
วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
บูรพาจารย์ศิษย์สายสำเร็จลุน

ผู้เป็นเสาหลักค้ำชูครูธรรมแห่งลุ่มแม่น้ำโขงสายธรรมอุตฺตโมบารมีโดยยึดหลักคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และฮีตคลองโบราณขนบธรรมเนียมประเพณีครูธรรม ซึ่งร่วมถึงชาวลาว อีสาน เขมร พม่า ที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งเป็นวัฒนธรรม ความประพฤติ ธรรมเนียม ประเพณี ความประพฤติที่ดี ปฏิบัติกันมาในโอกาสต่าง ๆ เป็นการผสมผสานพิธีกรรมที่เกี่ยวกับเรื่องการปฏิบัติกรรมฐานและพิธีกรรมไสยเวทย์ต่าง ๆ ที่มีการเขียนในใบลาน เข้ากับพิธีกรรมทางพุทธศาสนา

ธรรมอุตฺตโม คือ ธรรมที่สั่งสมความรู้ภูมิปัญญา และร่ำเรียนเวทมนต์พุทธเวทย์และไสยเวทย์มายาวนาน ผู้ที่จะเป็นนั้นต้องเป็นผู้มีคุณธรรมจริยธรรม รักษาศีล มีเมตตา สัจจะสูง และการใช้วิธีการทางไสยศาสตร์พิธีกรรมที่สืบทอด

หัวใจหลัก คือ เรียนเพื่อหนุนการหนุนงาน หนุนชีวิตครอบครัว หนุนบารมีวาสนา นิยามในที่นี้ มีความหมาย ที่สามารถอธิบายได้อย่างชัดเจน เรียนเพื่อหนุนการหนุนงาน หนุนชีวิตครอบครัว หนุนบารมีวาสนา หมายถึง ผู้ที่เข้ามาต้องปฏิบัติกายใจเป็นผู้มีศิล และข้อต้องห้ามเฉพาะ เมื่อไปทำงานทางโลก คนที่พบเห็นจะเกิดความเมตตากรุณาในบุคลิกภาพ ในความอ่อนน้อมถ่อมตน ทั้งวาจา ใจ จึงทำให้เป็นที่รักของหัวหน้า และเพื่อนร่วมงาน นี้ละจึงเป็นข้อดีที่เห็นชัดเจน


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 30 ตุลาคม 2562, 15:03:17
เศียรบรมครูพ่อปู่ฤาษี สายธรรมอุตฺตโมบารมี ชุดที่ 2 มีดังนี้

1.เศียรบรมครูพ่อปู่ฤาษีชีวกโกมารภัจจ์ จำนวน 108 องค์ พิเศษ 9 องค์ สร้างปี 2559

2.เศียรบรมครูพ่อปู่ฤาษีเพชรฉลูกัณฑ์ จำนวน 59 องค์ พิเศษ 9 องค์ สร้างปี 2560

3.เศียรบรมครูพ่อปู่ฤาษีเจ้าสมิงพราย จำนวน 108 องค์ พิเศษ 9 องค์ สร้างปี 2561


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 30 ตุลาคม 2562, 20:36:47
วัตถุมงคลที่แจกในวัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
 ญาถานเบิ้ม อุตฺตโม บรมครูใหญ่สายธรรมอุตฺตโมบารมี แจกในงานปริวาสกรรม ปี 2562


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 13 พฤศจิกายน 2562, 22:07:42
พระขรรค์อุตฺตโมบารมี
คือ พระขรรค์ที่เป็นของมหามงคล เปรียบเสมือนเสาค้ำที่ปกปักรักษาครูธรรมญาติธรรมของสายธรรมอุตฺตโมบารมี

พระขรรค์อุตฺตโมบารมี จะนำออกมาในพิธีกรรมสำคัญในสายธรรม เช่น งานพิธีกรรมไหว้ครูธรรม งานพิธีกรรมแช่วานอาคม เป็นต้น

เนื่องจากแต่เดิมนั้น เชื่อกันมาว่า พระขรรค์ เป็นศาตราวุธแห่งเทพเจ้า เป็นอาวุธคู่กายที่ใช้ทั้งในด้านการป้องกันสิ่งชั่วร้าย และการดลบันดาลหรือเนรมิตสิ่งต่างๆได้ตามบุญบารมีของผู้ครอบครอง จะเห็นว่า พระขรรค์ มักปรากฏในวรรณคดี โดยเฉพาะใน รูปเทวดาต่างๆที่ทรงพระขรรค์อย่างสวยงามและน่าเกรงขาม พระขรรค์ จึงเป็นศาสตราวุธที่มีบทบาทอย่างมากในสมัยโบราณ จวบจนปัจจุบันก็ยังได้รับความนิยมอยู่ เพราะมีการสร้างพระขรรค์ ซึ่งเป็นวัตถุมงคลจากพระเกจิอาจารย์ผู้ทรงศีล ลงอักขระเลขยันต์อันศักดิ์สิทธิ์ในพระขรรค์ ปลุกเสกอธิษฐานจิตกำกับด้วยคาถาอาคม จนพระขรรค์มีอานุภาพ ซึ่งส่วนมากจะใช้ในอานุภาพด้านการป้องกันภูติผีปีศาจ มนต์ดำ อาถรรพ์ร้าย ให้แคล้วคลาดปลอดภัยจากอัปมงคลทั้งปวง

สำหรับลักษณะของพระขรรค์ที่ปรากฏโดยทั่วไป จะคล้ายคลึงกับดาบ แต่จะมีความแตกต่างตรงที่พระขรรค์จะปรากฎคมอยู่สองด้าน ตรงกลางมีลักษณะคอดอย่างเห็นได้ชัด และมีอักขระเลขยันต์ปรากฎอย่างชัดเจน

ส่วนวัสดุที่ใช้นำมาสร้างเป็นพระขรรค์อุตฺตโมบารมี สร้างจากเหล็ก อาถรรพ์ 99 อย่าง มีความศักดิ์สิทธิ์ในตัวเองอยู่แล้วมาสร้างเป็นพระขรรค์ นำมาปลุกเสกจนเกิดอานุภาพที่มากขึ้นได้


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 18 พฤศจิกายน 2562, 09:32:27
พระสมเด็จดำ ปี 2532
มีจำนวนการจัดสร้าง 999 องค์

มวลสารหลักที่ใช้
1.ขี้เหล็กไหลจากถ้ำสกลนครนำมาบดเป็นผง
2.ผงมวลสารของหลวงปู่ทวด วัดช้างให้
3.กาฝากไม้มงคล 9 อย่าง 1.กาฝากรักซ้อน 2.กาฝากมะรุม 3.กาฝากมะยม 4.กาฝากมะขาม 5.กาฝากกาหลง 6.กาฝากขนุน 7.กาฝากยอ 8.กาฝากพยุง 9.กาฝากคูณ
4.ผงแก่มขามฟ้าผ่า
5.ผงแก้นงิ้วดำ ตัวผู้ ตัวเมียจากเขมร
6.ผงเงินเมืองผีบังบด
7.ผงช่องระอา
8.งาช้างจากเขมร
9.ผงกระดูกช้างจากบุรีรัมม์
10.วานสายเสน่ห์
11.วานสายเหนียว
12.เม็ดต้นมณีโคตร.จากฝั่งลาว บดเป็นผง
13.หอยพันปีจากบ้านสามแยกเมืองใหม่
14.ผงพระสมเด็จแท้จากวัดระฆัง
15.ผงกาลาตาเดียว
16.ผงวาน108
17.ผงพระลักษณ์ของหลวงกาหลง
18.คำหมากฤาษีที่ยุในหิน ญาถ่านท่านนั่งเห็นแล้วให้ลูกศิษย์ไปทุบเอา


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 03 ธันวาคม 2562, 08:33:55
ตะกรุด หนังเสือพญาสมิง รุ่นแรก สร้างปี 62

จำนวนการจัดสร้าง ร่วม 156 ดอก มี 2 แบบ

แบบที่ 1 ถักเชือกสีแดง จำนวน 48 ดอก
แบบที่ 2 ถักเชือกสีเขียว จำนวน 108 ดอก

วัตถุประสงค์การจัดสร้าง เพื่อร่วมสมทบทุนสร้างลานปฏิบัติธรรม และจัดซื้อโต๊ะหมู่บูชา แบบฝังมุก

มวลสารหลักที่นำมาบรรจุในตะกรุดหนังเสือพญาสมิง
1.หนังเสือโคร่ง มีอายุนับจากปี พ.ศ.2422 ถึงปัจจุบัน
2.ขี้เหล็กไหลจากถ้ำสกลนครนำมาบดเป็นผง ผงมวลสารของหลวงปู่ทวด วัดช้างให้
3.กาฝากไม้มงคล 9 อย่าง 1.กาฝากรักซ้อน 2.กาฝากมะรุม 3.กาฝากมะยม 4.กาฝากมะขาม 5.กาฝากกาหลง 6.กาฝากขนุน 7.กาฝากยอ 8.กาฝากพยุง 9.กาฝากคูณ
4.ผงแก่มขามฟ้าผ่า
5.ผงแก้นงิ้วดำ ตัวผู้ ตัวเมียจากเขมร
6.ผงเงินเมืองผีบังบด
7.ผงช่องระอา
8.งาช้างจากเขมร
9.ผงกระดูกช้างจากบุรีรัมม์
10.วานสายเสน่ห์
11.วานสายเหนียว
12.เม็ดต้นมณีโคตร.จากฝั่งลาว บดเป็นผง
13.หอยพันปีจากบ้านสามแยกเมืองใหม่
14.ผงพระสมเด็จแท้จากวัดระฆัง
15.ผงกาลาตาเดียว
16.ผงวาน108
17.ผงพระลักษณ์ของหลวงกาหลง
18.คำหมากฤาษีที่ยุในหิน ญาถ่านท่านนั่งเห็นแล้วให้ลูกศิษย์ไปทุบเอา

     ตะกรุดหนังเสือพญาสมิง คือ เครื่องรางซื่งสร้างจากหนังเสือโคร่งที่มีอายุไม่ต่ำกว่า 100 ปี ถึงสามารถสร้างตะกรุดพญาสมิงได้
แล้วนำวัสดุแผ่งเงินมาจารอักขระเลขยันต์ลงในแผ่น บรรจุพระเวทย์ที่ได้รับการสืบทอดจากปรมาจารย์หลวงปู่สมเด็จลุน
     มีพุทธคุณด้านแคล้วคลาด ป้องกันภัย คงกระพัน เน้นด้านการทำมาหากินคนรัก เจ้านายเมตตา


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 03 ธันวาคม 2562, 08:47:52
กุมารบารมี รุ่นแรก สร้างปี 62
จัดสร้าง 109 ตน มีโค๊ดตอกใต้ฐานทุกตน

มวลสารหลักที่นำมาบรรจุใต้ฐานกุมารบารมี
1.ไม้มะยมตายพราย
2.น้ำมันช้างตกมัน
3.น้ำมันช้างผสมโขลง
4.วานมหานิยม 108 อย่าง
5.แร่ 108 ชนิด

วัตถุประสงค์การจัดสร้าง เพื่อร่วมสมทบทุนสร้างลานปฏิบัติธรรม และจัดซื้อโต๊ะหมู่บูชา แบบฝังมุก

     กุมารบารมี รุ่นแรก ที่ครูธรรมสายธรรมอุตฺตโมบารมี จะไม่ใช่การนำดวงวิญาญาณมากักขัง แต่เป็นการนำดวงแก้วของดวงวิญาญาณที่มีสัมมาทิฏฐิ มาให้ดวงแก้วอาศัยเพื่อปฏิบัติศิลก่อนที่จะไปเกิดในภพภูมิใหม่

     เด่นทางด้าน เมตตาค้าขาย เจรจา ไม่ต้องมีพิธีการบูชามากมาย กุมารบารมีจะรับแต่บุญกุศลที่เราอุทิศให้เท่านั้น

     ข้อเสีย เมื่อกุมารไม่ได้รับกุศลนานเข้าก็จะหมดฤทธิ์ไม่มีกำลังช่วยเรา

     ดวงแก้วที่นำลงบรรจุนี้จะมีแนวคิดที่ถูกต้อง ความเห็นชอบตามทํานองคลองธรรม เช่น เห็นว่าทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว ถือเป็นองค์แรกในมรรคมีองค์แปด อันเป็นแนวทางสู่การหลุดพ้นจากทุกข์ ประกอบด้วยองค์ ๘ คือ ๑. สัมมาทิฐิ ความเห็นชอบ ๒. สัมมาสังกัปปะ ความดำริชอบ ๓. สัมมาวาจา การเจรจาชอบ ๔. สัมมากัมมันตะ การงานชอบ ๕. สัมมาอาชีวะ การเลี้ยงชีวิตชอบ ๖. สัมมาวายามะ ความพยายามชอบ ๗. สัมมาสติ ความระลึกชอบ ๘. สัมมาสมาธิ ความตั้งใจชอบ เรียกว่า อริยมรรคมีองค์ ๘ รวมเรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา แปลว่า ทางสายกลาง


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 03 ธันวาคม 2562, 09:12:42
ลูกสะกด ปรอทดำ รุ่นแรก สร้างปี 62
จำนวนการจัดสร้าง มี 3 ขนาดดังนี้
   1.ขนาด 5 ซม.จำนวน 5 ลูก
   2.ขนาด 3.5 ซม.จำนวน 39 ลูก
   3.ขนาด 2.5 ซม.จำนวน 109 ลูก

วัตถุประสงค์การจัดสร้าง เพื่อร่วมสมทบทุนสร้างลานปฏิบัติธรรม และจัดซื้อโต๊ะหมู่บูชา แบบฝังมุก

มวลสารหลัก
1.ปรอทดำ กระดูกช้าง 1,000 ปี แร่ 108 ชนิด
2.ขี้เหล็กไหลจากถ้ำสกลนครนำมาบดเป็นผง ผงมวลสารของหลวงปู่ทวด วัดช้างให้
3.กาฝากไม้มงคล 9 อย่าง 1.กาฝากรักซ้อน 2.กาฝากมะรุม 3.กาฝากมะยม 4.กาฝากมะขาม 5.กาฝากกาหลง 6.กาฝากขนุน 7.กาฝากยอ 8.กาฝากพยุง 9.กาฝากคูณ
4.ผงแก่มขามฟ้าผ่า
5.ผงแก้นงิ้วดำ ตัวผู้ ตัวเมียจากเขมร
6.ผงเงินเมืองผีบังบด
7.ผงช่องระอา
8.งาช้างจากเขมร
9.ผงกระดูกช้างจากบุรีรัมม์
10.วานสายเสน่ห์
11.วานสายเหนียว
12.เม็ดต้นมณีโคตร.จากฝั่งลาว บดเป็นผง
13.หอยพันปีจากบ้านสามแยกเมืองใหม่
14.ผงพระสมเด็จแท้จากวัดระฆัง
15.ผงกาลาตาเดียว
16.ผงวาน108
17.ผงพระลักษณ์ของหลวงกาหลง
18.คำหมากฤาษีที่ยุในหิน ญาถ่านท่านนั่งเห็นแล้วให้ลูกศิษย์ไปทุบเอา

     ลูกสะกด คือ เครื่องรางซื่งสร้างจากมวลสารของศักดิ์สิทธิ์ ประกอบพิธีกรรมตอนขั้นตอนโบราณ บรรจุพระเวทย์ที่ได้รับการสืบทอดจากปรมาจารย์หลวงปู่สมเด็จลุน
     มีพุทธคุณด้านแคล้วคลาด ป้องกันภัย คงกระพัน เน้นด้านการทำมาหากินคนรัก เจ้านายเมตตา ช่วยปัดเป่าเคราะห์ แคล้วคลาดปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง รวมถึงอันตรายจากการรบกวนของสิ่งลี้ลับ
หรือนำไปแช่ในขันน้ำมนต์ ปะพรมร่างกาย หรือบ้านเรือน สิ่งของสถานที่ได้


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 03 ธันวาคม 2562, 10:45:47
กุมารบารมี รุ่นแรก
ตะกรุดหนังเสือพญาสมิง รุ่นแรก
ลูกสะกด ปรอทดำ รุ่นแรก


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 12 ธันวาคม 2562, 15:09:20
ล็อกเก็ต รุ่น พระเจ้าใหญ่พุทธประธานพร 62
จำนวนการจัดสร้าง
     ฉากทอง  65  เหรียญ
     ฉากฟ้า   199 เหรียญ

วัตถุประสงค์เพื่อร่วมสมทบทุน สร้างศาลาการเปรียญที่ สปป.ลาว ล็อกเก็ตรุ่นนี้จะนำไปให้พี่น้องทางสปป.ลาว เช่าบูชา ร่วมสร้าง เงินทะ้งหมด จะถวายวัดทุกบาท

มวลสารหลัก
0.ผงอัฐิธาตุ หลวงปู่หนูรัก ปะริปุนโน วัดรัตนราษี เมืองสองคอน แขวงสวรรคเขต
1.ปรอทดำ กระดูกช้าง 1,000 ปี แร่ 108 ชนิด
2.ขี้เหล็กไหลจากถ้ำสกลนครนำมาบดเป็นผง ผงมวลสารของหลวงปู่ทวด วัดช้างให้
3.กาฝากไม้มงคล 9 อย่าง 1.กาฝากรักซ้อน 2.กาฝากมะรุม 3.กาฝากมะยม 4.กาฝากมะขาม 5.กาฝากกาหลง 6.กาฝากขนุน 7.กาฝากยอ 8.กาฝากพยุง 9.กาฝากคูณ
4.ผงแก่มขามฟ้าผ่า
5.ผงแก้นงิ้วดำ ตัวผู้ ตัวเมียจากเขมร
6.ผงเงินเมืองผีบังบด
7.ผงช่องระอา
8.งาช้างจากเขมร
9.ผงกระดูกช้างจากบุรีรัมม์
10.วานสายเสน่ห์
11.วานสายเหนียว
12.เม็ดต้นมณีโคตร.จากฝั่งลาว บดเป็นผง
13.หอยพันปีจากบ้านสามแยกเมืองใหม่
14.ผงพระสมเด็จแท้จากวัดระฆัง
15.ผงกาลาตาเดียว
16.ผงวาน108
17.ผงพระลักษณ์ของหลวงกาหลง
18.คำหมากฤาษีที่ยุในหิน


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 29 มกราคม 2563, 12:29:27
การก่อตั้ง สายธรรมอุตฺตโมบารมี
   จากคำบอกเล่าของหลวงปู่สว่าง โพธิญาโณ วัดสนามชัย บ.นาหว้าน้อย อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี การสืบทอดมีมาตั้งแต่สมัย ญาถานอุตฺตมะ อุปัชญาย์สำเร็จลุน และมีศักดิ์เป็นหลวงอา อดีตเจ้าอาวาส        
วัดสิงหาญ ตำบลสะพือ อำเภอตระการพืชผล จังหวัดอุบลราชธานี พ.ศ. ๒๓๙๐ – ๒๔๒๐ ญาถานอุตฺตมะได้ย้ายมาจาก ฝั่งขวาแม่น้ำโขงไม่ทราบได้ว่าบ้านไหน ได้บวชเป็นพระและได้เดินทางมาบ้านสะพือ
ชาวบ้านจึงได้นิมนต์ท่านให้อยู่จำพรรษที่บ้านสะพือ
ประวัติความเป็นมาพิธีกรรมไหว้ครูธรรมใหญ่
สายธรรมอุตฺตโมบารมี
     เดิม ศิษย์รุ่นแรกจะ เรียกว่า สายอุตฺตมะอุตฺตโม ความเป็นมาพิธีกรรมไหว้ครูธรรมใหญ่สายอุตฺตมะอุตฺตโม ในทุกปีจะมีการทำพิธีกรรมไหว้ผีไท้หรือผีเชื่อสาย พร้อมกับพิธีไหว้ครูธรรมใหญ่ที่ต้องจัดขึ้นทุกปี หลวงปู่เล่าว่า หลวงปู่สำเร็จต้นบอกกับท่านว่า พิธีกรรมไหว้ครูธรรมใหญ่เท่าที่ท่านจำได้ว่า น่าจะเริ่มมีการจัดในสมัยที่ญาท่านอุตตะมะปฐมาจารย์ใหญ่ผู้เป็นอาจารย์ของสำเร็จลุน เจ้าอาวาส วัดสิงหาญ ต.สะพือ อ.ตระการพืชผล จ.อุบลราชธานี พ.ศ.2345-2395 ก่อนท่านมรณะ 10 ปี ก็จะอยู่ในช่วงปี พ.ศ.2405 และเป็นช่วงของญาท่าน(สำเร็จ)สีดา เจ้าอาวาส พ.ศ.2395-2450 เพราะหลวงปู่สำเร็จต้นจำได้ว่าตรงกับวันสำคัญ คือ วันพระราชสมภพ เจ้าแก้วนวรัฐ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่องค์ที่ 9 แห่งราชวงศ์ทิพย์จักราธิวงศ์ (เจ้าเจ็ดตน) ซึ่งเป็นองค์สุดท้ายแห่งนครเชียงใหม่ พ.ศ.2405 จะอยู่ในช่วงนี้ ดังนั้นการหาวันพิธีกรรมไหว้ครูธรรมใหญ่ปีนั้นจึงมีความง่ายมาก เพราะครูบาอาจารย์ได้ให้ลูกศิษย์ใช้ วันที่ขึ้น 3 ค่ำ เดือนสาม ของทุกปีจัดพิธีกรรมไหว้ครูธรรมใหญ่ จึงสามารถสรุปวันพิธีกรรมไหว้ครูธรรมใหญ่ ทั้งแรกคือ วัน อาทิตย์ ที่ 2 เดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ.2405 ขึ้น ๓ ค่ำเดือนสาม(๓) ปีระกา นับจากนั้นมาจึงเริ่มมีการทำพิธีไหว้ครูธรรมใหญ่อย่างเป็นทางการ ปัจจุบันปี 2563 มีอายุการประกอบพิธีกรรมมาแล้ว 158 ครั้ง

   หลังจากนั้นเริ่มมีศิษย์เข้ามาขอเล่าเรียนพระเวทย์อาคม มีทั้งพระและฆราวาส โดยเรียกกันในกลุ่มว่า สายธรรมอุตฺตมะอุตฺตโม บ้างท่านก็เลือกเรียนเฉพาะอย่าง เช่น บ้างท่านเลือกธรรมพุทโธ
บ้างท่านเลือกธรรมบรรลุ บ้างท่านเลือกธรรมอะระหัง เป็นต้น แต่ในกลุ่มจะรู้กันดีว่าออกจากสายธรรมอุตฺตมะอุตฺตโม
   หลวงปู่สว่าง โพธิญาโณ ท่านเล่าว่า ตัวท่านเองได้มาเล่าเรียนในสายธรรมอุตฺตมะอุตฺตโมสมัยที่ท่านนั้นยังไม่ข้ามมาฝังไทย ยังธุดงปฏิบัติกรรมฐานตามป่าเขาในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
จึงมีโอกาสได้เข้าไปฝากตัวเป็นศิษย์เล่าเรียนอาคมกับหลวงปู่สำเร็จลุน หลวงปู่สำเร็จลุนท่านจึงได้ส่งต่อให้กับสำเร็จตันที่ประสิทธิ์วิชาท่านเป็นเคยอุปถากหลวงปู่สำเร็จลุนเป็นผู้ชี้แนะสั่งสอน
จนได้เจอกับศิษย์ผู้น้อง คือ หลวงปู่จันทร์หอม สุภาทโร หลังจากนั้นก็ตามพากันกราบลาปรมาจารย์แยกออกเดินทางเพื่อปฏิบัติตามป่าเขา
ต่อมาหลวงปู่สว่าง โพธิญาโณ ท่านได้รับการแจ้งข่าวเรื่องการมรณภาพของหลวงปู่สำเร็จลุน เมื่อปี 2463 สิริอายุรวม ๘๔ ปี พรรษา ๖๔ ปี และหลวงปู่สว่าง โพธิญาโณ ท่านได้ไปร่วมงานพิธี
ช่วยสำเร็จตันและเจ้าบุญอุ้ม ณ จำปาศักดิ์จนเสร็จเรียบร้อย จึงได้กราบลาสำเร็จตันเพื่อเดินทางกับยังวัด สำเร็จตันจึงได้มอบพระเกษา พระอิฐิ บ้างส่วนให้หลวงปู่สว่าง โพธิญาโณ ติดตัว
หลังจากนั้นไม่นานเกิดปัญหาภายในประเทศหลวงปู่สว่าง โพธิญาโณ จึงข้ามมาฝังไทยแล้วจำพรรษาที่วัดบ้านนาหว้านาสนาม อ.เขมราฐ จ.อุบล
หลวงปู่สว่าง โพธิญาโณ ท่านมาอาศัยอยู่ที่วัดบ้านนาหว้านาสนาม ก็ได้มีเหล่าศิษย์ที่หลวงปู่เคยชี้แนะสั่งสอนพระเวทย์อาคมให้รู้ว่าท่านอยู่ที่วัดบ้านนาหว้านาสนาม
จึงเดินทางมากราบท่านทุกปี ในแต่ละปีจะเป็นภาพที่มีผู้คนเดินทางมีทำพิธีไหว้ผีทัย ผีเชื่อ ทั้งจาก สปป.ลาว และจากไทย
เริ่มให้ใช้ชื่อ สายธรรมอุตฺตโมบารมี
หลวงปู่สว่าง โพธิญาโณ ท่านมอบว่า ในอนาคตจะมีฆราวาสเข้ามาเล่าเรียนในสายหลวงปู่สำเร็จลุนมากมาย ท่านจึงให้ตัดคำว่า อุตฺตมะ ออกให้เหลือแต่คำว่า อุตฺตโม แปลว่า สูงสุด, ดีที่สุด, ยอดเยี่ยม, เลิศ    
เป็นผู้ใฝ่รู้ใฝ่เรียน เป็นผู้มีความเพียรในคำสอน เป็นผู้ยึดคำสอนครูเป็นหลัก ศิษย์ฆราวาสรุ่นต่อมาจึงใช้ชื่อ สายธรรมอุตฺตโมบารมี สืบทอดต่อมา
     จากต้นกำเนิดมาจนถึงปัจจุบันการสืบทอดสายธรรมนี้ก็มีอายุนับร้อยขึ้น สืบทอดกันเป็นรุ่น ก่อนที่หลวงปู่สว่าง โพธิญาโณ จะล้มป่วย ท่านได้มอบพระเกษา พระอิฐิให้กับปู่รินทอง
หัวหน้าโรงเลื่อยบ้านนาสนาม ปู่รินทองคือบิดาของญาถานเบิ้ม อุตฺตโม ผู้สืบทอด รุ่นที่ 3  ต่อมาพระเกษา พระอิฐิปรมาจารย์ หลวงปู่สำเร็จลุน วัดเวินไซ เมืองโพนทอง แขวงนครจำปาสัก
สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวที่ได้รับการส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นจนมาถึงสายธรรมอุตฺตโมบารมี โดยมีหลักฐานพยานบุคคล ไม่ว่าจะเป็นเชื่อสายตรง ชาวบ้านที่อยู่ใกล้วัดเวินไซ
หรือศิษย์ที่ข้ามมาไทยท่านได้นำข้ามมายังประเทศไทย บ้างท่านได้แต่ผงพระอัฐิ บ้างท่านได้ เขี้ยวท่านหรือฟัน บ้างท่านได้ พระเกษาและยิ่งมีเกิดความบังเอิญ ท่านที่ได้ครอบครอง
ได้แบ่งให้บรมครูสายธรรมอุตฺตโมบารมี วัตถุประสงค์เพื่อให้เป็นเสาหลักให้ศิษย์ ได้กราบบูชาเป็นตัวแทนของปรมาจารย์ใหญ่หลวงปู่สำเร็จลุน และให้ สืบทอดต่อไป  


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 07 กุมภาพันธ์ 2563, 13:53:35
พระสมเด็จอุตฺตโม รุ่นแรก
รุ่นนี้จะเป็นตำนาน และมีความชัดเจนในการครอบครอง
60 % ผงดินเถ้าอัฐิพระสังขารหลวงปู่สำเร็จลุน
20 % มวลสารศักดิ์สิทธิ์
20 % ส่วนประสานปั้นพระให้จับตัว

#รุ่นนี้จะเป็นตำนานของไทยอีกหนึ่งรุ่นที่ฆราวาสสายธรรมจะตามหา ผงดินเถ้าอัฐิพระสังขารปรมาจารย์ปรมาจารย์หลวงปู่สมเด็จลุน
#พระสมเด็จอุตฺตโม รุ่นแรก ญาถานเบิ้ม อุตฺตโม บรมครูใหญ่สายธรรมอุตฺตโมบารมี วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
#วัตถุประสงค์ เพื่อนำรายได้ที่เหลือจากค่าแผ่นทองคำนำมาจากซื้อลูกนิมิตให้กับทางวัด

มวลสารศักดิ์สิทธิ์ ประมาณการมีดังนี้
1.แร่จากถ้ำ 98 ถ้ำ ทั้งไทยและต่างประเทศ
2.แร่อาถรรพ์ศักดิ์สิทธิ์ 178 ชนิด
3.วาน 10,700 ชนิด
4.ผงมวลสารมงคล จากพระอารามหลวง 25 สถานที่
5.ผงธูป 299 วัด
6.ผงมวลสารพิเศษ เช่น ผงวานไพรดำแท้ ผงยาแดงพม่า ผงยาแฝดเขมร ผงดินพระสถูปเจดีย์อินเดีย ผงพระกรุต่างๆ ผงแร่ปรอทชนิดต่างๆ และผงไม้มณีโคตร
7.มวลสารศักดิ์สิทธิ์ เฉพาะสายธรรมต่างๆในประเทศรุ่น

ตอกโค้ดประจำสาย กำกับด้วยตัวเลข เฉพาะองค์ที่มีตะกรุดทองคำ


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 29 กุมภาพันธ์ 2563, 21:02:30
ผงเถ้าอังคารปรมจารย์ใหญ่หลวงปู่สำเร็จลุน
คณะศิษย์สายธรรมอุตฺตโมบารมี ได้รับการแจ้งข่าวสื่อถึงสายธรรมอุตฺตโมบารมี จากลูกหลานตระกูล กอมณี ว่า นายทองพูล กอมณี (พ่อใหญ่ทา)
มีความประสงค์มอบผงเถ้าอังคารปรมาจารย์ใหญ์หลวงปู่สำเร็จลุน พระมหาเถระชาวเมืองจำปาศักดิ์ ให้สายธรรมอุตฺตโมบารมีทำการสืบทอดเก็บรักษา
ให้คงอยู่เพื่อคนรุ่นหลังได้กราบไหว้ และเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตวิญญาณเหล่าศิษยานุศิษย์สายธรรมอุตฺตโมบารมี

เดิมหลังจากปรมจารย์ใหญ่หลวงปู่สำเร็จลุนมรณภาพ ผงเถ้าอังคารนี้ได้นำมาจากวัดเวินไซ เมืองโพนทอง แขวงนครจำปาศักดิ์ ประเทศลาว (สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวปัจจุบัน)
พ่อของนายทองพูล กอมณี (พ่อใหญ่ทา) ตอนนั้นท่านอายุ 15 ปี ได้เดินทางข้ามไปยังประเทศลาว เพื่อร่วมงานพิธีฌาปนกิจศพปรมจารย์ใหญ่หลวงปู่สำเร็จลุน ตรงกับ พ.ศ. ๒๔๖๓ หลังจากเสร็จสิ้นงานเก็บพระอัฐิ
ท่านได้ปวารณาขอต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ว่าจะนำเอาผงเถ้าอังคารนี้กลับข้ามไปบูชายังฝั่งประเทศไทย ปัจจุบันผงเถ้าอังคารปรมจารย์ใหญ่หลวงปู่สำเร็จลุนก็มีอายุมากกว่าหนึ่งร้อยปี


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 18 มีนาคม 2563, 09:09:51
ตะกรุดคลุมกาย รุ่นแรก
สร้างปี 2563
จำนวนการจัดสร้าง มี 2 แบบ
1.ตะกรุดถักเชือกแดง 9 ดอก
2.ตะกรุดถักเชือกดำ 299 ดอก
มวลสารศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้บรรจุในตะกรุด
1.ดินดำวานไพรดำ
2.แร่ไพธิ์เงินจากอีนเดีย
3.ปรอทดำ
4.ผงมวลสารของหลวงปู่ทวด วัดช้างให้
5.กาฝากไม้มงคล 9 อย่าง 1.กาฝากรักซ้อน 2.กาฝากมะรุม 3.กาฝากมะยม 4.กาฝากมะขาม 5.กาฝากกาหลง 6.กาฝากขนุน 7.กาฝากยอ 8.กาฝากพยุง 9.กาฝากคูณ
6.ผงแก่มขามฟ้าผ่า
7.ผงแก้นงิ้วดำ ตัวผู้ ตัวเมียจากเขมร
8.หน้าผากเสือ.ที่นอนตายโดยธรรมชาติ
9.ผงเงินเมืองผีบังบด
10.ผงช่องระอา
11.งาช้างจากเขมร
12.ผงกระดูกช้างจากบุรีรัมม์
13.วานสายเสน่ห์
14.วานสายเหนียว
15.เม็ดต้นมณีโคตร.จากฝั่งลาว
16.หอยพันปีจากบ้านสามแยกเมืองใหม่
17.ผงพระสมเด็จแท้จากวัดระฆัง
18.ผงกาลาตาเดียว
19.ผงวาน 10,700 ชนิด
20.ผงพระลักษณ์ของหลวงกาหลง
21.คำหมากฤาษีที่ยุในหิน ญาถ่านท่านนั่งเห็นแล้วให้ลูกศิษย์ไปทุบเอา
ตะกรุดคลุมกาย ญาถานเบิ้ม อุตฺตโม บรมครูสายธรรมอุตฺตโมบารมี ผู้สืบทอดรุ่นที่ 3 ศิษย์แห่งสายปรมาจารย์ใหญ่หลวงปู่สำเร็จลุน ญาถานเบิ้มได้นำเอายันต์คลุมกายที่ครูธรรมใช้ติดตัวมาเขียน บรรจุด้วยพระคาถาศักดิ์สิทธิ์ที่นับถือกันมาแต่โบราณ เชื่อว่าสามารถป้องกันอันตรายจากศาสตราวุธ คุณไสย และภูติผีปีศาจ
วิธีนำไปใช้ท่านว่า
-เมื่อจะสู้เขาให้เอาไว้ข้างหน้า
-เมื่อจะหนีเขาให้เอาไว้ข้างหลัง ซึ่งจะทำให้ไล่ไม่ทัน ยิงไม่ออก
-เมื่อเข้าหาผู้ใหญ่ให้เอาไว้ข้างขวา
-เมื่อเข้าหาผู้หญิงให้เอาไว้ข้างซ้าย (เสน่ห์มหานิยม)
-เมื่อจะคลอดบุตรให้อาราธนาแล้วใส่ลงในขันน้ำมนต์ และนำมาลูบหัวลูบหน้า ดื่มกินหรืออาบ จะทำให้คลอดง่าย
-เมื่อเดินทางไปไหนให้พก จะช่วยป้องกันอันตราย
-เมื่อค้าขายให้อาราธนาทำน้ำมนต์ ประพรมสิ่งของจะขายดี
-เมื่อป่วยไข้ให้อาราธนาทำน้ำมนต์รักษาอาการ

เรียกได้ว่าสารพันคุณวิเศษในหนึ่งเดียว ซึ่งก็แล้วแต่ว่าผู้บูชาว่าจะใช้ไปในทางไหน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขอให้ตั้งตนอยู่ในความดี และใช้ไปทางที่ดีที่ชอบเพื่อคุณประโยชน์อันเป็นอนันต์จะดีที่สุด


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 18 มีนาคม 2563, 13:05:34
สติกเกอร์ รุ่นที่ 3 แจกงานไหว้ครูธรรม ครั้งที่ 158 ประจำปี 2563
จัดสร้าง 599 แผ่น


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 18 มีนาคม 2563, 13:24:01
เสาหลักสายธรรมอุตฺตโมบารมี


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 12 เมษายน 2563, 19:34:58
ของดีธรรมชาติหามา 15 ปี
อีกาที่ตายบนกิ่งไม้ เป็นส่วนผสมอาถรรพ์ที่หาได้อยากมากในการปฏิบัติอาคม สร้างวัตถุอาถรรพ์ในวิชา กาปักหลัก วิชาโบราณที่มีการสืบทอดในสายธรรมอุตฺตโมบารมี

โดยมีความเชื่อว่า อีกาที่ตายบนกิ่งไม้ ในขนาดที่บนมาจับกินอาหาร ไม้สามารถออกจากกิ่งไม้ได้ จนสิ้นใจตาย
#ตามตำราเชื่อว่าถ้าได้มากิ่งไม้ หรือ ตัวอีกามาทำเครื่องเสน่ห์ค้าขาย เครื่องรางมหาเสน่ห์ สายขาว ทำเสน่ห์ เรียกแฟน เรียกผัวเมียกลับ เสริมดวงชะตาโชคลาภ เสริมให้แฟนรักแฟนหลง ใช้เรียกจิตคนรักกลับคืนมา
อีกทั้งเป็นเครื่องรางเสน่ห์เมตตาแก่ผู้คน ค้าขายเงินทองคล่องดี เป็นเครื่องรางของขลังดีทางสร้างเสน่ห์นิยมต่อเพศตรงข้าม
บูชาพกติดตัวแคล้วคลาด ค้าขายดี เป็นเมตตามหานิยม อุดมลาภ เดินทางปลอดภัยแคล้วคลาด ป้องกันภูตผี แคล้วคลาดศัตรู บูชาใส่พานหน้าร้านค้า ค้าขายคล่อง เป็นเมตตามหาเสน่ห์ ค้าขายดี ใช้เป็นเมตตา ค้าขาย แคล้วคลาดดุจพญาวานร

เป็นนกกาที่กระจายพันธุ์เป็นวงกว้างในเอเชีย ปรับตัวได้เก่ง สามารถกินอาหารได้หลากหลาย ทำให้ขยายไปยังพื้นที่ใหม่ได้ง่าย บางครั้งถูกมองว่าเป็นสัตว์รังควานโดยเฉพาะในเกาะต่าง ๆ มีปากใหญ่


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 21 เมษายน 2563, 15:29:13
เพิ่มเติมศึกษา
          ประวัติเป็นมา พระสมเด็จดำ
       เรื่อง พ.ศ.ในการจัดสร้าง ทำไหมถึงเป็นปี 2532 เพราะญาถานเบิ้ม ท่านอุปัชฌาย์ เมื่อพ.ศ.2535 เนื่องจากพระสมเด็จดำ สร้างโดยหลวงปู่ล๋อย สมัยท่านเดินธุดงกับหลวงปู่คูณ
ท่านเป็นพระสหายกัน ต่อมาหลวงปู่ล๋อยได้มาจำพรรษาที่วัดบ้านสามแยกเมืองใหม่ อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
      ก่อนที่ท่านจะล้มป่วย หลวงปู่ล๋อยได้มอบให้กับท่านอาจารย์สุนทร นำไปเก็บรักษาไว้เพื่อแจกจ่ายญาติธรรม เมื่อหลวงปู่ล๋อย มอบพระสมเด็จดำให้แล้ว ต่อมาลูกหลานหลวงปู่ก็มารับ
หลวงปู่ล๋อยกับไปจำพรรษาที่บ้านเกิดจนท่านละสังขาร
      นับจากนั้นพระสมเด็จดำก็ยังถูกเก็บไว้กับท่านอาจารย์สุนทร จนมาถึงช่วงนี้ญาถานเบิ้มกับจากการเดินธุดงท่านอาจารย์สุนทรจึงได้มอบให้ญาถานเบิ้ม เป็นผู้แจกจ่ายญาติโยมที่มาร่วมบุญที่วัด


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 02 พฤษภาคม 2563, 09:55:56
พระผงหลวงปู่ทวดมณีโคตร รุ่นแรก สร้างปี 62
วัตถุมงคลที่แจกในวัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
ญาถานเบิ้ม อุตฺตโม บรมครูใหญ่สายธรรมอุตฺตโมบารมี แจกในงานปริวาสกรรม ปี 2562

จำนวนการจัดสร้าง ร่วม 227 องค์ มี 3 แบบ

แบบที่ 1 พระผงหลวงปู่ทวดมณีโคตร รุ่นแรก พิเศษ จำนวน 9 องค์
แบบที่ 2 พระผงหลวงปู่ทวดมณีโคตร รุ่นแรก พิเศษฝังคตข้าว จำนวน 59 องค์
แบบที่ 3 พระผงหลวงปู่ทวดมณีโคตร รุ่นแรก แจกทาน จำนวน 159 องค์

วัตถุประสงค์การจัดสร้าง เพื่อแจกในงานปริวาสกรรม ปี 2562 ในวัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี

มวลสารหลักที่นำมาบรรจุในตะกรุดหนังเสือพญาสมิง
1.ผงไม้มณีโคตร (ต้นชี้ตาย ปลายชี้เป็น)
2.ขี้เหล็กไหลจากถ้ำสกลนครนำมาบดเป็นผง ผงมวลสารของหลวงปู่ทวด วัดช้างให้
3.กาฝากไม้มงคล 9 อย่าง 1.กาฝากรักซ้อน 2.กาฝากมะรุม 3.กาฝากมะยม 4.กาฝากมะขาม 5.กาฝากกาหลง 6.กาฝากขนุน 7.กาฝากยอ 8.กาฝากพยุง 9.กาฝากคูณ
4.ผงแก่มขามฟ้าผ่า
5.ผงแก้นงิ้วดำ ตัวผู้ ตัวเมียจากเขมร
6.ผงเงินเมืองผีบังบด
7.ผงช่องระอา
8.งาช้างจากเขมร
9.ผงกระดูกช้างจากบุรีรัมม์
10.วานสายเสน่ห์
11.วานสายเหนียว
12.เม็ดต้นมณีโคตร.จากฝั่งลาว บดเป็นผง
13.หอยพันปีจากบ้านสามแยกเมืองใหม่
14.ผงพระสมเด็จแท้จากวัดระฆัง
15.ผงกาลาตาเดียว
16.ผงวาน108
17.ผงพระลักษณ์ของหลวงกาหลง
18.คำหมากฤาษีที่ยุในหิน ญาถ่านท่านนั่งเห็นแล้วให้ลูกศิษย์ไปทุบเอา

     คาถาหลวงปู่ทวดเปิดโลก(นะโม ๓ จบ)

“นะโมโพธิสัตโต อาคันติมายะ อิติภะคะวา”(สวด ๓ จบ)

การบูชาหลวงปู่ทวด

    ให้บูชาท่านด้วย ธูปแขก ๙ ดอก มะลิขาว ๙ ดอก ตั้งนะโม ๓ จบ หรือจะบูชาท่านในกรณีที่ไม่มีเครื่องบูชาได้ด้วยการระลึกถึงท่าน และสวดพระคาถาเช่นกัน เพราะสำคัญที่ใจ มีจิตบูชาท่าน สำคัญที่สุด โดยมีไตรสรณคม พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะสูงสุด

    การใช้คาถาบทนี้ คือ ให้สวดภาวนาพระคาถา ก่อนขึ้นรถ ลงเรือ ติดต่อค้าขาย จักเกิดสิริมงคล โชคลาภมากมาย ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ท่านว่าให้หมั่นสวด เจริญภาวนา พระคาถา หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืดนี้เถิด จักบังเกิดสิ่งอัศจรรย์แก่ตนเองและครอบครัว ขณะเดียวกันยังมีคติความเชื่อด้วยว่าพุทธคุณคาถานั้น หากท่องเป็นประจำจะคุ้มครองให้เราแคล้วคลาดปลอดภัยจากอันตรายต่างๆ เช่นเดียวกับการแขวนพระหลวงปู่ทวด
     มีพุทธคุณด้านแคล้วคลาด ป้องกันภัย คงกระพัน เน้นด้านการทำมาหากินคนรัก เจ้านายเมตตา


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 02 พฤษภาคม 2563, 11:06:40
พระสมเด็จแดงเจ็ดชั้น รุ่นแรก ยุคต้น ปี2553 ญาถานเบิ้ม อุตฺตโม บรมครูใหญ่สายธรรมอุตฺตโมบารมี
วัตถุมงคลที่แจกในวัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
ญาถานเบิ้ม อุตฺตโม บรมครูใหญ่สายธรรมอุตฺตโมบารมี

พระสมเด็จเนื้อแดงฐานเจ็ดชั้นองค์เอกชั้นครู
จำนวนการจัดสร้าง 29 องค์
พระอาจารย์เบิ้ม อุตฺตโม วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานีท่านสืบสายธรรมจากสายบรมครูปรมาจารย์ใหญ่หลวงปู่สมเด็จลุน ญาท่านแสง อานันโท สายพระอาจารย์เสาร์ กันตสีโล พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต
จากประวัติการจัดสร้างพระสมเด็จเจ็ดชั้นองค์เอกชั้นครูเนื้อสีแดงนี้ ท่านได้รวบรวมมวลสารมงคลต่างๆจากครูบาอาจารย์ต่างๆและจากสหธรรมมิกของท่านมาผสมผสานมวลสารเข้าด้วยกัน
ที่ทางสามแพ่งวัดนาหว้าอ.เขมราฐ พระชุดนี้ท่านจัดสร้าง 29 องค์ ในช่วงปลายปี พ.ศ 2553 และท่านได้ให้คณะศิษย์ผู้ที่ติดตามท่านทำการกดพิมพ์พระลงบล๊อคกดด้วยมือทีล่ะองค์
ส่วนผู้ที่ได้พระจะได้รับจากมือท่านและจะมีก็เฉพาะคณะศิษยานุศิษย์ผู้ใกล้ชิดติดตามท่านเท่านั้นที่ได้รับ คือพระที่วัดนาหว้าและวัดหนองผือ อ.เขมราฐเท่านั้น อีกส่วนก็มีแต่ทหารที่อยู่เขื่อนภูมิพลได้รับ ชาวบ้านอยู่บ้านม่วงได้บ่กี่คน

มวลสารหลักๆที่ใช้จัดสร้าง
    1.ดินโป่งแดงจากอินเดียใต้โคนต้นพระศรีมหาโพธิ์ วัดพุทธคยา(ท่านได้จากสหธรรมมิกท่านประมาณหนึ่งกำมือ)
    2.เกศา ญาท่านเบิ้ม อุตฺตโม
    3.สีผึ้งหลวงพ่อวัดพิชโสภาราม อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
    4.สีผึ้งหลวงพ่อฤาษีลิงดำวัดท่าซุง อ.เมืองอุทัยธานี จ.อุทัยธานี
    5.แร่เหล็กไหลในถ้ำภูพนมดีที่แตกกระจายตัว อ.เขมราฐ
    6.มวลสารมงคลจากครูบาอาจารย์อีกหลายท่านซึ่งท่านก็จำได้ไม่ครบทุกองค์

วิธีบูชา พระสมเด็จแดงเจ็ดชั้น เพื่อให้เกิดพุทธคุณสูงสุด ควรปฏิบัติดังนี้

- อานุภาพพระสมเด็จแดงเจ็ดชั้น
ผู้ที่มีจิตใจที่ดี บริสุทธิ์ผ่องใส จะได้รับอานุภาพที่ดี
1. บูชาเพื่อความเจริญรุ่งเรืองในกิจการงาน และความผาสุขของชีวิตผู้มีติดตัวไว้ จะทำให้เกิดโภคทรัพย์ ในสุจริตวิถี

2. คุ้มครองป้องกันภัยอันตราย ให้แคล้วคลาดจากภัย ทั้งหลายทั้งปวง เฉพาะในผู้ที่เป็นสุจริตชนผู้ทำมาหากินด้วยแรงกาย แรงสติปัญญา ในทำนองครองธรรม ในทางตรงกันข้าม พวกมิจฉาชีพดำรง
ชีวิตด้วยความเดือดร้อนของบ้านเมืองและประชาชน ตลอดจนถึงการขัดต่อศีลธรรม อันดีงามแม้มีพระสมเด็จไว้ครอบครอง หรือมีส่วนเกี่ยวข้องผ่านมือ ก็จะไม่พบความสุข
หาความเจริญที่ยั่งยืนให้แก่ชีวิตได้ยาก

- วิธีอาราธนา พระสมเด็จแดงเจ็ดชั้น
ตั้งนะโม 3 จบ ระลึกถึง เจ้าประคุณพระสมเด็จพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี แห่งวัดระฆังโฆษิตาราม
หากสวดคาถาชินบัญชร บทเต็มได้ ควรสวด 1 จบ หรือหากมีเวลาน้อย ให้สวดบทย่อ 10 จบ มีดังนี้
" ชินะปัญชะระปะริตัง  มังรักขะตุสัพพะทา " ก่อนที่จะนำ พระสมเด็จติดตัวไป ให้ปฏิบัติดังต่อไปนี้

- ท่องคาถาแสดงความเคารพต่อองค์พระสมเด็จ
เมื่อยกสร้อยขึ้นจะคล้องคอ องค์พระอยู่ในอุ้มมือ พนมมือแล้วท่องคาถา อาราธนาดังต่อไปนี้

" โอมมะศรี มะศรี พรหมรังสี นามะเตโช มหาสมโณ มหาปัญโญมหาลาโภ มหายะโส สัพพะโสตถี ภะวันตุเม "

- เมื่อจบแล้ว ให้ท่องคาถา ขอโชคลาภ ว่า
"ปุตตะกาโม ละเภปุตตัง ธนะกาโม ละเภธะนัง
อัตถิ กาเย กายะยายะ เทวานัง ปิยะยัง สุตวา"

- เมื่อคล้องคอแล้ว ท่องคาถา คุ้มครองชีวิต ให้แคล้วคลาดปลอดภัยว่า
" อิติปิโสภะคะวา ยะมะราชาโน ท้าวเวสสุวัณโณ มรณังสุขัง อรหังสุคโต นะโมพุทธายะ "

หากทำได้เช่นนี้ทุกวัน ชีวิตท่านจะเกิดมงคล จักพบแต่ความสุขความเจริญ และนิรันตรายทั้งปวง



หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 02 พฤษภาคม 2563, 12:37:45
ลูกอมไพรดำ ญาถานเบิ้ม อุตฺตโม วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
หนึ่งเดียวในประเทศไทยที่กล้าท้าพิสูจน์ของจริงในตำนานที่มีอยู่ในโลก ดินไพรดำที่อยู่ในความดูแลของสายธรรมอุตฺตโมบารมี

ลูกอมไพรดำ จัดสร้างขึ้นเพื่อให้ศิษย์ผู้เป็นครูธรรมสายธรรมอุตฺตโมบารมี ได้นำติดตัวเพื่อปกป้องดูแลคุ้มกายเวลาปฏิบัติศีลปฏิบัติธรรม

จำนวนการจัดสร้าง 99 เม็ด
วัตถุมงคลที่รวมอยู่ในลูกอมไพรดำ
1.เม็ดประคำ ญาถ่านเบิ้ม อุตฺตโม ที่ทำมาจากไม้มงคล
2.ปรอทดิบ ที่ได้จากการดักจากธรรมชาติ บรรจุใน
3.ดินไพรดำ
4.ช่องหมูป่า

ยอดแร่คือ เหล็กไหล
ยอดว่านคือ ไพรดำ
ยอดไม้คือ ไม้มณีโคตร

#สรุปง่าย..คือความเหนียวที่อยู่ในดินไพรดำ คือ น้ำมันที่ผ่านเวลามาเป็นร้อยปี ดินไพรดำจึงมาความศักดิ์สิทธิ์ในตัว

...ดินไพลดำจะมีคุณสมบัติทางฤทธิ์ ว่ากันว่าดินไพลดำจะเด่นในด้านชักนำเงินทองมาให้ผู้ครอบครองได้โดยง่าย ด้วยศาสตร์มนต์ดำเน้นการพนันขันต่อ เล่นแร่แปรธาตุ เช่น นำเอาดินไพลดำไปเล่นพนัน หรือนำเอาดินไพลดำไปทำพิธีทำให้เงินที่เราใช้ไปแล้วกลับมาหาเราเช่นเดิม เป็นต้น
ยังเด่นเรื่องอยู่ยงคงกระพัน กล่าวกันถ้าใช้คู่กับเหล็กไหลจะทำให้คนผู้นั้นฟันแทงไม่เข้า

#ดินไพลดำจะมีลักษณะดำ เหนียว แต่เมื่อจับจะไม่ติดมือ ฤทธิ์อำนาจที่มีอยู่ในตัวมีคุณสมบัติ คงทนเหมือนเหล็กไหล มีคุณวิเศษ เลิศล้ำ

#ความหายากของ “ดินไพลดำ” นั้นเล่ากันว่า ต่อให้ถึงไปเจอในป่าลึก ก็ไม่สามารถขุดออกมาได้ เพราะดินรอบโคนต้นนั้นจะมีสีดำแข็งเป็นหิน เนื้อดินเหมือนผงเหล็กดำสนิท
โบราณกล่าวว่า “ว่านไพลดำ” เป็นที่สุดของบรรดาว่านกายสิทธิ์ เพราะสมัยก่อนคนเราอยู่กับป่ากับเขา อยู่กับการรบราฆ่าฟันรบทัพจับศึกอยู่บ่อยครั้ง จึงนิยมพกชิ้นส่วนของว่านไพลดำ ดินไพรดำ วัตถุมงคลที่ทำจากว่านไพลดำ

และที่สุดของว่านไพลดำ คือการสักน้ำมันไพลดำเข้าตัว เพราะเน้นเรื่องความอยู่ยงคงกระพัน หนังเหนียว เน้นใช้ว่านในการป้องกันตัวเอง

#เรื่องดินดำไพรดำ ผู้ครอบครอง บรมครูสายธรรมอุตตโมบารมี
ตำราเขียนไว้อย่างชัดเจนในลักษณะ ต้น ดิน หัว ราก ใบ
ไพรดำ คือ วานที่มีชีวิตทิพย์
ชีวิตทิพย์ คือ มีวิญญาณ หายไปที่ไหนก็ได้
วิญญาณในที่นี้คือ เทวาขั้นสูงที่มีตบะหลายพันปีที่ยุสร้างบารมีในไพรดำเมื่อมีตบะ ถึงพันปีไพรดำ จะกลายเป็นหิน หรือแร่เหล็ก
#จุดนี้ละ ที่เขาเรียกว่า เหล็กไหลไพรดำ ส่วนที่เป็นต้นว่านไพรดำ คือ เทวาที่เข้าไปบำเพ็ญตบะ ตอนจะหายตัวไปบำเพ็ญที่อื่น ก่อนที่จะไป จะมีต้นใหม่มาแทน หรือเรียกในคำเข้าใจว่า ต้นลูกวานไพรดำ เพราะต้นแม่จะดำทั้งต้น
ในบริเวณที่ต้นไพรดำอยู่ เนื้อดินจะดำในรัศมี 2 เมตร แต่รัศมีที่อยู่ใกล้ต้นวานไพรดำ ประมาณ 12 นิ้ว ในบริเวณนั้นพื้นดิน จะดำเหนี่ยวเหมือนน้ำมันยางมะตอย ใช้มือจับจะรู้สึกเหนียวมือ แต่ไม่ติดมือ มีลักษณะเงางามเป็นเอกลักษณะ

ในส่วนนี้ คือ...ต้นวานไพรดำขับน้ำมันในตัวออกมาโดยตามธรรมชาติในส่วนนี้จึงมีความเชื่อว่า มีฤทธิ์ 108 อย่าง เทียบเท่าของหายากเท่ากับเหล็กไหลเพราะ กว่าจะทำให้ดินนั้นเกิดความเหนียวต้องใช้เวลาเป็นร้อยปี และบริเวณที่จะพอได้ต้องอยู่ในป่าลึก น้อยคนที่เข้าไปได้

นอกเหนือจากนี้แล้วจะเข้าใกล้ต้นว่านได้ยากเพราะว่านจะมีญาณเทพคุ้มครองท่านอยู่ในรัศมี 1-2 เมตร มีฤทธิ์ที่รุณแรงมากอาจทำให้หมดสติ หรือเกิดอาการปวดไปทั้งตัวโดยหาสาเหตุไม่เจอ ถ้าจะใกล้ก็ต้องเป็นคนที่ถูกเลือกไว้ได้แค่วันที่กู้ว่าถือเป็นวันทีอันตรายน้อย จะมีแต่ผู้ครอบครองเท่านั้นที่จะสามารถ จับต้องได้ในวันนั่น หลังจากกู้ขึ้นมาแล้วชิ้นส่วนต่างของว่านต้องผ่านพิธีกรรมอีกหลายอย่างจึงจะสามารถใช้การได้ และมีประโยชมหาศาล
ไพรดำ คือ วานที่มีชีวิตทิพย์
ชีวิตทิพย์ คือ มีวิญญาณ หายไปที่ไหนก็ได้
วิญญาณในที่นี้คือ เทวาขั้นสูงที่มีตบะหลายพันปีที่ยุสร้างบารมีในไพรดำเมื่อมีตบะ ถึงพันปีไพรดำ จะกลายเป็นหิน หรือแร่เหล็ก #จุดนี้ละ ที่เขาเรียกว่า เหล็กไหลไพรดำ ส่วนที่เป็นต้นว่านไพรดำ คือ เทวาที่เข้าไปบำเพ็ญตบะ ตอนจะหายตัวไปบำเพ็ญที่อื่น ก่อนที่จะไป จะมีต้นใหม่มาแทน หรือเรียกในคำเข้าใจว่า ต้นลูกวานไพรดำ เพราะต้นแม่จะดำทั้งต้น
ในบริเวณที่ต้นไพรดำอยู่ เนื้อดินจะดำในรัศมี 2 เมตร แต่รัศมีที่อยู่ใกล้ต้นวานไพรดำ ประมาณ 12 นิ้ว ในบริเวณนั้นพื้นดิน จะดำเหนี่ยวเหมือนน้ำมันยางมะตอย ใช้มือจับจะรู้สึกเหนียวมือ แต่ไม่ติดมือ มีลักษณะเงางามเป็นเอกลักษณะ

ในส่วนนี้ คือ...ต้นวานไพรดำขับน้ำมันในตัวออกมาโดยตามธรรมชาติในส่วนนี้จึงมีความเชื่อว่า มีฤทธิ์ 108 อย่าง เทียบเท่าของหายากเท่ากับเหล็กไหลเพราะ กว่าจะทำให้ดินนั้นเกิดความเหนียวต้องใช้เวลาเป็นร้อยปี และบริเวณที่จะพอได้ต้องอยู่ในป่าลึก น้อยคนที่เข้าไปได้

นอกเหนือจากนี้แล้วจะเข้าใกล้ต้นว่านได้ยากเพราะว่านจะมีญาณเทพคุ้มครองท่านอยู่ในรัศมี 1-2 เมตร มีฤทธิ์ที่รุณแรงมากอาจทำให้หมดสติ หรือเกิดอาการปวดไปทั้งตัวโดยหาสาเหตุไม่เจอ ถ้าจะใกล้ก็ต้องเป็นคนที่ถูกเลือกไว้ได้แค่วันที่กู้ว่าถือเป็นวันทีอันตรายน้อย จะมีแต่ผู้ครอบครองเท่านั้นที่จะสามารถ จับต้องได้ในวันนั่น หลังจากกู้ขึ้นมาแล้วชิ้นส่วนต่างของว่านต้องผ่านพิธีกรรมอีกหลายอย่างจึงจะสามารถใช้การได้ และมีประโยชมหาศาล


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 05 พฤษภาคม 2563, 08:01:09
ปี 2563 คือ พิธีไหว้ครูธรรมใหญ่ ครั้งที่ 158
โดยญาถานเบิ้ม อุตฺตโม ผู้สืบทอดรุ่นที่ 3
บรมครูใหญ่สายธรรมอุตฺตโมบารมี
วัดวังม่วง ต.หนองสิม อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
พูดได้เลยว่า เป็นที่เดียวในภาคอีสาน และเป็นสายต้นกอ ที่มีอายุการสืบทอดที่ชัดเจน ยาวนาน จึงเป็นความภูมิใจของลูกหลานชาวเขมราฐอย่างผม ที่มีความชอบในพระเวทย์คาถาอาคมโบราณ ยิ่งเป็นสายปรมาจารย์ใหญ่หลวงปู่สำเร็จลุนด้วยแล้ว ผมยิ่งคิดว่าตัวผมเองมีบุญที่ยังได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการสืบทอดวิชาไม่ให้สูญหาย

ประวัติความเป็นมา
ความเป็นมาพิธีกรรมไหว้ครูธรรมใหญ่สายอุตฺตมะอุตฺตโม ในทุกปีจะมีการทำพิธีกรรมไหว้ผีไท้หรือผีเชื่อสาย พร้อมกับพิธีไหว้ครูธรรมใหญ่ที่ต้องจัดขึ้นทุกปี หลวงปู่เล่าว่า หลวงปู่สำเร็จต้นบอกกับท่านว่า พิธีกรรมไหว้ครูธรรมใหญ่เท่าที่ท่านจำได้ว่า น่าจะเริ่มมีการจัดในสมัยที่หลวงพ่ออุตตมะ วัดสิงหาร จ.อุบลราชธานี ก่อนท่านมรณะ 15 ปี ก็จะอยู่ในช่วงปี พ.ศ.2405 เพราะท่านจำได้ว่าตรงกับวันสำคัญ คือ วันพระราชสมภพ เจ้าแก้วนวรัฐ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่องค์ที่ 9 แห่งราชวงศ์ทิพย์จักราธิวงศ์ (เจ้าเจ็ดตน) ซึ่งเป็นองค์สุดท้ายแห่งนครเชียงใหม่ พ.ศ.2405 จะอยู่ในช่วงนี้ ปีนั้นจะตรงกับวัน อาทิตย์ ที่ 2 เดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ.2405 ขึ้น ๓ ค่ำเดือนสาม(๓) ปีระกา เพราะตามตำราที่สืบทอดต่อกันมา พิธีกรรมไหว้ครูธรรมใหญ่ ต้องจัดขึ้นให้ตรงกับ ขึ้น 3 คำ่ เดือนสาม ของทุกปี นับจากนั้นมาจึงเริ่มมีการทำพิธีไหว้ครูธรรมใหญ่อย่างเป็นทางการ ปัจจุบันปี 2563 เมื่อคำนวนดูแล้วก็ได้จำนวน 158 ครั้ง ในการทำพิธีกรรมไหว้ครูธรรมใหญ่


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 14 พฤษภาคม 2563, 11:32:30
อีกหนึ่งสายที่สืบทอดจากทางสายพม่า คือ #สายยาแดง
จากบรมครูครูบาอาจารย์อุ่นตาริน ชเวดากอง
เมืองย่างกุ้ง ประเทศพม่า

ญาถานเบิ้ม อุตฺตโม บรมครูใหญ่สายธรรมอุตฺตโมบารมี ผู้สืบทอดรุ่นที่ 3 แห่งบูรพาจารย์สายปรมาจารย์หลวงปู่สำเร็จลุน วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี

สายยาแดง......
สายยาแดงยาครูสายสุวรรณภูมิ ยาเสต่อกี ยาเสต่อ ยาเซด่อ ยาสัจจะ ยาปรมัติ ยาปฐมัง ยาสัจจามิน ยาสุ่ยหยิ่นจ่อ สรุปง่ายๆ ก็คือยาตัวเดียวกันมาจากที่เดียวกันคือสายสุ่ยหยิ่นจ่อแต่เรียกชื่อต่างกันตามความเข้าใจของแต่ละคนตามเหตุผลการตลาดของคน นับประสาอะไรกับชื่อยาที่จะเรียกต่างกันแม้แต่ประวัติของพ่อครูพม่าในสายสุ่ยหยิ่นจ่อมันยังแต่งเติมโกหกตอแหลกันได้เลย เอาอ่านและจำกันไว้นะต่อไปใครก็จะมาหลอกไม่ได้

ประวัติและความเป็นมาของพ่อครูสำนักสุ่ยหยิ่นจ่อที่ถูกต้องอย่างแท้จริง (สายยาพม่า)จากพ่อครูยวญ เจ้าสำนักสุ่ยหยิ่นจ่อฝังไทย

1.พ่อครูสย่าเอ ท่านเกิดในเศวตฉัตรแห่งราชวงศ์พม่า ตอนท่านเกิดมาที่ฝ่ามือขวามีเครื่องหมายสวัสดิกะและมีเม็ดยาสัจจะมาด้วย ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ว่าท่านต้องเป็นผู้มีบุญมาเกิดเป็นแน่แท้ และต่อไปในภายภาคหน้าท่านต้องได้สืบทอดราชวงศ์เป็นที่แน่นอน จึงทำให้พระราชโอรสและพระสนมองค์อื่นๆ กลัวว่าต่อไปพระราชโอรสองค์นี้จะเป็นภัยแกตน จึงทำการติดสินบนกับโหรหลวงให้ใส่ร้ายป้ายสีว่าเป็นกาลกิณิและเป็นภัยต่อราชสำนักให้ขับไล่ออกไปเสีย กษัตริย์พม่าหลงเชื่อในคำพูดของโหรหลวงจึงทำการเนรเทศท่านเสียแต่พระสนมเอกไม่วางใจจึงติดสินบนกับผู้ที่นำพ่อครูสย่าไปทิ้ง ให้นำไปประหารชีวิตด้วยการถ่วงน้ำแทนร้อนถึงพ่อครูโป๊ะโป๊ะอ่องต้องเหาะมาช่วยท่านและนำท่านไปฝึกวิชาต่างๆ จนสำเร็จ จึงถือว่าพ่อครูสย่าเอเป็นพ่อครูองค์แรกในสำนักสุ่ยหยิ่นจ่อ(สายยาพม่า) ซึ่งพ่อครูสย่าเอนั้นท่านมีหลายชื่อคือ สย่าเอ สย่ามิน สัจจะมิน สัจจะยามิน สัจจามิน โปต่อเอ โป๊ะต่อเอ ภูต่อเอ โป๊ะโต๊ะสัจจะมิน โป๊ะโต๊ะสัจจามิน และอีกหลายๆ ชื่อ

2.พ่อครูสย่าปิ้ว ท่านเป็นลูกศิษย์ของพ่อครสย่าเอไปไหนมาไหนพร้อมกับพ่อครูสย่าเอตลอด เมื่อพ่อครูทั้งสองไปด้วยกันและเวลาหยุดพักจะมีฉัตร 5-7 ชั้น คอยบังร่มเงาให้เป็นอัศจรรย์นัก ซึ่งในสมัยนั้นชาวบ้านจะศรัทธาผู้วิเศษกันมากจนพากันมาหาและขอของดีกับพ่อครูทั้งสองเป็นอันมาก จนพ่อครูสย่าเอท่านเกิดความเบื่อหน่ายท่านจึงหักฉัตรทิ้งและมอบยาสัจจะพร้อมดอกมณฑาทิพย์ให้พ่อครูสย่าปิ้วเพื่อทำยาวิเศษส่วนตัวท่านก็ได้กลับไปหาพ่อครูโป๊ะโป๊ะอ่อง เมื่อพ่อครูสย่าเอท่านไปแล้ว พ่อครูสย่าปิ้วก็ได้รวบรวมของทั้งหมดแบกใส่บ่าเพื่อหาผู้ที่มีบุญญาบารมีมาเพื่ิอที่จะทำยาวิเศษเป็นเวลาหลายร้อยปีในที่สุดท่านก็พบผู้ที่จะทำยาได้

3.พ่อครูสย่าปุ้ย ท่านเป็นลูกศิษย์ของพ่อครูสย่าปิ้วและเป็นพ่อครูที่ทำยาวิเศษเป็นคนแรกในสายสายพม่า(สุ่ยหยิ่นจ่อ) เมื่อท่านทำยาวิเศษเสร็จแล้วก็ได้ไปอาราธนาอัญเชิญพ่อครูโป๊ะโป๊ะอ่อง พ่อครูโป๊ะมินข่อง พ่อครูสย่าเอ พ่อครูสย่าปิ้วตลอดจนผู้ที่มีบูญญาบารมี มีอิทธิฤทธิ์ต่างๆ ทั้งพระ ฤาษี ผู้ถือศีล ฆราวาสทั่วทั้งพม่าให้มาปลุกเสกยาวิเศษและวัตถุมงคลศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดจนสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ท่านก็ได้เอาตัวยาวิเศษเหล่านั้นไปบรรจุตามพระเจดีย์ต่างๆ ทั่วพม่า หลังจากนั้นท่านก็ได้ทำการเปิดสำนักสายยาพม่า(สุ่ยหยิ่นจ่อ) ขึ้นเป็นครั้งแรกอย่างเป็นทางการ

4.พ่อครูสย่าห่าน ท่านเป็นลูกศิษย์ของพ่อครูสย่าปุ้ยไปคอยปรนนิบัติรับใช้พ่อครูสย่าปุ้ยอยู่หลายปีทั้งหุงหาข้าวปลาอาหาร ปัดกวาดถูบ้านถูเรือน หาบน้ำ ผ่าฟื้น เพื่อหวังได้เรียนวิชาแต่พ่อครูสย่าปุ้ยก็ไม่สอนท่านสักที ไปสอนแต่คนอื่นจนท่านน้อยเนื้อต่ำใจคิดไปต่างๆนานา อีกอย่างท่านก็จากบ้านเรื่อนที่อยู่อาศัยและภรรยามาเป็นเวลานานจนเกิดความคิดถึงท่านก็ได้ไปลาพ่อครูสย่าปุ้ยเพื่อกลับไปเยื่อนภรรยาที่บ้าน เมื่อท่านกลับไปหาภรรยาท่านแล้ว ปรึกษากับภรรยาแล้วท่านก็ได้รวบรวมทรัพย์สมบัติแก้วแหวนเงินทองของมีค่าทั้งหมดในบ้านของท่านแล้วนำมามอบให้พ่อครูสย่าปุ้ย เมื่อพ่อครูสย่าปุ้ยท่านรับของมีค่าเหล่านั้นแล้วท่านก็เริ่มทำการสอนวิชาความรู้ที่มีทั้งหมดให้กับพ่อครูสย่าห่านจนสำเร็จแล้วท่านก็เรียกพ่อครูสย่าห่านมาหาเพื่อมอบข้าวของมีค่าทั้งหมดคืนให้พ่อครูสย่าห่าน พ่อครูสย่าปุ้ยท่านบอกว่าท่านทดสอบและดูพ่อครูสย่าห่านมานานจนท่านไว้ใจและสอนวิชาให้จนหมดสิ้นโดยไม่ปิดบังหลังจากนั้นท่านก็ไปอยู่พ่อครูสย่าเอ ให้พ่อครูสย่าห่านเป็นเจ้าสำนักสืบต่อมา

5.พ่อครูอะเพจี่อู่เมี้ยะขิ่น ท่านเป็นลูกศิษย์ของพ่อครูสย่าห่านและเป็นเจ้าสำนักสืบต่อมาที่กรุงย่างกุ้งประเทศพม่า ท่านเป็นผู้ที่เผยแพร่วิชาของสำนักจนเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง

เมื่อได้ทราบประวัติของพ่อครูทั้ง 5 คนไปแล้ว ขอย้ำน่ะครับว่าพ่อครูสายสุ่ยหยิ่นจ่อมีแค่ 5 คนเท่านั้น ที่นี้จะพูดถึงว่ายาสัจจะทั้ง 9 ขั้น มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เฝ้ารักษาดังนี้คือ

ขั้นที่ 1.พ่อครูเฝ้ารักษาทั้งหมด

ขั้นที่ 2.พระอินทร์เฝ้ารักษา

ขั้นที่ 3.พระเจ้า 4 พระองค์และองค์เทพทั้ง 4 เฝ้ารักษา

ขั้นที่ 4. โป๊ะต่อเอเฝ้ารักษา

ขั้นที่ 5. พญางาสู่เฝ้ารักษา

ขั้นที่ 6.พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เฝ้ารักษา

ขั้นที่ 7. คุณพระเจ้า 9 พระองค์เฝ้ารักษา

ขั้นที่ 8.พระอินทร์เฝ้ารักษา

ขั้นที่ 9.องค์เทพอะฉิ๋งอูอ๋อปาเต๊ะเฝ้ารักษา

มือซ้าย ใช้ไล่พิษต่างๆ เช่นพิษตะขาบ แมงป่อง หมาบ้า ผดผื่น ไฟไหม้ น้ำร้อนลวก มะเร็งไข่ปลา

มือขวา ใช้ไล่วิญญาณ คุณผีคุณคน คุณเสน่ห์ยาแฝด ล้างอาถรรพณ์เมฆหมอกมนต์ดำ ทำลายวิชาอาคมต่างๆ ได้

ไหล่ซ้าย กลางวัน ร้อน

ไหล่ขวา กลางคืน เย็น

เวลาที่เรารักษาคนต่างๆ เราสามารถเรียกกองทหารเอกของพ่อครูสย่าเอมาใช้งานได้ เรียกแผนกค้อน มีด หอก ดาบ ขวาน ธนู หน้าไม้ ไฟบรรลัยกัลป์ น้ำกรด ช้าง ม้า ครุฑ นาค มาช่วยเราได้

การใช้ยาสัจจะแก้อาถรรพ์ต่างๆในสถานที่อยู่อาศัย สามารถแก้ได้โดย

1.การหว่านทราย

2.การหว่านข้าวสาร

ทรายและข้าวสารต้องผ่านการเสกจากครูบาอาจารย์ในสายเท่านั้น

สำหรับผู้ที่สักยาสัจจะ 5 ขั้น 9 ขั้น เรียบร้อยแล้วนั้นจะมีคุณประโยชน์ดังนี้คือ

1.เมตตา 2.รวย 3.คงข่าม 4.อำนาจ 5.ดิน 6.อายุ7.อาหาร 8.ทิศ 9.ยาแดง

ผู้หญิงสักได้แค่ 5 ขั้น ผู้ชายสักได้ 9 ขั้น การสักยาสัจจะมีข้อห้ามคือ 1.ห้ามผิดลูกผิดเมียโดยเด็ดขาด ข้อนี้ถ้าใครผิดไปแล้วไม่สามารถจะมาสักใหม่ได้ เพราะถึงสักไปก็ไม่มีประโยชน์ 2.ห้ามกินเนื้อวัวเนื้อควาย 3.ห้ามกินเหล้า

ผู้ที่ได้สักยาสัจจะไปแล้วนั้นไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชายก็ตามขอให้รักษาไว้ให้ดีเพราะสามารถช่วยและแก้ไขให้ชีวิตเราดีขึ้นได้ หลักสำคัญในการสักยาสัจจะคือให้หมั่นเติมยาบ่อยๆ จากครูบาอาจารย์ที่เราเคารพนับถือและควรจะไปไหว้ครูทุกครั้งที่แม่สอด สายยาสัจจะดูง่ายๆ ครับ ผู้ที่จะสักหรือแต้มยาให้เรานั้นต้องประกอบไปด้วยตำราการสักที่ถูกต้อง ชุดเข็มสัก แยกถอดได้ 4 ชิ้นครับ(บางคนก็ทำเข็มเองแล้วไปให้พ่อครูมอบอำนาจให้ก็ได้ครับ) ชุดยาสัก เสต่อ หางแดง สะมาดยันต์คุม 9 ขั้น สะมาดยันต์ต่างๆ จำไว้ว่าผู้หญิงสักได้ 5 ขั้น ผู้ชายสักได้ 9 ขั้น จะสักที่เดียวครบเลยหรือสักที่ล่ะกี่ขั้นก็ได้ ถ้าใครสักครบ 5 ขั้น 9 ขั้นแล้ว ต่อไปก็ให้เติมยาแต้มยาบ่อยที่สุดเท่าที่ทำได้ครับ


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 14 พฤษภาคม 2563, 11:33:08
ช้องหมูป่าธรรมชาติ
ของทนสิทธิ์ที่ใช้สืบทอดสายธรรมอุตฺตโมบารมี
ญาถานเบิ้ม อุตฺตโม บรมครูใหญ่สายธรรมอุตฺตโมบารมี ผู้สืบทอดรุ่นที่ 3 แห่งบูรพาจารย์สายปรมาจารย์หลวงปู่สำเร็จลุน วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี

ช้องหมูป่า ของทนสิทธิ์ที่หายากชนิดหนึ่ง ใช่ว่ามีเงินแล้วจะได้ครอบครอง ในสมัยโบราณพวกขุนโจรชื่อดังมากมาย มักมีติดกายอยู่เสมอ

ทำให้คงกระพัน มหาอุด แม้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองก็ไม่สามารถจะทำอันตรายหรือปราบปรามได้ แต่ในปัจจุบัน ช้องหมูป่านับว่าหายากขึ้นทุกวัน

จะมีของปลอมระบาดแพร่หลาย จึงต้องพึงระวังเป็นอย่างยิ่ง

ช้องหมูป่า

มีความเชื่อของที่มาแตกต่างกันออกไป บ้างเชื่อว่า ช้องหมูป่า เป็นเส้นขนพิเศษของหมูป่า ที่ขึ้นอยู่บริเวณตัวของหมูป่า โดยเฉพาะที่บริเวณหัว หรือระหว่างคิ้วของมัน มีความยาวเป็นพิเศษนักไสยศาสตร์เชื่อกันว่าเป็นของขลังชนิดหนึ่ง ที่มีอิทธิฤทธิ์ด้านคงกระพันมหาอุด ส่วนอีกกลุ่มเชื่อว่า ช้องหมูป่าคือขนที่ยาวเป็นพิเศษของหมูป่า โดยเฉพาะหมูโทน ซึ่งหมายถึงหมูตัวผู้ที่ชอบหากินอยู่ตัวเดียว อย่างทระนง มันจะมีขนเหนือสันหลังขึ้นมาถึงโหนกคอ ยาวเป็นพิเศษ เหมือนหางเปียย้อยลงมาตรงหน้าผาก ยาวจนถึงปากของมัน หมูป่าจะคาบช้องของมันเอาไว้ตลอดเวลา โดยพันเอาไว้กับเขี้ยวด้านหนึ่ง

เชื่อกันว่าช้องหมูป่าแบบนี้มีความคงกระพันมหาอุด คุ้มครองทั้งหมูที่เป็นเจ้าของช้อง และคนที่มีช้องของหมูป่าไว้ครอบครอง ส่วนความเชื่อของกลุ่มหลังสุดนี้พิสดารน่าสนใจมาก....

เชื่อกันว่าช้องหมูป่า เป็นขนที่ขึ้นอยู่บริเวณลูกอัณฑะของหมูป่าหรืออาจเรียกว่า ขนเพชรหมูป่า ก็น่าจะได้ จัดเป็นขนลักษณะพิเศษเมื่อเกิดขึ้นมาแล้วหมูป่าโทนที่ชอบออกหากินตัวเดียวไม่เกรงกลัวใคร จะใช้ปากและฟันเลียและกัดขนชองมันมาไว้ในปาก ตวัดและเคี้ยวด้วยน้ำลาย จนขนรวมตัวกันเป็นวงหรือขมวดกลมๆ หรือวงแหวน หมูจะรักษาขนนี้ไว้ในปากตลอดเวลา ไม่ว่าจะกินอะไรมันก็จะซ่อนไว้ในปากได้ อย่างประหลาด หมูป่าตัวนั้นจะมีความอยู่ยงคงกระพันเป็นมหาอุดตลอดเวลาที่มันมีขนนั้น อยู่ในปาก ลูกกระสุนปืนนายพรานจะไม่สามารถทำอะไรมันได้

ดังนั้นพรานป่า นักล่าทางไสยศาสตร์ จึงต้องคอยติดตามหมูตัวที่ต้องการไป คอยจนมันกินน้ำ ตอนกินน้ำนี่เอง ที่หมูป่าจะคายขน หรือช้องหมูป่าออกมาวางไว้บนโขดหินบ้าง บนขอนไม้บ้าง เพื่อให้มันได้กินน้ำอย่างสะดวก พอมันคายช้องหมูป่าออกมาแล้ว นายพรานก็จะยิงหมูตัวนั้นได้ แล้วจึงค่อยไปเก็บเอาช้องหมูป่าเอามาเป็นเครื่องรางของขลังติดตัวกัน เชื่อกันว่าจะทำให้ปืนยิงไม่ออก หรือยิงไม่เข้า แต่ต้องพกติดตัวไว้ตลอด ห่างแค่คืบ แค่ศอกก็จะไม่สามารถคุ้มครองป้องกันได้


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 15 พฤษภาคม 2563, 10:38:24
หัวเชื้อน้ำมันสักไพรดำ
(ของในตำนานเล่าขานที่หาได้ยากมาก)
ของสืบญาถานเบิ้ม อุตฺตโม บรมครูใหญ่สายธรรมอุตฺตโมบารมี ผู้สืบทอดรุ่นที่ 3 แห่งบูรพาจารย์สายปรมาจารย์หลวงปู่สำเร็จลุน วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี

ซึ่งญาถานเบิ้มได้อัญเชิญน้ำมันสักไพรดำอันศักดิ์สิทธิ์มอบให้คณะครูธรรมจารหรือสักลงในกายสังขารทั้ง 9 จุด อันเป็นคุณวิเศษของพระพุทธเจ้าทั้ง 9 ประการ มีพุทธคุณดังนี้

จุดที่ 1 เป็นผู้มีอำนาจบารมีเหนือคนอื่น
จุดที่ 2 เป็นผู้มีชัยชนะเหนือผู้อื่นแข่งกับใครก็ต้องชนะ
จุดที่ 3 เป็นผู้ที่เทวดาและมนุษย์เมตตารักใคร่ ไม่จืดจาง
จุดที่ 4 เป็นผู้มีโภคทรัพย์ เงินทองไหลมาทั้ง 10 ทิศ
จุดที่ 5 ป้องกันโรคภัยไข้เจ็บ ไม่มีโรคภัยมาเบียดเบียน
จุดที่ 6 แคล้วคลาด ปลอดภัย จากอันตรายทั้งปวง
จุดที่ 7 เป็นผู้มีความสุข ความเจริญ ตลอดเวลา
จุดที่ 8 สมปรารถนาในทุกสิ่ง สำเร็จดังใจคิด
จุดที่ 9 คงกระพัน มหาอุตม์ สยบอาวุธทั้งปวง

น้ำมันสักไพรดำนี้เป็นน้ำมันศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงของเหล่านักรบและชายชาตรีในสมัยโบราณ มีสรรพานุภาพทางด้านคุ้มครองป้องกันภัยจากอันตรายและอุบัติเหตุเภทภัยทั่วทั้งสิบทิศ ป้องกันอันตรายจากธาตุทั้ง 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ รวมทั้งกันคุณไสย์การกระทำย่ำยีต่าง ๆ

เป็นมหาอำนาจคุมคนคุมสัตว์บ่าวไพร่บริวารทั้งปวงให้เคารพเกรงขามแก่ตัวเรา เป็นทั้งแคล้วคลาดเพชรหลบ เพชรหลีก คงกระพันชาตรี คงเนื้อ คงหนัง คงกระดูก

ปัดเป่าเสนียดจัญไรสิ่งเลวร้ายทั้งหลาย อุบาทว์ต่าง ๆ ให้ออกไปไกลตัว ตามตำรับตำราโบราณกล่าวว่าเป็นน้ำมันศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงที่สามารถคุ้มครองผู้อื่นที่อยู่ร่วมกับเราได้อีกด้วย


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 17 พฤษภาคม 2563, 18:54:16
ไม้เท้ามณีโครต
อีกหนึ่งอย่างเป็นสิ่งสืบทอด
ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์แห่งคอนพะเพ็ง หนึ่งเดียวในโลก
หรือ ต้นชี้ตายปลายชี้เป็น

ญาถานเบิ้ม อุตฺตโม บรมครูใหญ่สายธรรมอุตฺตโมบารมี ผู้สืบทอดรุ่นที่ 3 แห่งบูรพาจารย์สายปรมาจารย์หลวงปู่สำเร็จลุน วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี

สายธรรมอุตฺตโมบารมี อยู่จังหวัดอุบลราชธานี พ่อแม่ครูบาอาจารย์ ส่วนมากอยู่ทางคอนพะเพ็ง สปป.ลาว ไม้เท้าที่สร้างในชุดเดียวกัน มี 3 ไม้เท้า 2 ชิ้นอยู่ในสายธรรม ชิ้นที่ 3 อยู่กับพระสังฆราช สปป.ลาว

“น้ำตกคอนพะเพ็ง” เป็นน้ำตกเลื่องชื่อของแขวงจำปาสัก สปป.ลาว แม้จะเรียกว่าน้ำตก แต่จริงๆ แล้วคอนพะเพ็งเป็นส่วนหนึ่งของแม่น้ำโขง โดยคำว่า “คอน” ในภาษาลาว หมายถึง “แก่ง” นั่นเอง โดยคอนพะเพ็งถือเป็นคอนหรือแก่งขนาดใหญ่และสวยงามที่สุดในแม่น้ำโขง ส่วน “พะเพ็ง” นั้นหมายถึง “พระจันทร์วันเพ็ญ”

แก่งบริเวณคอนพะเพ็งเป็นแก่งขนาดใหญ่ ความสูงของแก่งกว่า 10 เมตร ทำให้สายน้ำโขงที่ไหลบ่ามาในบริเวณนี้เชี่ยวกรากดุดัน ยิ่งเมื่อสายน้ำกระโจนลงสู่แก่งหินเบื้องล่างอย่างรุนแรงเกิดเป็นน้ำตกอันยิ่งใหญ่ตระการตา จนได้ชื่อว่าเป็น “ไนแองการ่าแห่งเอเชีย”

นอกจากความสวยงามอลังการแล้ว อีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่อยู่คู่น้ำตกคอนพะเพ็ง คือ “ต้นมณีโคตร” หรือมะนีโคด ในภาษาลาว เป็นต้นไม้เก่าแก่สันนิษฐานว่ามีอายุหลายร้อยปีหรืออาจถึงพันปี ขึ้นอยู่บนแก่งหินกลางแม่น้ำโขง ชาวลาวนับถือว่าเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์และเชื่อว่ามีต้นเดียวในโลก ตามตำนานเรียกว่าเป็น “ต้นชี้ตายปลายชี้เป็น” โดยหากเอาด้านหัวของกิ่งชี้ไปที่ใครคนนั้นก็จะตาย แต่หากใช้ด้านปลายของกิ่งชี้คนตายก็กลับฟื้นขึ้นมาได้

แกนของกิ่งต้นมณีโคตรหากตัดดูจะเห็นเป็น 3 สี คือสีนวลเหมือนไข่ไก่เหลืองอ่อนๆ สีม่วง และสีชมพู เป็นที่มาของชื่อมณีโคตร

มณีโคตรต้นนี้ มองด้านหนึ่งคล้ายเขาควาย มี 3 กิ่งหลักๆ กิ่งหนึ่งหันไปฝั่งลาว ชาวลาวเชื่อว่าใครได้กินผล (หมาก) ที่เกิดจากกิ่งนี้จะแก่ชราขึ้น กิ่งหนึ่งหันไปทางเขมร เชื่อว่าใครกินผลของกิ่งนี้จะกลายเป็นลิง และอีกกิ่งหนึ่งหันไปทางฝั่งไทย เชื่อว่าใครที่ได้กินผลจากกิ่งนี้ จะหนุ่มขึ้น เยาว์วัยขึ้น บ้างก็ว่าไม่ว่ากินจากกิ่งไหนก็จะมีกำลังวังชาเหนือมนุษย์ และบ้างก็เชื่อว่าปลายกิ่งทั้งสามที่ชี้ไปทางกัมพูชา ไทยและลาว หมายถึงว่าทั้งสามประเทศจะเจริญเป็นมรกตแห่งอินโดจีน แต่ก็ยังไม่เคยมีใครได้กินผลจากกิ่งใดเลย เพราะสายน้ำเชี่ยวกรากทำให้ไม่เคยมีใครเข้าไปถึงต้นมณีโคตรต้นนี้ ยกเว้นนกกระยางขาวและอีกาที่มักจะบินไปเกาะอยู่เต็มต้นมณีโคตรทุกๆ วันพระ

นอกจากยังเชื่อกันว่า กิ่งของต้นมณีโคตรเมื่อนำไปฝนกับน้ำแล้วดื่มก็จะรักษาได้สารพัดโรค ทั้งอัมพฤกษ์ อัมพาต โรคตับ โรคเบาหวาน โรคที่หมอรักษาไม่ไหวแล้ว พอได้กิ่งมาฝนน้ำดื่มไปสักอาทิตย์หนึ่งก็หายจากโรค แม้แต่ฝรั่งเศสในสมัยที่ยังปกครองลาวเคยพยายามส่ง ฮ.(เฮลิคอปเตอร์) เข้าไปบินใกล้ๆ เพราะดูถูกในความเชื่อของคนลาว แต่ ฮ. ก็ต้องตกลงอย่างไม่รู้สาเหตุ ด้วยความเชื่อว่าเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ จึงมีการสร้างศาลไว้ให้คนบูชาไว้ที่ฝั่งบริเวณใกล้ๆ กับน้ำตก



หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 23 พฤษภาคม 2563, 12:08:12
ตะกรุดโทนสุริยะนวภาสายกษัตริย์  และตะกรุดแคล้วคลาดนวภา

ญาถานเบิ้ม อุตฺตโม บรมครูใหญ่สายธรรมอุตฺตโมบารมี
ผู้สืบทอดรุ่นที่ 3 วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
ศิษย์แห่งบูรพาจารย์สายปรมาจารย์ใหญ่หลวงปู่สำเร็จลุน

วัตถุประสงค์การจัดสร้าง เพื่อรวบรวมสมทบทุน ร่วมมหากุศลเป็นเจ้าภาพลูกนิมิตเอกร่วมกัน

ประวัติการจัดสร้าง
1.ตะกรุดโทนสุริยะนวภาสายกษัตริย์ สร้าง 108 ดอก
2.ตะกรุดแคล้วคลาดนวภา สร้าง 999 ดอก
ขนาดความกว้าง 9 ซม. เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 9 มม.

เหตุที่คณะครูธรรมสายธรรมอุตฺตโมบารมี จัดสร้างตะกรุดโทนสุริยะนวภาสายกษัตริย์ และตะกรุดแคล้วคลาดนวภาเนื่องจากความเชื่อไสยศาสตร์ เครื่องรางของขลังไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ ความเชื่อเรื่องของขลัง ว่าจะช่วยการทำงาน โชคลาภ มีความนับถือเลื่อมใส แต่เนื่องจากสภาพสังคมที่มีการแข่งขันสูง ผู้คนต้องพัฒนาตัวเอง ดิ้นรนเอาตัวรอด ทำให้บางครั้งการแสวงหาสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจเพื่อช่วยปลอบประโลมจากการใช้ชีวิต หรือเพื่อเสริมสร้างกำลังใจ จึงเป็นปัจจัยหนึ่งที่เข้ามาในชีวิตของผู้คนอย่างเลี่ยงไม่ได้
พระเครื่อง ของขลังไทย ซึ่งมีชื่อเสียงในแง่การให้คุณ ให้โชค

ตะกรุดโทนสุริยะนวภาสายกษัตริย์ และตะกรุดแคล้วคลาดนวภา วัตถุมงคลของญาถานเบิ้ม อุตฺตโม บรมครูใหญ่สายธรรมอุตฺตโมบารมี ผู้สืบทอดรุ่นที่ 3 วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี ศิษย์แห่งบูรพาจารย์สายปรมาจารย์ใหญ่หลวงปู่สำเร็จลุน เริ่มก่อเกิดประสบการณ์ดีๆต่างๆนานา เข้ามาหาแก่ผู้ที่มีไว้ใช้บูชา ไม่ว่าจะเป็น “เหรียญรุ่นแรก หรือตะกรุดพญาเสือสมิง” ที่เกิดประสบการณ์นิรันตราย ปกปักป้องกันภัยได้สารพัด ขจัดปัดเป่าสิ่งเลวร้ายให้หายสิ้น ทหารใต้นิยมมาเช่าทำบุญเป็นอย่างมาก ต่างมาเล่าว่าเกิดเหตุการณ์แคล้วคลาดปลอดภัย อย่างชนิดที่ว่า “ แขวนไว้ไม่ตายโหง ” กันเลยทีเดียว อีกทั้ง “สีผึ่งครูธรรม ” ที่ท่านสร้างไว้ได้อย่างเข้มขลัง บังเกิดแต่มหาเสน่ห์ ใครพบเห็นก็เมตตา เป็นที่นิยมชมชอบของเพศตรงข้ามที่ให้ผลชะงัดนัก หลายๆท่านคงเคยทราบประวัติของ “ญาถานเบิ้ม อุตฺตโม” มาบ้างแล้ว ท่านเป็นศิษย์เอกผู้สืบทอดเวทย์วิทยาคม ผู้สืบทอดรุ่นที่ 3 แห่งศิษย์แห่งบูรพาจารย์สายปรมาจารย์ใหญ่ ได้รับสรรพเวทย์วิทยาคมมาอย่างหมดจด รู้แจ้งแห่งกระบวนความตามที่ได้รับสั่งสอนมา และท่านได้ร่ำเรียนสรรพความรู้มาจากหลวงปู่อีกหลายท่าน จึงเป็นที่เคารพนับถือ และมีศรัทธา ให้ปกครองเป็นเจ้าอาวาสวัดวังม่วง ตะกรุดโทนสุริยะนวภา และตะกรุดแคล้วคลาดนวภาที่สุดแห่งตะกรุดกำบังไพร ปกป้องกำบังตน ขจัดหมู่คนพาล ปัดศัตรูหมู่มารให้หายสิ้น มีฤทธิ์หยุดปืน และเด่นทางแคล้วคลาดที่บอกว่าหยุดปืนนี่มีเรื่องเล่า ศิษย์ทหารสายใต้ตะกรุดนี้ไปตะเวนชายแดนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งประสบการณ์แคล้วคลาด หยุดปืนไม่ให้ลั่นลูกไม่ออก ตะกรุดนี้ปลุกเสกเอาไว้หลายคาบ ทั้งพิธีเสาร์ห้า พิธีสุริยุปราคา ลงเสกเอาไว้หลายปฐมบท เสกหมดสรรพวิชาความรู้ที่ร่ำเรียนมา และยังบรรจุมวลสารศักดิ์สิทธิ์ไม่ว่าจะเป็น ว่านวิเศษต่างอันมีฤทธิ์ ของกายสิทธิ์ทั้งปวง เช่น คต เขี้ยว เขา นอ งา กะลา แร่ธาตุ แก้วอาถรรพ์ จึงส่งอานุภาพใช้ปกปักรักษา คุ้มครองป้องกันภัย ปัดเป่าสิ่งเลวร้ายได้ทั้งปวง ท่านยังเสกวิชาหนุนดวงลงไปด้วย จึงทำให้ช่วยพยุงดวงชะตาของผู้ที่มีไว้บูชาให้สูงขึ้น ไม่ทำให้ตกต่ำย่ำแย่ไปกว่าเดิม สารพัดกัน สารพัดแก้ดีนักแล

มวลสารหลัก

วาน 108    
1.ไก่แดง ให้ผลทางเมตตามหาเสน่ห์ มหานิยมชั้นยอด
2.มหาลาภ ให้ผลทางโชคลาภเป็นสิริมงคลดีนัก
3.สี่ทิศ ให้ผลทางโชคลาภทำการสิ่งใดจะประสบความสำเร็จทุกประการ
4.เทพประชุมพร ว่านทางด้านเมตตามหานิยม โชคลาภ ช่วยให้ค้าขายเจริญรุ่งเรือง
5.เทพประสิทธิ์ เป็นสิริมงคลดีนัก
6.ขมิ้นขาว เด่นทางด้านเมตตา
7.นางคำ คุณวิเศษทางด้านเสน่ห์มหานิยม ใช้ได้นานาประการ
8.สาวหลง ว่านที่ทรงคุณค่าทางด้านเมตตามหานิยมอย่างสูงสุด
9.ทิพยเตร เด่นเรื่องเมตตามหานิยม
10.มหาอุดม เป็นว่านมหานิยมสูงมาก เป็นที่รักใคร่
11.ดินสอฤาษี สรรพคุณทางด้านมหานิยมยังอยู่ในระดับเยี่ยม
12.ไพลดำ แคล้วคลาดปลอดภัย
13.ดอกทองตัวผู้ เป็นว่านในทางมหาเสน่ห์เป็นพระยาเทครัว
14.ดอกทองตัวเมีย เป็นว่านในทางมหาเสน่ห์ เมตามหานิยมอย่างแรงอีกชนิดหนึ่ง
15.กุมารทอง ให้ผลทางโชคลาภ
16.พะตะบะ กันอัปมงคลต่างๆแคล้วคลาดปลอดภัย
17.ทรหด เด่นทางด้านคงกระพันและแคล้วคลาด
18.กระแจะจันทร์หงสา ด้านเมตตามหาเสน่ห์
19.เปราะหอม เป็นว่านทางเสน่ห์มหานิยมทางชู้สาว และช่วยให้ค้าขายดี
20.ไก่ขัน ใช้ในทางเสน่ห์เลห์กลดีหนักหนา
21.เพชรน้อย เด่นทางด้านคงกระพันและแคล้วคลาด
22.เพชรน้อยแดง เด่นทางด้านคงกระพันและแคล้วคลาด
23.ดอกทองกระเจา เป็นเสน่ห์ทางด้านชู้สาว และช่วยให้ค้าขายดี
24.นางพญาหงส์ทอง เป็นว่านทางเมตตามหานิยม เจรจาสิ่งใดจะเป็นที่พอใจ
25.นางพญาหงส์เงิน เป็นว่านทางเมตตามหานิยม เจรจาสิ่งใดจะเป็นที่พอใจ
26.กลิ้งกลางดง เด่นทางด้านคงกระพันและแคล้วคลาด
27.พระฉิม เป็นมงคล เสริมสิริมงคล และขจัดความชั่วร้ายทำให้แคล้วคลาด
28.หอมดำ จัดเป็นว่าน 108 ที่ใช้ในการผสมสร้างพระผงคงกระพันชาตรี อีกทั้งยังมีเมตตามหานิยมใคร
29.แม่ทองใบ มีอานุภาพบันดาลให้ประสบโชคลาภ ความร่มเย็นเป็นสุข
30.ไชยมงคล ความเป็นมงคล เป็นว่านทรงอำนาจช่วยคุ้มครองป้องกันภัย
31.สลักไกร เสน่ห์เมตตามหานิยม คงกระพันชาตรีอีกด้วย
32.สบู่หยวก เสน่ห์เมตตามหานิยม
33.ดอกทองโยนี (เขียด) เป็นว่านเสน่ห์เมตตามหานิยม ทำให้ค้าขายดี
34.พญาลิ้นงู แคล้วคลาด
35.มหาบัว เป็นว่านสิริมงคลชั้นสูงต้นหนึ่ง
36.พญาจงอาง คงกระพันแคล้วคลาด
37.เทพรำลึก เสน่ห์เมตตามหานิยมเป็นยอด
38.เงินไหลมา มีอานุภาพเรียกเงินทองให้เข้ามาสู่เคหะสถานบ้านเรือน
39.พญาว่าน แคล้วคลาด
40.ขมิ้นขาวปัดตลอด โชคลาภความเจริญ ความมีเมตตามหานิยม และความร่มเย็นเป็นสุขมั่งคั่ง
41.นะหน้าทอง ทางเสน่ห์เมตตามหานิยม ให้ผลดีางการค้า
42.มหาจักรพรรดิ เหมือนมีกำแพงแก้วป้องกันภัยบังเกิดความเจริญรุ่งเรืองเป็นเนืองนิตย์
43.หนุมานยกทัพ เป็นเมตตามหานิยมและกันทางคุณไสยาศาสตร์
44.หอมแดง จัดเป็นว่าน 108 ชนิดที่ใช้ในการผสมเพื่อสร้างพระผงในสมัยก่อน
45.เศรษฐีเรือนนอก อานุภาพให้คุณทางด้านลาภผล เงินทอง
46.เศรษฐีเรือนใน อานุภาพให้คุณทางด้านลาภผล เงินทอง
47.เศรษฐีเรือนกลาง อานุภาพให้คุณทางด้านลาภผล เงินทอง
48.แสนนางล้อม เป็นว่านที่มีสิริมงคลและป้องกันอัคคีภัย
49.ขุนแผนสะกดทัพ อานุภาพ ทางเสน่ห์เมตตานิยม
50.เศรษฐีน้ำเต้าทอง เด่นทางเมตตา โชคลาภ
51.ว่านมหามงคล เป็นเสน่ห์เมตตามหานิยม เสริมบารมี
52.เฒ่าหนังแห้ง คงกระพันแคล้วคลาด
53.ไก่กุ๊ก อานุภาพ ทางเสน่ห์เมตตานิยม
54.เสน่ห์จันทร์ดำ จะเด่นทางด้านเสน่ห์เมตตามหานิยมเป็นที่รักเมตตาแก่ผู้พบเห็น
55.เสน่ห์จันทร์เขียว จะเด่นทางด้านเสน่ห์เมตตามหานิยมเป็นที่รักเมตตาแก่ผู้พบเห็น
56.เสน่ห์จันทร์ขาว จะเด่นทางด้านเสน่ห์เมตตามหานิยมเป็นที่รักเมตตาแก่ผู้พบเห็น
57.เสน่ห์จันทร์แดง จะเด่นทางด้านเสน่ห์เมตตามหานิยมเป็นที่รักเมตตาแก่ผู้พบเห็น
58.กวักนางพญามหาเศรษฐี อานุภาพทางด้านโชคลาภ เมตตามหานิยม ดีทางโภคทรัพย์ เป็นสิริมงคล
59.กวักนางพญาใหญ่ อานุภาพทางด้านโชคลาภ เมตตามหานิยม ดีทางโภคทรัพย์ เป็นสิริมงคล
60.กวักพุทธเจ้าหลวง อานุภาพทางด้านโชคลาภ เมตตามหานิยม ดีทางโภคทรัพย์ เป็นสิริมงคล
61.มหาโชค บันดาลทางโชคลาภโดยตรงและเป็นสิริมงคลแก่บ้านเรือน
62.พัดแม่ชี อานุภาพสูงทางด้านปัดเป่าสิ่งอัปมงคล ป้องกันอำนาจคุณไสย
63.นางคุ้ม คุ้มกันภยันตรายต่างๆ
64.มหาปราบ ดีทางฤทธิ์และอำนาจ อยู่ยงคงกระพัน ป้องกัน ภูติ ผี ปีศาจ
65.ถุงเงินถุงทอง มีอานุภาพทางด้านโภคทรัพย์ ประดุจถุงเงินถุงทอง
66.ขอทอง เด่นเรื่อง เมตตา มหานิยม
67.หนุมานนั่งแท่น ทางคงกระพันชาตรี
68.ไก่ดำ อำนาจและบารมี อีกทั้งให้คุณทางด้านการค้าขาย
69.กำบัง ป้องกันสรรพภัยจากผู้ปองร้ายด้วยวิทยาคุณต่างๆ
70.เทพรำพึง เป็นเอกทางด้านเมตตามหานิยม เป็นสิริมงคล
71.เสน่หา เป็นว่านมงคลมหานิยม
72.เต่านำโชค เป็นว่านทางเมตตา
73.นางล้อม เป็นว่านมหามงคล ป้องกันสรรพสัตว์ทั้งปวง
74.กล่อมนางนอน ว่านที่มากด้วยเมตตามหานิยม มีอานุภาพสามารถทำให้ผู้คนเคลิบเคลิ้มได้
75.ขมิ้นขาวเสน่ห์ ดีทางด้านเมตตามหานิยม ทั้งยังเป็นเมตตามหานิยม
76.เทพรัญจวน ให้ในทางเมตตามหานิยม เป็นที่รัก เมตตาต่อผู้พบเห็น
77.มหานิยม ทางเสน่ห์เมตตามหานิยม
78.จูงนาง เป็นว่านทางด้านเสนห์ เมตตามหานิยม
79.เสน่ห์จันทร์หอม เป็นว่านมหาเสน่ห์ช่วยให้ค้าขายดีขึ้นดุจเทน้ำเทท่า
80.พัดโบก เป็นว่านมหามงคลสูงพร้อมด้วยเมตตา มหานิยม
81.เถาว์วัลย์หลง ดีทางเจรจาพาที เป็นที่เมตตามหานิยม
82.มหากวัก อานุภาพสิริมงคล ส่งเสริมกิจการธุรกิจการค้าและเจริญก้าวหน้า
83.พุทธกวัก ว่านนี้ดีทางเมตตาและทางการค้า
84.สบู่เลือด ดีทางด้านคงกระพันชาตรี โบราณนิยมมาสร้างพระ
85.แมงมุม เด่นทางแคล้วคลาด ปกป้องจากสิ่งอัปมงคล
86.พระเจ้า5พระองค์ ในทางแคล้วคลาดอันตรายอุบัติเหตุต่างๆ
87.ธรณีสาร ความเป็นมงคลอานุภาพสิริมงคล ส่งเสริมกิจการธุรกิจการค้า
88.สิบแสน เป็นว่านทางเมตตามหานิยม ทำให้ประสบโชคลาภ
89.กวักโพธิ์เงิน ว่านเสน่ห์เมตตามหานิยม นำโชคนำลาภ
90.เสน่ห์ขุนแผน เป็นเมตตามหานิยมรักใคร่และความเจริญรุ่งเรือง
91.เศรษฐีพญาบดินทร์ ทางเมตตามหานิยมสูงทั้งนำโชค
92.กวักทองคำ ว่านสิริมงคล ว่านแห่งโชคลาภ
93.ห้าร้อยนาง ใช้ในทางเมตตามหานิยม
94.สาลิกา มีอานุภาพทางเมตตามหานิยม
95.ดอกทองเขมร เป็นว่านในทางมหาเสน่ห์ เมตามหานิยมอย่างแรงอีกชนิดหนึ่ง
96.ช้างผสมโขลง เป็นเสน่ห์เมตตามหานิยม
97.กำแพงเงิน เป็นเสน่ห์เมตตามหานิยม แก่ผู้พบเห็นยิ่งนัก
98.มหาเมฆ เป็นว่านนิยมมาตั้งแต่โบราณ ดีทางคลกระพันชาตรี เป็นตบะเดชะ
99.ไพลปลุกเสก อานุภาพเกิดลาภผล ความอุดมสมบูรณ์พูนสุขเจริญรุ่งเรือง
100.จ่าว่าน เป็นว่านอานุภาพสูงให้ทรงด้วยอานุภาพ ป้องกันเสนียดจัญไร
101.จังงัง เป็นเมตตามหานิยม เป็นที่รักใคร่เมตตาแก่ศัตรูหมู่มารทำให้ไม่กล้าคิดร้าย
102.กวักเงินกวักทอง ว่านเสน่ห์เมตตามหานิยม นำโชคนำลาภเงินทอง
103.เพชรกลับดำ เด่นทางแคล้วคลาด ปกป้องจากสิ่งอัปมงคล ไปที่ใดปราศจากอันตราย
104.วาสนาทางลาย เด่นทางโชคลาภวาสนา เจริญด้วยความสมบูรณ์พูนสุข
105.เศรษฐีขอดทรัพย์ ใช้ในทางลาภเป็นเมตตามหานิยม
106.ทองคำ ใช้ในทางโชคลาภเงินทอง
107.ปราบสมุทร สรรพคุณทางคงกระพันชาตรี
108.เศรษฐีนางกวัก ช่วยกวักทรัพย์ กวักลาภ กวักผู้คน ลูกค้าให้ไปมาหาสู่มิได้ขาด

 มวลสารหลัก
               มีมวลสารหลัก 23 ชนิด ดังนี้
               1.เม็ดผงกฤติยาคม หรือผงวิเศษ ที่ญาถานเบิ้มปลุกเสก
               2.ผงดอกไม้แห้ง
               3.ผงขี้ธูป ก้านธูป
               4.ผงดินสอพองหรือแป้งกระแจะ
               5.ผงใบลานดิบ
               6.ใบลานสุก
               7.ผงผงสบู่เลือด
               8.เม็ดผงน้ำตาเทียนไขบด เทียนแหลืองบด
               9.ผงพระสมเด็จหัก
               10.ผงพระเนื้อดินเก่า
               11.เม็ดเกสรบัวแดง
               12.เม็ดเกสรบัวหลวง
               13.ผงวานไพรดำ พ่อสัมฤทธิ์
               14.แร่ดาวตก แร่สะเก็ดดาว หรือกากยายักษ์
               15.วานช่วงระอา
               16.ข้าวสุกตากแห้ง
               17.เกศาญาถ่านเบิ้ม วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
               18.เศษจีวรญาถ่านเบิ้ม วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
               19.ดินโป่งเหลือง
               20.ดินโป่งแดง
               21.ดินโป่งเขียว
               22.ว่านเสน่ห์ค้าขาย และไม้มงคลต่างๆ
               23.เกสร ๑๐๘
        24.ดินอุดรูหนู ดินอุดรูปู

มวลสารหลัก
1.ต้นมณีโคตร ถือว่าเป็นต้นไม้วิเศษ ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์แห่งคอนพะเพ็ง หนึ่งเดียวในโลก
หรือ ต้นชี้ตายปลายชี้เป็น สันนิษฐานว่ามีอายุหลายร้อยปีหรืออาจถึงพันปี ขึ้นอยู่บนแก่งหินกลางแม่น้ำโขง ชาวลาวนับถือว่าเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์และเชื่อว่ามีต้นเดียวในโลก ตามตำนานเรียกว่าเป็น “ต้นชี้ตายปลายชี้เป็น” โดยหากเอาด้านหัวของกิ่งชี้ไปที่ใครคนนั้นก็จะตาย แต่หากใช้ด้านปลายของกิ่งชี้คนตายก็กลับฟื้นขึ้นมาได้

2.เครือร้อย หรือ เครือฮ้อยปลา ลักษณะ คล้ายไม้เลื้อย สรรพคุณ เด่นทางคงกระพันชาตรี และใช้ทาง ค้าขาย เป็นต้นไม้ที่ใช้ เสี่ยงโชคลาภ นำไปบดผสมรวมเป็นสีผึ้งใช้อธิษฐาน

3.ว่านไพรดำ ถือว่าเป็นต้นกำเนิดของว่านวิเศษต่างอันมีฤทธิ์ เป็นราชาของว่านทั้งปวง เป็นต้นว่านวิเศษที่เป็นต้นกำเนิดเหล็กไหล เพราะมักเจออยู่ร่วมกันและจะขาดจากกันไม่ได้ ทั้งยังเป็นแหล่งก่อเกิดของกายสิทธิ์ทั้งปวง เช่น คต เขี้ยว เขา นอ งา กะลา แร่ธาตุ เป๊ก แหย่ง แสง แก้วอาถรรพ์ เพราะของวิเศษเหล่านี้ล้วนต้องมาเสพเอาไอจากไพรดำไปเป็นพลังกายสิทธิ์ทั้งสิ้น
เป็นมหาอำนาจคุมคนคุมสัตว์บ่าวไพร่บริวารทั้งปวงให้เคารพเกรงขามแก่ตัวเรา เป็นทั้งแคล้วคลาดเพชรหลบ เพชรหลีก คงกระพันชาตรี คงเนื้อ คงหนัง คงกระดูก
ปัดเป่าเสนียดจัญไรสิ่งเลวร้ายทั้งหลาย อุบาทว์ต่าง ๆ ให้ออกไปไกลตัว ตามตำรับตำราโบราณกล่าวว่าเป็นน้ำมันศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงที่สามารถคุ้มครองผู้อื่นที่อยู่ร่วมกับเราได้อีกด้วย

4.เครือร้อยปลา หรือ เครือฮ้อยปลา ลักษณะ คล้ายไม้เลื้อย สรรพคุณ เด่นทางคงกระพันชาตรี และใช้ทาง ค้าขาย เป็นต้นไม้ที่ใช้ เสี่ยงโชคลาภ นำไปบดผสมรวมเป็นสีผึ้งใช้อธิษฐาน ยามเวลาใช้

5.เขากวางคุด อานุภาพของเขากวางคุดนั้นดีวิเศษรอบตัวตั้งแต่มหาอุด คงกระพัน เมตตา มหาอำนาจ ราชศักดิ์ โชคลาภ เจริญรุ่งเรืองร่มเย็นเป็นสุข ป้องกันภัยทั้งหลายทั้งปวง แต่ก็ให้ระมัดระวังกันไว้สักหน่อยเพราะของปลอมระบาดมานานนม โดนกันมานักต่อนักแล้วล่ะจะบอกให้

6.ช้อหมูป่าเป็นเส้นขนพิเศษของหมูป่า ที่ขึ้นอยู่บริเวณตัวของหมูป่าโดยเฉพาะที่บริเวณหัว หรือระหว่างคิ้วของมัน มีความยาวเป็นพิเศษ หรือบางตำราเชื่อว่าคือขนที่ยาวเป็นพิเศษของหมูป่า โดยหมูป่าจะนำขนนี้อมไว้ในปากหรือพันไว้ที่เขี้ยวตลอดเวลา มีฤทธิ์อำนาจ : ด้านป้องกันเภทภัย มหาอุด คงกระพัน แคล้วคลาด

7.เขี้ยวหมูตัน ให้คนเกรงขาม เสริมบารมี อำนาจวาสนาเครื่องรางประเภทที่นิยมมาตั้งแต่โบราณแล้ว นั้นคงหนีไม่พ้นพวกเขี้ยว พวกงา โดยเฉพาะเขี้ยวเสือกลวง เขี้ยวหมูตัน เป็นที่เสาะแสวงหาของนักสะสมเครื่องรางเป็นอย่างยิ่ง เขี้ยวหมูตัน คงกระพันและเป็นมหาอุด เขี้ยวหมูเป็นเครื่องรางให้ผลทางอำนาจ และป้องกันสรรพอันตรายจากเขี้ยวงาของสัตว์ร้าย

8.กะลามหาอุด  สำหรับกะลาไม่มีตา หรือกะลามหาอุด เป็นกะลาที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติ จะไม่มีตาและไม่มีปากเลย จะอุดทึบไปหมด ซึ่งมีความเชื่อกันว่า หากผู้ใดมีครอบครองหรือมีไว้บูชาถือเป็นของดีมีคุณวิเศษในตัวแรงกว่ากะลาตาเดียวหลายเท่า กะลามหาอุด จะหาพบได้ยาก คนโบราณถือเป็นของดีมีคุณวิเศษหลายอย่าง เช่น มหาอุด เรื่องของการป้องกันไฟไหม้ และให้โชค

9.กะลาตาเดียว  อานุภาพของกะลาตาเดียว คือ เป็นของที่ใช้หาทรัพย์ ได้คล่องตัวมากขึ้นยิ่งขึ้นไป ไม่มีคำว่าอดอยาก หรือ ขาดแคลน เป็นเมตตา มหานิยมของคนทั่วไป คงกะพันชาตรี เป็นมหาอุตต์ป้องกัน คุณไสยต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ประกอบอาชีพต่างๆ หรือรับราชการมีผลดี ใช้รักษาโรค เป็นโชคลาภ

10.ไผ่ตัน ความเชื่อ ว่ากันว่า “ไผ่ตัน” หรือ “ไผ่ด้ามขวาน” เป็นไม้มงคลชนิดหนึ่ง หากลำต้นของ “ไผ่ตัน” หรือ “ไผ่ด้ามขวาน” ลำไหนไม่มีรูกลวงหรือตันโดยธรรมชาติ ผู้มีคาถาอาคมในยุคสมัยก่อนจะนำไปใช้ทำเป็นเครื่องรางของขลังด้านมหาอุด คงกระพันชาตรีแคล้วคลาดเมตตามหานิยมทำให้มีโชคลาภดีมาก

11.หวายลูกนิมิตเอก” ของมงคลที่เปี่ยมไปด้วยอานุภาพหลายประการทั้งแคล้วคลาด คงกระพัน มหาอุตม์ กันคุณไสย กันผีสางได้ดีเยี่ยม เพราะมากไปด้วยพลังบุญจากการประกอบกรรมบุญกุศลของสาธุชน และผ่านพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์

12.ปรอทดำน้ำหนึ่ง อานุภาพสำหรับการป้องกัน แคล้วคลาดจากภัยอันตราย เด่นด้านคงกระพัน อำพรางกาย ป้องกันอันตราย แคล้วคลาด  พุทธคุณของปรอทสำเร็จ ปรอท เป็นโลหะเหลว คือธาตุกายสิทธิ์ที่ใกล้เคียงกับ เหล็กไหล จริงๆแล้ว ปรอท ก็คือ ไหลประเภทหนึ่ง ปรอท เป็นของอาถรรพ์มีชีวิต จิตวิญญาณ สามารถ ลื่นไหลเคลื่อนย้ายตัวเองได้ เมื่อหุงปรอทเป็นรูปได้สำเร็จแล้ว ปรอท จะมีอานุภาพมากมายมหาศาลสุดเหลือคณานับ อาหารของปรอทคือของเน่าเสียเวลา จะจับปรอท ก็ให้เอาของเน่า

13.งาช้างกระเด็น เชื่อว่ามีไว้บูชาเทวดาจะเมตตา รัก แต่ต้องไม่พูดโกหก ไม่ผิดศีล ส่วน “เขี้ยวเสือ” มีเรื่องของคุณไสย อำนาจ บารมี จะทำอะไรก็สำเร็จโดยง่าย แคล้วคลาดปลอดภัย

13.แก่นขามโปร่งฟ้าฟ้าผ่าตายพรายจัดเป็นเครื่องรางของขลังประเภทไม้ทนสิทธิ์ที่ขึ้นชื่อเรื่องป้องกันและขับไล่สิ่งชั่วร้ายอาถรรพ์ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็นไม่ว่าจะเป็น คุณไสย์ มนต์ดำ วิญญาณชั่วร้าย ภูตผี สัตว์ดุร้าย แม้กระทั่งผู้มีจิตคิดร้ายได้สารพัด ทั้งช่วยเรียกทรัพย์ดึงดูดสิ่งดีๆนำพาแต่ความสุขความโชคดีและโชคลาภเข้ามาในชีวิต "ผลักสิ่งร้ายให้สิ่งดี" เป็นวัตถุมงคลไม้หายากที่ควรค่าน่าเก็บสะสมเด่นมากในด้านอำนาจบารมีช่วยเพิ่มพลังอำนาจให้ผู้คนเกรงขามตามชื่อที่เชื่อถือกันมาแต่ครั้งโบราณ


อานุภาพ-พุทธคุณด้านต่างๆ
คุ้มครองป้องกัน จากภูตผีปีศาจวิญญาณอาถรรพ์หรือสิ่งลี้ลับที่มองไม่เห็น มีพุทธาคมไสยเวทย์ขับไล่สิ่งชั่วร้ายมนต์ดำ คุณไสย ได้สารพัด! อำนาจบารมี โชคลาภเงินทอง ยังมีพุทธาคมช่วยเรื่องดึงดูดเงินทองโชคลาภ ดึงดูดแต่สิ่งดีๆเข้ามาในชีวิต






หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 25 มิถุนายน 2563, 11:41:00
เหรียญทองคำแท้ รุ่นแรกเสมา ปี 2558


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 14 กรกฎาคม 2563, 18:42:59
ภาพร่วมบูรพาจารย์


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 14 กรกฎาคม 2563, 18:53:16
ผ้ายันต์ฉลองพระอุโบสถ รุ่นแรก
มี 2 ขนาดดังนี้
1.ผ้ายันต์ผืนใหญ่ มีขนาด กว้าง 40 ซม.ยาว 28ซม.
2.ผ้ายันต์ผืนเล็ก มีขนาด กว้าง 20ซม.ซม. ยาว 15

ญาถานเบิ้ม อุตฺตโม
วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี บรมครูใหญ่สายธรรมอุตฺตโมบารมี ผู้สืบทอดรุ่นที่ 3
ศิษย์แห่งสายปรมาจารย์ใหญ่หลวงปู่สำเร็จลุน
ผ้ายันต์ฉลองพระอุโบสถ รุ่นแรก ศิษย์สายธรรมอุตฺตโมบารมีสร้างถวาย

วัตถุประสงค์ เพื่อมอบเป็นของที่ระลึกผู้ที่มาร่วมทำบุญในงานฉลองพระอุโบสถวัดวังม่วง (กำหนดวันยังไม่ชัดเจน น่าจะประมาณต้นปี 2564)

ผ้ายันต์ฉลองพระอุโบสถ รุ่นแรก นี้ได้อัญเชิญพระมหาคาถายันต์ศักดิ์สิทธิ์ จารึกลงในผืนผ้าขาวอันบริสุทธิ์นี้ โดยมีดังนี้

1.พระคาถาชินบัญชร เชื่อว่าจะช่วยเสริมให้เกิดความเป็นสิริมงคล สมบูรณ์พูลผล ศัตรูหมู่พาลไม่กล้ำกราย เดินทางไปที่ได้ก็เกิดเมตตามหานิยม มีลาภผลทวี ขจัยภัยภูตผีปีศาจ ตลอดจนคุณไสยต่างๆ

2.พระคาถานวภาครูธรรมใหญ่ เชื่อว่าจะเป็นผู้มีอำนาจบารมีเหนือคนอื่น เป็นผู้มีชัยชนะเหนือผู้อื่นแข่งกับใครก็ต้องชนะเป็นผู้ที่เทวดาและมนุษย์เมตตารักใคร่ ไม่จืดจาง เป็นผู้มีโภคทรัพย์ เงินทองไหลมาทั้ง 10 ทิศ ป้องกันโรคภัยไข้เจ็บ ไม่มีโรคภัยมาเบียดเบียน แคล้วคลาด ปลอดภัย จากอันตรายทั้งปวง เป็นผู้มีความสุข ความเจริญ ตลอดเวลา สมปรารถนาในทุกสิ่ง สำเร็จดังใจคิด คงกระพัน มหาอุตม์ สยบอาวุธทั้งปวง

3.หัวใจ 108 เป็นการร่วมเอาพระคาถาที่เป็นหัวใจของยอดพระเวทย์อาคา108 มาร่วมกัน เชื่อว่าจะแคล้วคลาดปราศจากทุกภัยพิบัติทั้งปวงทั้ง108 อย่าง

4.พระคาถามงกุฏพระพุทธเจ้า เชื่อว่าจะช่วยเสริมดวง เปิดดวงชะตา สามารถช่วยพลิกชีวิตให้พบเจอทางออก ทางสว่าง และช่วยให้ความมัวหมองหรือปัญหาอุปสรรคต่างๆ บรรเทาเบาบางลง

5.หัวใจพระเวทย์ชัยมงคลคาถา (พาหุงมหากา) เชื่อว่าจะชัยชนะมารทั้งหมด ด้วยบารมีทั้งหมด ทั้ง 30 ทัศ ที่พระองค์เคยสะสม บำเพ็ญสร้างมาในภพชาติต่างๆในอดีต นับไม่ถ้วน
ชนะคนขี้โกรธ ด้วยขันติ ความอดกลั้น อดทน ชนะสัตว์ร้าย ด้วย เมตตา ชนะคนร้าย หรือ โจรร้าย ด้วยอิทธิฤทธิ์ หรือ ความสามารถที่เหนือธรรมดา ปราบจนเขายอมรับ ชนะการโดนกล่าวร้าย โดนใส่ร้ายป้ายสี ด้วยความนิ่งเฉย อดทน อดกลั้น ชนะคนที่ทิฏฐิมาก หัวดื้อ ด้วยปัญญา ชนะพวกเทวดาที่มีฤทธิ์ เช่น พญานาค ด้วยการให้บริวาร(คือพระโมคคัลลานะ)ที่มีฤทธิ์เหนือกว่ามันไปปราบแทน ชนะพวกเทวดาชั้นสูงสุด คือพวกพรหม ที่มีทิฏฐิหนาแน่นที่สุด ด้วยญาณ(ปัญญาระดับพิเศษ)

6.พระเวทย์หัวใจธาตุ 18 เชื่อว่าจะเสริมพลังธาตุดิน ทำให้ร่างกายแข็งแรง ไม่อ่อนแอ มีฤทธิ์เดชมะเดชะ เสริมพลังธาตุไฟ ช่วยทำลายล้างสิ่งอาถรรพ์และโรคภัยไข้เจ็บ เสริมพลังธาตุลม เมื่อไฟจะดับลมก็พัด สิ่งร้ายกลายเป็นดี

7.พระคาถาอาวุธพระพุทธเจ้า (คาถาปราบมาร คาถาชนะมาร)
เชื่อว่าจะชนะศัตรู เป็นพระคาถาที่มีพุทธานุภาพมาก สมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้านำคาถาบทนี้มาใช้ และปราบหมู่มารทั้งหลายจนได้รับชัยชนะ ต้องแตกพ่ายแพ้หนีไป มาทิศไหนก็จักไปทิศนั้น (มีฤทธิ์เหมือนคาถาสะท้อนคุณไสย แต่พระคาถานี้แรงกว่ามาก)

8.ยันต์ตรีนิสิงเห เชื่อว่ามีพุทธคุณจะช่วยหนุนดวง ค้ำดวง ปัดล้างสิ่งอัปมงคล แก้ชงดวงตก หนุนดวงจากร้ายกลายเป็นดี ด้วยคุณของพระรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์ต่างๆ

9.พระคาถาพระเจ้า 5 พระองค์ เชื่อว่าเป็นยอดพระเวทย์พระคาถาครอบจักรวาล ที่สืบทอดกันมาแต่โบราณ เป็นที่สุดแห่งความขลังมากไปด้วยพุทธคุณหลากหลายประการ โบราณว่า แคล้วคลาดรอดปลอดภัย คงกระพัน เมตตา มหาเสน่ห์ ความนิยมชมชอบ และอื่นๆอีกมากมาย

10.พระคาถาหัวใจอริยสัจ ๔ เชื่อว่ามีพุทธคุณ เน้นไปทางคุ้มครองป้องกันตัวเอง ทำให้เกิดความสมดุลความสุข ความสงบ ความแข็งแกร่ง สามารถชนะใจตัวเอง และชนะคู่แข่ง

และยันต์ต่างๆ


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 14 กรกฎาคม 2563, 19:02:47
เหรียญฉลองพระอุโบสถ

ญาถานเบิ้ม อุตฺตโม
วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
บรมครูใหญ่สายธรรมอุตฺตโมบารมี ผู้สืบทอดรุ่นที่ 3
ศิษย์แห่งสายปรมาจารย์ใหญ่หลวงปู่สำเร็จลุน
เหรียญฉลองพระอุโบสถ รุ่นแรก
ศิษย์สายธรรมอุตฺตโมบารมีสร้างถวาย

วัตถุประสงค์ เพื่อมอบเป็นของที่ระลึกผู้ที่มาร่วมทำบุญในงานฉลองพระอุโบสถวัดวังม่วง
จำนวนการจัดสร้างดังนี้
1.เหรียญทองคำแท้ 5 เหรียญ
2.เหรียญเงินแท้ 9 เหรียญ
3.เหรียญลงยา 59 เหรียญ
4.เหรียญเนื้อนวะ 99 เหรียญ
5.เหรียญเนื้อทองเหลืองฝาบาตร 299 เหรียญ
6.เหรียญเนื้อทองแดง 399 เหรียญ
7.เหรียญเนื้อทองแดง 1,130 เหรียญ

เหรียญฉลองพระอุโบสถ  นี้ได้อัญเชิญภาพพระพุทธชินราชและพระมหาคาถายันต์ศักดิ์สิทธิ์ จารึกลงในเหรียญฉลองพระอุโบสถ รุ่นแรก มีดังนี้

1.พระพุทธชินราชมีคติความเชื่อว่า "พุทธคุณเป็นเลิศปรากฏทั้งเมตตามหานิยม แคล้วคลาด อำนาจบารมี ครบเครื่องครบครัน"

2.พระแม่ธรณีบีบมวยผมมีคติความเชื่อว่า ‘แผ่นดิน’ เป็นจุดก่อเกิดสรรพสิ่งทั้งปวงในโลก จึงเปรียบเสมือน ‘มารดา’ ผู้หล่อเลี้ยงโลก และยกย่องเป็นเทพีผู้ค้ำจุนโลก และสัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์ ทางภาคอีสาน ก็มีวิชาเฉพาะที่เกี่ยวกับ แม่พระธรณี หลายอย่างในสายปรมาจารย์ใหญ่หลวงปู่สำเร็จลุน แห่งนครจำปาสัก แม้ในพิธีเบิกโขลนออกจับช้าง ก็ยังมีมนต์ที่กล่าวอ้างถึง แม่พระธรณี

3.พญานาคราชคู่บารมี มีคติความเชื่อว่า สามารถชนะทุกอย่าง หรือชนะหมด ใช้ทำน้ำมนต์ เสริมดวง ป้องกันภูตผี และคุณไสย เป็นเมตตามหานิยมแคล้วคลาดปลอดภัย ค้าขายดี มีกินไม่อด มีเสน่ห์ต่อเพศตรงข้าม และเด่นด้านการเสี่ยงโชค ถ้าบูชาด้วยความเคารพจักชุ่มเย็นเปรียบเหมือนมีนาคมาอยู่ด้วย ถือว่าเป็นของดีที่หายาก

4.พระมหาคาถายันต์ศักดิ์สิทธิ์ ที่จารึกลงในเหรียญ
-พระคาถานวภาครูธรรมใหญ่ เชื่อว่าจะเป็นผู้มีอำนาจบารมีเหนือคนอื่น เป็นผู้มีชัยชนะเหนือผู้อื่นแข่งกับใครก็ต้องชนะเป็นผู้ที่เทวดาและมนุษย์เมตตารักใคร่ ไม่จืดจาง เป็นผู้มีโภคทรัพย์ เงินทองไหลมาทั้ง 10 ทิศ ป้องกันโรคภัยไข้เจ็บ ไม่มีโรคภัยมาเบียดเบียน แคล้วคลาด ปลอดภัย จากอันตรายทั้งปวง เป็นผู้มีความสุข ความเจริญ ตลอดเวลา สมปรารถนาในทุกสิ่ง สำเร็จดังใจคิด คงกระพัน มหาอุตม์ สยบอาวุธทั้งปวง

-หัวใจ 108 เป็นการร่วมเอาพระคาถาที่เป็นหัวใจของยอดพระเวทย์อาคา108 มาร่วมกัน เชื่อว่าจะแคล้วคลาดปราศจากทุกภัยพิบัติทั้งปวงทั้ง108 อย่าง

-พระคาถามงกุฏพระพุทธเจ้า เชื่อว่าจะช่วยเสริมดวง เปิดดวงชะตา สามารถช่วยพลิกชีวิตให้พบเจอทางออก ทางสว่าง และช่วยให้ความมัวหมองหรือปัญหาอุปสรรคต่างๆ บรรเทาเบาบางลง

-หัวใจพระเวทย์ชัยมงคลคาถา (พาหุงมหากา) เชื่อว่าจะชัยชนะมารทั้งหมด ด้วยบารมีทั้งหมด ทั้ง 30 ทัศ ที่พระองค์เคยสะสม บำเพ็ญสร้างมาในภพชาติต่างๆในอดีต นับไม่ถ้วน
ชนะคนขี้โกรธ ด้วยขันติ ความอดกลั้น อดทน ชนะสัตว์ร้าย ด้วย เมตตา ชนะคนร้าย หรือ โจรร้าย ด้วยอิทธิฤทธิ์ หรือ ความสามารถที่เหนือธรรมดา ปราบจนเขายอมรับ ชนะการโดนกล่าวร้าย โดนใส่ร้ายป้ายสี ด้วยความนิ่งเฉย อดทน อดกลั้น ชนะคนที่ทิฏฐิมาก หัวดื้อ ด้วยปัญญา ชนะพวกเทวดาที่มีฤทธิ์ เช่น พญานาค ด้วยการให้บริวาร(คือพระโมคคัลลานะ)ที่มีฤทธิ์เหนือกว่ามันไปปราบแทน ชนะพวกเทวดาชั้นสูงสุด คือพวกพรหม ที่มีทิฏฐิหนาแน่นที่สุด ด้วยญาณ(ปัญญาระดับพิเศษ)

-พระเวทย์หัวใจธาตุ 18 เชื่อว่าจะเสริมพลังธาตุดิน ทำให้ร่างกายแข็งแรง ไม่อ่อนแอ มีฤทธิ์เดชมะเดชะ เสริมพลังธาตุไฟ ช่วยทำลายล้างสิ่งอาถรรพ์และโรคภัยไข้เจ็บ เสริมพลังธาตุลม เมื่อไฟจะดับลมก็พัด สิ่งร้ายกลายเป็นดี

-พระคาถาอาวุธพระพุทธเจ้า (คาถาปราบมาร คาถาชนะมาร)
เชื่อว่าจะชนะศัตรู เป็นพระคาถาที่มีพุทธานุภาพมาก สมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้านำคาถาบทนี้มาใช้ และปราบหมู่มารทั้งหลายจนได้รับชัยชนะ ต้องแตกพ่ายแพ้หนีไป มาทิศไหนก็จักไปทิศนั้น (มีฤทธิ์เหมือนคาถาสะท้อนคุณไสย แต่พระคาถานี้แรงกว่ามาก)

-พระคาถาพระเจ้า 5 พระองค์ เชื่อว่าเป็นยอดพระเวทย์พระคาถาครอบจักรวาล ที่สืบทอดกันมาแต่โบราณ เป็นที่สุดแห่งความขลังมากไปด้วยพุทธคุณหลากหลายประการ โบราณว่า แคล้วคลาดรอดปลอดภัย คงกระพัน เมตตา มหาเสน่ห์ ความนิยมชมชอบ และอื่นๆอีกมากมาย

-พระคาถาหัวใจอริยสัจ ๔ เชื่อว่ามีพุทธคุณ เน้นไปทางคุ้มครองป้องกันตัวเอง ทำให้เกิดความสมดุลความสุข ความสงบ ความแข็งแกร่ง สามารถชนะใจตัวเอง และชนะคู่แข่ง


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 14 กรกฎาคม 2563, 19:03:41
เนื้อทองคำ รุ่นแรก


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 14 กรกฎาคม 2563, 19:04:26
เนื้อทองคำเหรียญฉลองโบสถ


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 16 กรกฎาคม 2563, 08:21:47

ตะกรุดบารมีบรมครู

ญาถานเบิ้ม อุตฺตโม บรมครูใหญ่สายธรรมอุตฺตโมบารมี
ผู้สืบทอดรุ่นที่ 3 วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
ศิษย์แห่งบูรพาจารย์สายปรมาจารย์ใหญ่หลวงปู่สำเร็จลุน

ตะกรุดบารมีบรมครู
จัดสร้างจำนวน 2 แบบ
1.เนื้อพิเศษเงินทอง 9 ดอก
2.เนื้อทองทิพย์ 99 ดอก 

วัตถุประสงค์การจัดสร้าง เพื่อร่วมสบทบทุน และมอบเป็นของที่ระลึกผู้ที่มาร่วมทำบุญในงานฉลองพระอุโบสถวัดวังม่วง

มวลสารหลักมีดังนี้
1.มวลสารศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดในสายธรรมอุตฺตโมบารมีที่มี
2.เกษาญาถานเบิ้ม อุตฺตโม
3.เล็บญาถานเบิ้ม อุตฺตโม
4.จีวรญาถานเบิ้ม อุตฺตโม
5.เม็ดพระธาตุเสร็จ
6.ดินไพรดำ
7.ใบไพรดำ
8.เม็ดข้าวไพรดำ
9.ผงพระอารามหลวง
10.ชันโรง 9 ถ้ำ
11.โค๊ดกำกับ

ปลุกเสก 9 วาระ
ญาถานเบิ้ม อุตฺตโมอธิษฐานจิตเดี่ยว 108 คาบ


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 18 กรกฎาคม 2563, 22:17:03
สีผึ้งเก้าผญา

ญาถานเบิ้ม อุตฺตโม บรมครูใหญ่สายธรรมอุตฺตโมบารมี
ผู้สืบทอดรุ่นที่ 3 วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
ศิษย์แห่งบูรพาจารย์สายปรมาจารย์ใหญ่หลวงปู่สำเร็จลุน

วิธีใช้
เอาสีผึ้งเก้าผญาไว้กลางฝามือตอนเราพนมมือบริกรรม

ตั้ง นะโม 3 จบ
พระเวทย์พุทธคุณสีผึ้งเก้าผญา
โอม กาจับหลัก บารมีเก้าพญา สิทธิ มันนิ โส สักโก เทวราชา สิทธิตา ปัสสะ นันติ สหะ จะภะกะสะ มะอะอุ
สิวังโต (อธิษฐานบอกกล่าวเอาในสิ่งดีสิ่งงาม )

พระเวทย์พุทธคุณสีผึ้งเก้าผญา ท่านให้บริกรรม 3 จบ หรือ 7 จบ ใส่สีผึ้งเก้าผญาแล้วนำติดตัวจะมีพุทธคุณทางด้าน ตามความเชื่อมีฤทธิ์เสน่ห์รุนแรงทำให้เกิดเป็นที่รักเมตตาแก่ผู้พบเห็นโบราณว่าเสน่ห์รุนแรงเรียกได้ทั้งชายทั้งหญิง หากไปค้าขายก็จะดีช่วยเรียกลูกค้าได้ทุกเพศทุกวัย มีแต่โชคลาภ  ค้าขายร่ำรวย ทั้งเด่นในเรื่องเจ้าชู้  ใช้ได้ดีทั้งในเรื่องของด้านความรัก  ด้านเมตตามหานิยม ค้าขายเจรจา  ด้านเมตามหาเสน่ห์  ด้านโชคลาภ  การเข้าหาคน บูชาพกติดตัวแคล้วคลาด ค้าขายดี เป็นเมตตามหานิยม อุดมลาภ เดินทางปลอดภัยแคล้วคลาด ป้องกันภูตผี แคล้วคลาดศัตรู บูชาใส่พานหน้าร้านค้า ค้าขายคล่อง เป็นเมตตามหาเสน่ห์ ค้าขายดี ใช้เป็นเมตตา ค้าขาย แคล้วคลาดดุจพญาวานร มีความเจริญรุ่งเรือง ซื้อง่ายขายคล่อง มีโชคมีลาภเข้ามาตลอดไม่ขาดสายดั่งแม่น้ำไหลมาทั้งสีทิศ มีกินมีใช้ไม่มีหมดไม่มีอดเป็นเศรษฐีมหาเศรษฐีมั่งมีตลอดกาล ทั้งยังมีโชคลาภเสี่ยงโชคทุกชนิด ยังเสริมเสน่ห์ต่อทุกเพศที่เข้าไปพูดคุยเจรจา จะมีเหตุการณ์ต่างๆในด้านบวกที่เกิดเหตุอัศจรรย์ใจเกิดขึ้นเสมอ เสน่ห์รุนแรงเมตตาพิศวาสหลงใหล เปรียบได้กับช้างผสมโขลงที่มีพลังมากมาย เหมาะสำหรับหญิงชายที่ชอบเรื่องมหาเสน่ห์ อยากให้ชายหญิงมาชอบ มารัก มาหลง

สีผึ้งเก้าผญา
จัดสร้างจำนวน 2 แบบ
1.ตลับเนื้อเงิน บรรจุตะกรุดเงิน 1 ดอก จำนวน 19 ตลับ
2.ตลับเนื้อทองทิพย์ บรรจุตะกรุดเงิน 1 ดอก จำนวน 199 ตลับ

วัตถุประสงค์การจัดสร้าง เพื่อร่วมสบทบทุน และมอบเป็นของที่ระลึกผู้ที่มาร่วมทำบุญในงานฉลองอุโบสถวัดวังม่วง

ของในตำนานที่หายาก
อีกาที่ตายบนกิ่งไม้ เป็นส่วนผสมอาถรรพ์ที่หาได้อยากมากในการปฏิบัติอาคม สร้างวัตถุอาถรรพ์ในวิชา กาปักหลัก วิชาโบราณที่มีการสืบทอดในสายธรรมอุตฺตโมบารมี
"กาจับหลัก" สุดยอดเรื่องเสน่ห์เมตตา เด่นเรื่องทำมาหากิน กาจับหลักชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าจับให้มั่น ทำให้อยู่เน้นทางด้านมัดจิตมัดใจคนให้รักใคร่เมตตา จะเป็นเรื่องความรักคู่ครองก็ใช้ได้ดี จะเป็นเรื่องเจรจาธุรกิจการค้าก็ทำให้การค้า ลูกค้าหรือ คนที่เจรจาด้วยมีความแน่นอนในการเจรจาตกลงธุรกิจ
โดยมีความเชื่อว่า อีกาที่ตายบนกิ่งไม้ ในขนาดที่บนมาจับกินอาหาร ไม้สามารถออกจากกิ่งไม้ได้ จนสิ้นใจตาย
#ตามตำราเชื่อว่าถ้าได้มากิ่งไม้ หรือ ตัวอีกามาทำเครื่องเสน่ห์ค้าขาย เครื่องรางมหาเสน่ห์ สายขาว ทำเสน่ห์ เรียกแฟน เรียกผัวเมียกลับ เสริมดวงชะตาโชคลาภ เสริมให้แฟนรักแฟนหลง ใช้เรียกจิตคนรักกลับคืนมา
อีกทั้งเป็นเครื่องรางเสน่ห์เมตตาแก่ผู้คน ค้าขายเงินทองคล่องดี เป็นเครื่องรางของขลังดีทางสร้างเสน่ห์นิยมต่อเพศตรงข้าม เป็นนกกาที่กระจายพันธุ์เป็นวงกว้างในเอเชีย ปรับตัวได้เก่ง สามารถกินอาหารได้หลากหลาย ทำให้ขยายไปยังพื้นที่ใหม่ได้ง่าย บางครั้งถูกมองว่าเป็นสัตว์รังควานโดยเฉพาะในเกาะต่าง ๆ มีปากใหญ่

ปลุกเสกด้วยพระเวทย์อาคม เฉพาะสายธรรมอุตฺตโมบารมี ที่สืบทอดจากปรมาจารย์ใหญ่หลวงปู่สำเร็จลุน ได้ถือฤกษ์ สร้าง ในวันขึ้น 15 ค่ำ ซึ่งเป็นวันเพ็ญเดือน 12 มหาฤกษ์มหามงคลจันทร์ซ้อนจันทร์ เพื่อเป็นปฐมฤกษ์ในการจัดสร้างสีผึ้ง และเสริมด้วยคาถาเสน่ห์เมตตาทุกชนิด เช่น คาถานะหน้าทอง  เมตตามหาเสน่ห์  มหาละลวย  มหาหลง  นะจังงัง  คาถาสาลิกา  สาลิกาหลงรัง  สาลิกาลิ้นทอง  คาถาพญาการเวก  คาถามหาเศรษฐี  และคาถาด้านเมตามหาเสน่ห์โชคลาภอีกมายมาย  ทำการหุงสีผึ้งด้วยไก่ฟ้าพญาลอ  คาถามหาเศรษฐี  คาถาเรียกทรัพย์  คาถาเมตตามหาเสน่ห์  มหาละลวย  มหาหลง  นะจังงัง  และคาถาด้าน เมตามหาเสน่ห์  ด้านโชคลาภอีกมากมาย  ทำการหุงสีผึ้งด้วย  สีผึ้งอาถรรพ์  ๑๐๘  น้ำมันว่านอาถรรพ์  ๑๐๘   ในสีผึ้งทุกตัวจะมีผงว่านโชคลาภมหาเสน่ห์  ๑๐๘  ว่านที่ใช้ลงในสีผึ้งเป็นตระกูลว่านเสน่ห์ทุกชนิด
 
มวลสารหลักมีดังนี้
มวลสารที่ใช้ผสมทำสีผึ้ง มีดังนี้
1.วานไพรดำ
2.น้ำมันช้างผสมโขลง
3.น้ำตาปลาพะยูนสายใต้
4.น้ำมันพราย
5.ขี้สูตรดินเพียง
6.ขี้ผึ้งแท้เดือนห้า
7.น้ำผิ้งแท้เดือนห้า
8.มวลสารความเชื่อเกี่ยวกันของสิ่งไม่ดี
9.นางสายฝนนำใส่ในหม้อตอนทำพิธีกรรม
10.ไม้มงคล 9 อย่าง
11.กาฝาก 9 อย่าง 1.กาฝากรักซ้อน 2.กาฝากมะรุม 3.กาฝากมะยม 4.กาฝากมะขาม 5.กาฝากกาหลง 6.กาฝากขนุน 7.กาฝากยอ 8.กาฝากพยุง 9.กาฝากคูณ
12.ผงช่องระอา
13.ผงกระดูกช้างจากบุรีรัมม์
14.ผงเม็ดต้นมณีโคตร.จากฝั่งลาว
15.ผงเงินเมืองผีบังบด
16.ผงแก้นงิ้วดำ ตัวผู้ ตัวเมียจากเขมร
17.ผงแก่มขามฟ้าผ่า
18.สีผึ้งบรมครูต่างๆ

ผงว่านโชคลาภมหาเสน่ห์  ๑๐๘  ว่านที่ใช้ลงในสีผึ้งเป็นตระกูลว่านเสน่ห์ทุกชนิด
1.ไก่แดง ให้ผลทางเมตตามหาเสน่ห์ มหานิยมชั้นยอด
2.มหาลาภ ให้ผลทางโชคลาภเป็นสิริมงคลดีนัก
3.สี่ทิศ ให้ผลทางโชคลาภทำการสิ่งใดจะประสบความสำเร็จทุกประการ
4.เทพประชุมพร ว่านทางด้านเมตตามหานิยม โชคลาภ ช่วยให้ค้าขายเจริญรุ่งเรือง
5.เทพประสิทธิ์ เป็นสิริมงคลดีนัก
6.ขมิ้นขาว เด่นทางด้านเมตตา
7.นางคำ คุณวิเศษทางด้านเสน่ห์มหานิยม ใช้ได้นานาประการ
8.สาวหลง ว่านที่ทรงคุณค่าทางด้านเมตตามหานิยมอย่างสูงสุด
9.ทิพยเตร เด่นเรื่องเมตตามหานิยม
10.มหาอุดม เป็นว่านมหานิยมสูงมาก เป็นที่รักใคร่
11.ดินสอฤาษี สรรพคุณทางด้านมหานิยมยังอยู่ในระดับเยี่ยม
12.ไพลดำ แคล้วคลาดปลอดภัย
13.ดอกทองตัวผู้ เป็นว่านในทางมหาเสน่ห์เป็นพระยาเทครัว
14.ดอกทองตัวเมีย เป็นว่านในทางมหาเสน่ห์ เมตามหานิยมอย่างแรงอีกชนิดหนึ่ง
15.กุมารทอง ให้ผลทางโชคลาภ
16.พะตะบะ กันอัปมงคลต่างๆแคล้วคลาดปลอดภัย
17.ทรหด เด่นทางด้านคงกระพันและแคล้วคลาด
18.กระแจะจันทร์หงสา ด้านเมตตามหาเสน่ห์
19.เปราะหอม เป็นว่านทางเสน่ห์มหานิยมทางชู้สาว และช่วยให้ค้าขายดี
20.ไก่ขัน ใช้ในทางเสน่ห์เลห์กลดีหนักหนา
21.เพชรน้อย เด่นทางด้านคงกระพันและแคล้วคลาด
22.เพชรน้อยแดง เด่นทางด้านคงกระพันและแคล้วคลาด
23.ดอกทองกระเจา เป็นเสน่ห์ทางด้านชู้สาว และช่วยให้ค้าขายดี
24.นางพญาหงส์ทอง เป็นว่านทางเมตตามหานิยม เจรจาสิ่งใดจะเป็นที่พอใจ
25.นางพญาหงส์เงิน เป็นว่านทางเมตตามหานิยม เจรจาสิ่งใดจะเป็นที่พอใจ
26.กลิ้งกลางดง เด่นทางด้านคงกระพันและแคล้วคลาด
27.พระฉิม เป็นมงคล เสริมสิริมงคล และขจัดความชั่วร้ายทำให้แคล้วคลาด
28.หอมดำ จัดเป็นว่าน 108 ที่ใช้ในการผสมสร้างพระผงคงกระพันชาตรี อีกทั้งยังมีเมตตามหานิยมใคร
29.แม่ทองใบ มีอานุภาพบันดาลให้ประสบโชคลาภ ความร่มเย็นเป็นสุข
30.ไชยมงคล ความเป็นมงคล เป็นว่านทรงอำนาจช่วยคุ้มครองป้องกันภัย
31.สลักไกร เสน่ห์เมตตามหานิยม คงกระพันชาตรีอีกด้วย
32.สบู่หยวก เสน่ห์เมตตามหานิยม
33.ดอกทองโยนี (เขียด) เป็นว่านเสน่ห์เมตตามหานิยม ทำให้ค้าขายดี
34.พญาลิ้นงู แคล้วคลาด
35.มหาบัว เป็นว่านสิริมงคลชั้นสูงต้นหนึ่ง
36.พญาจงอาง คงกระพันแคล้วคลาด
37.เทพรำลึก เสน่ห์เมตตามหานิยมเป็นยอด
38.เงินไหลมา มีอานุภาพเรียกเงินทองให้เข้ามาสู่เคหะสถานบ้านเรือน
39.พญาว่าน แคล้วคลาด
40.ขมิ้นขาวปัดตลอด โชคลาภความเจริญ ความมีเมตตามหานิยม และความร่มเย็นเป็นสุขมั่งคั่ง
41.นะหน้าทอง ทางเสน่ห์เมตตามหานิยม ให้ผลดีางการค้า
42.มหาจักรพรรดิ เหมือนมีกำแพงแก้วป้องกันภัยบังเกิดความเจริญรุ่งเรืองเป็นเนืองนิตย์
43.หนุมานยกทัพ เป็นเมตตามหานิยมและกันทางคุณไสยาศาสตร์
44.หอมแดง จัดเป็นว่าน 108 ชนิดที่ใช้ในการผสมเพื่อสร้างพระผงในสมัยก่อน
45.เศรษฐีเรือนนอก อานุภาพให้คุณทางด้านลาภผล เงินทอง
46.เศรษฐีเรือนใน อานุภาพให้คุณทางด้านลาภผล เงินทอง
47.เศรษฐีเรือนกลาง อานุภาพให้คุณทางด้านลาภผล เงินทอง
48.แสนนางล้อม เป็นว่านที่มีสิริมงคลและป้องกันอัคคีภัย
49.ขุนแผนสะกดทัพ อานุภาพ ทางเสน่ห์เมตตานิยม
50.เศรษฐีน้ำเต้าทอง เด่นทางเมตตา โชคลาภ
51.ว่านมหามงคล เป็นเสน่ห์เมตตามหานิยม เสริมบารมี
52.เฒ่าหนังแห้ง คงกระพันแคล้วคลาด
53.ไก่กุ๊ก อานุภาพ ทางเสน่ห์เมตตานิยม
54.เสน่ห์จันทร์ดำ จะเด่นทางด้านเสน่ห์เมตตามหานิยมเป็นที่รักเมตตาแก่ผู้พบเห็น
55.เสน่ห์จันทร์เขียว จะเด่นทางด้านเสน่ห์เมตตามหานิยมเป็นที่รักเมตตาแก่ผู้พบเห็น
56.เสน่ห์จันทร์ขาว จะเด่นทางด้านเสน่ห์เมตตามหานิยมเป็นที่รักเมตตาแก่ผู้พบเห็น
57.เสน่ห์จันทร์แดง จะเด่นทางด้านเสน่ห์เมตตามหานิยมเป็นที่รักเมตตาแก่ผู้พบเห็น
58.กวักนางพญามหาเศรษฐี อานุภาพทางด้านโชคลาภ เมตตามหานิยม ดีทางโภคทรัพย์ เป็นสิริมงคล
59.กวักนางพญาใหญ่ อานุภาพทางด้านโชคลาภ เมตตามหานิยม ดีทางโภคทรัพย์ เป็นสิริมงคล
60.กวักพุทธเจ้าหลวง อานุภาพทางด้านโชคลาภ เมตตามหานิยม ดีทางโภคทรัพย์ เป็นสิริมงคล
61.มหาโชค บันดาลทางโชคลาภโดยตรงและเป็นสิริมงคลแก่บ้านเรือน
62.พัดแม่ชี อานุภาพสูงทางด้านปัดเป่าสิ่งอัปมงคล ป้องกันอำนาจคุณไสย
63.นางคุ้ม คุ้มกันภยันตรายต่างๆ
64.มหาปราบ ดีทางฤทธิ์และอำนาจ อยู่ยงคงกระพัน ป้องกัน ภูติ ผี ปีศาจ
65.ถุงเงินถุงทอง มีอานุภาพทางด้านโภคทรัพย์ ประดุจถุงเงินถุงทอง
66.ขอทอง เด่นเรื่อง เมตตา มหานิยม
67.หนุมานนั่งแท่น ทางคงกระพันชาตรี
68.ไก่ดำ อำนาจและบารมี อีกทั้งให้คุณทางด้านการค้าขาย
69.กำบัง ป้องกันสรรพภัยจากผู้ปองร้ายด้วยวิทยาคุณต่างๆ
70.เทพรำพึง เป็นเอกทางด้านเมตตามหานิยม เป็นสิริมงคล
71.เสน่หา เป็นว่านมงคลมหานิยม
72.เต่านำโชค เป็นว่านทางเมตตา
73.นางล้อม เป็นว่านมหามงคล ป้องกันสรรพสัตว์ทั้งปวง
74.กล่อมนางนอน ว่านที่มากด้วยเมตตามหานิยม มีอานุภาพสามารถทำให้ผู้คนเคลิบเคลิ้มได้
75.ขมิ้นขาวเสน่ห์ ดีทางด้านเมตตามหานิยม ทั้งยังเป็นเมตตามหานิยม
76.เทพรัญจวน ให้ในทางเมตตามหานิยม เป็นที่รัก เมตตาต่อผู้พบเห็น
77.มหานิยม ทางเสน่ห์เมตตามหานิยม
78.จูงนาง เป็นว่านทางด้านเสนห์ เมตตามหานิยม
79.เสน่ห์จันทร์หอม เป็นว่านมหาเสน่ห์ช่วยให้ค้าขายดีขึ้นดุจเทน้ำเทท่า
80.พัดโบก เป็นว่านมหามงคลสูงพร้อมด้วยเมตตา มหานิยม
81.เถาว์วัลย์หลง ดีทางเจรจาพาที เป็นที่เมตตามหานิยม
82.มหากวัก อานุภาพสิริมงคล ส่งเสริมกิจการธุรกิจการค้าและเจริญก้าวหน้า
83.พุทธกวัก ว่านนี้ดีทางเมตตาและทางการค้า
84.สบู่เลือด ดีทางด้านคงกระพันชาตรี โบราณนิยมมาสร้างพระ
85.แมงมุม เด่นทางแคล้วคลาด ปกป้องจากสิ่งอัปมงคล
86.พระเจ้า5พระองค์ ในทางแคล้วคลาดอันตรายอุบัติเหตุต่างๆ
87.ธรณีสาร ความเป็นมงคลอานุภาพสิริมงคล ส่งเสริมกิจการธุรกิจการค้า
88.สิบแสน เป็นว่านทางเมตตามหานิยม ทำให้ประสบโชคลาภ
89.กวักโพธิ์เงิน ว่านเสน่ห์เมตตามหานิยม นำโชคนำลาภ
90.เสน่ห์ขุนแผน เป็นเมตตามหานิยมรักใคร่และความเจริญรุ่งเรือง
91.เศรษฐีพญาบดินทร์ ทางเมตตามหานิยมสูงทั้งนำโชค
92.กวักทองคำ ว่านสิริมงคล ว่านแห่งโชคลาภ
93.ห้าร้อยนาง ใช้ในทางเมตตามหานิยม
94.สาลิกา มีอานุภาพทางเมตตามหานิยม
95.ดอกทองเขมร เป็นว่านในทางมหาเสน่ห์ เมตามหานิยมอย่างแรงอีกชนิดหนึ่ง
96.ช้างผสมโขลง เป็นเสน่ห์เมตตามหานิยม
97.กำแพงเงิน เป็นเสน่ห์เมตตามหานิยม แก่ผู้พบเห็นยิ่งนัก
98.มหาเมฆ เป็นว่านนิยมมาตั้งแต่โบราณ ดีทางคลกระพันชาตรี เป็นตบะเดชะ
99.ไพลปลุกเสก อานุภาพเกิดลาภผล ความอุดมสมบูรณ์พูนสุขเจริญรุ่งเรือง
100.จ่าว่าน เป็นว่านอานุภาพสูงให้ทรงด้วยอานุภาพ ป้องกันเสนียดจัญไร
101.จังงัง เป็นเมตตามหานิยม เป็นที่รักใคร่เมตตาแก่ศัตรูหมู่มารทำให้ไม่กล้าคิดร้าย
102.กวักเงินกวักทอง ว่านเสน่ห์เมตตามหานิยม นำโชคนำลาภเงินทอง
103.เพชรกลับดำ เด่นทางแคล้วคลาด ปกป้องจากสิ่งอัปมงคล ไปที่ใดปราศจากอันตราย
104.วาสนาทางลาย เด่นทางโชคลาภวาสนา เจริญด้วยความสมบูรณ์พูนสุข
105.เศรษฐีขอดทรัพย์ ใช้ในทางลาภเป็นเมตตามหานิยม
106.ทองคำ ใช้ในทางโชคลาภเงินทอง
107.ปราบสมุทร สรรพคุณทางคงกระพันชาตรี
108.เศรษฐีนางกวัก ช่วยกวักทรัพย์ กวักลาภ กวักผู้คน ลูกค้าให้ไปมาหาสู่มิได้ขาด




หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 09 สิงหาคม 2563, 09:13:02
ไหว้ครูธรรมใหญ่สายธรรมอุตตโมบารมี ปี 2562 ครั้งที่ 158

ประวัติความเป็นมาไหว้ครูธรรมใหญ่สายธรรมอุตตโมบารมีครั้งแรก
ประวัติจากคำบอกเล่าจากปากท่าน และชาวบ้าน

หลวงปู่สว่าง โพธิญาโณ วัดสนามชัย บ.นาหว้าน้อย อ.เขมราฐ จ.อุบลฯ เกิดปี 2472 ศิษย์ผู้เป็นพี่ของหลวงปู่จันทร์หอม สุภาทโร เจ้าอาวาสวัดบุ่งขี้เหล็ก อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
...หลวงปู่สว่างได้เล่าให้ลูกหลานฟังว่า สมัยนั้นท่านยังไม่ข้ามมาฝังไทย ยังธุดงปฏิบัติกรรมฐานตามป่าเขาในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
เล่าเรียนอาคมสายปู่สมเด็จลุน จึงมีโอกาสได้เจอกับศิษย์ผู้น้อง คือ หลวงปู่จันทร์หอม สุภาทโร ต่อมาท่านปรมาจารย์ใหญ่ท่านอาจารย์สมเด็จตันที่ประสิทธิ์วิชา
ท่านเป็นเคยอุปถากหลวงปู่สมเด็จลุน จึงได้แบ่งเกษา อิฐิ บ้างส่วนให้หลวงปู่สว่างติดตัว ต่อมาหลวงปู่ท่านได้เดินทางข้ามมาฝั่งประเทศไทยในปี พ.ศ.2513 มาอยู่ที่วัดสนามชัย หลังจากนั้นไม่นานเกิดปัญหาภายในประเทศลาวเมื่อ พ.ศ.2518 พี่น้องทางประเทศลาวจึงข้ามมาฝังไทยเป็นจำนวนมาก

ความเป็นมาพิธีกรรมไหว้ครูธรรมใหญ่สายอุตฺตมะอุตฺตโม ในทุกปีจะมีการทำพิธีกรรมไหว้ผีไท้หรือผีเชื่อสาย พร้อมกับพิธีไหว้ครูธรรมใหญ่ที่ต้องจัดขึ้นทุกปี หลวงปู่เล่าว่า หลวงปู่สำเร็จต้นบอกกับท่านว่า พิธีกรรมไหว้ครูธรรมใหญ่เท่าที่ท่านจำได้ว่า น่าจะเริ่มมีการจัดในสมัยที่หลวงพ่ออุตตมะ วัดสิงหาร จ.อุบลราชธานี ก่อนท่านมรณะ 15 ปี ก็จะอยู่ในช่วงปี พ.ศ.2405 เพราะท่านจำได้ว่าตรงกับวันสำคัญ คือ วันพระราชสมภพ เจ้าแก้วนวรัฐ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่องค์ที่ 9 แห่งราชวงศ์ทิพย์จักราธิวงศ์ (เจ้าเจ็ดตน) ซึ่งเป็นองค์สุดท้ายแห่งนครเชียงใหม่ พ.ศ.2405 จะอยู่ในช่วงนี้ ปีนั้นจะตรงกับวัน อาทิตย์ ที่ 2 เดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ.2405 ขึ้น ๓ ค่ำ
เดือนสาม(๓) ปีระกา ที่เริ่มมีการทำพิธีไหว้ครูธรรมใหญ่อย่างเป็นทางการ เพราะการประกอบพิธีกรรมไหว้ครูธรรมใหญ่สายธรรมอุตตโมบารมีที่สืบทอดจากตำรา ให้ศิษย์ถือธรรมเนียมปฏิบัติ ในการไหว้ครูแต่ละปี ต้องให้ตรงกับ 3 ค่ำ เดือนสาม ของทุกปี


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 06 กันยายน 2563, 09:00:15
เบี้ยแก้อุตฺตโม รุ่นแรก

ญาถานเบิ้ม อุตฺตโม
บรมครูใหญ่สายธรรมอุตฺตโมบารมี ผู้สืบทอดรุ่นที่ 3
วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
ศิษย์แห่งบูรพาจารย์สายปรมาจารย์ใหญ่หลวงปู่สำเร็จลุน

จำนวนการจัดสร้าง มี 2 แบบ
1.เบี้ยแก้อุตฺตโม ฝังตะกรุดทองคำ 19 ลูก
2.เบี้ยแก้อุตฺตโม ฝังตะกรุดเงิน 180 ลูก

วัตถุประสงค์ เพื่อนำเงินถวายวัดวังม่วงนำไปใช้ในการจัดเตรียมงานฉลองอุโบสถ์วัดวังม่วง

“เบี้ยแก้” ครอบจักรวาล กันมนตร์ดำ..คุณไสยเข้าตัว

ศรัทธามากล้นที่ผู้หญิงหลายต่อหลายคนนิยมบูชา “เบี้ยแก้” เพื่อแก้มนตร์ดำ ยาสั่งทำเสน่ห์ให้เสียผู้เสียคน...จนต้องหาเครื่องรางมาพกติดตัวเพื่อความสบายใจ มั่นใจ

หลายๆ เสียงกล่าวตรงกันว่า เบี้ยแก้ที่บูชามาเพื่อพกติดตัวนั้นสำคัญที่กรรมวิธีปลุกเสก จะต้องมีที่มาที่ไปผ่านมือเกจิอย่างละเอียดทุกขั้นตอน และอีกประเด็นสำคัญคือองค์ประกอบต่างๆจะต้องครบถ้วน เพื่อกันไม่ให้ของเข้าตัว พลิกตำราทำความเข้าใจให้ตรงกัน “เบี้ยแก้” หมายถึง เครื่องรางของขลังชนิดหนึ่งสำหรับแก้คุณไสย มนตร์ดำ ยาสั่ง ทำด้วยเบี้ยจั่นซึ่งเป็นหอยทะเลชนิดหนึ่ง บรรจุปรอทเอาไว้ภายใน แล้วปลุกเสกด้วยอาคม

คำว่า “เบี้ยแก้” มาจากคำว่า “เบี้ยแก้บน” เนื่องจากใช้เป็นเงินบนบานศาลกล่าวและเกิดสัมฤทธิผลความหมายจึงพ่วงการแก้ไขจากร้ายให้กลายเป็นดี จึงมีอานุภาพทางแก้กันสิ่งอาถรรพณ์ที่จะให้โทษ

แน่นอนว่าหัวใจสำคัญก็คือ...ทำให้เกิดความเป็นสิริมงคลแก่ตัวเอง

โบราณาจารย์จะทำเบี้ยแก้โดยนำหอยเบี้ยมาบรรจุปรอท แล้วอุดด้วยชันโรง หุ้มด้วยแผ่นตะกั่วหรือผ้า แล้วนำมาถักด้วยเชือกทารัก หรือยางมะขวิด ผ่านการปลุกเสกกำกับ ใช้ผูกเอวหรือห้อยคอแก้คุณไสยโดยการแช่น้ำมนต์เพื่อไว้ดื่ม...อาบ

“เบี้ยแก้” เป็นเครื่องรางอันทรงคุณค่ามาแต่โบราณกาล โดยทำจากหอยเบี้ยซึ่งบรรจุปรอทไว้ภายใน ทั้งกันทั้งแก้สิ่งชั่วร้าย เสนียดจัญไร คุณไสย คุณคน คุณผี ยาสั่ง ยาเบื่อ ยาเมา พิษสัตว์ร้ายทั้งหลาย

วิธีการสร้างเบี้ยแก้ ส่วนสำคัญประกอบด้วย หอยเบี้ยแก้, ปรอท, ชันโรงใต้ดิน, ตะกั่ว, น้ำรักสีดำ, หอยเบี้ยแก้ ซึ่งเป็นหอยชนิดหนึ่งที่มีลาย เป็นเอก9ลักษณ์เฉพาะตัว ปรอท

โบราณท่านว่า “ปรอท” เป็นสิ่งมีชีวิต มีฤทธิ์ในตัวเป็นรองเพียงแต่เหล็กไหลเท่านั้น แม้ว่าจะยังไม่ผ่านการทำพิธีก็มีฤทธิ์ มีอาถรรพณ์ในตัว พวกผีกลัวมาก จำนวนปรอทที่ใช้กรอกลงในเบี้ยแก้จะต้องมีน้ำหนัก 1 บาท

ส่วน “ชันโรงใต้ดิน” ตามธรรมชาติชันโรงมี 2 ชนิด คือชันโรงบนต้นไม้ และชันโรงใต้ดิน ซึ่งชันโรงใต้ดินเป็นของอาถรรพณ์ ปกติชันโรงใต้ดินอยู่ที่ไหนที่นั่นจะไม่ไหม้ไฟ ชันโรงใต้ดินมีอิทธิคุณตามธรรมชาติเป็นมหาอุด กันไฟ กันคุณไสยได้

ชันโรงใต้ดินใช้ปิดปากเบี้ยไม่ให้ปรอทหนีตะกั่ว โบราณท่านว่า ตะกั่วเป็นของกายสิทธิ์ดีทางอยู่ ยงคงกระพัน ครูบาอาจารย์ท่านจะนำตะกั่วมาตีเป็นรูปหอยเบี้ยทาบหุ้มลงไปจนแน่นหนา จารอักขระเพิ่มลงไปเป็นสื่อชักนำพุทธบารมี ธรรมบารมีและสังฆบารมี ลงมาสู่ตัวเบี้ยแก้ ทำให้เกิดความขลังเพิ่มขึ้น

น้ำรักสีดำ ถือเคล็ดความศักดิ์สิทธิ์อีกประการหนึ่งว่า คำว่า “รัก” มีความหมายที่ดี คือเป็นที่รัก ที่เมตตาของคนทั่วไป เมื่อนำรักมาย้อมหุ้มเบี้ยแก้ย่อมเพิ่มอำนาจทางเสน่ห์เมตตา...ว่ากันว่าเสกเบี้ยจนคลานได้ กระนั้นเบี้ยแก้ที่ผ่านการบรรจุปรอทและหุ้มตะกั่ว ลงจาร และถักหุ้มแล้ว ถือว่ายังไม่ครบขั้นตอน?

“เพราะจะต้องปลุกเสกกำกับ เป็นการประชุมธาตุ หนุนธาตุ เพื่อให้เกิดฤทธิ์ เล่ากันว่ามีผู้พบเห็น หลวงปู่บุญ หลวงปู่เพิ่มแห่งวัดกลางบางแก้ว สามารถปลุกเสกเบี้ยจนคลานได้ อยู่ไม่น้อยปรอทครางในเบี้ย เรื่องที่น่าอัศจรรย์อย่างหนึ่ง ผู้ที่มีสมาธิมั่นสามารถสัมผัสได้ โดยการนำเบี้ยมาวางกลางฝ่ามือทำจิตให้เป็นสมาธิ”

จะพบว่าปรอทในตัวเบี้ยมีอาการไหวตัวและมีเสียงครางเบาๆ การทำสมาธิร่วมกับเบี้ยแก้ยังเป็นการรับอิทธิคุณ พลังอำนาจจากเบี้ยแก้เข้าสู่ตัว ถ้าเป็นโรคอยู่ เบี้ยแก้จะดูดโรคภัยถอนออกจากตัวเรา

เบี้ยแก้ของดีไม่มีเสื่อม ปกติเครื่องรางของขลังโดยทั่วไปมักจะมีข้อห้ามบางอย่างกำหนดไว้ หากผู้ใดไม่ทำตามจะทำให้ความศักดิ์สิทธิ์นั้นเสื่อมลงไป เบี้ยแก้ไม่มีข้อห้ามใดๆ เบี้ยแก้เปรียบเสมือนทองคำอยู่ที่ไหนก็เป็นทองคำอยู่วันยังค่ำ ไม่ว่าจะอยู่ใต้ถุน ใต้สะพาน ใต้ราวผ้า ไม่แปรเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่น...

เบี้ยแก้เมื่อเขย่าจะดังขลุกๆ อันเป็นเสียงปรอทที่กรอกเข้าไปในตัวเบี้ยกลิ้งไปกลิ้งมา เนื่องจากสามารถหดและขยายตัวตามอุณหภูมิ หากเขย่าเบี้ยแก้ตอนอากาศร้อนจะไม่ค่อยได้ยินเสียงเพราะปรอทจะขยายตัว แต่ถ้าอากาศเย็นจะมีพื้นที่ว่างในตัวเบี้ยมากกว่า เสียงจะดังฟังชัด

สรุปได้ว่า “เบี้ยแก้” มีคุณครอบจักรวาล คือดีทางป้องกัน คงกระพัน กันได้สารพัด เป็นเสน่ห์เมตตาทางโชคลาภอีกต่างหาก ควรจะรีบหาติดตัวกันเอาไว้ ซึ่งเบี้ยแก้นั้นถ้าสร้างถูกวิธีการสร้างยากมาก

ซึ่งความเชื่อเรื่องอำนาจที่เหนือธรรมชาติมีมาแต่ครั้งโบราณ เรื่องของเทวดาและภูตผีปีศาจมีอยู่ในความเชื่อของทุกชาติในโลก แน่นอนว่าต้องรวมความเชื่อเรื่องเวทมนตร์คาถาเอาไว้ด้วย เวทมนตร์คาถาต่างๆนั้นนับเป็นเครื่องมือที่ใช้สนองความต้องการของมนุษย์ ให้ใช้ไปในด้านต่างๆสารพัด แต่เมื่อพิจารณาแล้วล้วนไม่พ้นไปจากหลักใหญ่สองประการคือ ใช้ในทางร้ายที่นิยมเรียกว่า “ไสยดำ” และใช้ในทางดีที่นิยมเรียกว่า “ไสยขาว”

เป็นที่น่าสังเกตว่า...ทั้งไสยดำไสยขาวนั้น ต่างก็มีความเห็นตรงกันว่า ผู้เรียนรู้ทางเวทมนตร์คาถานั้น จำเป็นที่จะต้องมีวัตถุอาถรรพณ์ หรือของวิเศษประเภทหนึ่งเอาไว้ประจำตัว ซึ่งของวิเศษดังกล่าวนี้ ทั้งทางไสยขาวและไสยดำต่างมีวัตถุประสงค์ในการใช้ตรงกัน...คือใช้ในการป้องกันตัวและใช้ทำลายล้างฝ่ายตรงข้าม นั่นคือต้องมีอาวุธวิเศษประจำตัว โดยอาวุธวิเศษนี้จะต้องมีฤทธิ์ใช้กำจัดศัตรู ใช้ทำลายล้างเวทมนตร์อาถรรพณ์ภูตผีปีศาจ และป้องกันภัยจากอำนาจเร้นลับเหนือธรรมชาติได้


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 06 กันยายน 2563, 09:11:02
ชานหมากอุตฺตโม รุ่นแรก

ญาถานเบิ้ม อุตฺตโม
บรมครูใหญ่สายธรรมอุตฺตโมบารมี
ผู้สืบทอดรุ่นที่ 3 วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
ศิษย์แห่งบูรพาจารย์สายปรมาจารย์ใหญ่หลวงปู่สำเร็จลุน

จัดสร้าง จำนวน 199 ลูก ทุกเม็ดตอกโค็ดชื่อญาถ่านเบิ้ม อุตฺตโม

“วิชา ชานหมากมงคลผู้ทรงศีล” อีกหนึ่งของมงคล หรือ เครื่องราง ที่หลายคนเสาะแสวงหา โดยเฉพาะชานหมากจากผู้สืบทอดจากครูบาอาจารย์สายธรรมอุตฺตโมบารมี ผู้สืบทอดจากปรมาจารย์ใหญ่หลวงปู่สำเร็จลุน

วิชา ชานหมากมงคลผู้ทรงศีล เป็นการบริกรรมคาถา ล้วนต้องใช้ปากในการเปล่งเสียงคาถาเพื่อใหเกิดความศักดิ์สิทธิ์ เข้มขลัง ดังนั้นเมื่อท่านอมหรือเคี้ยวหมากขณะบริกรรมคาถา พุทธคุณหรือคาถาต้องผ่านหมากที่ท่านเคี้ยวอยู่ในปาก เอาแบบว่า เต็มทุกเม็ดเลยหล่ะกันไม่ตกหล่น
#ประการที่สอง จะดีไม่ดีก็ขึ้นอยู่กับปาก เมื่อปากว่าแต่สิ่งที่ดี
คือการปลุกเสก ชานหมากที่อยู่ในปากก็ดีด้วยฉันนั้น
#ประการที่สาม ก็ปากอีกนั่นแหละที่ใช้สื่อสารให้เข้าใจ หรือ
โน้มน้าวให้คนรักใคร่ ชอบพอ ดังนั้นอะไรที่เสกแล้วออกจากปากย่อมเสมือนมีปากดีๆหลายปากมาช่วย ไม่ว่าจะเป็นเมตตามหานิยม ค้าขาย ติดต่อการงาน ธุรกิจ โชคลาภ ล้วนเกิดแต่สิ่งนี้

“ชานหมาก” นั้น แท้จริงแล้วเป็นเปลือกของหมากที่ติดอยู่กับตัวเนื้อหมาก ซึ่งญาถานเบิ้ม อุตฺตโมท่านจะฉันกับใบพลูและปูนแดง แต่ก่อนที่พระจะฉันหมาก ท่านจะมีการบริกรรมเสกเป่าหมากพลูเสียก่อน เพื่อให้การขบฉันหมากนั้นเป็นเภสัชหรือเป็นยา

หากแต่ในญาถานเบิ้ม อุตฺตโมท่านก็จะทำการบริกรรมปลุกเสกร่ายอาคมต่างๆกำกับเข้าไปด้วยก่อนจะเคี้ยว เพื่อให้ชานหมากที่จะคายออกมานั้น มีอานุภาพตามที่ต้องการ ว่ากันว่าโดยทั่วไปแล้ว ชานหมากมักจะมีอานุภาพด้านเมตตามหานิยมที่โดดเด่น และยังมีอานุภาพด้านแคล้วคลาด ป้องกันเขี้ยวงา ศาตราวุธทั้งหลาย

ในบางครั้งที่สานุศิษย์ไปกราบญาถานเบิ้ม อุตฺตโมท่านก็จะเมตตาเคี้ยวหมากพร้อมบริกรรมปลุกเสกให้ จากนั้นท่านก็จะนำมาเคี้ยว โดยในระหว่างที่เคี้ยว ถือกันว่าเป็นการปลุกเสกชานหมากอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากเวลาเคี้ยวหมากพลูไป ก็มักจะสนทนาพูดคุยกับลูกศิษย์ คนใกล้ชิดหรือแม้กระทั่งพระสงฆ์ด้วยกันก็ตาม โดยเนื้อหาที่คุยส่วนมากมักจะเป็นการให้ศีลให้พร ถือเป็นการปลุกเสกรอบสองที่ดีนัก

เมื่อญาถานเบิ้ม อุตฺตโมท่านเคี้ยวหมากจนกระทั่งคายออกมาเป็นลักษณะชานหมาก ลูกศิษย์ลูกหาต่างก็นำชานหมากที่ญาถานเบิ้ม อุตฺตโมท่านได้คายออกมา นำมาเก็บไว้บูชาเพื่อเป็นเครื่องราง ของมงคล หรือ ของดีติดตัว ซึ่งจะมีอานุภาพต่างๆดังที่กล่าวไปตามการปลุกเสกของญาถานเบิ้ม อุตฺตโมโดยท่านจะปรารถนาให้เป็นทางด้านใด เช่น เมตตา แคล้วคลาด แต่ที่สำคัญ คือผู้ที่บูชาชานหมากจะต้องปฏิบัติตนเป็นคนดี อยู่ในศีลธรรม จึงจะเกิดผลในทุกๆด้าน ตามที่ปรารถนา


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 07 กันยายน 2563, 10:17:25
เหรียญนาคปรก รุ่นแรก

ญาถานเบิ้ม อุตฺตโม
บรมครูใหญ่สายธรรมอุตฺตโมบารมี
ผู้สืบทอดรุ่นที่ 3 วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
ศิษย์แห่งบูรพาจารย์สายปรมาจารย์ใหญ่หลวงปู่สำเร็จลุน

มีขนาดความสูง 1.5 ซม. กว้าง 1.1 ซม.(ประมาณหนึ่งปลายนิ้วก้อย)

วัตถุประสงค์ เพื่อสร้างถวายวัดวังม่วงแจกในงานฉลองอุโบสถ์วัดวังม่วง เป็นของชําร่วยแก่ญาติโยมที่มีร่วมทำบุญในวันงาน
จำนวนการจัดสร้าง
1.เหรียญเนื้อทองคำแท้ 9 เหรียญ
2.เหรียญเนื้อเงินแท้ จำนวน 99 เหรียญ
3.เหรียญเนื้อนวะ จำนวน 599 เหรียญ
4.เหรียญเนื้อทองทิพย์ จำนวน 1,500  เหรียญ
5.เหรียญเนื้อทองแดง จำนวน 1,500  เหรียญ
6.เหรียญเนื้อรมดำ จำนวน 1,500 เหรียญ

“พระนาคปรก” หรืออีกชื่อเรียกพระพุทธรูปลักษณะนั่งสมาธิ และมีพญานาคแผ่พังพานขึ้นจากไหล่ไปปรกพระเศียรของพระพุทธรูป ในกิริยาที่ พญานาคกราบนมัสการ พระพุทธเจ้า เป็นรูปขดตัวเป็นฐานตั้งพระพุทธรูป นั่งสมาธิ ประทับบนตัวพญานาคและมีพังพานและหัวของพญานาค ๗ เศียร ปรกอยู่ซึ่งเป็นพระพุทธจริยาวัตร ที่เสด็จประทับนั่งเสวยวิมุตติสุขภาย ในวงขนด ของ พญานาคมุจลินท์นาคราช ทรงพุทธคุณสูงส่ง ด้านเมตตามหานิยม อธิษฐานขอพรโชคลาภ เงินทอง อาราธนาป้องกันภูตผีปีศาจ ตลอดถึงมีพุทธคุณ ปกป้อง คุ้มครอง ดวงชะตา ให้ปราศจากคราะห์ภัยทั้งปวง มีพุทธคุณครอบจักรวาล
ประวัติความสำคัญ
ครั้นพระพุทธองค์เสด็จประทับเสวยวิมุตติสุข ณ ร่มไม้อชปาลนิโครธสิ้น 7 วัน แล้วพระองค์ก็เสด็จไปประทับนั่งเสวยวิมุตติสุขยังร่มไม้จิก อันมีชื่อว่า มุจจลินท์ ซึ่งตั้งอยู่ด้านทิศอาคเนย์ของต้นพระศรีมหาโพธิ์ วันนั้นเกิดฝนตกพรำอยู่ไม่ขาดสายตลอด ๗ วัน พญานาคมุจจลินท์ ผู้เป็นราชาแห่งนาค ได้ออกจากนาคพิภพ ทำขนดล้อมพระวรกาย ๗ ชั้น แล้วแผ่พังพานใหญ่ปกคลุมเบื้องบน เหมือนกั้นเศวตฉัตรถวายพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยความประสงค์มิให้ฝนและลมหนาวสาดต้องพระวรกาย ทั้งป้องกันเหลือบ ยุง บุ้ง ร่าน ริ้น และสัตว์เลื้อยคลานทั้งมวลด้วย
ครั้งฝนหายแล้ว พญามุจจลินท์นาคราชจึงคลายขนดจากที่ล้อมพระวรกายพระพุทธเจ้า จำแลงเพศเป็นมาณพน้อยยืนทำอัญชลีถวายนมัสการพระพุทธองค์ในที่เฉพาะพระพักตร์ ลำดับนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงเปล่งอุทานว่า "สุโข วิเวโก ตุฏฺฐัสสะ สุตะธัมมัสสะ ปัสสะโต อัพยาปัชชัง สุขัง โลเก ปาณะภูเตสู สัญญะโม สุขา วิราคะตา โลเก กามานัง สะมะติกฺกะโม อัสมิมานัสสะ วินะโย เอตัง เว ปะระมัง สุขัง ฯ" ความว่า "ความสงัดเป็นสุขของบุคคลผู้มีธรรมอันได้สดับแล้ว รู้เห็นสังขารทั้งปวงตามเป็นจริงอย่างไร ความเป็นคนไม่เบียดเบียน คือความสำรวมในสัตว์ทั้งหลาย และความเป็นคนปราศจากความกำหนัด คือความก้าวล่วงกามทั้งปวงเสียได้ เป็นสุขในโลกความนำออกเสียซึ่งอัสมินมานะ คือความถือตัวตนให้หมดได้นี้เป็นสุขอย่างยิ่ง"
พระพุทธจริยาที่เสด็จประทับนั่งเสวยวิมุตติสุขภายในวงขนดของพญานาคมุจจลินท์นาคราชที่ขดแวดล้อมพระกายอยู่นี้ เป็นเหตุให้สร้างพระพุทธรูปปางนี้ขึ้นมา เรียกว่า ปางนาคปรก เรื่องพระปางนาคปรกนี้ นิยมสร้างเป็นพระนั่งบนขนดตัวพญานาคเหมือนเอานาคเป็นบัลลังก์ดูสง่า องอาจเป็นพระเกียรติอำนาจของพระองค์อย่างหนึ่ง ได้ลักษณะเป็นอย่างพระเจ้าของพราหมณ์ ถ้าจะรักษาลักษณะของพระพุทธรูปตามประวัติ ก็จะเป็นไปอีกในลักษณะหนึ่งคือ พระพุทธรูปจะมีพญานาคพันรอบพระวรกายด้วยขนดตัวพญานาคถึง 4-5 ชิ้น จนบังพระวรกายมิดชิด เพื่อป้องกันฝนและลม จะเห็นได้ก็เพียงพระเศียร พระศอ และพระอังสาเป็นอย่างมาก ทั้งเบื้องบนก็มีหัวพญานาคแผ่พังพานปกคลุมอีกด้วย
ความเชื่อ
พระพุทธรูปปางนาคปรกนี้นิยมสร้างเป็น พระพุทธรูปที่สักการบูชาประจำวันของคนเกิดวันเสาร์ ในพุทธศาสนาเป็นที่ทราบกันว่ามีความนิยมสร้างพระพุทธรูปปางนาคปรก อันเกี่ยวเนื่องกับพญานาคที่ชื่อ “มุจลินท์” ซึ่งมาแผ่พังพานปกป้องพระพุทธองค์ และกลายเป็นพระประจำวันเสาร์ นอกเหนือไปจากเรื่องพญานาคเลื่อมใสในพุทธศาสนาถึงขนาดปลอมตนมาขอบวชจนเรียกว่า “บวชนาค” มาจนถึงปัจจุบันนี้
พระนาคปรกเปรียบเสมือนพญานาคได้แผ่พังพาน ปกป้องคุ้มครองเจ้าชะตาให้พ้นทุกข์และภัยพิบัติต่างๆ และยังมีความเชื่อว่าพระปางนี้มีความศักดิ์สิทธิ์ทางเมตตา ซึ่งเป็นการสอนทางอ้อมให้เห็นอานิสงค์หรือผลดีของความเมตตา เพราะแม้แต่พญานาคยังขึ้นจากสระน้ำมาถวายอารักขาพระพุทธเจ้า ทั้งนี้ก็ด้วยพลานุภาพแห่งพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ การบูชา พระนาคปรก เพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์ต่ออายุ เสริมดวงชะตา เมตตามหานิยม ทรัพย์ มหาอำนาจ ดีทุกด้านแก่ผู้บูชา การนำพระนาคปรก หรือ พระประจำวันเกิด บูชานั้นควรไว้ที่หัวนอนของตัวเองจะดีที่สุด องค์พระจะคุ้มครองคุ้มภัยอันตรายทั้งหลาย เสมือนว่าท่านได้คุ้มครองอยู่ตลอดเวลา
พระคาถาบูชา
สวด 10 จบ (องคุลีมาลปริตร) ดังนี้ "ยะโตหัง ภะคินิ อะริยายะ ชาติยา ชาโต นาภิ ชานามิ สัญจิจจะ ปาณัง ชีวิตา โวโรเปตา เตนะ สัจเจนะ โสตถิ เต โหตุ โสตถิ คัพภัสสะ" มีบางความเชื่อ เชื่อว่าที่มาของพระพุทธรูปปางนี้ เป็นการผสมผสานความเชื่อของสองศาสนา คือ ศาสนาพุทธ และศาสนาฮินดู โดยมีที่มาจากพระวิษณุหรือพระนารายณ์ ขณะที่บรรทมประทับบนอาสน์พญานาคที่สะดือสมุทร



หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 02 ตุลาคม 2563, 15:59:28
รวมวัตถุมงคล ยุคต้น ถึง ปี2563


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 15 ตุลาคม 2563, 16:28:49
ศาสตราวุธคู่บารมีสายธรรมอุตฺตโมบารมี
ดาบมหาศาสตราคม

.....คำนี้หมายถึง ดาบมหาศาสตราคมที่เปรียบเสมือนเสาหลักค้ำสายธรรม สร้างไว้เป็นเครื่องศาสตราวุธทรงพุทธานุภาพ
ปกป้องคุ้มครองบรรดาลูกศิษย์ลูกหา กล่าวได้ว่าเป็นที่สุดแห่งศาสตร์พระเวทย์พิชัยสงคราม เป็นวิชาชั้นสูงแห่งเครื่องราชกกุธภัณฑ์

.....การสร้างดาบมหาศาสตราคมทั้งแบบที่ใช้เป็นอาวุธและแบบที่ใช้เฉพาะในพิธีกรรมนั้น จะมีขั้นตอนคล้ายๆกัน
จะต่างกันเพียงเรื่องที่จะใช้เป็นอาวุธด้วยหรือไม่เท่านั้น ถ้าจะใช้เป็นอาวุธด้วยก็ต้องพิถีพิถันในการตีใบมีดมากขึ้น

......ตำราการสร้างดาบมหาศาสตราคมต้องลงอักขระเลขยันต์เสกปลุกทุกส่วนของมีด คือ ใบมีด ด้ามมีด ปลอกมีด เมื่อจะทำการสร้างดาบมหาศาสตราคม
ขั้นแรกต้องจัดหาวัสดุโลหะธาตุต่างๆที่ใช้ทำใบมีดจะเป็นสิ่งที่ถือกันว่ามีอาถรรพ์อยู่ในตัว มีความศักดิ์สิทธิ์อยู่ในตัว ใช้โลหะหลายชนิดประกอบกันแล้วตีเป็นใบมีด
โดยฤกษ์ยามคือสิ่งสำคัญ

......ฤกษ์ยามคือสิ่งสำคัญ โดยแบ่งออกเป็น 5 วาระ ดังนี้
วาระที่ 1 หลอมเหล็ก โดยประกอบพิธีกรรมขอขมาอาถรรพ์ในตัวเหล็ก
ฤกษ์วาระที่ 1 วันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ.2563
ฤกษ์เวลา วันเสาร์ 06.00 ถึง 08:29 น.ในวันอาทิตย์
ตรงกับวันเสาร์ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนสิบสอง(๑๒) ปีชวด จุลศักราช ๑๓๘๒
คริสตศักราช 2020 , มหาศักราช 1942 , รัตนโกสินทรศก 239
อธิกสุรทิน ปกติมาส อธิกวาร , โสรวาร(ส) กัตติกมาส โทศก

วาระที่ 2 ตียึดเหล็กให้ยาว
วาระที่ 3 บวงสรวงโลหะ
วาระที่ 4 ขึ้นรูปดาบ โดยประกอบพิธีกรรมขอขมาครู
วาระที่ 5 พุทธาภิเษกพระแสง

......ขั้นแรกต้องจัดหาวัสดุโลหะธาตุต่างๆที่ใช้ทำใบมีดจะเป็นสิ่งที่ถือกันว่ามีอาถรรพ์อยู่ในตัว มีความศักดิ์สิทธิ์อยู่ในตัว ใช้โลหะ 77 อย่างหลอมเข้ากันแล้วตีเป็นใบมีด
การใช้เหล็ก 77 อย่าง นำมาผสม ดังนี้
1.เหล็กจากยอดพระเจดีย์มหาธาตุ
2.เหล็กขนันผีพรายตายทั้งกลม
3.ตะปูตอกฝาโลงจาก 7 ป่าช้า
4.เหล็กที่เกิดการชำรุดจากอาวุธที่พังในการศึก
5.เหล็กแทงคอวัว
6.เหล็กเบญจพรรณกัลเม็ด
7.เหล็กหล่อบ่อพระแสง
8.เหล็กที่ใช้สำหรับตรึงโลงศพ
9.หม้อผีตายหง
10.หอกสัมฤทธิ์
11.พระแสงหัก
12.เหล็กสลักประตู
13.เหล็กถ้ำต่างๆ
14.เหล็กกำแพง
15.เหล็กน้ำพี้
16.ธาตุเงิน
17.ธาตุทอง
18.ธาตุทองแดง
19.ผงถ่านไม้ไผ่
20.ผงตะไบพระต่างๆ
21.ยอดปราสาท
22.เหล็กประตูโบสถ์
23.เหล็กประตูวัด
24.เหล็กประตูบ้านคนตายท้องกลม
25.เหล็กประตูบ้านคนผูกคอตาย
26.เหล็กสะพาน
27.เหล็กทางสามแพร่ง
28.เหล็กฟ้าผ่า
29.เหล็กลำกล้องปืนที่ยิงคนตาย
30.ตะปูสังฆวานร
31.บาตรพระเก่า
32.เหล็กน้ำพี้
33.เหล็กน้ำลี้
33.ชนวนทองล้น หล่อพระประทาน
34.เหล็กช่อฟ้าอุโบสถ
35.ยอดปลีฉัตรทองพระธาตุ
36.เหล็กเปียก
37.เหล็กตะแกรงเผาศพ
38.เหล็กดึงคอศพ
39.เหล็กพลิกศพ
40.ตะปูเผาผีตายโหง
41.กำไรสำริด
42.โซ่ตรวนนักโทษอุกฉกรรณ์
43.ปรอทดำ
44.แร่เจ้าน้ำเงิน
45.แร่บริสุทธิ์(สังกะสี)
46.เศษสะเก็ดฟ้าผ่า หรือ(ที่เรียกว่าขวานฟ้าผ่า)
47.ลูกกระสุนปืนที่ยิงคนตาย
48.เหล็กกรงขัง
49.แร่เงินยวง
50.เหล็กแกนเจดีย์
51.เหล็กสมอเรือสำเภาโบราณ
52.กั่นพร้าหัก
53.โซ่ล่ามช้าง
54.ตราชั่งโบราณ
55.ขอบบาตร
56.ตะขอช้าง
57.กรีชทองแดง
58.ผานไถ
59.พญาร้อยคุ้ง
60.เหล็กปอฉ้อ
61.เหล็กฐานเทียนชัย
62.เหล็กไอ้ใบ้
63.เหล็กเที่ยงตรง
64.เหล็กแกะ
65.เหล็กไตรภพ
66.เหล็กลูกปืนใหญ่โบราณ
67.เหล็กหล่อบ่อพระขรรค์
68.เหล็กใบเลื่อย
69.ธาตุทองเหลือง
70.เหล็กเตารีดโบราณ
71.ขวานเหล็กโบราณ
72.กาน้ำชาเหล็กโบราณ
73.ทั่งเหล็กโบราณ
74. กล่องเหล็กโบราณ
75. กุญแจเหล็กโบราณ
76.เหล็กเกราะโบราณ
77.เคี่ยวเกี่ยวข้าวโบราณ
และบรรจุมวลสารอาถรรพ์ 77 ชนิด


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 15 ตุลาคม 2563, 16:32:23
ศาสตราวุธคู่บารมีสายธรรมอุตฺตโมบารมี
พระขรรค์อุตฺตโมบารมี

คือ พระขรรค์ที่เป็นของมหามงคล เปรียบเสมือนเสาค้ำที่ปกปักรักษาครูธรรมญาติธรรมของสายธรรมอุตฺตโมบารมี

พระขรรค์อุตฺตโมบารมี จะนำออกมาในพิธีกรรมสำคัญในสายธรรม เช่น งานพิธีกรรมไหว้ครูธรรม งานพิธีกรรมแช่วานอาคม เป็นต้น

เนื่องจากแต่เดิมนั้น เชื่อกันมาว่า พระขรรค์ เป็นศาตราวุธแห่งเทพเจ้า เป็นอาวุธคู่กายที่ใช้ทั้งในด้านการป้องกันสิ่งชั่วร้าย
และการดลบันดาลหรือเนรมิตสิ่งต่างๆได้ตามบุญบารมีของผู้ครอบครอง จะเห็นว่า พระขรรค์ มักปรากฏในวรรณคดี โดยเฉพาะใน
รูปเทวดาต่างๆที่ทรงพระขรรค์อย่างสวยงามและน่าเกรงขาม พระขรรค์ จึงเป็นศาสตราวุธที่มีบทบาทอย่างมากในสมัยโบราณ
จวบจนปัจจุบันก็ยังได้รับความนิยมอยู่ เพราะมีการสร้างพระขรรค์ ซึ่งเป็นวัตถุมงคลจากพระเกจิอาจารย์ผู้ทรงศีล ลงอักขระเลขยันต์อันศักดิ์สิทธิ์ในพระขรรค์
ปลุกเสกอธิษฐานจิตกำกับด้วยคาถาอาคม จนพระขรรค์มีอานุภาพ ซึ่งส่วนมากจะใช้ในอานุภาพด้านการป้องกันภูติผีปีศาจ มนต์ดำ อาถรรพ์ร้าย
ให้แคล้วคลาดปลอดภัยจากอัปมงคลทั้งปวง

สำหรับลักษณะของพระขรรค์ที่ปรากฏโดยทั่วไป จะคล้ายคลึงกับดาบ แต่จะมีความแตกต่างตรงที่พระขรรค์จะปรากฎคมอยู่สองด้าน
ตรงกลางมีลักษณะคอดอย่างเห็นได้ชัด และมีอักขระเลขยันต์ปรากฎอย่างชัดเจน

ส่วนวัสดุที่ใช้นำมาสร้างเป็นพระขรรค์อุตฺตโมบารมี สร้างจากเหล็ก อาถรรพ์ 99 อย่าง
มีความศักดิ์สิทธิ์ในตัวเองอยู่แล้วมาสร้างเป็นพระขรรค์ นำมาปลุกเสกจนเกิดอานุภาพที่มากขึ้นได้
เป็นแร่โลหะ ที่ได้รับจากพ่อครูช่างหลวง


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 15 ตุลาคม 2563, 21:35:40
#เรื่องดินดำไพรดำ ผู้ครอบครอง บรมครูสายธรรมอุตตโมบารมี
ตำราเขียนไว้อย่างชัดเจนในลักษณะ ต้น ดิน หัว ราก ใบ
ไพรดำ คือ วานที่มีชีวิตทิพย์
ชีวิตทิพย์ คือ มีวิญญาณ หายไปที่ไหนก็ได้
วิญญาณในที่นี้คือ เทวาขั้นสูงที่มีตบะหลายพันปีที่ยุสร้างบารมีในไพรดำเมื่อมีตบะ ถึงพันปีไพรดำ จะกลายเป็นหิน หรือแร่เหล็ก #จุดนี้ละ ที่เขาเรียกว่า เหล็กไหลไพรดำ ส่วนที่เป็นต้นว่านไพรดำ คือ เทวาที่เข้าไปบำเพ็ญตบะ ตอนจะหายตัวไปบำเพ็ญที่อื่น ก่อนที่จะไป จะมีต้นใหม่มาแทน หรือเรียกในคำเข้าใจว่า ต้นลูกวานไพรดำ เพราะต้นแม่จะดำทั้งต้น
ในบริเวณที่ต้นไพรดำอยู่ เนื้อดินจะดำในรัศมี 2 เมตร แต่รัศมีที่อยู่ใกล้ต้นวานไพรดำ ประมาณ 12 นิ้ว ในบริเวณนั้นพื้นดิน จะดำเหนี่ยวเหมือนน้ำมันยางมะตอย ใช้มือจับจะรู้สึกเหนียวมือ แต่ไม่ติดมือ มีลักษณะเงางามเป็นเอกลักษณะ

ในส่วนนี้ คือ...ต้นวานไพรดำขับน้ำมันในตัวออกมาโดยตามธรรมชาติในส่วนนี้จึงมีความเชื่อว่า มีฤทธิ์ 108 อย่าง เทียบเท่าของหายากเท่ากับเหล็กไหลเพราะ กว่าจะทำให้ดินนั้นเกิดความเหนียวต้องใช้เวลาเป็นร้อยปี และบริเวณที่จะพอได้ต้องอยู่ในป่าลึก น้อยคนที่เข้าไปได้

นอกเหนือจากนี้แล้วจะเข้าใกล้ต้นว่านได้ยากเพราะว่านจะมีญาณเทพคุ้มครองท่านอยู่ในรัศมี 1-2 เมตร มีฤทธิ์ที่รุณแรงมากอาจทำให้หมดสติ หรือเกิดอาการปวดไปทั้งตัวโดยหาสาเหตุไม่เจอ ถ้าจะใกล้ก็ต้องเป็นคนที่ถูกเลือกไว้ได้แค่วันที่กู้ว่าถือเป็นวันทีอันตรายน้อย จะมีแต่ผู้ครอบครองเท่านั้นที่จะสามารถ จับต้องได้ในวันนั่น หลังจากกู้ขึ้นมาแล้วชิ้นส่วนต่างของว่านต้องผ่านพิธีกรรมอีกหลายอย่างจึงจะสามารถใช้การได้ และมีประโยชมหาศาล


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 16 ตุลาคม 2563, 14:44:16
ว่านไพลดำศักดิ์สิทธิ์คู่บารมีสายธรรมอุตฺตโมบารมี

มหาว่านกายสิทธิ์ศักดิ์สิทธิ์
ตำราเขียนไว้อย่างชัดเจนในลักษณะ ต้น ดิน หัว ราก ใบ
ไพรดำ คือ วานที่มีชีวิตทิพย์
ชีวิตทิพย์ คือ มีวิญญาณ หายไปที่ไหนก็ได้

วิญญาณในที่นี้คือ เทวาขั้นสูงที่มีตบะหลายพันปีที่ยุสร้างบารมีในไพรดำเมื่อมีตบะ ถึงพันปีไพรดำ จะกลายเป็นหิน หรือแร่เหล็ก
ความหายากของ “ว่านไพลดำ” นั้น เคยได้ยินเรื่องเล่ากันว่า ต่อให้ถึงไปเจอในป่าลึก ก็ไม่สามารถขุดออกมาได้
เพราะดินรอบโคนต้นนั้นจะมีสีดำแข็งเป็นหิน เนื้อดินเหมือนผงเหล็กดำสนิท (#หรือเรียกว่าดินไพรดำในตำนาน)
โบราณกล่าวว่า “ว่านไพลดำ” เป็นที่สุดของบรรดาว่านกายสิทธิ์ เพราะสมัยก่อนคนเราอยู่กับป่ากับเขา อยู่กับการรบราฆ่าฟันรบทัพจับศึกอยู่บ่อยครั้ง
จึงนิยมพกชิ้นส่วนของว่านไพลดำ หรือวัตถุมงคลที่ทำจากว่านไพลดำ หรือที่สุดของว่านไพลดำแล้ว คือการสักน้ำมันไพลดำเข้าตัว
เพราะเน้นเรื่องความอยู่ยงคงกระพัน หนังเหนียว เน้นใช้ว่านในการป้องกันตัวเอง จึงไม่ได้สนใจเรื่องเงินทองเท่าใดนัก

จุดนี้ละ ที่เขาเรียกว่า เหล็กไหลไพรดำ ส่วนที่เป็นต้นว่านไพรดำ คือ
เทวาที่เข้าไปบำเพ็ญตบะ ตอนจะหายตัวไปบำเพ็ญที่อื่น ก่อนที่จะไป จะมีต้นใหม่มาแทน หรือเรียกในคำเข้าใจว่า ต้นลูกวานไพรดำ เพราะต้นแม่จะดำทั้งต้น

ในบริเวณที่ต้นไพรดำอยู่ เนื้อดินจะดำในรัศมี 2 เมตร แต่รัศมีที่อยู่ใกล้ต้นวานไพรดำ ประมาณ 12 นิ้ว ในบริเวณนั้นพื้นดิน
จะดำเหนี่ยวเหมือนน้ำมันยางมะตอย ใช้มือจับจะรู้สึกเหนียวมือ แต่ไม่ติดมือ มีลักษณะเงางามเป็นเอกลักษณะ
ในส่วนนี้ คือ...ต้นวานไพรดำขับน้ำมันในตัวออกมาโดยตามธรรมชาติในส่วนนี้จึงมีความเชื่อว่า มีฤทธิ์ 108 อย่าง
เทียบเท่าของหายากเท่ากับเหล็กไหลเพราะ กว่าจะทำให้ดินนั้นเกิดความเหนียวต้องใช้เวลาเป็นร้อยปี และบริเวณที่จะพอได้ต้องอยู่ในป่าลึก น้อยคนที่เข้าไปได้

นอกเหนือจากนี้แล้วจะเข้าใกล้ต้นว่านได้ยากเพราะว่านจะมีญาณเทพคุ้มครองท่านอยู่ในรัศมี 1-2 เมตร มีฤทธิ์ที่รุณแรงมากอาจทำให้หมดสติ
หรือเกิดอาการปวดไปทั้งตัวโดยหาสาเหตุไม่เจอ ถ้าจะใกล้ก็ต้องเป็นคนที่ถูกเลือกไว้ได้แค่วันที่กู้ว่าถือเป็นวันทีอันตรายน้อย จะมีแต่ผู้ครอบครองเท่านั้นที่จะสามารถ
จับต้องได้ในวันนั่น หลังจากกู้ขึ้นมาแล้วชิ้นส่วนต่างของว่านต้องผ่านพิธีกรรมอีกหลายอย่างจึงจะสามารถใช้การได้ และมีประโยชมหาศาล

ผู้ที่จะครอบครอง “ไพลดำ” ได้จะต้องเป็นคนที่สามารถชนะใจตนเองได้ คือไม่นำ “ไพลดำ” ไปใช้ในทางอกุศลกรรม เพราะอาจจะนำความเดือดร้อนมาสู่ตนเองได้ หากไม่รู้จักควบคุมจิตใจ
หรือแม้แต่ผู้ที่ได้ผลิตผลจากว่าน “ไพลดำ” ก็เหมือนกัน ไม่ว่าจะได้มาเป็นผง เป็นน้ำมันไพลดำ พระเครื่องที่มีส่วนผสมของไพลดำ หรือไพลดำทั้งต้นก็แล้วแต่
จะต้องเป็นคนที่รู้จักควบคุมจิตใจตนเองไม่ให้หลงไปในกิเลส เพราะหากนำไปใช้ในทางที่ผิด ในการโอ้อวด ใช้ในการพาณิชย์เป็นเครื่องมือ
คุณประโยชน์ คุณสมบัติ หรือฤทธิ์ ที่ไพลดำมีอยู่ในตัว ก็จะพาผู้ครอบครองไปสู่ทางอกุศลกรรมได้

คุณสมบัติ หรือ “ฤทธิ์” อีกอย่างหนึ่งของว่านไพลดำ ที่นอกเหนือจากการอยู่ยงคงกระพัน หรือการมีโชคลาภทางการพนัน ป้องกันคุณไสยจากสิ่งต่างๆ รอบตัว
คุณสมบัติที่ครอบคลุมทุกอย่างทั้งเมตตา ค้าขาย อยู่ยงคงกระพัน มีฤทธิ์แรง ถ้าคนเลี้ยง คนกู้ไม่เก่งจริง ไม่มีวิชาในการ “กู้ว่าน” ว่านไพลดำก็จะตาย
หรือหมดคุณสมบัติ หมดฤทธิ์อำนาจที่มีอยู่ในตัว คนกู้ต้องมีศีล ต้องมีข้อปฏิบัติ


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 18 ตุลาคม 2563, 11:34:06
ล็อกเก็ต เจ้าเพชรราช รัตนวงศา รุ่นแรก
จอมขมังเวทย์แห่งลุ่มแม่น้ำโขง สปป.ลาว

วัตถุประสงค์ เพื่อเผยแพร่บารมีเจ้าเพชรราช รัตนวงศา และนำรายได้จากการจองไปจัดสร้างพระใหญ่ให้กับวัดที่ขาดพระใหญ่ไว้ให้พุทธศาสนิกชนบูชา

จำนวนการจัดสร้าง
1.ฝังตะกรุดทองคำ 9 ดอก และเหรียญนาคปรกทองคำ จำนวน 3 ชิ้น
2.ฝังตะกรุดทองคำ 1 ดอก และเหรียญนาคปรกเงิน จำนวน 39 ชิ้น
3.ฝังตะกรุดเงิน 1 ดอก และเหรียญนาคปรกเงิน จำนวน 159 ชิ้น

ด้านหลังฝังบรรจุมวลสารศักดิ์สิทธิ์ ดังนี้
1.เหล็กเปียกยอดพระธาตุพนม
2.ดินไพรดำ
3.เม็ดปรอด
4.งาช้างดำ

ประวัติ
เจ้าเพชรราช ประสูติ ณ ตำหนักวังหน้า นครหลวงพระบาง เมื่อวันอาทิตย์ เดือนยี่ แรม 9 ค่ำ ปีฉลู จุลศักราช 1251 เวลา 11.55 น. ตรงกับวันที่ 19 มกราคม 2443 (ค.ศ.1890) เป็นโอรสองค์ที่ 3 ของเจ้ามหาอุปราชบุญคง ซึ่งสืบตระกูลมาจากเจ้ามหาอุปราชอุ่นแก้วซึ่งเป็นต้นตระกูลเดิม เมื่ออายุได้ 7 ปีกว่าจึงเริ่มเรียนหนังสือลาวและหนังสือสยามและภาษาฝรั่งเศส พร้อมๆกับการติดสอยตามพระบิดาไปตรวจงานหัวเมืองเสมอ ปี พ.ศ. 2442 ผนวชเป็นสามเณรที่วัดธาตุหลวงเรียนภาษาบาลี ปี พ.ศ. 2447 ได้เสด็จไปเรียนต่อที่ฝรั่งเศส ที่โรงเรียนโกโลนิยาล (Colonial) ซึ่งเป็นร.ร.ที่ฝรั่งเศสตั้งขึ้นเพื่ออบรมผู้ที่จะไปเป็นข้าราชการปกครองในประเทศหัวเมืองขึ้น ต่อมาเข้าโรงเรียนมัธยมมงเตเยอ แผนกวิทยาศาสตร์และภาษาอังกฤษ เพื่อฝึกภาษาอังกฤษ ในระหว่างปิดเทอมได้ข้ามไปพักในอังกฤษ อาศัยอยู่กับมิสเตอร์เลนน อาจารย์สอนดาราศาสตร์จึงทำให้เกิดสนใจในดาราศาสตร์และโหราศาสตร์ตั้งแต่นั้นมา ต่อมาได้แต่งหลักคำนวณปฏิทินลาวไว้ด้วย พระองค์ศึกษาต่อในโรงเรียนมัธยมเซนต์หลุยส์ถึงปี 2453 เสด็จกลับมาผนวชเป็นพระภิกษุที่วัดหนองสระแก้วตามประเพณี เมื่อลาผนวชแล้ว เข้ารับราชการเป็นผู้ร่างหนังสืออยู่กองคลัง หลวงพระบาง
พระองค์อภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงคำแว่น พระพี่นางเธอของเจ้าศรีสว่างวงศ์ ซึ่งตกพุ่มหม้ายและมีอายุมากกว่าหลายปี ทั้งนี้ว่ากันว่าเป็นการประสานรอยร้าวระหว่างราชวงศ์หลวงพระบางสายเจ้ามันธาตุราชกับสายเจ้าอุ่นแก้ว (ตระกูลวังหน้ากับตระกูลวังหลัง) มีพระโอรสและพระธิดา 3 องค์ คือ เจ้าหญิงคำผิว (เสียชีวิต) เจ้าหญิงคำจันทร์ (สามีเป็นชาวฝรั่งเศส) และเจ้าชายสุริยะราช
#บุรุษเหล็กแห่งอาณาจักรลาว ล่องไพรลุยที่เฮี้ยน ยิงเสือ-ปราบจระเข้
สำหรับพี่น้องประชาชนจากสปป.ลาวน่าจะคุ้นเคยกับชื่อ “เจ้าเพชรราช” กันเป็นอย่างดี พระองค์นอกจากจะเป็นนักปกครอง และผู้ต่อสู้เพื่ออิสรภาพของประชาชนแล้ว พระองค์ยังเป็นผู้นิยมไพร และเข้าถึงประชาชน มีการคบหาผู้คนในท้องถิ่นอย่างกว้างขวางจนวีรกรรมของพระองค์เป็นที่ลือลั่น
เจ้ามหาอุปราชเพชรราช ถือว่าเป็นบุคคลสำคัญของลาวในศตวรรษที่ 20 พระองค์เป็นที่รักและเคารพนับถือของคนลาวทั่วไปสืบเนื่องมาจากบทบาทในการกู้อิสรภาพ ซึ่งมีผู้บันทึกไว้หลายแหล่งแล้ว ในที่นี้ขอหยิบยกเกร็ดข้อมูลในด้านชีวิตส่วนตัวที่ท่านคบหากับประชาชนทุกแห่ง เรียกได้ว่าเป็นนักปกครองที่เข้าถึงประชาชน
การคบหาและเข้าถึงประชาชนทุกแห่งหนนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากอุปนิสัยส่วนพระองค์ที่นิยมไพร พระองค์รู้จักภูมิประเทศในอาณาเขตลาวอย่างช่ำชอง จนได้รับสมญานามว่า “บุรุษเหล็ก” แห่งราชอาณาจักรลาวในยุคปรมาณู
ข้อมูลเบื้องต้นสำหรับผู้ที่เพิ่งทำความรู้จัก เจ้ามหาอุปราชเพชรราช มหาสิลา วีระวงส์ นักวิชาการประวัติศาสตร์ นักอักษรศาสตร์-วรรณคดี บันทึกไว้ในหนังสือ “เจ้าเพชรราช บุรุษเหล็กแห่งราชอาณาจักรลาว” ว่า พระองค์สืบเชื้อสายมาจากวงศ์กษัตริย์แห่งนครล้านช้างหลวงพระบาง มีศักดิ์ทางเจ้าชั้นเจ้าราชภาคิไนย เป็นชั้นลำดับที่ 4 ตามลำดับศักดิ์ชั้นเจ้าในวงศ์กษัตริย์ที่มีอยู่ 5 ชั้น โดยชั้นที่ 4 เทียบเท่า “หม่อมราชวงศ์” ของไทย พระองค์ได้รับสถาปนาเป็นเจ้ามหาอุปราชแห่งนครหลวงพระบาง เพราะราชวงศ์ของพระองค์เคยได้รับตำแหน่งนี้มาแต่โบราณหลายชั่วคน
เจ้ามหาอุปราชเพชรราชเป็นโอรสองค์ที่ 3 ของเจ้ามหาอุปราชบุญคง พระองค์ประสูติเมื่อวันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2432 (ค.ศ. 1889) พระองค์ไปศึกษาที่ประเทศฝรั่งเศส เมื่อ ค.ศ. 1905 ทุกครั้งที่โรงเรียนปิดเทอมจะข้ามไปท่องเที่ยวและพักที่ประเทศอังกฤษ และเคยอาศัยที่บ้านพักของมิสเตอร์เลนน อาจารย์สอนวิชาดาราศาสตร์ทำให้พระองค์สนใจเรื่องดาราศาสตร์และโหราศาสตร์ พระองค์จึงเป็นนักค้นคว้าหลักทางโหราศาสตร์โบราณเป็นคนแรกๆ และแต่งหลักคำนวณปฏิทินลาวไว้
มหาสิลา วีระวงส์ ผู้เขียนหนังสือประวัติเจ้ามหาอุปราชเพชรราช ซึ่งเคยติดตามพระองค์ไปล่าสัตว์ระหว่างปี ค.ศ. 1931-1939 อธิบายอุปนิสัยของพระองค์ว่า เป็นคนมีสติ พูดน้อย พูดติดอ่าง ไม่ลื่นไหล แต่มั่นคง น้ำพระทัยอดทน กล้าหาญ หนักแน่น ตรงต่อเวลา และมักผจญภัย มีมานะ ในขณะเดียวกันพระองค์ก็ยังทำตัวเป็นเจ้าอยู่เสมอ รักเกียรติความเป็นเจ้า หากชาวฝรั่งเศสเข้ามาหาพระองค์ที่ห้องทำงาน ถ้าไม่ใช่เชื้อเจ้า ไม่ว่าจะตำแหน่งสูงปานใด พระองค์ไม่เคยลุกจากเก้าอี้ไปจับมือ เว้นแต่ผู้สำเร็จราชการหัวเมืองลาว
เรื่องที่พระองค์ชื่นชอบที่สุดคือเมื่อมีราษฎรถือว่าที่ใด หนองใด ห้วยใด แม่น้ำใด เฮี้ยนนัก มีผีร้าย ประชาชนลงหาปลาไม่ได้ พระองค์จะเที่ยวปราบให้เสมอ หรือมีสัตว์ร้ายรบกวนพืชผักที่ปลูกไว้ พระองค์จะจัดการทันที
เมื่อ ค.ศ. 1932 ราษฎรแชนดินมารายงานว่า มีเสือโคร่ง 2 ตัวอยู่ใต้บ้าน ดักกินคว้ายหมดไป 21 ตัว ชาวบ้านเดือดร้อน ขอให้พระองค์ไปราบ เจ้าเพชรราชพาหมู่ข้าราชการ 6-7 ราย รวมถึงมหาสิลา ไปยิงเสือที่บ้านแชนดิน แถบน้ำงึม แขวงเวียงจันทร์ แต่ละรายถือปืนคนละกระบอก พระองค์ขับรถเอง
พระองค์เกณฑ์ชาวบ้านโห่ร้อง ตีฆ้อง ตีกลอง ให้ดังสนั่น ส่วนพระองค์กับหมู่ข้าราชการ และมหาสิลา ดักอยู่ทางที่เสือจะออกไป พระองค์เล่าเหตุการณ์ให้มหาสิลา ว่า พระองค์นั่งบังต้นยาง พอโห่ไล่มาสักพัก เริ่มได้ยินเสียงครางหืดหาด จึงส่องไปตามป่าห่างๆ ต้นไม้ที่พระองค์นั่งอยู่ห่างจากต้นไม้ที่เสือผ่านประมาณ 15-16 เมตร พระองค์ตั้งใจให้เสือผ่านไปก่อน แล้วยิงตัวที่เดินตามหลังนัดหนึ่ง เชื่อว่าตัวหน้าจะต้องกระโดดไปข้างหน้า น่าจะยิงได้ทันอีกตัว
เมื่อถึงเวลาสมควรแต่ยังไม่เห็นเสือผ่านต้นไม้ไป จึงวกคืนมาดูทางฟากต้นไม้อีกด้าน ก็เห็นหัวเสือโผล่พ้นต้นไม้ ห่างพระองค์เพียง 2 เมตร พระองค์ยิงใส่ก้านคอจนเสือหมอบคาที่ แต่เสือยังเงยหัวผงกอยู่ พระองค์ซ้ำอีกนัด ส่วนตัวที่สองกระโดดบังต้นไม้หายไป ยิงทันแค่ตัวเดียวเท่านั้น
นอกจากปราบเสือ ยังมีเรื่องเล่ากับการปราบจระเข้ที่หนองเม็ก หนองยาวประมาณ 1 กิโลเมตร กว้าง 200-300 เมตร อยู่ในป่าลุ่ม ใกล้น้ำงึมทางเหนือ หนองมีจระเข้ชุกชุม ชาวบ้านไม่กล้าหากินในหนอง และยังเชื่อกันว่ามีผีร้าย ต่อมาเจ้าเพชรราชพาข้าราชการไปหาโห่เนื้อตามแถวบ้านหาดเกลี้ยงทุกวันเสาร์ การโห่เนื้อก็แบ่งปันให้ชาวบ้านที่ไปโห่ทุกคน วันที่ไม่ได้เนื้อ พระองค์จะซื้อวัวหรือหมูของชาวบ้านมาฆ่าและแบ่งปันให้ชาวบ้านกินทั่วกัน
ช่วงแรกที่ไปถึงบริเวณริมหนอง มหาสิลา เล่าว่า กลุ่มผู้เดินทางนั่งดูจระเข้นับร้อยอยู่ในหนอง จระเข้ลอยอยู่แบบไม่กลัวใครเนื่องจากไม่เคยถูกรบกวน วันแรกพระองค์ใช้ปืนเมาเซอร์ยิงจระเข้ที่ลอยอยู่ 12 นัด ตัวที่ถูกยิงตายจมในหนองน้ำ แต่ไม่มีคนกล้าลงไปดู ส่วนตัวที่ไม่ถูกยิงก็ดำน้ำและว่ายห่างออกไป
2 อาทิตย์ต่อมา พระองค์สั่งให้เจ้าเมืองทุกระดับป่าวประกาศให้ชาวบ้านตาลเปลี่ยว หาดเกลี้ยง แชนดิน นากุง เป็นต้น ลงหาปลาหนองแม็ก โดยให้เจ้าเมืองเอาเรือไปที่หนองหลายลำ และจัดทำแพไว้ พระองค์ไปนั่งเรือหายิงจระเข้ วันเดียวยิงได้ 13 ตัว วันต่อมาก็ฆ่าลงต่อเนื่องจนจระเข้หนองเม็กนับร้อยหนีไปหมด หลังจากนั้นชาวบ้านก็ลงหากินในหนองน้ำได้สบายจนทุกวันนี้
เจ้าเพชรราช เล่าถึงเรื่องการล่าสัตว์ของพระองค์ในหนังสือ “อาวุธปืนและกีฬาล่าเนื้อ” ของพระองค์ตอนหนึ่งว่า กีฬาล่าเนื้อเป็นกีฬากลางแจ้งที่ผู้ไม่เคยเห็นมาก่อนจะรู้สึกไม่ชอบ และเกลียดเป็นที่สุด เพราะเห็นแง่ร้ายด้านเดียว อาทิ ทำลายชีวิตสัตว์ แต่ถ้ารับรู้รสชาติแล้ว จะรู้สึกอยากเข้าป่า การเข้าป่าไม่ได้มีจุดประสงค์ล่าสัตว์อย่างเดียว แต่ยังได้ความรู้แง่พฤกษชาติ สัตว์ใหญ่ ตลอดจนธรรมเนียมชาวป่าชาวดอย
ถึงจะเป็นนักนิยมไพรที่มีประสบการณ์ แต่มหาสิลา เล่าว่า เจ้าเพชรราชก็ยังเคยถูกสัตว์อาทิ ช้าง วัวกระทิง ไล่อยู่หลายครั้ง


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 18 ตุลาคม 2563, 11:37:30
ฆราวาสครูธรรมใหญ่สายธรรมอุตฺตโมบารมี

สร้างเพื่อแจกศิษย์ในสายธรรมอุตฺตโมบารมี


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 18 ตุลาคม 2563, 11:49:12
แร่กายสิทธิ์คู่บารมีสายธรรมอุตฺตโมบารมี

เป็นวัตถุธาตุสืบทอด เพื่อเป็นของคู่บารมีสายธรรมอุตฺตโมบารมี
 
แร่กายสิทธิ์คู่บารมีสายธรรมอุตฺตโมบารมี เชื่อกันว่าเป็นธาตุศักดิ์สิทธิ์ชนิดหนึ่งตามความเชื่อ โดยชนิดนี้เป็นฝังตัวอยู่ในถ้ำ

มีสีดำคล้ายนิล มีสีออกเขียวอ่อนๆ เงางาม

อานุภาพแร่กายสิทธิ์คู่บารมีสายธรรมอุตฺตโมบารมี
มีความศักดิ์สิทธิ์มาก อีกทั้งตามความเชื่อโบราณยังได้กล่าวอีกว่า การบูชาแร่กายสิทธิ์คู่บารมีสายธรรมอุตฺตโมบารมีโดยตามความเชื่อแล้วก็จะมีการบูชาด้วยการใช้คาถาอาคม ซึ่งแร่กายสิทธิ์คู่บารมีสายธรรมอุตฺตโมบารมีจะมีความศักดิ์สิทธิ์
มีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ได้ก็ต่อเมื่อผู้ที่บูชามีความเชื่อ มีความเคารพศรัทธาต่อพลังธาตุกายสิทธิ์ และต่อครูบาอาจารย์ที่ได้ทำการถ่ายทอดพระคาถาอาคมนั้นๆ นับได้ว่าใครที่ได้ครอบครองแร่กายสิทธิ์คู่บารมีสายธรรมอุตฺตโมบารมีถือเป็นความโชคดี
เหนือสิ่งอื่นใด ความสำเร็จในชีวิตจะเกิดขึ้นได้ เราต้องเป็นผู้สร้างเอง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่สามารถสร้างให้ได้ แต่จะเป็นเครื่องช่วยนำทางให้พบแต่ความโชคดี แคล้วคลาด ปลอดภัย สิ่งที่สำคัญเราพึงระลึกอยู่เสมอว่า
คนทุกคนล้วนแต่อยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่ตั้ง ขอให้เราจงยอมรับกรรมนั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นกรรมดี หรือไม่ดีก็ตาม ให้มีสติอยู่เสมอจะได้ไม่เสียสมดุลของชีวิต



หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 21 มกราคม 2564, 13:01:03
รุ่น ไหว้ครูครั้งที่ 159
สายธรรมอุตฺตโมบารมี

สร้างถวายญาถานเบิ้ม อุตฺตโม
บรมครูใหญ่สายธรรมอุตฺตโมบารมี
วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
ผู้สืบทอดรุ่นที่ 3
ศิษย์แห่งบูรพาจารย์ปรมาจารย์ใหญ่หลวงปู่สำเร็จลุน

ของอาถรรพ์ ตามธรรมชาติที่สายธรรมอุตฺตโมบารมีได้จะสร้างขึ้นมีมวลสารศักดิ์สิทธิ์หลัก ดังนี้
1.โลหะธาตุ "เหล็กเปียก"ตำนาน "เหล็กเปียก” ที่มีคุณวิเศษเหมือนเหล็กไหล เกิดจากพระอมตะเถระที่สำเร็จวิชาเล่นแร่แปรธาตุซึ่งมีพุทธคุณ
ธรรมคุณ สังฆคุณ เทวคุณ ขจัดปัดเป่าภัยพิบัตินานัปการ "เหล็กเปียก” มีลักษณะสีขาวขุ่นเหมือนตะกั่ว นับเป็นโลหะธาตุที่มีเนื้อเปียกชุ่มชื้นอยู่ตลอดเวลา
คล้าย ๆ กับน้ำค้างจับเกาะ สมัยโบราณนิยมใช้เหล็กเปียกประดับไว้ที่ ยอดพระเจดีย์ ป้องกันฟ้าผ่า มีอานุภาพทางหนังเหนียว คงกระพันอาวุธทุกชนิด
นอกจากนั้น ยังมีพุทธคุณสยบสิ่งที่เป็นอัปมงคล ป้องกันเสนียดจัญไร ป้องกันคุณไสย ป้องกันคนที่คิดไม่ดี คิดร้าย และมีอานุภาพี่จะเพิ่มพูน เรื่องของโชคลาภ
ความเป็นมหามงคลจะบังเกิดทำให้ชีวิตความเป็นอยู่จะให้ท่านอุดมสมบูรณ์พรั่งพร้อมไปด้วย ทรัพย์สมบัติ ความสุข ความสบาย อายุยืน

2.เขาควายเผือกฟ้าผ่าของอาถรรต์ธรรมชาติ อันเป็นส่วนสำคัญที่เสาะหากันมา โบราณกาลจึงต่างตามหาเขาควายเผือกฟ้าผ่า
ผู้ที่ได้ครอบครองเขาควายเผือกฟ้าผ่าถือว่าเป็นผู้ที่มีความรู้เรื่องเวทย์เรื่องอาคมและเป็นผู้วาสนาบุญญาบารมีสูง มีฤทธิ์อำนาจป้องกันแก้อาถรรพณ์ต่างๆ
เป็นของหายากแก้มนต์แก้กลต่างๆ แก้ปัดเสนียดต่างๆ คนโบราณยังนิยมนำเขามาแกะห้อยคอ กันผีทั้งทางน้ำทางบก มีฤทธิ์เสน่ห์ เมตตามหานิยม
คงกระพันชาตรี แคล้วคลาดปลอดภัย โชคลาภ

3.พระหยกดำ พุทธคุณและมีพุทธานุภาพสูง​ หยกสีดำเป็นสีแห่งความอมตะ มีพลังต้านพลังด้านลบสูง หรือสิ่งที่ไม่ดีมาสู่เจ้าของหยก
และความร่ำรวยเงินทองไหลมาเทมา หยกดำ เสริมทางด้านฮวงจุ้ย ซึ่งเชื่อว่าหยกดำจะช่วยทำให้เกิดความร่มเย็นภายในบ้าน
รวมทั้งรับสิ่งดีๆเข้ามาภายในบ้านและตัวท่านอีกด้วย

4.ว่านไพรดำ สรรพคุณของว่านคือ คงกะพัน กันมีดของมีคม กันปอบ ผี แคล้วคลาดในการเดินทาง รักษาโรค ไพลดำเป็นที่รู้จักกันในวงกว้าง
ถึงความหนังเหนียว ความแคล้วคลาด ชื่อเสียงของว่านไพลดำ และยิ่งทำการหุงข้าวเหนียวด้วยว่านไพลดำหรือดินดำไพรดำเพื่อเป็นยารักษาโรค
ยิ่งมีพุทธคุณหาสิ่งใดเปรียบเทียบได้เลย


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 21 มกราคม 2564, 13:07:33
เหรียญทานบารมีบูชาครู
หลวงปู่ทา นาควัณโณ
ปรมาจารย์สายธรรมอุตฺตโมบารมี

(สร้างครั้งเดียว และเป็นรุ่นเดียวที่สายธรรมอุตฺตโมบารมีจัดสร้าง)
เหรียญ 65 % ออกต่างประเทศ
เหรียญ 45 % อยู่ในประเทศไทย
แสดงว่าเหรียญจะเหลืออยู่แค่ 2,000 กว่าเหรียญ



หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 21 มกราคม 2564, 13:14:03
เหรียญหลวงปู่ยักษ์ โคษะกะ
รุ่น มหาบารมีแคล้วคลาด
วัดภูตากแดด ต.ห้องแซง อ.เลิงนกนา จ.ยโยธร

ครูธรรมสายธรรมอุตฺตโมบารมีจัดสร้างถวายบูชาครู

สร้างถวายปี 2563
จำนวนการจัดสร้างดังนี้
1.เหรียญทองคำ 1 เหรียญ
2.เหรียญเงิน 5 เหรียญ
3.เหรียญทองเหลือง 559 เหรียญ
4.เหรียญทองแดง 999 เหรียญ
5.เหรียญทองแดงรมดำ 999 เหรียญ



หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 06 มีนาคม 2564, 14:18:39
มีดหมอมหาศาสตราคม รุ่นแรก ปี2564
 วัตถุประสงค์เพื่อใช้ในงานตัดหวาดลูกนิมิต ในงานฉลองอุโบสถ์ วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี

จำนวนการจัดสร้าง มีดังนี้
1.เล่ม 12 นิ้ว มีฐานวาง จำนวน 1 เล่ม
2.เล่ม 9 นิ้ว มีฐานวาง จำนวน 8 เล่ม
3.เล่ม 5 นิ้ว มีฐานวาง จำนวน 20 เล่ม
4.เล่ม 5 นิ้ว ไม่มีฐานวาง จำนวน 150 เล่ม

โดยมีพิธีกรรมการสร้าง ตามแบบโบราณในสายวิชาบูรพาจารย์ใหญ่หลวงปู่สำเร็จลุน ที่สายธรรมอุตฺตโมบารมีได้รับการสืบทอด โดยผ่าน ญาถ่านเบิ้ม อุตฺตโม ผู้สืบทอด รุ่นที่ 3

.....คำว่า “มีดหมอ” คำว่า หมอ ในที่นี้อาจจะมาจากคำว่า “หมอผี” ซึ่งในบรรดาหมอไสยศาสตร์ ทั้งหมอผีจะมีมีดที่ใช้ในการประกอบพิธีทางไสยศาสตร์ แต่เดิมคงจะเรียกกันว่า “มีดหมอผี” แต่เกิดการตัดเอาคำว่าผี หรือคำอื่นเพื่อให้สะดวกแก่การเรียกขานจากคำว่า “มีดหมอผี” จึงกลายมาเป็น “มีดหมอ” หรืออีกในหนึ่งที่มีดหมอหมายถึงตัวแทนครู “มีดครูหมอ” แต่คำว่าครูเป็นอุปสรรคในการออกเสียง จึงถูกลดลงเหลือสองพยางค์ว่า “มีดหมอ”

.....มีดหมอมหาศาสตราคม รุ่นแรก สร้างไว้เป็นเครื่องศาสตราวุธทรงพุทธานุภาพ
ปกป้องคุ้มครองบรรดาลูกศิษย์ลูกหา กล่าวได้ว่าเป็นที่สุดแห่งศาสตร์พระเวทย์พิชัยสงคราม เป็นวิชาชั้นสูงแห่งเครื่องราชกกุธภัณฑ์

.....การสร้างมีดหมอมหาศาสตราคม รุ่นแรก ทั้งแบบที่ใช้เป็นอาวุธและแบบที่ใช้เฉพาะในพิธีกรรมนั้น จะมีขั้นตอนคล้ายๆกัน
จะต่างกันเพียงเรื่องที่จะใช้เป็นอาวุธด้วยหรือไม่เท่านั้น ถ้าจะใช้เป็นอาวุธด้วยก็ต้องพิถีพิถันในการตีใบมีดมากขึ้น

......ตำราการสร้างดาบมหาศาสตราคมต้องลงอักขระเลขยันต์เสกปลุกทุกส่วนของมีด คือ ใบมีด ด้ามมีด ปลอกมีด เมื่อจะทำการสร้างดาบมหาศาสตราคม
ขั้นแรกต้องจัดหาวัสดุโลหะธาตุต่างๆที่ใช้ทำใบมีดจะเป็นสิ่งที่ถือกันว่ามีอาถรรพ์อยู่ในตัว มีความศักดิ์สิทธิ์อยู่ในตัว ใช้โลหะหลายชนิดประกอบกันแล้วตีเป็นใบมีด
โดยฤกษ์ยามคือสิ่งสำคัญ

......ฤกษ์ยามคือสิ่งสำคัญ โดยแบ่งออกเป็น 5 วาระ ดังนี้
วาระที่ 1 หลอมเหล็ก โดยประกอบพิธีกรรมขอขมาอาถรรพ์ในตัวเหล็ก
ฤกษ์วาระที่ 1 วันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ.2563
ฤกษ์เวลา วันเสาร์ 06.00 ถึง 08:29 น.ในวันอาทิตย์
ตรงกับวันเสาร์ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนสิบสอง(๑๒) ปีชวด จุลศักราช ๑๓๘๒
คริสตศักราช 2020 , มหาศักราช 1942 , รัตนโกสินทรศก 239
อธิกสุรทิน ปกติมาส อธิกวาร , โสรวาร(ส) กัตติกมาส โทศก

วาระที่ 2 ตียึดเหล็กให้ยาว
วาระที่ 3 บวงสรวงโลหะ
วาระที่ 4 ขึ้นรูปดาบ โดยประกอบพิธีกรรมขอขมาครู
วาระที่ 5 พุทธาภิเษกพระแสง

......ขั้นแรกต้องจัดหาวัสดุโลหะธาตุต่างๆที่ใช้ทำใบมีดจะเป็นสิ่งที่ถือกันว่ามีอาถรรพ์อยู่ในตัว มีความศักดิ์สิทธิ์อยู่ในตัว ใช้โลหะ 77 อย่างหลอมเข้ากันแล้วตีเป็นใบมีด
การใช้เหล็ก 77 อย่าง นำมาผสม ดังนี้
1.เหล็กจากยอดพระเจดีย์มหาธาตุ
2.เหล็กขนันผีพรายตายทั้งกลม
3.ตะปูตอกฝาโลงจาก 7 ป่าช้า
4.เหล็กที่เกิดการชำรุดจากอาวุธที่พังในการศึก
5.เหล็กแทงคอวัว
6.เหล็กเบญจพรรณกัลเม็ด
7.เหล็กหล่อบ่อพระแสง
8.เหล็กที่ใช้สำหรับตรึงโลงศพ
9.หม้อผีตายหง
10.หอกสัมฤทธิ์
11.พระแสงหัก
12.เหล็กสลักประตู
13.เหล็กถ้ำต่างๆ
14.เหล็กกำแพง
15.เหล็กน้ำพี้
16.ธาตุเงิน
17.ธาตุทอง
18.ธาตุทองแดง
19.ผงถ่านไม้ไผ่
20.ผงตะไบพระต่างๆ
21.ยอดปราสาท
22.เหล็กประตูโบสถ์
23.เหล็กประตูวัด
24.เหล็กประตูบ้านคนตายท้องกลม
25.เหล็กประตูบ้านคนผูกคอตาย
26.เหล็กสะพาน
27.เหล็กทางสามแพร่ง
28.เหล็กฟ้าผ่า
29.เหล็กลำกล้องปืนที่ยิงคนตาย
30.ตะปูสังฆวานร
31.บาตรพระเก่า
32.เหล็กน้ำพี้
33.เหล็กน้ำลี้
33.ชนวนทองล้น หล่อพระประทาน
34.เหล็กช่อฟ้าอุโบสถ
35.ยอดปลีฉัตรทองพระธาตุ
36.เหล็กเปียก
37.เหล็กตะแกรงเผาศพ
38.เหล็กดึงคอศพ
39.เหล็กพลิกศพ
40.ตะปูเผาผีตายโหง
41.กำไรสำริด
42.โซ่ตรวนนักโทษอุกฉกรรณ์
43.ปรอทดำ
44.แร่เจ้าน้ำเงิน
45.แร่บริสุทธิ์(สังกะสี)
46.เศษสะเก็ดฟ้าผ่า หรือ(ที่เรียกว่าขวานฟ้าผ่า)
47.ลูกกระสุนปืนที่ยิงคนตาย
48.เหล็กกรงขัง
49.แร่เงินยวง
50.เหล็กแกนเจดีย์
51.เหล็กสมอเรือสำเภาโบราณ
52.กั่นพร้าหัก
53.โซ่ล่ามช้าง
54.ตราชั่งโบราณ
55.ขอบบาตร
56.ตะขอช้าง
57.กรีชทองแดง
58.ผานไถ
59.พญาร้อยคุ้ง
60.เหล็กปอฉ้อ
61.เหล็กฐานเทียนชัย
62.เหล็กไอ้ใบ้
63.เหล็กเที่ยงตรง
64.เหล็กแกะ
65.เหล็กไตรภพ
66.เหล็กลูกปืนใหญ่โบราณ
67.เหล็กหล่อบ่อพระขรรค์
68.เหล็กใบเลื่อย
69.ธาตุทองเหลือง
70.เหล็กเตารีดโบราณ
71.ขวานเหล็กโบราณ
72.กาน้ำชาเหล็กโบราณ
73.ทั่งเหล็กโบราณ
74. กล่องเหล็กโบราณ
75. กุญแจเหล็กโบราณ
76.เหล็กเกราะโบราณ
77.เคี่ยวเกี่ยวข้าวโบราณ
และบรรจุมวลสารอาถรรพ์ 77 ชนิด

คัมภีร์มหาศาสตราคม หาเหล็กสําหรับทํามีดตามที่ระบุไว้ ในคัมภีร์มหาศาสตราคมมาจนครบถ้วนคือ
เอาเหล็กยอดพระเจดีย์มหาธาตุ ยอดประสาททวารามาประสม
เหล็กขนันผีพรายตายทั้งกลม เหล็กตรึงโลงตรึงปั้นลมสลักเพชร
หอกสําฤทธิ์กริชทองแดงพระแสงหัก เหล็กปฏักสลักประตูตาปูเห็ด
พร้อมเหล็กเบญจพรรณกัลเม็ด เหล็กบ้านพร้อมเสร็จทุกสิ่งแท้
เอาเหล็กไหลเหล็กหล่อบ่อพระแสง เหล็กกําแพงนําพี้ทั้งเหล็กแร่
ทองคําสําฤทธิ์นากอะแจ เงินที่แท้ธาตุเหล็กทองแดงคง
            ยังได้รวมด้วยเหล็กสารพัดบิ่น สารพัดหักอีกร้อยแปดชนิดมาร่วมด้วย เมื่อได้เหล็กมาพร้อมแล้ว จึงตั้งมณฑลพิธีล้อมด้วยราชวัฏฉัตรธงทั้ง๔ มุม ตรงกลางตั้งพิธีดาดด้วยผ้าขาว ลงยันต์เพดานทั้งหน้าหลัง แล้วหาเครื่องกระยาสังเวย สําหรับบูชาเทพยดาอารักษ์และครูบาอาจารย์ผู้ประสิทธิ์ประสาท อันประกอบด้วยมัจฉะมังษาหาร ๖ ประการ พร้อมเครื่องกระยาบวช ขนมแห้ง ขนมหวานอีกผลไม้ ๙ อย่าง เทียนเงินเทียนทองหนัก ๔ บาท ๑ คู่ เมื่อได้วันดีคือวันเสาร์ขึ้น ๑๕ คํา จึงบูชาครูบาอาจารย์และเทพยดาฟ้าดิน จึงเริ่มพิธีตีดาบขึ้นทันที
            เอาสูบทั่งตั้งไว้ในพิธี เอาถ่านที่ต้องย่างวางในนั้น ช่างเหล็กมีฝีมือลือทั้งกรุง ผ้าขาวนุ่งผ้าขาวห่มดูคมสัน วงสายสิญจ์เศกลงเลขยันต์ คนสําคัญคอยดูซึ่งฤกษ์ดี ครั้นได้พิชัยฤกษ์ราชฤทธิ์ พระอาทิตย์เที่ยงฤกษ์ราชสีห์ ขุนแผนสูบเหล็กให้แดงดี นายช่างตีรีดรูปให้เรียวปลาย ที่ตรงกลางกว้างงามสามนิ้วกึ่ง ยาวหนึ่งศอกกํามาหน้าลูกไก่ เผาชุบสามแดงแทงตะไบ บัดเดี๋ยวใจเกลี้ยงพลันเป็นมันยับแล้ว
ลงกั่นดาบข้างแบน ด้วยคาถาบารมีพระพุทธเจ้าคือ
อายันตุโภนโต อิธะทานะ สีละเนกขัมมะ ปัญญา สะหะวิริยะขันติ
สัจจาธิฎฐานะเมตตุเปกขา ยุทธายะโว คัณหะถะอาวุธานิ
ลงกั่นดาบด้านสัน ด้วยพระคาถาหัวใจพระยาสมาสดังนี้
นานามุสะระ หะระ บัพพะตะคะรุ กะลิงคะระ
สะระธนู คะทาสิโต มาระหัตถา มาระคะนา
เอาทองแดงที่ใช้สําหรับห่อหุ้มกั่นดาบมาลงถมด้วยพระคาถา นวหรคุณ ๑๐๘ คาบ
อะสังวิสุโลปุสะพุภะ
แล้วลงถมด้วยพระคาถาต่างอีก พระคาถาพุทธนิมิตร์ ลงถม ๙ คาบ
พุทธัสสะ อิธิพุทธัสสะ พุทธะนิมิตตัง ปฏิมานะพุทโธ
ธาตุพุทโธ นิมิตตะพุทโธ กายะพุทโธ สูญญะพุทโธ
เอคะตานัง กายะรูปะสูญยัง พุทธะนิมิตตัง อิทธิฤทธิ์พุทธะ
นิมิตตังลงถมอีก ๙ คาบด้วยคาถา
อะสิ สัตติ ธนูเจวะ สัพเพ เต อาวุทธานิ จะ
ภัคคะภัคคา วิจุณณานิ โลมังมาเมนะผุสสันติ
ตามด้วยคาถาพรหมสี่หน้าลงถมอีก ๙ คาบ ว่า
 สหัสสะสีเส ปิเจโปโส สีเสสีเส สะตังมุกขา มุกเข มุกเข
สะตังชิวหา ชีวะกัปโป มหิทธิโก นะสักโกติ จะวัณเณตุง
ตามด้วยคาถาลงถมอีก ๙ คาบ บารมี ๓๐ ทัศน์ ว่า
อิติปารมิตาติงสา อิติสัพพัญญูมาคะตา
อิติโพธิมนุปปัตโต อิติปิโสจะเตนะโม
ลงถมด้วยคาถามงกุฏพระพุทธเจ้า ๙  คาบ ว่า
อิติปิโส วิเสเสอิ อิเสเส พุทธะนาเมอิ
อิเมนาพุทธะตังโสอิอิโสตังพุทธะปิติอิ
และตามด้วยอรหันต์ ๘ ทิศ ๙ คาบ ว่า
                                    อิระชาคะตะระสา ติหังจะโตโรถินัง
                                    ปิสัมระโลปุสัตพุท โสมาณะกะริถาโธ
                                    ภะสัมสัมวิสะเทภะ คะพุทปันทูทัมวะคะ
                                    วาโธโนอะมะมะวา อะวิสุนุสานุติ
 แล้วตามด้วย คาถา ๙ คาบ
พุทธังกันตัง ธัมมังกันตัง สังฆังกันตัง
พุทธังสิทธิ ธัมมังสิทธิ สังฆังสิทธิ
 แล้วลงถมตามด้วยคาถา ๙ คาบ
                                    นะผุด ผัดผิด ปฏิเสวามิ
แล้วจึงลงประทับด้วยคาถานี้อีกครั้งหนึ่งว่า
สัตถาธะนุง อากัตถิตุง ทัตวา วิสัชเชตุง นาทาสิ
( บทนี้เมื่อลงให้ผ่อนลมหายใจออกลงจบเดียว )
กัณหะเนหะ หายใจเข้าพุทธังปัจจุขาด
ธัมมังปัจจุขาด สังฆังปัจจุขาด
( หายใจเข้าออก สลับกันไปทีละบท )
 สําหรับแผ่นทองแดงด้านหลังนั้นลงประทับด้วยพระคาถานี้
 อะระหัง สุคะโต ภะคะวา
ลงถม ๙ คาบแล้วตามด้วย
นะโมพุทธายะ อิติปาระมิตาติงสา โนวะปะตานุภาเวนะ
มาระเสนา อะติกกันตา มาระนิทรา ทัสสะปาระมิตา
ทะมาระนิทรา ปาระชังฆานิทรา ทัสสะปาระมิตา โลหะกันตา
นามะเตนะโม มาตาปิตุพุทธะคุณัง สัพพะสัตรูวิธังเสนตุ
อะเสสะโต เอวังทัสสะวัณโณ ปฏิฐิตัง จักรวาฬะ
สัพพะสัตตานุภาเวนะ มาราโมระอะติกกันตา
ทัสสะพรหมมานุภาเวนะ สัพพะสัตรูวินาสสันติ
เมื่อลงทองแดงห่อกั่นดาบแล้ว จึงเอาเกสร ๑๐๘ และยามุกใหญ่มาบดให้ละเอียด เพื่อบรรจุในด้าม (ยามุกใหญ่คือยาสารพะดอย่าง ) หินซึ่งใช้บดยานั้นลงด้วยพระคาถา มหาโสฬสมงคล ลงถม๙ คาบ ตามด้วยคาถาหัวใจพระธรรมเจ็ดคําภีร์๙ คาบ คาถาพรหมสี่หน้า ๙ คาบ คาถาพุทธนิมิต ๙ คาบคาถาพระเจ้า ๑๖ พระองค์ ๙ คาบคาถาอะระหันต์ ๘ ทิศ ๙ คาบคาถาบารมี ๓๐ ทัศน์ ๙ คาบ คาถาหัวใจสนธิ งะญะนะมะ ๙ คาบ คาถาพระกรณีย์ จะภะกะ๙ คาบ ขณะบดยาให้ภาวนาพระคาถานี้
งะญะนะมะ จะภะกะสะ นะมะพะทะ
อะระหังสุคะโตภะคะวา  อิกะวิติ
อิสวาสุ สุสวาอิ นะโมพุทธายะ
อะสังวิสุโลปุสะพุภะ ปะติลิยะติ
พุทธังสิทธิ ธัมมังสิทธิ สังฆังสิทธิ
จนกว่าจะบดยาเสร็จด้ามมีดให้ใช้ไม้ ชัยพฤกษ์ แกะเป็นรูปท้าวเวสสุวรรณ เขียนคาถาเป็นตัวเลข ลงที่องค์ท่าน
ลงเลข ๓ ตรีนิสิงเหที่ปากท้าวเวสสุวรรณ ว่าด้วยสูตรคือ
                                    มะอะอุตรีนิสิงเห
ลงเลข ๗ ที่ตาทั้งสองของท่านว่าสูตร
                                    สะธะวิปิปะสะอุสัตตะนาเค
ลงเลข ๕ ที่อกของท่านว่า
อาปามะจุปะปัญจะเพชรฉลูกัญเจวะ
ลงเลข ๔ ที่หัวไหล่ทั้งสองของท่านว่า
นะมะพะทะจัตตุเทวา
ลงเลข ๖ ที่ขาทั้งสองของท่านว่า
อิสวาสุฉอวัชชะราชา
ลงเลข ๕ ที่ด้านหลังท่านว่า
ทีมะสังอังขุปัญจะ อินทรานะเมวะจะ
ลงเลข ๑ ที่ตาตุ่มทั้งสองข้างว่า
มิเอกะยักขา
ลงเลข ๙ ที่ศรีษะท่านว่า
อะสังวิสุโลปุสะพุภะนวะเทวา
ลงเลข ๕ ที่แขนซ้ายว่า
                                    สหะชะตะตรีปัญจะพรหมาสะหะบดี
ลงเลข ๕ ที่แขนขวาว่า
                                    นะโมพุทธายะ ปัญจะพุทธานะมามิหัง
ลงเลข ๒ ที่ศอกทั้งสองข้างว่า
                                    พุทโธทะเวราชา
ลงเลข ๘ ที่สะโพกทั้งสองข้างว่า
เสพุเสวะเสตะอะเส อัฏฐะอะระหันตา
ใช้พระคาถาท้าวเวสสุวรรณลงด้ามมีดให้ทั่วว่า
เวสสุวรรโณมหาราชา สัพเพเทวาเสเจวะ
อาฬะวะกาทะโย ปิจะขัคคัง ตาละปัตตัง
ทิสวา สัพเพยักขา ปะลายันติ
เวสสุวรรโณมหาราชา จัตตุโลกะปาลายัสสะสิโน
อิติภูตา มหาภูตา สัพเพยักขาปะลายันติ
ลงกระบองท้าวเวสสุวรรณด้วย
            นะโมพุทธายะ
จบคัมภีร์มหาศาสตราคม


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 25 เมษายน 2564, 13:05:22
เหรียญหลวงปู่ทวด รุ่นบารมีทาน 2564

เพื่อบุคคลที่เปราะบางทางสังคม ศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา10 จังหวัดอุบลราชธานี
สั่งสมบุญด้วยกัน ทำบุญให้ตัวท่านเอง ทำบุญให้บิดามารดา ปู่ย่าตายาย เจ้ากรรมนายเวรก็ดี ขอให้ผลบุญไปถึงบุคคลเหล่านั้นด้วยเทอญ

กองบุญละ 199 บาท(จัดสร้าง จำนวน 5,000 เหรียญ)
รับเหรียญหลวงปู่ทวด เนื้อทองแดงรมดำโบราณ  1 องค์
กองบุญละ 2,999 บาท   (จัดสร้าง จำนวน 108 ชุด)
รับเหรียญหลวงปู่ทวดเนื้อเงิน 1 เหรียญ
รับเหรียญหลวงปู่ทวดเนื้อนวะ 1 เหรียญ
รับเหรียญหลวงปู่ทวดเนื้อทองทิพย์ 1 เหรียญ
รับเหรียญหลวงปู่ทวดเนื้อทองแดง 1 เหรียญ
กองบุญละ 2,999 บาท   (จัดสร้าง จำนวน 499 ชุด)
รับเหรียญหลวงปู่ทวดเนื้อทองคำขาวลงยา 3 สี 1 เหรียญ
รับเหรียญหลวงปู่ทวดเนื้อนวะ 1 เหรียญ
รับเหรียญหลวงปู่ทวดเนื้อทองทิพย์ 1 เหรียญ
รับเหรียญหลวงปู่ทวดเนื้อทองแดง 1 เหรียญ
และขอเชิญร่วมทำบุญมหากุศล สมทบทุนสร้างและปรับปรุงอาคารเรียนเเก่เด็กพิการและเด็กด้อยโอกาส

เนื่องด้วยศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 10 จังหวัดอุบลราชธานี เป็นสถานศึกษา จัดการศึกษาในลักษณะศูนย์บริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่ม และเตรียมความพร้อมของคนพิการ  รวมทั้งสนับสนุนการเรียนการสอน การจัดสื่อเทคโนโลยี สิ่งอำนวยความสะดวก บริการและความช่วยเหลืออื่นใด  ตามที่กำหนดในประกาศกระทรวง
ปัจจุบันศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 10 จังหวัดอุบลราชธานี   ได้ขยายเขตพื้นที่การให้บริการเป็น หน่วยบริการทางการศึกษา ทั้ง 25 อำเภอ
เนื่องจากเด็กพิการส่วนใหญ่ กระจายอยู่ตามอําเภอ ตําบล หมู่บ้านและชุมชนเป็นจํานวนมาก และยังขาดโอกาสเข้าถึงบริการของรัฐในทุกด้าน โดยเฉพาะ ด้านการศึกษา และเด็กพิการส่วนใหญ่ อยู่ในพื้นที่ชนบท ห่างไกลจากตัวเมือง ยากลำบากในการเดินทางมารับบริการ และไม่สะดวก อีกทั้งผู้ปกครองไม่สามารถนำเด็กพิการมารับบริการที่ศูนย์ฯ ได้ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการมารับบริการ ศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 10 จังหวัดอุบลราชธานี จึงได้ขยายพื้นที่การให้บริการ เพื่อจัดตั้งหน่วยบริการทางการศึกษาของศูนย์การศึกษาพิเศษขึ้น
ซึ่งในปัจจุบันศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 10 จังหวัดอุบลราชธานีได้ดำเนินการแล้วอยู่นั้น สภาพอาคารเรียนเก่าทรุดโทรด และบางเเห่งยังไม่มีอาคารเรียน  ดังนั้นศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 10 จังหวัดอุบลราชธานี ยังขาดจตุปัจจัย ในการสร้างและปรับปรุงอาคารเรียนเเก่เด็กพิการและเด็กด้อยโอกาส จึงขอเชิญทุกท่าน ร่วมทำบุญ เป็นเจ้าภาพในสร้างและปรับปรุงอาคารเรียนเเก่เด็กพิการและเด็กด้อยโอกาส ดังกล่าว

ขณะนี้ยังขาดปัจจัยในการดำเนินการอีกจำนวนมาก

วาระการประกอบพิธี
วาระที่ 1 พิธีบวงสรวงเบิกฤกษ์โลหะที่ใช่ในสร้างเหรียญหลวงปู่ทวด ณ พระธาตุพนม เมื่อวันที่ 9 ‎กันยายน ‎2563 โดยคณะครูธรรมสายธรรมอุตฺตโมบารมี

วาระที่ 2 พิธีปลุกเสกโลหะที่ใช่ในสร้างเหรียญหลวงปู่ทวดที่ตัวพระธาตุพนม โดยหลวงปู่ยักษ์ โคษะกะ วัดภูตากแดด อ.เลิงนกทา จ.ยโสธร เมื่อวันที่ 11 ‎กันยายน ‎2563

วาระที่ 3 พิธีกรรมหลอมเหล็ก หรือพิธีกรรมขอขมาอาถรรพ์ในตัวเหล็ก
วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2563
ฤกษ์เวลา วันเสาร์ 06.00 ถึง 08:29 น.ในวันอาทิตย์
ตรงกับวันเสาร์ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนสิบสอง(๑๒) ปีชวด จุลศักราช ๑๓๘๒
คริสตศักราช 2020 , มหาศักราช 1942 , รัตนโกสินทรศก 239
อธิกสุรทิน ปกติมาส อธิกวาร , โสรวาร(ส) กัตติกมาส โทศก
โดยคณะครูธรรมสายธรรมอุตฺตโมบารมี

วาระที่ 4 พิธีอัญเชิญเทพยดามาเป็นสักขีพยานล้างเหรียญหลวงปู่ทวดให้เกิดความบริสุทธิ์ เมื่อ วันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ.2564
ตรงกับวันอาทิตย์ แรม ๓ ค่ำ เดือนสาม(๓) ปีชวด
อาทิจวาร(อ) มาฆมาส โทศก จ.ศ. 1382 , ค.ศ. 2021 , ม.ศ. 1942 , ร.ศ. 239
สุริยคติ เป็น ปกติสุรทิน , จันทรคติ เป็น อธิกมาส ปกติวาร
ณ วิหารครูธรรมสายธรรมอุตฺตโมบารมี

วาระที่ 5 พิธีปลุกเสกเดี่ยว จำนวน 7 ศีล โดยหลวงปู่ทา นาควัณโณ วัดศรีสว่างนาราม อำเภอโพธิ์ไทร จังหวัดอุบลราชธานี บูรพาจารย์ศิษย์สายสำเร็จลุน ศิษย์รุ่นสุดท้ายแห่งหลวงปู่ญาถ่านตู๋
วันอังคารที่ 29 ธันวาคม 2563 ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนยี่(๒) ปีชวด
วันพุธที่ 6 มกราคม 2564 แรม ๘ ค่ำ เดือนยี่(๒) ปีชวด
วันพุธที่ 13 มกราคม 2564แรม ๑๕ ค่ำ เดือนยี่(๒) ปีชวด
วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม 2564ขึ้น ๘ ค่ำ เดือนสาม(๓) ปีชวด
วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม 2564ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนสาม(๓) ปีชวด
วันศุกร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564แรม ๘ ค่ำ เดือนสาม(๓) ปีชวด
วันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ 2564แรม ๑๔ ค่ำ เดือนสาม(๓) ปีชวด

วาระที่ 6 พิธีปลุกเสกเดี่ยว จำนวน 7 ศีล โดยญาถานเบิ้ม อุตฺตโม วัดวังม่วง อำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี บูรพาจารย์ศิษย์สายสำเร็จลุน ผู้สืบทอดรุ่นที่ 3 แห่งสายธรรมอุตฺตโมบารมี
วันศุกร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2564ขึ้น ๘ ค่ำ เดือนสี่(๔) ปีชวด
วันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2564ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนสี่(๔) ปีชวด
วันเสาร์ที่ 6 มีนาคม 2564แรม ๘ ค่ำ เดือนสี่(๔) ปีชวด
วันเสาร์ที่ 13 มีนาคม 2564แรม ๑๕ ค่ำ เดือนสี่(๔) ปีชวด
วันอาทิตย์ที่ 21 มีนาคม 2564ขึ้น ๘ ค่ำ เดือนห้า(๕) ปีฉลู
วันอาทิตย์ที่ 28 มีนาคม 2564ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนห้า(๕) ปีฉลู
วันจันทร์ที่ 5 เมษายน 2564แรม ๘ ค่ำ เดือนห้า(๕) ปีฉลู

วาระที่ 7  พิธีจุดเทียนชัยพุทธาภิเษก ครั้งที่ 1 ณ วัดวังม่วง เมื่อวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ.2564 โดยมีคณะสงฆ์จำนวน 108 รูป ร่วมสวดพุทธาภิเษกสัดเปลี่ยนตลอดทั้งคืน

วาระที่ 8 พิธีบวงสรวงเบิกฤกษ์จุดเทียนชัยพุทธาภิเษก ครั้งที่ 2
วันที่ 9 เมษายน พ.ศ.2564
โดยประธานคณะสงฆ์
รูปที่ 1 ญาถานเบิ้ม อุตฺตโม
บรมครูใหญ่สายธรรมอุตฺตโมบารมี
ผู้สืบทอดรุ่นที่ 3 ศิษย์แห่งบูรพาจารย์หลวงปู่สำเร็จลุน
วัดวังม่วง อำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี
รูปที่ 2 (หลวงปู่ยักษ์ โคษะกะ) วัดภูตากแดด อ.เลิงนกทา จ.ยโสธร
รูปที่ 3 (พระอธิการวิเชียร อนุตฺโร) วัดคำมะโค้ง อ.เมือง จ.อำนาจเจริญ
รูปที่ 4 (พระอาจารย์คณิน สุนฺทโร)(พระอาจารย์หนุ่ม) วัดดงบัง อ.ลืออำนาจ จ.อำนาจเจริญ
รูปที่ 5 (พระกิตติวงศ์ สุภโร)ผู้ศิษย์ญาถ่านเบิ้ม อุตฺตโม

วาระที่ 9 พิธีกรรมตั้งสัจจะบารมีทาน กล่าวคำปวารณาสัจจะอธิษฐาน เหรียญหลวงปู่ทวด รุ่น บารมีทาน เพื่อบุคคลที่เปราะบางทางสังคม ศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 10 จังหวัดอุบลราชธานี  เพื่อระดมทุนซ่อมแซมอุปกรณ์การกายภาพอาคารที่ทรุดโทรม เพื่อให้เด็กที่มีความบกพร่องทางด้านต่างๆทั้ง 9 ประเภท ได้รับการบริการอย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ ณ วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร อ.ธาตุพนม จ.นครพนม

มวลสารศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้สร้างเหรียญหลวงปู่ทวด
มวลสารหลักมีดังนี้
การใช้เหล็ก 77 อย่าง นำมาผสม ดังนี้
1.เหล็กจากยอดพระเจดีย์มหาธาตุ
2.เหล็กขนันผีพรายตายทั้งกลม
3.ตะปูตอกฝาโลงจาก 7 ป่าช้า
4.เหล็กที่เกิดการชำรุดจากอาวุธที่พังในการศึก
5.เหล็กแทงคอวัว
6.เหล็กเบญจพรรณกัลเม็ด
7.เหล็กหล่อบ่อพระแสง
8.เหล็กที่ใช้สำหรับตรึงโลงศพ
9.หม้อผีตายหง
10.หอกสัมฤทธิ์
11.พระแสงหัก
12.เหล็กสลักประตู
13.เหล็กถ้ำต่างๆ
14.เหล็กกำแพง
15.เหล็กน้ำพี้
16.ธาตุเงิน
17.ธาตุทอง
18.ธาตุทองแดง
19.ผงถ่านไม้ไผ่
20.ผงตะไบพระต่างๆ
21.ยอดปราสาท
22.เหล็กประตูโบสถ์
23.เหล็กประตูวัด
24.เหล็กประตูบ้านคนตายท้องกลม
25.เหล็กประตูบ้านคนผูกคอตาย
26.เหล็กสะพาน
27.เหล็กทางสามแพร่ง
28.เหล็กฟ้าผ่า
29.เหล็กลำกล้องปืนที่ยิงคนตาย
30.ตะปูสังฆวานร
31.บาตรพระเก่า
32.เหล็กน้ำพี้
33.เหล็กน้ำลี้
33.ชนวนทองล้น หล่อพระประทาน
34.เหล็กช่อฟ้าอุโบสถ
35.ยอดปลีฉัตรทองพระธาตุ
36.เหล็กเปียก
37.เหล็กตะแกรงเผาศพ
38.เหล็กดึงคอศพ
39.เหล็กพลิกศพ
40.ตะปูเผาผีตายโหง
41.กำไรสำริด
42.โซ่ตรวนนักโทษอุกฉกรรณ์
43.ปรอทดำ
44.แร่เจ้าน้ำเงิน
45.แร่บริสุทธิ์(สังกะสี)
46.เศษสะเก็ดฟ้าผ่า หรือ(ที่เรียกว่าขวานฟ้าผ่า)
47.ลูกกระสุนปืนที่ยิงคนตาย
48.เหล็กกรงขัง
49.แร่เงินยวง
50.เหล็กแกนเจดีย์
51.เหล็กสมอเรือสำเภาโบราณ
52.กั่นพร้าหัก
53.โซ่ล่ามช้าง
54.ตราชั่งโบราณ
55.ขอบบาตร
56.ตะขอช้าง
57.กรีชทองแดง
58.ผานไถ
59.พญาร้อยคุ้ง
60.เหล็กปอฉ้อ
61.เหล็กฐานเทียนชัย
62.เหล็กไอ้ใบ้
63.เหล็กเที่ยงตรง
64.เหล็กแกะ
65.เหล็กไตรภพ
66.เหล็กลูกปืนใหญ่โบราณ
67.เหล็กหล่อบ่อพระขรรค์
68.เหล็กใบเลื่อย
69.ธาตุทองเหลือง
70.เหล็กเตารีดโบราณ
71.ขวานเหล็กโบราณ
72.กาน้ำชาเหล็กโบราณ
73.ทั่งเหล็กโบราณ
74. กล่องเหล็กโบราณ
75. กุญแจเหล็กโบราณ
76.เหล็กเกราะโบราณ
77.เคี่ยวเกี่ยวข้าวโบราณ
และที่สำคัญยังนำเอาเหรียญเนื้อต่างๆมีผสมดังนี้
1.เหรียญเนื้อนวะ จำนวน 108 เหรียญของคณาจารย์ทั่วประเทศไทย
2. เหรียญเนื้อทองเหลือง จำนวน 108 เหรียญของคณาจารย์ทั่วประเทศไทย
3. เหรียญเนื้อทองแดง จำนวน 108 เหรียญของคณาจารย์ทั่วประเทศไทย


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 05 พฤษภาคม 2564, 15:08:16
ประวัติการสืบทอด
ครูธรรมใหญ่สายธรรมอุตตโมบารมี ปี 2564 ครั้งที่ 159

จากคำบอกเล่าจากปากท่าน และชาวบ้าน
หลวงปู่สว่าง โพธิญาโณ วัดสนามชัย บ.นาหว้าน้อย อ.เขมราฐ จ.อุบลฯ เกิดปี 2472 ศิษย์ผู้เป็นพี่ของหลวงปู่จันทร์หอม สุภาทโร เจ้าอาวาสวัดบุ่งขี้เหล็ก อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
...หลวงปู่สว่างได้เล่าให้ลูกหลานฟังว่า สมัยนั้นท่านยังไม่ข้ามมาฝังไทย ยังธุดงปฏิบัติกรรมฐานตามป่าเขาในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
เล่าเรียนอาคมสายปู่สมเด็จลุน จึงมีโอกาสได้เจอกับศิษย์ผู้น้อง คือ หลวงปู่จันทร์หอม สุภาทโร ต่อมาท่านปรมาจารย์ใหญ่ท่านอาจารย์สมเด็จตันที่ประสิทธิ์วิชา
ท่านเป็นเคยอุปถากหลวงปู่สมเด็จลุน จึงได้แบ่งเกษา อิฐิ บ้างส่วนให้หลวงปู่สว่างติดตัว ต่อมาหลวงปู่ท่านได้เดินทางข้ามมาฝั่งประเทศไทยในปี พ.ศ.2513 มาอยู่ที่วัดสนามชัย หลังจากนั้นไม่นานเกิดปัญหาภายในประเทศลาวเมื่อ พ.ศ.2518 พี่น้องทางประเทศลาวจึงข้ามมาฝังไทยเป็นจำนวนมาก
ความเป็นมาพิธีกรรมไหว้ครูธรรมใหญ่สายอุตฺตมะอุตฺตโม ในทุกปีจะมีการทำพิธีกรรมไหว้ผีไท้หรือผีเชื่อสาย พร้อมกับพิธีไหว้ครูธรรมใหญ่ที่ต้องจัดขึ้นทุกปี หลวงปู่เล่าว่า หลวงปู่สำเร็จต้นบอกกับท่านว่า พิธีกรรมไหว้ครูธรรมใหญ่เท่าที่ท่านจำได้ว่า น่าจะเริ่มมีการจัดในสมัยที่หลวงพ่ออุตตมะ วัดสิงหาร จ.อุบลราชธานี ก่อนท่านมรณะ 15 ปี ก็จะอยู่ในช่วงปี พ.ศ.2405 เพราะท่านจำได้ว่าตรงกับวันสำคัญ คือ วันพระราชสมภพ เจ้าแก้วนวรัฐ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่องค์ที่ 9 แห่งราชวงศ์ทิพย์จักราธิวงศ์ (เจ้าเจ็ดตน) ซึ่งเป็นองค์สุดท้ายแห่งนครเชียงใหม่ พ.ศ.2405 จะอยู่ในช่วงนี้ ปีนั้นจะตรงกับวัน อาทิตย์ ที่ 2 เดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ.2405 ขึ้น ๓ ค่ำ
เดือนสาม(๓) ปีระกา ที่เริ่มมีการทำพิธีไหว้ครูธรรมใหญ่อย่างเป็นทางการ เพราะการประกอบพิธีกรรมไหว้ครูธรรมใหญ่สายธรรมอุตตโมบารมีที่สืบทอดจากตำรา ให้ศิษย์ถือธรรมเนียมปฏิบัติ ในการไหว้ครูแต่ละปี ต้องให้ตรงกับ 3 ค่ำ เดือนสาม ของทุกปี
จนมาถึงสมัยหลวงปู่สว่าง โพธิญาโณ จึงเริ่มมีการสืบทอด ตั้งผู้ดูแลคณะครูธรรมทั้งฝ่ายพระสงฆ์ และฝ่ายฆราวาส ให้สืบทอดตำรา พิธีกรรมโบราณให้คงอยู่ ไม่ให้สูญหาย


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 03 กันยายน 2564, 16:27:32
รูปหล่อรุ่นแรก ปี 2564
ปรมาจาย์ใหญ่หลวงปู่สำเร็จลุน

ผู้จัดสร้างโดย สายธรรมอุตฺตโมบารมี

วัตถุประสงค์ เพื่อระดมทุนถวายญาถานเบิ้ม อุตฺตโม บรมครูใหญ่สายธรรมอุตฺตโมบารมี ผู้สืบทอดรุ่นที่ 3 ศิษย์แห่งบูรพาจารย์สายปรมาจารย์ใหญ่หลวงปู่สำเร็จลุน โดยมีรายการจัดสร้างดังนี้
 1.สร้างถนนคอนกรีตเข้าวัดป่าอุตฺตมะวชิราราม(วัดป่าห้วยน้ำลึก) ตำบลหนองสิม อำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี
 2.สร้างบล็อกแบบทำกำแพง
 3.สร้างที่กรองน้ำดื่มขนาดใหญ่

จำนวนการจัดสร้าง
1.เนื้อทองคำ                 จำนวน   3   องค์
2.เนื้อเงิน                     จำนวน  39  องค์
3.เนื้อทองคำทองขาว       จำนวน  49  องค์
4.เนื้อนวะสัตโลหะ           จำนวน  59  องค์
5.เนื้อทองแดง               จำนวน  99  องค์
6.เนื้อทองทิพย์              จำนวน 299 องค์
7.เนื้อเหล็กเปียกรวมแร่     จำนวน 399 องค์

ใต้ฐานบรรจุมวลสารศักดิ์สิทธิ์
1.ผงเถ้าอังคารปรมาจารย์ใหญ่หลวงปู่สำเร็จลุน
2.ดินไพรดำของสืบทอดสายธรรมอุตฺตโมบารมี
3.ผงไม้มณีโคตร
4.ผงรูป 77 จังหวัด
5.ผงเหล็กอาถรรพ์ 108 อย่าง
6.ผงว่าน 9,999 ชนิด
7.ผงเหล็กเปียกยอดพระธรตุพนม
8.ผงแร่หิน 108 ชนิด
9.ผงไม้มงคล 108 อย่าง

การก่อตั้งสายธรรมอุตฺตโมบารมี
   จากคำบอกเล่าของหลวงปู่สว่าง โพธิญาโณ วัดสนามชัย บ.นาหว้าน้อย อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี การสืบทอดมีมาตั้งแต่สมัย ญาถานอุตฺตมะ อุปัชญาย์สำเร็จลุน และมีศักดิ์เป็นหลวงอา อดีตเจ้าอาวาส วัดสิงหาญ ตำบลสะพือ อำเภอตระการพืชผล จังหวัดอุบลราชธานี พ.ศ. ๒๓๙๐ – ๒๔๒๐ ญาถานอุตฺตมะได้ย้ายมาจาก ฝั่งขวาแม่น้ำโขงไม่ทราบได้ว่าบ้านไหน ได้บวชเป็นพระและได้เดินทางมาบ้านสะพือ ชาวบ้านจึงได้นิมนต์ท่านให้อยู่จำพรรษที่บ้านสะพือ
   หลังจากนั้นเริ่มมีศิษย์เข้ามาขอเล่าเรียนพระเวทย์อาคม มีทั้งพระและฆราวาส โดยเรียกกันในกลุ่มว่า สายธรรมอุตฺตะอุตฺตโม บ้างท่านก็เลือกเรียนเฉพาะอย่าง เช่น บ้างท่านเลือกธรรมพุทโธ บ้างท่านเลือก ธรรมบรรลุ บ้างท่านเลือกธรรมอะระหัง เป็นต้น แต่ในกลุ่มจะรู้กันดีว่าออกจากสายธรรมอุตฺตะอุตฺตโม
   หลวงปู่สว่าง โพธิญาโณ ท่านเล่าว่า ตัวท่านเองได้มาเล่าเรียนในสายธรรมอุตฺตะอุตฺตโมสมัยที่ท่านนั้นยังไม่ข้ามมาฝังไทย ยังธุดงปฏิบัติกรรมฐานตามป่าเขาในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
จึงมีโอกาสได้เข้าไปฝากตัวเป็นศิษย์เล่าเรียนอาคมกับหลวงปู่สำเร็จลุน หลวงปู่สำเร็จลุนท่านจึงได้ส่งต่อให้กับสำเร็จตันที่ประสิทธิ์วิชาท่านเป็นเคยอุปถากหลวงปู่สำเร็จลุนเป็นผู้ชี้แนะสั่งสอน จนได้เจอกับศิษย์ผู้น้อง คือ หลวงปู่จันทร์หอม สุภาทโร หลังจากนั้นก็ตามพากันกราบลาปรมาจารย์แยกออกเดินทางเพื่อปฏิบัติตามป่าเขา
ต่อมาหลวงปู่สว่าง โพธิญาโณ ท่านได้รับการแจ้งข่าวเรื่องการมรณภาพของหลวงปู่สำเร็จลุน ตรงกับ พ.ศ. ๒๔๖๓ ที่วัดเวินไซ เมืองโพนทอง แขวงนครจำปาศักดิ์ ประเทศลาว (สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวปัจจุบัน) รวมอายุ ๘๔ ปี พรรษา ๖๔ หลวงปู่สว่าง โพธิญาโณ ท่านได้ไปร่วมงานพิธี ช่วยสำเร็จตันและเจ้าบุญอุ้ม ณ จำปาศักดิ์จนเสร็จเรียบร้อย จึงได้กราบลาสำเร็จตันเพื่อเดินทางกับยังวัด  สำเร็จตันจึงได้มอบพระเกษา พระอิฐิ บ้างส่วนให้หลวงปู่สว่าง โพธิญาโณ ติดตัว หลังจากนั้นไม่นานเกิดปัญหาภายในประเทศหลวงปู่สว่าง โพธิญาโณ จึงข้ามมาฝังไทยแล้วจำพรรษาที่วัดบ้านนาหว้านาสนาม อ.เขมราฐ จ.อุบล
หลวงปู่สว่าง โพธิญาโณ ท่านมาอาศัยอยู่ที่วัดบ้านนาหว้านาสนาม ก็ได้มีเหล่าศิษย์ที่หลวงปู่เคยชี้แนะสั่งสอนพระเวทย์อาคมให้รู้ว่าท่านอยู่ที่วัดบ้านนาหว้านาสนาม จึงเดินทางมากราบท่านทุกปี ในแต่ละปีจะเป็นภาพที่มีผู้คนเดินทางมีทำพิธีไหว้ผีทัย ผีเชื่อ ทั้งจาก สปป.ลาว และจากไทย
เริ่มให้ใช้ชื่อ สายธรรมอุตฺตโมบารมี
หลวงปู่สว่าง โพธิญาโณ ท่านมอบว่า ในอนาคตจะมีฆราวาสเข้ามาเล่าเรียนในสายหลวงปู่สำเร็จลุนมากมาย ท่านจึงให้ตัดคำว่า อุตฺตมะ ออกให้เหลือแต่คำว่า อุตฺตโม แปลว่า สูงสุด, ดีที่สุด, ยอดเยี่ยม, เลิศ เป็นผู้ใฝ่รู้ใฝ่เรียน เป็นผู้มีความเพียรในคำสอน เป็นผู้ยึดคำสอนครูเป็นหลัก ศิษย์ฆราวาสรุ่นต่อมาจึงใช้ชื่อ   สายธรรมอุตฺตโมบารมี สืบทอดต่อมา
จากต้นกำเนิดมาจนถึงปัจจุบันการสืบทอดสายธรรมนี้ก็มีอายุนับร้อยขึ้น สืบทอดกันเป็นรุ่น        ก่อนที่หลวงปู่สว่าง โพธิญาโณ จะล้มป่วย ท่านได้มอบพระเกษา พระอิฐิให้กับปู่รินทอง หัวหน้าโรงเลื่อยบ้านนาสนาม ปู่รินทองคือบิดาของญาถานเบิ้ม อุตฺตโม ผู้สืบทอด รุ่นที่ 3  ต่อมาพระเกษา พระอิฐิปรมาจารย์      หลวงปู่สำเร็จลุน วัดเวินไซ เมืองโพนทอง แขวงนครจำปาสัก สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวที่ได้รับการส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นจนมาถึงสายธรรมอุตฺตโมบารมี โดยมีหลักฐานพยานบุคคล ไม่ว่าจะเป็นเชื่อสายตรง ชาวบ้านที่อยู่ใกล้วัดเวินไซ หรือศิษย์ที่ข้ามมาไทยท่านได้นำข้ามมายังประเทศไทย บ้างท่านได้แต่ผงพระอัฐิ บ้างท่านได้ เขี้ยวท่านหรือฟัน บ้างท่านได้ พระเกษาและยิ่งมีเกิดความบังเอิญ ท่านที่ได้ครอบครอง ได้แบ่งให้บรมครูสายธรรมอุตฺตโมบารมี วัตถุประสงค์เพื่อให้เป็นเสาหลักให้ศิษย์ ได้กราบบูชาเป็นตัวแทนของปรมาจารย์ใหญ่หลวงปู่สำเร็จลุน และให้ สืบทอดต่อไป

ความเป็นมาพิธีกรรมไหว้ครูธรรมใหญ่สายอุตฺตมะอุตฺตโม ในทุกปีจะมีการทำพิธีกรรมไหว้ผีไท้หรือผีเชื่อสาย พร้อมกับพิธีไหว้ครูธรรมใหญ่ที่ต้องจัดขึ้นทุกปี หลวงปู่เล่าว่า หลวงปู่สำเร็จต้นบอกกับท่านว่า พิธีกรรมไหว้ครูธรรมใหญ่เท่าที่ท่านจำได้ว่า น่าจะเริ่มมีการจัดในสมัยที่หลวงพ่ออุตตมะ วัดสิงหาร จ.อุบลราชธานี ก่อนท่านมรณะ 15 ปี ก็จะอยู่ในช่วงปี พ.ศ.2405 เพราะท่านจำได้ว่าตรงกับวันสำคัญ คือ วันพระราชสมภพ เจ้าแก้วนวรัฐ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่องค์ที่ 9 แห่งราชวงศ์ทิพย์จักราธิวงศ์ (เจ้าเจ็ดตน) ซึ่งเป็นองค์สุดท้ายแห่งนครเชียงใหม่ พ.ศ.2405 จะอยู่ในช่วงนี้ ปีนั้นจะตรงกับวัน อาทิตย์ ที่ 2 เดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ.2405 ขึ้น ๓ ค่ำ
เดือนสาม(๓) ปีระกา ที่เริ่มมีการทำพิธีไหว้ครูธรรมใหญ่อย่างเป็นทางการ เพราะการประกอบพิธีกรรมไหว้ครูธรรมใหญ่สายธรรมอุตตโมบารมีที่สืบทอดจากตำรา ให้ศิษย์ถือธรรมเนียมปฏิบัติ ในการไหว้ครูแต่ละปี ต้องให้ตรงกับ 3 ค่ำ เดือนสาม ของทุกปี

โดยนับจากปี 2405 ถึงปี 2564 มีอายุสืบทอด 159 ปี
...หลวงปู่สว่าง โพธิญาณ  ผู้สืบทอดรุ่นที่ 1
...หลวงปู่ทา นาควัณโณ   ผู้สืบทอดรุ่นที่ 2
...ญาถานเบิ้ม อุตฺตโม      ผู้สืบทอดรุ่นที่ 3



หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 24 กันยายน 2564, 21:39:47

ญาถานอุตฺตะ ถือว่าเป็นพระปรมาจารย์ใหญ่รุ่นแรกในสมัยนั้น เชื่อถือกันว่าเป็นผู้เรืองฤทธิ์ มีตำรายา ตำราเวทมนต์ คาถาอาคม มีวัตรปฏิบัติที่น่าเคารพเลื่อมใสมาก


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 24 กันยายน 2564, 21:50:39
ญาถานอุตฺตมะ ผู้เป็นอาจารย์ของสำเร็จลุน และมีศักดิ์เป็น หลวงอา
ปฐมาจารย์ใหญ่สายธรรมอุตฺตโมบารมี หรือสมัยนั้นเรียกว่า สายอุตฺตมะอุตฺตโม

ถือว่าเป็นพระปรมาจารย์ใหญ่รุ่นแรกในสมัยนั้น เชื่อถือกันว่าเป็นผู้เรืองฤทธิ์ มีตำรายา ตำราเวทมนต์ คาถาอาคม มีวัตรปฏิบัติที่น่าเคารพเลื่อมใสมาก
ชั้แนะในหลักการปฏิบัติในลูกศิษย์ยึดหลักคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า มั่นเจริญศิล 5 ให้เป็นนิสัย


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 05 ตุลาคม 2564, 14:34:30
การปกครอง ในสายธรรมอุตฺตโมบารมี
 เป็นการปกครองแบบครอบครัว ครูธรรมจึงจะมีความสุขได้นั้น เริ่มต้นจะต้องขึ้นอยู่กับครอบครัวของเราเอง ว่าดีหรือไม่ดี หากคนในครอบครัวสายธรรมอุตฺตโมบารมีของเรามีการรักใคร่ กลมเกลียวกันครอบครัวสายธรรมอุตฺตโมบารมีนั้นก็จะมีความสุขแน่นอน

หลักการปกครองยึดหลัก 9 ขั้นตอนที่ทำให้ครอบครัวสายธรรมอุตฺตโมบารมีของเรานั้นพบแต่ความสุข

1.บรมครูพ่อแม่ครูบาอาจารย์ควรเป็นแบบอย่างให้แก่ลูกศิษย์ครูธรรมญาติธรรม เป็นแบบอย่างที่ดีของลูกศิษย์ครูธรรมญาติธรรม หมายความว่า การประพฤติ ปฏิบัติ ตัวต้องทำให้เหมาะสมกับสิ่งที่ตนเองทำ หรืออยู่ในกรอบของความถูกต้อง รู้จักบทบาทและหน้าที่ของตน และไม่ควรตามใจลูกศิษย์ครูธรรมญาติธรรมจนเหลิง หรือบีบบังคบลูกจนเกินไป บางครั้งลูกศิษย์ครูธรรมญาติธรรมอาจจะต้องการอิสระบ้าง ไม่ควรห้ามในสิ่งที่ลูกศิษย์ครูธรรมญาติธรรมเรากำลังจะเรียนรู้

2.คนในครอบครัวสายธรรมอุตฺตโมบารมีควรให้เกียรติกัน บุคคลในครอบครัวควรมีความเกรงใจกัน ให้เกียรติกัน และยอมรับในสิ่งที่คนในครอบครัวของเรานั้นออกความคิดเห็น

3.พร้อมรับความคิดเห็นของทุกคนในครอบครัวสายธรรมอุตฺตโมบารมี ควรให้โอกาส คนในครอบครัวแสดงความคิดเห็น ไม่ควรนำความคิดเห็นตนเองเป็นใหญ่

4.บรมครูพ่อแม่ครูบาอาจารย์ควรให้ความเคารพต่อการตัดสินใจลูกศิษย์ครูธรรมญาติธรรม เช่น หากลูกศิษย์ครูธรรมญาติธรรมสนใจในเรื่องใดควรจะใส่ใจในสิ่งที่ลูกศิษย์ครูธรรมญาติธรรมสนใจด้วยเช่นกัน

5.ควรมีเวลาให้แก่คนในครอบครัวสายธรรมอุตฺตโมบารมีเสมอ หมั่นมีเวลาทำกิจกรรมเพื่อสร้างความใส่ใจกันในครอบครัวสายธรรมอุตฺตโมบารมี

6.การสอนลูกศิษย์ครูธรรมญาติธรรมเรื่องความผิดพลาด อธิบายในสิ่งที่เคยทำผิดพลาดให้แก่ลูกศิษย์ครูธรรมญาติธรรมฟัง และหัดยอมรับผิด หัดยอมรับความจริงให้ได้

7.บรมครูพ่อแม่ครูบาอาจารย์ควรรักลูกศิษย์ครูธรรมญาติธรรมเท่ากัน ไม่ควรแบ่งแยกความรักระหว่างคนสองคน ควรจะรักลูกศิษย์ครูธรรมญาติธรรมเท่ากันทุกคน

8.หากมีการทะเลาะกันควรใช้เหตุผลแทนความรุนแรง เช่นหากเกิดการทะเลาะกันขึ้นควรจะหาเหตุผลมาคุยกับ อธิบายในสิ่งที่เกิดขึ้นว่าสิ่งไหนผิด และสิ่งไหนถูก

9.ควรมีทั้งสุข และทุกข์ในครอบครัวสายธรรมอุตฺตโมบารมี ครอบครัวที่มีความสุขจริง ควรจะมีทั้งทุกข์และสุข ไม่ควรจะมีความสุขแต่เพียงอย่างเดียว


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 11 พฤศจิกายน 2564, 21:54:36
ฆราวาส ครูธรรมใหญ่สุนทร สนธิหา

ล็อกเก็ตตบะ รุ่นแรก จำนวน 19 เหรียญ
-ฝังตะกรุด 9 ดอก จำนวน 3 เหรียญ
-ฝังตะกรุด 3 ดอก จำนวน 7 เหรียญ
-ฝังตะกรุด 1 ดอก จำนวน 9 เหรียญ
ด้านหลังบรรจุผงมวลสารศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ
-เหรียญหลวงปู่ทวด
-งาช้างกระเด็น
-แร่เหล็กอาถรรพ์ที่ใช้ตีพระขรรค์ศาตราวุธ
-เหล็กเปียกยอดพระธาตุพนม
-ดินไพรดำ

เหรียญตบะ รุ่นแรก จำนวน 108 เหรียญ
ผลิตจากโรงงานสหรัฐอเมริกา โดยใช้เนื้อแดงแท้บริสุทธิ์
ด้านหน้าเหรียญ : จะเป็นรูปญาถานเบิ้ม อุตฺตโม บรมครูใหญ่สายธรรมอุตฺตโมบารมี ผูสืบทอดรุ่นที่ 3 ศิษย์แห่งบูรพาจารย์หลวงปู่สำเร็จลุน และครูธรรมใหญ่สุนทร สนธิหา ฆราวาสฝ่ายตบะ

ด้านหลังเหรียญ : อัญเชิญเอายันต์“มงกุฎพระพุทธเจ้า”
หรือที่รู้จักกันในชื่อ "คาถาอิติปิโสเรือนเตี้ย"
อันเป็นคาถาเสกหญ้าให้ม้ากิน ที่หลวงปู่เอี่ยมถวายแก่ ร.5 เมื่อครั้งเสด็จประพาสยุโรป
"มีตัวคาถาว่า "อิติปิโส วิเสเสอิ อิเสเส พุทธะนาเมอิ อิเมนา พุทธะตังโสอิ อิโสตังพุทธะปิติอิ "
" อิติปิโส วิเสเสอิ อิเสเสพุทธนาเมอิ อิเมนา พุทธตังโสอิ อิโสตังพุทธปิติอิ

คำแปลคาถามงกุฏพระพุทธเจ้า

อิ ติปิโส วิเสเส อิ
แม้เพราะเหตุนี้ พระพุทธเจ้าจึงวิเศษ

อิ เสเส พุทธะนาเม อิ
เพราะวิเศษ ควรนอบน้อมพระพุทธเจ้า

อิ เมนา พุทธะตังโส อิ
เพราะนอบน้อมพระพุทธเจ้า เราจะเข้าถึงพระองค์

อิ โสตัง พุทธะปิติ อิ
เพราะเราเข้าถึงพระองค์ ก็จะปิติในพระพุทธเจ้า

อุปเท่ห์ในการใช้พระคาถา
ภาวนาทุกวันมิตกนรก เสกน้ำล้างหน้าทุกวันกันโรคภัยไข้เจ็บคุณไสยทั้งมวล ถ้าจะให้มีตบะเดชะให้ภาวนาทุกวัน เกิดสง่าราศีเป็นที่เมตตาแก่คนทั้งหลาย ให้ภาวนาแล้วแผ่เมตตาให้คนทั้งปวง ใครคิดร้ายก็ต้องมีอันเป็นไป ถ้าปรารถนาสิ่งใด ให้ภาวนาคาถานี้ ๑๘ คาบ เป็นไปได้ดังใจนึก

ถ้าจะให้เป็นมหาจังงัง ให้ภาวนาคาถานี้ ๘ คาบเป็นมหาจังงังแล ถ้าจะให้เป็นมหาละลวยให้ภาวนา ๙ คาบ
ถ้าช้างม้าวัวควายสัตว์ที่ดุร้ายทั้งหลาย ให้เสกหญ้าเสกของให้มันกิน กลับใจอ่อนรักเราแล ถ้าภูตพรายมันเข้าอยู่คน เสกข้าวให้มันกินออกแล
ถ้าปรารถนาจะให้เสียงเพราะ ให้เสกสีผึ้งสีปากเสกหมากกินไป เทศนาสวดร้องเป็นที่พอใจคนทั้งหลาย ให้เสกแป้งผัดหน้า เสกมงกุฎรัดเกล้า เป็นสง่าราศีใครเห็นใครรักทุกคน
อนึ่งให้เอาใบลานหรือกระดาษว่าวมาลงคาถานี้ ทำเป็นมงคลเสกด้วยตัวเอง สารพัดกันศาสตราอาวุธทั้งหลาย เป็นวิเศษนัก

พระคาถาบทนี้ พระมหากษัตริย์แต่เก่าก่อนทรงใช้ประจำทุกพระองค์แล

อนึ่งพระคาถานี้ใช้สำหรับภาวนาสักการะซึ่งพระบรมธาตุ พระพุทธปฏิมา พระเจดีย์สิ้นทั้งปวง แต่โบราณมากำหนดเอาพระคาถานี้ใช้อัญเชิญพระบรมธาตุเสด็จโดยปาฏิหาริย์แล

เคล็ดในการสวดคาถา “มงกุฎพระพุทธเจ้า”
หลักในการว่าคาถาให้มีความศักดิ์สิทธิ์นั้น มีพื้นฐานจาก " จิต " เป็นสำคัญ หากจิตมีสมาธิสูง ตั้งมั่นคาถาก็ยิ่งทรงความศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นระหว่างที่ว่าคาถาให้ จับลมหายใจสบายพร้อม ๆ กับการภาวนาคาถาบทนี้ เป็นขั้นที่ 1 ระดับสูงกว่านี้
ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ท่านใช้คาถาบทนี้โดยมีนิมิต กำกับคาถา โดยทรงพุทธนิมิต ไว้ดังนี้ โดยตั้งกำลังใจว่าเรา ขอกราบอาธารณาบารมีพระพุทธเจ้าเสด็จประทับเหนือเศียรเกล้าของข้าพเจ้าเพื่อ.......ปกปักรักษาคุ้มครองข้าพเจ้าด้วยเทอญ

" อิติปิโส วิเสเสอิ อิเสเสพุทธนาเมอิ อิเมนา พุทธตังโสอิ อิโสตังพุทธปิติอิ " เมื่อว่าคาถาจบ คาบที่ 1 ก็กำหนดอาราธณาพุทธนิมิตอยู่เบื้องหน้าของศีรษะของเรา และ ทรงพุทธนิมิตนี้เอาไว้

" อิติปิโส วิเสเสอิ อิเสเส พุทธนาเมอิอิเมนา พุทธตังโสอิ อิโสตัง พุทธปิติอิ " ว่าคาถาจบที่ 2 ก็กำหนดพุทธนิมิตอีกพระองค์หนึ่ง อยู่เบื้องขวาของศีรษะของเรา และ ทรงพุทธนิมิตทั้งหมดเอาไว้

" อิติปิโส วิเสเสอิ อิเสเสพุทธนาเมอิ อิเมนา พุทธตังโสอิ อิโสตังพุทธปิติอิ " ว่าคาถาจบที่ 3 ก็กำหนดพุทธนิมิตอีกพระองค์ อยู่ด้านหลังของศีรษะเรา และ ทรงพุทธนิมิตเอาไว้ อิติปิโสวิเสเสอิ อิเสเส พุทธนาเมอิ อิเมนา พุทธตังโสอิ อิโสตังพุทธปิติอิ " ว่าคาถาจบที่ 4 ก็กำหนดพุทธนิมิตอีกพระองค์ อยู่ด้านซ้าย และ ทรงพุทธนิมิตเอาไว้

" อิติปิโส วิเสเสอิ อิเสเสพุทธนาเมอิ อิเมนา พุทธตังโสอิ อิโสตังพุทธปิติอิ " ว่าคาถาจบที่ 5 ก็กำหนด พุทธนิมิตอีกพระองค์อยู่ด้านตะวันออกเฉียงเหนือของศีรษะของเรา และ ทรงพุทธนิมิตเอาไว้

" อิงติปิโสวิเสเสอิ อิเสเส พุทธนาเมอิ อิเมนา พุทธตังโสอิ อิโสตังพุทธปิติอิ " ว่าคาถาจบที่ 6 ก็กำหนดพุทธนิมิตอีกพระองค์ อยู่ด้านตะวันออกเฉียงใต้ของศีรษะของเรา และ ทรงพุทธนิมิตเอาไว้

" อิติปิโส วิเสเสอิ อิเสเส พุทธนาเมอิ อิเมนาพุทธตังโสอิ อิโสตัง พุทธปิติอิ " ว่าคาถาจบที่ 7 ก็กำหนดพุทธนิมิตอีกพระองค์ อยู่ด้านตะวันตกเฉียงใต้ของศีรษะของเรา และ ทรงพุทธนิมิตเอาไว้

" อิติปิโส วิเสเสอิ อิเสเส พุทธนาเมอิ อิเมนาพุทธตังโสอิ อิโสตัง พุทธปิติอิ " ว่าคาถาจบที่ 8 ก็กำหนดพุทธนิมิตอีกพระองค์ อยู่ด้านตะวันตกเฉียงเหนือของศีรษะของเรา และ ทรงพุทธนิมิตเอาไว้ทั้ง 8 พระองค์เรียงวนรอบศีรษะของเรา

" อิติปิโส วิเสเสอิ อิเสเสพุทธนาเมอิ อิเมนา พุทธตังโสอิ อิโสตังพุทธปิติอิ "ว่าคาถาจบที่ 9 กำหนดพุทธนิมิตพระพุทธเจ้าองค์ใหญ่เสด็จประทับกึ่งกลางศีรษะเป็นยอดมงกุฎเปล่งประกายพรึก ทุกๆพระองค์เป็น มงกุฎเพชรพระพุทธเจ้าทั้งเก้าพระองค์บนเศียรเกล้าของเรา
เมื่อทำได้แล้วจะเข้าใจได้ทันทีว่าคาถานี้ทำไมจึงมีชื่อว่า คาถามงกุฎพระพุทธเจ้า และ ให้ทรงมงกุฎพระพุทธเจ้านี้เอาไว้ตลอดเวลาเป็นการทรงอารมณ์ในพุทธานุสตกรรมฐาน


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 12 พฤศจิกายน 2564, 11:03:13
ล็อกเก็ตพรหมวิหาร รุ่นแรก จำนวน 39 เหรียญ
ครูธรรมใหญ่พรรณวิชัย บุญเจริญ
ฆราวาสสายธรรมอุตฺตโมบารมี
ผู้ฝึกตนทางด้านพรหมวิหาร 4 หรือ พรหมวิหารธรรม เป็นหลักธรรมประจำใจเพื่อให้ตนดำรงชีวิตได้อย่างประเสริฐและบริสุทธิ์เฉกเช่นพรหม เป็นแนวธรรมปฏิบัติของผู้ที่ปกครอง และการอยู่ร่วมกับผู้อื่น ประกอบด้วยหลักปฏิบัติ 4 ประการ ได้แก่
เมตตา คือ ความรักใคร่ ปรารถนาดีอยากให้เขามีความสุข มีจิตอันแผ่ไมตรีและคิดทำประโยชน์แก่มนุษย์สัตว์ทั่วหน้า
กรุณา คือ ความสงสาร คิดช่วยให้พ้นทุกข์ ใฝ่ใจในอันจะปลดเปลื้องบำบัดความทุกข์ยากเดือดร้อนของปวงสัตว์
มุทิตา คือ ความยินดี ในเมื่อผู้อื่นอยู่ดีมีสุข มีจิตผ่องใสบันเทิง ประกอบด้วยอาการแช่มชื่นเบิกบานอยู่เสมอ ต่อสัตว์ทั้งหลายผู้ดำรงในปกติสุข พลอยยินดีด้วยเมื่อเขาได้ดีมีสุข เจริญงอกงามยิ่งขึ้นไป
อุเบกขา คือ ความวางใจเป็นกลาง อันจะให้ดำรงอยู่ในธรรมตามที่พิจารณาเห็นด้วยปัญญา คือมีจิตเรียบตรงเที่ยงธรรมดุจตาชั่ง ไม่เอนเอียงด้วยรักและชัง พิจารณาเห็นกรรมที่สัตว์ทั้งหลายกระทำแล้ว อันควรได้รับผลดีหรือชั่ว สมควรแก่เหตุอันตนประกอบ พร้อมที่จะวินิจฉัยและปฏิบัติไปตามธรรม รวมทั้งรู้จักวางเฉยสงบใจมองดู ในเมื่อไม่มีกิจที่ควรทำ เพราะเขารับผิดชอบตนได้ดีแล้ว เขาสมควรรับผิดชอบตนเอง หรือเขาควรได้รับผลอันสมกับความรับผิดชอบของตน
ด้านหลังบรรจุ
1.เหรียญพระนาคปรก
2.เหรียญหลวงปู่ทวด
3.เม็ดข้าวไพรดำ
4.จีวร อ.พรรณวิชัย สมัยท่านบวช
5.ผงงาช้าง 108 เชือก
6.ตะกรุดไตรสรณคมน์
อานุภาพ "ตะกรุดไตรสรณ์คมน์"
อาคมไตรสรณคมน์นั้น มีความสำคัญมาตั้งแต่โบราณ ในสมัยที่พระพุทธองค์ทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ ได้มีพุทธานุภาพให้พระสาวกทำการบวชกุลบุตรได้ โดยการเปล่งวาจาระลึกถึง ไตรสรณคมน์ แล้วจึงจะถือว่าเป็นภิกษุโดยสมบูรณ์ กล่าวถึง “หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ” ซึ่งท่านยึดเอาพระไตรสรณคมน์นี้เป็นตัวกำหนดในการบริกรรมภาวนา และท่านได้ปฏิบัติอย่างจริงจัง ตลอดช่วงชีวิตของท่าน ว่ากันว่า ในนิมิตรของหลวงปู่ฯ คืนหนึ่ง ท่านได้ฉันดาวที่สว่างมาก 3 ดวง เมื่อตื่นขึ้นมาก็ใคร่ครวญว่าแก้ว 3 ดวงก็คือ “พระไตรสรณคมน์” นั้นเอง ครั้งหนึ่งหลวงปู่ฯ เคยถาม สมเด็จพุฒาจารย์ (เสงี่ยม) วัดสุทัศน์ฯ ว่า ผู้ที่ภาวนาและระลึกถึงไตรสรณคมน์  ซึ่งมีความหมายว่า “ข้าพเจ้าขอรับเอาพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เป็นที่พึ่งที่ระลึก” เป็นนิจศีล ก่อนตาย แล้วจะไปสวรรค์ได้หรือไม่ สมเด็จฯ ท่านตอบว่า ได้แน่นอน พร้อมกับยกพระบาลีว่า "เยเกจิ พุทธัง สรณังคตา เสนะ เตคมิสสันติ อบายภูมิ ปหาย มานุสัง เทหัง เทวกายัง ปริปูเรส สันติ" แปลว่า บุคคลบางจำพวกหรือบุคคลใดมาถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะที่พึ่งแล้ว บุคคลเหล่านั้นย่อมไม่ไปอบายภูมิทั้ง ๔ มีนรก เป็นต้น ทั้งนี้สมเด็จฯ ท่านยังกล่าวว่า “ไตรสรณคมน์” นั้นเป็นรากแก้วของพระศาสนา พระพุทธเจ้าเมื่อครั้งยังเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เข้ามาบวชถือเป็นสมมุติสงฆ์ เมื่อแสวงหาสัจธรรมจนบรรลุมรรคผล ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณ ซึ่งเรียกว่า “พระธรรม” และเมื่อพระองค์ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า จึงเรียกว่า จึงเรียกว่า พุทโธ ซึ่งหมายถึงผู้รู้ จากนั้นเมื่อพระเทศน์โปรดปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ได้รู้ธรรมตามที่สอน ก็กลายเป็น”พระอริยสงฆ์” สืบต่อๆ กันมา ทำให้ศาสนาครบสมบูรณ์ไม่สูญหายไปไหน" นอกจากนั้นพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ท่านยังกล่าวว่า "สรณะทั้ง ๓ คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มิได้เสื่อมสูญ อันตรธานไปไหน ยังปรากฎแก่ผู้ปฏิบัติเข้าถึงอยู่เสมอ ผู้ใดมายึดถือเป็นที่พึ่งของตนแล้ว ผู้นั้นจะอยู่ในกลางป่าหรือเรือนว่างก็ตาม สรณะทั้ง ๓ ก็ปรากฎแก่เขาทุกเมื่อ จึงว่าเป็นที่พึ่งแก่บุคคลจริง เมื่อปฏิบัติตามสรณะทั้ง ๓ จริงแล้ว จะคลาดแคล้วจากภัยทั้งหลายอันก่อให้เกิด ความร้อนอกร้อนใจ ได้แน่นอนทีเดียว

บทนี้ใช้รดน้ำมนต์ เวลารดน้ำมนต์ ให้เสกคาถา บทนี้รดเรื่อย ๆ ไปจนครบ 7 บทจึงหยุด
ยอดคาถาพระไตร
สะ คะ คะ คะ นะ พุ
คาถาทั้ง 6 ตัวนี้ ถือว่าเป็นยอดคาถาพระไตรสรณคมน์ ใช้สำหรับป้องกันหรือแก้ไขสรรพอันตรายต่าง ๆ ได้ดังนี้ ถ้าหญิงแข็งผัว ชายแข็งเมีย เช่นมีฝีขี้แมลงวัน เกิดในที่ลับ เป็นปานดำ ปานแดง หรือเป็น ซวง ลักษณะเช่นนี้ เรียกว่าแข็งหรือเข็ดขวาง พอตั้งท้องได้สองสามเดือนก็แท้งออก ให้จัดเทียนเวียนหัว 1 เล่ม มาทำน้ำมนต์ให้อาบให้กิน เอาแผ่นทองมาลงยอดพระคาถานี้ทำกะตุดแขวนคอ
ถ้าเด็กเลี้ยงยาก สามวันดีสี่วันไข้ ให้ทำกะตุดแขวนไว้ จะเลี้ยงง่ายแล
ที่บ้าน ที่สวน ที่ไร่ ที่นา ที่บึง ที่หนอง เกิดเข็ดขวางเกี่ยวกับภูตผีปีศาจเบียดเบียน ให้ทำน้ำมนต์เสกแฮ่ เสกทราย หว่านรอบบริเวณ ประพรมน้ำมนต์ให้ทั่วถึง แล้วเขียนยอดคาถาพระไตร 6 ตัวลงในแผ่นทองแล้วเสกในตัวให้ครบ 108 จบ ขุดหลุมลงตรงกลาง เอาแผ่นทองวางลงในหลุม ความเดือนร้อนหายสิ้นแล
ถ้าเสาเรือนเป็นตาหมูสี กาบหยวก เจ้าของเรือน มักเจ็บไข้ได้ป่วย เวลากลางคืนมีเสียงดังเหมือนคนเอาไม้มาตี ลักษณะเช่นนี้ถือว่าเรือนเข็ดขวาง ให้เอาแผ่นทองมา เขียนยอดคาถาพระไตรสรณคมน์ 6 ตัว แล้วไปตอกลงในเสานั้น ความเข็ดขวางจะเหือดหายไปแล

ถ้าคนเป็นบ้าเกี่ยวกับภูตผีปีศาจ ให้แต่งขัน 5 ขัน 8 ขันหมากเบ็ง 2 ขัน เทียนเล่มบาท 2 คู่ เล่มเบี้ย 2 คู่ ผ้าขาว 6 ศอก เทียนเวียนหัว 1 เล่ม สำหรับเทียนเวียนหัวนี้ เอาทำน้ำมนต์แล้วเสกบทน้ำมนต์ สุคะโต โคตะโม ให้ได้ 7 จบ เวลาหยดน้ำมนต์ให้เสก
อิติปิโส วิเสเสอิ 7 จบ แล้วเสก สัพเพ สัตตา สุขิตา โหนตุ อึดใจเดียวให้ได้ 7 จบ
ใช้น้ำมนต์กินและอาบแล้วเสกด้ายผูกคอ ผูกแขน ขา ด้วยบท จัตาโร นะวะ โมทันติ 7 จบ
ลงแผ่นทองด้วยยอดพระคาถา 6 ตัว เสกตัวเองครบ 108 จง ทำกะตุดแขวนคอ บ้าผีทุกชนิดหายสนิทแล
ถ้าจะรักษาคนเป็นปอบ เป็นไท้ เป็นแถน ให้แต่งเครื่องสักการะให้ครบ เหมือนรักษาคนเป็นบ้าทุกประการ เวลาจะทำน้ำมนต์ ให้เอาเทียนเวียนหัวจุด เสกบทสุมะโน โคตะโม 7 จบ อิติปิโส วิเสเสอิ 7 จบ ทำน้ำมนต์และรด เสกด้าย 5 เส้น ด้วยบท จัตตาโร นะวะโมทันติ 7 จบ แล้วเอาด้ายที่เสกผูกคอ แขน ขา ลงยอดคาถา 6 ตัวในแผ่นทอง ทำเป็นตะกรุดผูกคอผู้เป็นปอบ สำหรับตะกรุดให้เสก 108 จบ ด้วยยอดพระคาถา ปอบจะหายไปสิ้นแล
ธรรมพระไตรสรณคมน์ แบบของสำเร็จลุนนี้ผู้ที่เคยได้ใช่มาปรากฏว่าได้ผลดียิ่ง บ้านหนึ่งมีหมอธรรมครูนี้อยู่เพียงคนเดียวก็พอ ไม่ต้องหวาดกลัวภูตผีปีศาจใด ๆ มารบกวน

ในสมัยโบราณมีเคล็ดลับว้าว่า หากผู้ใดจะเรียนเวทย์มนต์คาถาหรืออาคมต่าง ๆ ต้องให้เรียนธรรมไว้รักษาตัวเองเสียก่อน จึงให้เรียนมนต์ต่าง ๆ ได้ ถ้าไม่เรียนธรรมไว้ป้องกันรักษา ผู้ที่ธาตุอ่อนอาจจะเป็นปอบก็ได้ เพราะมนต์แต่ละอย่างมีความศักดิ์สิทธิ์อยู่ในตัวเอง ถ้าความศักดิ์สิทธิ์ของมนต์มาตกที่ตัวเราอาจถูกผี (ปอบ) ทำอันตรายก็ได้ ในกรณีนี้ขอให้ผู้ที่จะเริ่มเรียนมนต์ควรเอาใจใส่ระวังไว้ เรื่องปอบเป็นของแปลกแต่จริงถ้ามันยังอ่อนกินพี่น้องบ้านเมือง ครั้นแก่เต็มที่กินตัวเอง


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 12 พฤศจิกายน 2564, 14:40:28
#ล็อกเก็ตคู่บารมี รุ่นแรก จำนวน 108 คู่

อาจารย์ใหญ่เวทย์ สีจันทะวง
ฆราวาสผู้สืบทอดรุ่นที่ 3 สายธรรมอุตฺตโมบารมี

ล็อกเก็ตฉากจัมโบ้ 108 เหรียญ ด้านหลังบรรจุดังนี้
1.ผงมวลสารศักดิ์สิทธิ์มากมาย
2.เหรียญสมเด็จองค์ปฐมพระพุทธเจ้า
3.เหรียญหลวงปู่ทวด
4.เม็ดปรอท
5.ตะกรุดเงินหัวใจธรรมะธาตุ

ล็อกเก็ตฉากเล็ก 108 เหรียญ ด้านหลังบรรจุดังนี้
1.ผงมวลสารศักดิ์สิทธิ์มากมาย
2.เหรียญหลวงปู่ทวด
3.ตะกรุดเงินหัวใจสิงห์

อาจารย์ใหญ่เวทย์ สีจันทะวง
ฆราวาสผู้สืบทอดรุ่นที่ 3 สายธรรมอุตฺตโมบารมี
ศิษย์ญาถ่านเบิ้ม อุตฺตโม บรมครูใหญ่สายธรรมอุตฺตโมบารมี

อาจารย์ใหญ่เวทย์ สีจันทะวง ท่านเป็นฆราวาสที่ได้รับการถ่ายทอดสรรพวิทยาแหล่งวิทยาคมทางไสยศาสตร์ ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ตั้งแต่สมัยโบราณพระเกจิอาจารย์ผู้สืบต่อวิชาทางไสยศาสตร์ ถือเป็นผู้สืบทอดแห่งแหล่งเรียนรู้ศิลปะวิทยาคมของฆราวาสผู้บำเพ็ญพรต (ตบะ) มาแต่เดิม สมกับเป็นผู้ถูกเลือกรับการถ่ายทอดสรรพวิทยาตกทอด
ท่านได้ยึกหลักฆราวาสธรรม หรือ ธรรมสำหรับชีวิตครองเรือน 4 ประการ เป็นหลักในการดำเนินชีวิต โดยถือเอาฆราวาสธรรม 4 ในการปกครองดูแลคณะครูธรรม ดังนี้
1.สัจจะ ความซื่อสัตย์ จริงใจต่อกัน เป็นหลักสำคัญที่จะให้เกิดความไว้วางใจและไมตรีจิตสนิทต่อกันขาดสัจจะเมื่อใดย่อมเป็นเหตุให้เกิดความหวาดระแวงแคลงใจกันเป็นจุดเริ่มต้นแห่งความร้าวฉาน ซึ่งยากนักที่จะประสานให้คืนดีได้ดังเดิม
2.ทมะ การรู้จักบังคับควบคุมอารมณ์ ข่มใจระงับความรู้สึกต่อเหตุบกพร่องของกันและกัน รู้จักฝึกฝนปรับปรุงตน แก้ไขข้อบกพร่อง ปรับนิสัยและอัธยาศัยให้กลมกลืนประสานเข้าหากันได้ ไม่เป็นคนดื้อด้านเอาแต่ใจและอารมณ์ของตน คนที่ขาดธรรมข้อนี้ ย่อมปล่อยให้ข้อแตกต่างปลีกย่อยทางอุปนิสัยและการอบรม กลายเป็นเหตุแตกแยกสามัคคีใหญ่โต และถ้าไม่สามารถปรับตนเข้าหากันได้ ก็เป็นอันต้องทำลายชีวิตคู่ครองแยกทางขาดจากกัน
3.ขันติ ความอดทน อดกลั้น ต่อความหนักและความร้ายแรงทั้งหลาย ชีวิตของผู้อยู่ร่วมกัน นอกจากมีข้อแตกต่างขัดแย้งทางอุปนิสัย การอบรม และความต้องการบางอย่าง ซึ่งจะต้องหาทางปรับปรุงเข้าหากันแล้วบางรายอาจจะมีเหตุล่วงเกินรุนแรง แสดงออกจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ซึ่งอาจะเป็นถ้อยคำหรือกิริยาอาการ จะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม เมื่อเกิดเหตุเช่นนี้ อีกฝ่ายหนึ่งจะต้องรู้จักอดกลั้นระงับใจ ไม่ก่อเหตุให้เรื่องลุกลามกว้างขยายต่อไปความร้ายจึงจะระงับลงไป นอกจากนี้ ยังจะต้องมีความอดทนต่อความลำบากตรากตรำ และเรื่องหนักใจต่างๆ ในการประกอบการงานอาชีพเป็นต้น โดยเฉพาะเมื่อเกิดภัยพิบัติ ความตกต่ำคับขัน ไม่ตีโพยตีพาย แต่มีสติอดกลั้นคิดอุบายใช้ปัญญาหาทางแก้ไขเหตุการณ์ให้ลุล่วงไปด้วยดี ชีวิตของคู่ครองที่ขาดความอดทน ย่อมไม่อาจประคับประคองพากันให้รอดพ้นเหตุร้ายต่างๆ อันเป็นประดุจมรสุมแห่งชีวิตไปได้
4.จาคะ ความเสียสละ ความเผื่อแผ่ แบ่งปันตลอดถึงความมีน้ำใจเอื้อเฟื้อต่อกัน ชีวิตบุคคลที่จะมีความสุข จะต้องรู้จักความเป็นผู้ให้ด้วย มิใช่คอยจ้องแต่จะเป็นผู้รับเอาฝ่ายเดียว การให้ในที่นี้ มิใช่หมายแต่เพียงการเผื่อแผ่แบ่งปันสิ่งของอันเป็นเรื่องที่มองเห็นและเข้าใจได้ง่ายๆ เท่านั้น แต่ยังหมายถึงการให้น้ำใจแก่กัน การแสดงน้ำใจเอื้อเฟื้อต่อกัน ตลอดจนการเสียสละความพอใจและความสุขส่วนตนได้ เช่น ในคราวที่คู่ครองประสบความทุกข์ ความเจ็บไข้ หรือมีธุระกิจใหญ่เป็นต้น ก็เสียสละความสุขความพอใจของตน ขวนขวายช่วยเหลือ เอาใจใส่ดูแล เป็นที่พึ่งอาศัย เป็นกำลังส่งเสริม หรือช่วยให้กำลังใจได้โดยประการใดประการหนึ่ง ตามความเหมาะสมรวมความว่า เป็นผู้จิตใจกว้างขวาง เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เสียสละ ไม่คับแคบเห็นแก่ตัว ชีวิตครอบครัวที่ขาดจาคะ ก็คล้ายการลงทุนที่ปราศจากผลกำไรมาเพิ่มเติม ส่วนที่มีมาแต่เดิมก็คงที่หรือค่อยร่อยหรอพร่องไป หรือเหมือนต้นไม้ที่มิได้รับการบำรุง ก็มีแต่อับเฉา ร่วงโรย ไม่มีความสดชื่นงอกงาม
ธรรม ๔ ประการ คือ สัจจะ ทมะ ขันติ และจาคะดังกล่าวมานี้ มิใช่ประสงค์เป็นข้อปฏิบัติจำกัดเฉพาะในระหว่างคู่ครองเพียง ๒ คนเท่านั้น แต่มุ่งหมายให้ใช้ทั่วไปในชีวิตการครองเรือนทั้งหมด โดยยึดถือเป็นคุณธรรมพื้นฐานของจิตใจ ในการที่จะสร้างความสัมพันธ์อันดีงามกับคนทั้งหลายที่จะอยู่ร่วมหรือติดต่อเกี่ยวข้องกันให้เหมาะสมตามฐานะนั้นๆ เพื่อประโยชน์สุขทั้งแก่ชีวิตของตนเอง และแก่ชีวิตของคนอื่นๆ ในสังคม


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 14 พฤศจิกายน 2564, 15:33:17
ตะกรุดกฐินบรมครู 64

ตะกรุด นะหน้าทองเก้าบารมี
จำนวน 108 ดอก
แจกโดย ญาถ่านเบิ้ม อุตฺตโม
บรมครูใหญ่สายธรรมอุตฺตโมบารมี

ญาถ่านเบิ้ม อุตฺตโม บรมครูใหญ่สายธรรมอุตตฺโมบารมี ดำริให้ครูธรรมมดสายธรรมอุตตฺโมบารมี(อ.อภิชัย นามวิชา) จารตะกรุดนะหน้าทองเก้าบารมี  รุ่นแรก จำนวนจัดสร้าง ๑๐๘ ดอก
เพื่อแจกเป็นทานบารมีในงานทอดกฐิน ปี ๒๕๖๔ ณ.วัดอุตฺตมะวชิราราม(วัดป่าห้วยน้ำลึก) ต.หนองสิม อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี ตะกรุด นะหน้าทองเก้าบารมี มีพุทธคุณด้านการเสริมดวงชะตาในด้านเมตามหาเสน่ห์ และเพิ่มโชคลาภ ทำให้ชีวิตของผู้ที่ได้ครอบครองตะกรุด นะหน้าทองเก้าบารมี มีความเจริญรุ่งเรือง ตะกรุด นะหน้าทองเก้าบารมี เป็นศาสตร์ที่มีอำนาจสูงส่งทางด้านการส่งเสริมดวงชะตาบารมี เสริมสิริมงคล รวมไปถึงเมตตามหานิยม มหาเสน่ห์ และโชคลาภ ความเจริญรุ่งเรือง ผู้ใดได้นำติดกระเป๋าเงินถือเป็นวาสนาแห่งบุคคลผู้นั้น ผู้ที่ไม่เคยมีใครรักก็จะมีคนเมตตารักใคร่ ที่ทำมาหากินไม่ดีก็กลับมาค้าขายดีมีกำไร ชีวิตที่อับเฉาก็จะไม่แห้งเหี่ยวอีกต่อไป จะบังเกิดสิ่งที่ดี ๆ เข้ามาในชีวิต พลิกชะตาจากที่ร้ายกลายเป็นดี จะบังเกิดสิ่งที่ดีๆ ขึ้นในชีวิต

   
ตะกรุด มหาบุรุษแปดจำพวก
จำนวน 108 ดอก
แจกโดยหลวงปู่ยักษ์ โคษะกะ
บรมครูสายธรรมอุตฺตโมบารมีี

หลวงปู่ยักษ์ โคษะกะ บรมครูสายธรรมอุตตฺโมบารมี ดำริให้ครูธรรมมดสายธรรมอุตตฺโมบารมี(อ.อภิชัย นามวิชา) จารตะกรุดบุรุษแปดจำพวก รุ่นแรก จำนวนจัดสร้าง ๑๐๘ ดอก
เพื่อแจกเป็นทานบารมีในงานทอดกฐิน ปี ๒๕๖๔ ณ.วัดภูร่มเย็นมโนธรรม(วัดภูตากแดด) ต.ช่องแซง อ.เลิงนกทา จ.ยโสธร ยันต์มหาบุรุษแปดจำพวกแบบเต็มสูตรที่ประกอบไปด้วยยันต์ใหญ่
ทั้งหมดแปดยันต์ด้วยกัน แทนที่จะใช้แค่ยันต์ตัวผู้และตัวเมีย ซึ่งน้อยยิ่งนักที่จะหามีผู้ใดสร้างตะกรุดมหาบุรุษแปดจำพวกแบบพิเศษเช่นนี้ออกมา แถมชุดนี้ยังผ่านการปลุกเสกมาเป็นพิเศษอีกด้วย
กล่าวถึงตะกรุดมหาบุรุษแปดจำพวกไว้ว่า มีอานุภาพเป็นแก้วมณีสารพัดนึก ก่อให้เกิดลาภยศสรรเสริญสุขอย่างอัศจรรย์ เป็นบุญกุศลด้วยคุณวิเศษตามที่พรรณาไว้มากมาย
ตามคติความเชื่อโบราณผู้ใดมีตะกรุดนี้ไว้ประจำตัวแล้ว ให้เจริญภาวนาด้วยพระคาถาหัวใจพระอริยสัจจ์เป็นประจำ จะได้รับพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทำให้คนยากจนจะกลายเป็นเศรษฐี
เศรษฐีจะรักษาทรัพย์ไว้ได้นาน คนโชคร้ายกลับกลายเป็นคนโชคดี คนไม่มียศจะมียศ คนไม่มีผัวจะมีผัว คนไม่มีเมียจะมีเมีย ผัวเมียรังเกียจกันจะคืนดีต่อกัน คนไม่มีลูกจะมีลูก
คนไม่มีปัญญาจะมีปัญญา บ้านเมือง ไร่นา สวน บริษัท ห้างร้าน วัดวาอารม ที่เสื่อมโทรม ถ้าเอาตะกรุดนี้ไปฝังไว้หรือเอาติดไว้ จะเจริญรุ่งเรือง
ฝังไว้ในแผ่นดินผืนใดก็จะเกิดความอุดมสมบูรณ์ ฝังไว้ในวัดร้างก็จะกลายเป็นวัดใหญ่ ฝังไว้กลางป่าก็จะกลายเป็นหมู่บ้าน ฝังไว้กลางหมู่บ้านก็จะกลายเป็นตลาด
บรรจุไว้ใต้ฐานพระประธาน ไหว้กราบบูชาเจริญภาวนา จะเกิดโชคลาภใหญ่ยิ่ง


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 01 ธันวาคม 2564, 19:27:03
ผู้ดูแลสายธรรมอุตฺตโมบารมี

1.ญาถ่านทา นาควัณโณ ปรมาจารย์ใหญ่
ผู้สืบทอดรุ่นที่ 2
วัดศรีสว่างนาราม อ.โพธิ์ไทร จ.อุบลราชธานี

2.ญาถ่านเบิ้ม อุตฺตโม บรมครูใหญ่
ผู้สืบทอดรุ่นที่ 2
วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี

3.หลวงปู่ยักษ์ โคษะกะ บรมครู
วัดภูร่มเย็นมโนธรรม(วัดภูตากแดด) อ.เลิงนกทา จ.ยโสธร

4.พระอธิการวิเชียร อนุตฺตโร
วัดคำมะโค้ง อำเภอเมือง จังหวัดอำนาจเจริญ

5.พระอาจารย์คณิน สุนฺทโร
(พระอาจารย์หนุ่ม) วัดดงบัง อำเภอลืออำนาจ จังหวัดอำนาจเจริญ

ศิษย์บูรพาจารย์แห่งธรรมะธาตุ
ญาถ่านโพนสะเม็ก-ญาถ่านอุตฺตมะ-ญาถ่านสำเร็จลุน


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 11 เมษายน 2565, 14:46:05
ล็อกเก็ต ท้าวเวสสุวรรณ รุ่กแรก

จัดสร้างโดย สายธรรมอุตฺตโมบารมี
จำนวน 108 เหรียญ
ขนาด 3.2 เซนติเมตร
*ตะกรุดทองคำ 9 ดอก จำนวน 19 เหรียญ
*ตะกรุดทองคำ 3 ดอก จำนวน 19 เหรียญ
*ตะกรุดทองคำ 1 ดอก จำนวน 19 เหรียญ
*ตะกรุดเงินแท้ 1 ดอก จำนวน 51 เหรียญ

วัตถุประสงค์ เพื่อรวบรวมสร้างห้องกายภาพบำบัด ให้แล้วเสร็จ ที่ยังขาดการซ่อมแซมอีกมาก

      ตามตำนานพุทธศาสนา ท้าวเวสสุวรรณ ในอดีตชาติเป็นพราหมณ์ใจบุญ เปิดโรงงานหีบอ้อยจนร่ำรวย มักบริจาคเงินทองให้ผู้ยากไร้
ด้วยบุญกุศลที่ทำมาพระพรหมและพระอิศวรจึงให้พรเป็นอมตะ เป็นเจ้าของทรัพย์สมบัติทั่วปฐพี เป็นเทพแห่งความร่ำรวย ผู้คนจึงนิยมกราบไหว้บูชาท่าน
อีกตำนานหนึ่งเชื่อว่า ท่านเป็นกษัตริย์กรุงราชคฤห์ นามว่า “พระเจ้าพิมพิสาร” เป็นพระสหายของเจ้าชายสิทธัตถะ ต่อมาเจ้าชายสิทธัตถะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
ก็มาโปรดพระเจ้าพิมพิสารจนบรรลุเป็นโสดาบัน ได้ถวายพระเวฬุวันมหาวิหารให้พระพุทธเจ้าเข้าประทับ เป็นอานิสงส์ให้ได้วิมานอันสวยงาม รวมถึงทรัพย์สมบัติมากมาย
คนโบราณมีความเชื่อกันว่า ผู้ใดห้อยบูชาท้าวเวสสุวรรณ จะบังเกิดโชคลาภมากมาย ร่ำรวยเงินทอง มีกินมีใช้ไม่ขาดแก้ปีชง เสริมปีชง เทพแห่งปีชง ป้องกันภัยจากสิ่งที่มองเห็นและมองไม่เห็น ป้องกันภูติ ผีวิญญาณต่างๆไม่กล้ามาทำอันตรายใดๆให้กับคนในครอบครัว ในร้านนั้นๆ เพราะภูติผีปีศาจ ยักษ์ เป็นบริวารท้าวเวสสุวรรณ คนมีลูกเพิ่งคลอด หรือมีเด็กเล็ก มักนิยมบูชาท้าวเวสสุวรรณ ตั้งไว้ตรงที่เด็กนอนหลับ เพราะมีความเชื่อว่าภูติผีปีศาจจะไม่กล้ามารบกวนเด็ก เพราะท้าวเวสสุวรรณเป็นผู้ปกครองแห่งภูติผีปีศาจนั่นเอง จึงแนะนำคนที่มีลูกอ่อน ลูกเล็ก หากชอบร้องไห้ตอนกลางคืน ไม่หลับไม่นอนเหมือนมีอะไรมารบกวนเด็ก และยังสามารถกันภูติผีปีศาจคุณไสย์มนต์ดำได้หมด

    วิธีบูชาท้าวเวสสุวรรณ ให้ทำในวันขึ้น 15 ค่ำ โดยจุดธูป 9 ดอก ดอกกุหลาบแดง 9 ดอก ตั้งนะโม 3 จบ ระลึกถึงคุณบิดา มารดา ครูบาอาจารย์ แล้วภาวนาคาถาบูชาท้าวเวสสุวรรณ

    คาถาบูชาท้าวเวสสุวรรณ
         อิติปิโส ภะคะวา ยมมะราชาโน ท้าวเวสสุวรรณโณ มะระณัง สุขัง อะหัง สุคะโต นะโม พุทธายะ ท้าวเวสสุวรรณโณ จาตุมะหาราชิกา ยักขะพันตาภัทภูริโต เวสสะ พุสะ พุทธัง อะระหัง พุทโธ ท้าวเวสสุวรรณโณ นะโม พุทธายะ

หากมีปัญหาเรื่องการเงิน การงาน โชคลาภ สามารถบนบานศาลกล่าวกับท้าวเวสสุวรรณได้เองที่บ้าน ถ้ามีผ้ายันต์ หรือองค์ลอย
ด้วยการอาบน้ำ แต่งกายให้สะอาดสุภาพ สมาทานศีล 5 สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัย พาหุง ชินบัญชร จุดธูป 9 ดอก พวงมาลัยดาวเรืองหรือดอกกุหลาบ 1 พวง ตั้งนะโม 3 จบ สวดคาถาบูชาท้าวเวสสุวรรณ 9 จบ

    ข้อห้ามในการบูชาท้าวเวสสุวรรณ
1. ห้ามประพฤติตนไม่ดี ผิดศีล 5 จะทำให้การบูชาไม่ได้ผล
2. ไม่เป็นผู้ทำลายศาสนา ทั้งทางตรงทางอ้อม หรือยุยงให้สิ้นศรัทธาต่อศาสนา
3. ไม่ประกอบอาชีพ ไม่มีความสุจริต ฉ้อโกง เอาเปรียบผู้อื่น
4. ไม่เป็นคนเห็นแก่ตัว ไม่มีน้ำใจ  รู้จักให้ทาน


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 11 เมษายน 2565, 15:53:06
มีดหมอ รุ่นแรก
ญาถานเบิ้ม อุตฺตโม บรมครูใหญ่สายธรรมอุตฺตโมบารมี
ผู้สืบทอด รุ่นที่ 3 ศิษย์แห่งปรมาจารย์ใหญ่หลวงปู่สำเร็จลุน
จำนวนการจัดสร้าง
1.มีดหมอ 12 นิ้ว มีฐาน 1 เล่ม 300,000 บาท
2.มีดหมอ 9 นิ้ว มีฐาน 8 เล่ม 100,000 บาท
3.มีดหมอ 5 นิ้ว มีฐาน 12 เล่ม
(กรณีจองใบเสมา 8 ใบใบละ 30,000 บาท
ใบปักเขต 4 ใบใบละ 10,000 บาท)
4.มีดหมอ 5 นิ้ว มีปลอก...ไม่มีฐาน 100 เล่ม 3,000 บาท
    วัถตุประสงค์การจัดสร้าง เพื่อใช้ในงานตัดหวานลูกนิมิตโบสถ์วัดวังม่วง ต.หนองสิม อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
    จุดประเด็นหลักคือสร้างให้ครูธรรมใช้ติดตัวประกอบพิธีกรรมอาคมต่างๆ เลยถือเอางานฉลองพระอุโบสถ์จัดสร้างมีดหมออาคม ในการปลุกเสกมีดหมอ รุ่กแรก จัดนิมนต์พระสงฆ์ จำนวน 100 รูป ปลุกเสก เป็นเวลา 3 คืน
มวลสารหลักในมีดหมออาคม มีดังนี้
1.ตะปู สังฆวานรใช้ตอกโบสถ์,วิหาร,พระธาตุเจดีย์
2.เหล็กน้ำพี้  
3.ยอดพระเสด็จฟ้าผ่า
4.ตะปูจากกองถ่านศพปรมาจารย์ใหญ่ต่างๆ
5.เหล็กฝาบาตรโบราณ
6.เหล็กช่อฟ้าอุโบสถ
7.แร่เหล็กในถ้ำต่างๆ
8.อุดมวลสารศักดิ์สิทธิ์ในด้ามมีด


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 27 เมษายน 2565, 12:04:29
ล็อกเก็ต ท้าวเวสสุวรรณ รุ่นแรก
จัดสร้างโดย สายธรรมอุตฺตโมบารมี
จำนวน 108 เหรียญ

ขนาด 3.2 เซนติเมตร

*ตะกรุดทองคำ 9 ดอก จำนวน 19 เหรียญ
*ตะกรุดทองคำ 3 ดอก จำนวน 19 เหรียญ
*ตะกรุดทองคำ 1 ดอก จำนวน 19 เหรียญ
*ตะกรุดเงินแท้ 1 ดอก จำนวน 51 เหรียญ

แผ่นทองท้าวเวสสุวรรณ
ตอกโค๊ตญาถ่านเบิ้มและโค๊ตตราสายธรรมอุตฺตโมบารมี
จำนวน 108 แผ่น

ตามตำนานพุทธศาสนา ท้าวเวสสุวรรณ ในอดีตชาติเป็นพราหมณ์ใจบุญ เปิดโรงงานหีบอ้อยจนร่ำรวย มักบริจาคเงินทองให้ผู้ยากไร้

ด้วยบุญกุศลที่ทำมาพระพรหมและพระอิศวรจึงให้พรเป็นอมตะ เป็นเจ้าของทรัพย์สมบัติทั่วปฐพี เป็นเทพแห่งความร่ำรวย ผู้คนจึงนิยมกราบไหว้บูชาท่าน

อีกตำนานหนึ่งเชื่อว่า ท่านเป็นกษัตริย์กรุงราชคฤห์ นามว่า “พระเจ้าพิมพิสาร” เป็นพระสหายของเจ้าชายสิทธัตถะ ต่อมาเจ้าชายสิทธัตถะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า

ก็มาโปรดพระเจ้าพิมพิสารจนบรรลุเป็นโสดาบัน ได้ถวายพระเวฬุวันมหาวิหารให้พระพุทธเจ้าเข้าประทับ เป็นอานิสงส์ให้ได้วิมานอันสวยงาม รวมถึงทรัพย์สมบัติมากมาย

คนโบราณมีความเชื่อกันว่า ผู้ใดห้อยบูชาท้าวเวสสุวรรณ จะบังเกิดโชคลาภมากมาย ร่ำรวยเงินทอง มีกินมีใช้ไม่ขาดแก้ปีชง เสริมปีชง เทพแห่งปีชง ป้องกันภัยจากสิ่งที่มองเห็นและมองไม่เห็น ป้องกันภูติ ผีวิญญาณต่างๆไม่กล้ามาทำอันตรายใดๆให้กับคนในครอบครัว ในร้านนั้นๆ เพราะภูติผีปีศาจ ยักษ์ เป็นบริวารท้าวเวสสุวรรณ คนมีลูกเพิ่งคลอด หรือมีเด็กเล็ก มักนิยมบูชาท้าวเวสสุวรรณ ตั้งไว้ตรงที่เด็กนอนหลับ เพราะมีความเชื่อว่าภูติผีปีศาจจะไม่กล้ามารบกวนเด็ก เพราะท้าวเวสสุวรรณเป็นผู้ปกครองแห่งภูติผีปีศาจนั่นเอง จึงแนะนำคนที่มีลูกอ่อน ลูกเล็ก หากชอบร้องไห้ตอนกลางคืน ไม่หลับไม่นอนเหมือนมีอะไรมารบกวนเด็ก และยังสามารถกันภูติผีปีศาจคุณไสย์มนต์ดำได้หมด

การบูชา ท้าวเวสสุวรรณ
วิธีบูชาท้าวเวสสุวรรณ ให้ทำในวันขึ้น 15 ค่ำ โดยจุดธูป 9 ดอก ดอกกุหลาบแดง 9 ดอก ตั้งนะโม 3 จบ ระลึกถึงคุณบิดา มารดา ครูบาอาจารย์ แล้วภาวนาคาถาบูชาท้าวเวสสุวรรณ

คาถาบูชาท้าวเวสสุวรรณ
อิติปิโส ภะคะวา ยมมะราชาโน ท้าวเวสสุวรรณโณ มะระณัง สุขัง อะหัง สุคะโต นะโม พุทธายะ ท้าวเวสสุวรรณโณ จาตุมะหาราชิกา ยักขะพันตาภัทภูริโต เวสสะ พุสะ พุทธัง อะระหัง พุทโธ ท้าวเวสสุวรรณโณ นะโม พุทธายะ

หากมีปัญหาเรื่องการเงิน การงาน โชคลาภ สามารถบนบานศาลกล่าวกับท้าวเวสสุวรรณได้เองที่บ้าน ถ้ามีผ้ายันต์ หรือองค์ลอย

ด้วยการอาบน้ำ แต่งกายให้สะอาดสุภาพ สมาทานศีล 5 สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัย พาหุง ชินบัญชร จุดธูป 9 ดอก พวงมาลัยดาวเรืองหรือดอกกุหลาบ 1 พวง ตั้งนะโม 3 จบ สวดคาถาบูชาท้าวเวสสุวรรณ 9 จบ

ข้อห้ามในการบูชาท้าวเวสสุวรรณ
1. ห้ามประพฤติตนไม่ดี ผิดศีล 5 จะทำให้การบูชาไม่ได้ผล

2. ไม่เป็นผู้ทำลายศาสนา ทั้งทางตรงทางอ้อม หรือยุยงให้สิ้นศรัทธาต่อศาสนา

3. ไม่ประกอบอาชีพ ไม่มีความสุจริต ฉ้อโกง เอาเปรียบผู้อื่น

4. ไม่เป็นคนเห็นแก่ตัว ไม่มีน้ำใจ  รู้จักให้ทาน


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 04 พฤษภาคม 2565, 09:55:45
เศียรบรมครูพ่อปู่ฤาษี 108 รุ่นแรก ยุคต้น ปี2553
ญาถานเบิ้ม อุตฺตโม บรมครูใหญ่สายธรรมอุตฺตโมบารมี

ประวัติการจัดสร้าง
เศียรบรมครูพ่อปู่ฤๅษี 108 ถือได้ว่าเป็นเศียรรุ่นแรกจริงๆ ในยุคต้น สร้างเมื่อปี 2553 โดยมีการจัดสร้างอยู่ 2 เนื้อ คือ เนื้อดินดำ และเนื้อดินแดง สร้างจำนวนไม่มาก วัตถุประสงค์คือสร้างแจกลูกศิษย์ที่มาช่วยงานในวัด นำไปติดตัว และทุกองค์ท่านได้สร้างด้วยการปั้มกดมือทีละองค์ ตามพิธีกรรมโบราณ มีจำนวนการจัดสร้างดังนี้
1.   เศียรบรมครูพ่อปู่ฤๅษี 108 เนื้อดินดำ      สร้างจำนวน    30    เศียร
2.   เศียรบรมครูพ่อปู่ฤๅษี 108 เนื้อดินแดง      สร้างจำนวน    29    เศียร
รวมทั้งหมด 59 เศียร

มวลสารหลักๆที่ใช้จัดสร้าง
        1.ดินกากยายักษ์ เชื่อกันว่า เป็นดินวิเศษ มีสีดำสนิท โดยเชื่อกันว่าดินกากยายักษ์นี้มีจิตวิญญาณของพวกยักษ์ อสูร ที่เป็นฝ่ายสัมมาทิฐิดูแลรักษาอยู่ อานุภาพของว่านดินกากยายักษ์นั้นดีทางแคล้วคลาด คงกระพันชาตรี โชคลาภ ป้องกันคุณไสย์มนต์ดำ กำเนิดธาตุมาคล้ายกับสายแร่ธาตุดิน นำมาเป็นมวลสารหลักที่ใส่เศียรบรมครูพ่อปู่ฤๅษี 108 เนื้อดินแดง สร้างจำนวน 30 เศียร
       2.ดินโป่งแดงจากอินเดียใต้โคนต้นพระศรีมหาโพธิ์ วัดพุทธคยา(ท่านได้จากสหธรรมมิกท่านประมาณหนึ่งกำมือ) นำมาเป็นมวลสารหลักที่ใส่เศียรบรมครูพ่อปู่ฤๅษี 108 เนื้อดินแดง สร้างจำนวน 29 เศียร
   3.ขี้เหล็กไหลจากถ้ำสกลนครนำมาบดเป็นผง
        4.ผงมวลสารของหลวงปู่ทวด วัดช้างให้
        5.กาฝากไม้มงคล 9 อย่าง 1.กาฝากรักซ้อน 2.กาฝากมะรุม 3.กาฝากมะยม 4.กาฝากมะขาม 5.กาฝากกาหลง 6.กาฝากขนุน 7.กาฝากยอ 8.กาฝากพยุง 9.กาฝากคูณ
        6.ผงแก่มขามฟ้าผ่า
        7.ผงแก้นงิ้วดำ ตัวผู้ ตัวเมียจากเขมร
        8.ผงเงินเมืองผีบังบด
        9.ผงช่องระอา
       10.งาช้างจากเขมร
       11.ผงกระดูกช้างจากบุรีรัมม์
       12.วานสายเสน่ห์
       13.วานสายเหนียว
       14.เม็ดต้นมณีโคตร.จากฝั่งลาว บดเป็นผง
       15.หอยพันปีจากบ้านสามแยกเมืองใหม่
       16.ผงพระสมเด็จแท้จากวัดระฆัง
       17.ผงกาลาตาเดียว
       18.ผงวาน108
       19.ผงพระลักษณ์ของหลวงกาหลง
       20.คำหมากฤาษีที่ยุในหิน ญาถ่านท่านนั่งเห็นแล้วให้ลูกศิษย์ไปทุบเอา      

ประวัติความเป็นมา
        พ่อแก่ หรือพระฤาษี ถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คนในแวดวงศิลปะแขนงต่างๆ ล้วนนิยมเคารพนับถือบูชา ถือกันว่าเป็นครูผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาต่างๆ ทั้งมวลแก่มนุษยชาติความเป็นมาของพ่อแก่ บางครั้งก็เรียกกันว่า ครูฤาษี หรือ"ตฺริกาลชฺญ" แปลว่า ผู้รู้กาลทั้งสาม ตามตำนานกล่าวไว้ว่า พระฤาษีมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 108 องค์ ปางเสมอเถรถือว่าเป็นปางที่มีฤทธิ์มากที่สุด บางตำราก็ว่าท่านมีนามว่า "พระฤษีนารท" บางตำราก็ว่าท่านมีนามว่า “พระปรคนธรรพ” ประวัติความเป็นมาทั้ง ในคัมภีร์ทางคติฮินดู ในตำราอินเดีย และตำรานาฏศิลป์ของไทยเรา ส่วนใหญ่ล้วนกล่าวตรงกันว่าท่านเป็น “บรมครู” แห่งนาฏศิลป์ และดุริยางค์ศิลป์ ผู้ที่จะบรรเลงดนตรี หรือรำฟ้อนล้วนต้องไหว้ครู หรือครอบครูมาก่อน และ “ครู” หรือที่พวกศิลปินเรียกขานว่า “พ่อแก่” นั้นก็คือพระฤษีนารท นี่เอง เชื่อถือกันว่า พระฤาษีนารอด เป็นครูของฤาษีทั้งปวง ทรงกำเนิดจากเศียรที่ ๕ ของพระพรมธาดา ทรงเพศเป็นฤาษี พระฤาษีนารอดถือว่าเป็นฤาษีองค์แรกของไตรภูมิ ไม่ว่าจะมีการบูชาสิ่งใด หากไม่มีการเชิญท่านแล้ว พิธีกรรมนั้นจะถือว่าไม่สมบูรณ์
       คนเราจะสามารถบุชาเศียรพ่อแก่ได้หรือไม่ เนื่องด้วยตำราทางโหราศาสตร์ และตำราทางเทววิทยา กล่าวไว้สอดคล้องกันว่า พระพฤหัสบดีถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้เป็นอาจารย์แห่งสรรพวิชาความรู้ทั้งมวล มีผู้กล่าวขานกันว่า " พ่อแก่หรือปู่ฤาษี ท่านจะเป็นผู้เลือกเจ้าของ " เมื่อถึงกาลเวลาอันควร บุญวาสนาปรากฏ จะนำพาท่านที่มีใจปรารถนาครอบครอง หัวโขนพ่อแก่หรือปู่ฤาษี...ท่านจะประสิทธิ์พรแก่ผู้บูชา ได้ครอบครอง บูชาหัวโขนหรือเศียรพ่อแก่หรือปู่ฤาษี อย่างแน่นอน

ตั้งนะโม ๓ จบ

     โอม ฦ ฦา ฤ ฤา นะมะ พะทะ จะภะ ทะสะ นะโม พุทธายะ

คาถาบูชาเศียรพ่อแก่หรือพ่อปู่

      อุกาสะ อิมัง อัคคีพาหูบุพผัง อะหังวันทา อาจาริยัง สัพพะสัยยัง วินาสสันติ สิทธิการิยะ อะปะระปะชา อิมัสมิง ภะวันตุเม
ทุติยัมปิ อิมัง อัคคีพาหูบุพผัง อะหังวันทา อาจาริยัง สัพพะสัยยังวินาสสันติ สิทธิการิยะ อะปะระปะชา อิมัสมิง ภะวันตุเม
ตะติยัมปิ อิมัง อัคคีพาหูบุพผัง อะหังวันทาอาจาริยัง สัพพะสัยยัง วินาสสันติ สิทธิการิยะ อะปะระปะชาอิมัสมิง ภะวันตุเม

      เมื่อท่านได้ทำการบูชาเศียรพ่อแก่มาแล้วมีหลักปฏิบัติดังนี้
การบูชาในครั้งแรก (อัญเชิญพ่อแก่หรือปู่ฤาษี)
      ๑. ควรเริ่มบูชาในวันพฤหัสบดี (วันครู) สำหรับบุคคลธรรมดาทำเหมือนไหว้พระทุกอย่างแต่ต่างกันตรงที่ ใช้ธูป ๙ ดอก แต่สำหรับผู้มีองค์เทพสายญาณต่างๆ ครูพระฤาษีท่านว่าดังนี้ กำหนดครั้งแรก ธูป ๓๖ ดอก ครั้งต่อไป ๑๖ ดอกครับ สำคัญที่สุด คือ จิตที่มีศรัทธา เชื่อมั่น ไม่สงสัย ในพ่อแก่หรือปู่ฤาษี
 
***หากท่านมีใจอยากจะถวายของไหว้ พ่อแก่หรือปู่ฤาษี มีดังนี้
พวงมาลัย ๑ พวง หรือดอกไม้ ๑ กำ หมากพลู ๕ คำ บุหรี่ ๕ มวน กล้วย ๑ หวี น้ำร้อน น้ำชา กาแฟ หรือผลไม้ตามฤดูกาล สำหรับอาหารคาวหวานต่างๆ ตามสมควรไม่เจาะจง
สำหรับบางท่านเป็นพิธีใหญ่ เงินกำนัลครู ขั้นต่ำ 6 บาท 12บาท หรือ19 บาท นี่คือเงินกำนัลครูเทพครูปู่ฤาษี สำหรับใส่ลงในพานครูรวมในพิธีไหว้ครู บายศรีปากชาม หนึ่งคู่ครับ เงินส่วนนี้ไม่เกี่ยวกับเงินช่วยงานเจ้าภาพครับ อาจมีการจัดเครื่องกระยาบวชทั้งห้าไว้ด้วยดังนี้คือ
๑.กล้วยบวชชี ๒.ฟักทองแกงบวช ๓.เผือกแกงบวช ๔.มันแกงบวช ๕.ขนมบัวลอย เป็นต้น

คนวันทั้งเจ็ดเหมาะกับการบูชาพ่อแก่องค์ต่างๆดังนี้
1.1คนวันอาทิตย์บูชาปู่ฤาษีตาไฟ จะช่วยเสริมยศและฐานะให้รุ่งเรื่อง
1.2 คนวันจันทร์บูชาปู่ฤาษีนารอด จะช่วยเสริม เสน่ห์เมตตาให้คนรักใคร่
1.3 คนวันอังคารบูชาปู่ฤาษีพระนารายณ์ จะช่วยเสริม อำนาสวาสนา
1.4 คนวันพุธบูชาปู่ฤาษีพระพิคเณศ จะช่วยเสริม ความคิดและสติปัญญา ในการทำมาหากิน
1.5 คนวันพฤหัสบดีบูชาปู่ฤาษีประไลยโกติ จะช่วยเสริม ตะบะบารมีให้ศัตรูเกรงกลัว
1.6 คนวันศุกร์บูชาปู่ฤาษีพรหมมา จะช่วยเสริม ทรัพย์และเสน่ห์ ให้มีมากมาย
1.7 คนวันเสาร์บูชาปู่ฤาษีสิงห์ดาบถ จะช่วยเสริม ตะบะบารมีให้ศัตรูเกรงกลัว
1.8 คนวันพุธกลางคืนบูชาปู่ฤาษีเพชรฉลูกัน ทรัพย์และเสน่ห์ ให้มีมากมาย



หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 04 มิถุนายน 2565, 17:31:08
เศียรฤาษีพ่อปู่เจ้าสมิงพราย

ประวัติการจะสร้างโดยนำเอาผงไม้มณีโครต 70 % มาเป็นมวลสารหลักหายาก

ปีการจัดสร้าง 2561
วัตถุมงคลเพื่อแจกในงานไหว้ครูธรรม ปี 2561
จำนวนการจัดสร้าง
1.เศียรฤาษีพ่อปู่เจ้าสมิงพราย พิเศษ 9 เศียร
2.เศียรฤาษีพ่อปู่เจ้าสมิงพราย หลับเรียบ 108 เศียร

มวลสารหลักที่ใช้
1.ขี้เหล็กไหลจากถ้ำสกลนครนำมาบดเป็นผง
2.ผงมวลสารของหลวงปู่ทวด วัดช้างให้
3.กาฝากไม้มงคล 9 อย่าง 1.กาฝากรักซ้อน 2.กาฝากมะรุม 3.กาฝากมะยม 4.กาฝากมะขาม 5.กาฝากกาหลง 6.กาฝากขนุน 7.กาฝากยอ 8.กาฝากพยุง 9.กาฝากคูณ
4.ผงแก่มขามฟ้าผ่า
5.ผงแก้นงิ้วดำ ตัวผู้ ตัวเมียจากเขมร
6.ผงเงินเมืองผีบังบด
7.ผงช่องระอา
8.งาช้างจากเขมร
9.ผงกระดูกช้างจากบุรีรัมม์
10.วานสายเสน่ห์
11.วานสายเหนียว
12.เม็ดต้นมณีโคตร.จากฝั่งลาว บดเป็นผง
13.หอยพันปีจากบ้านสามแยกเมืองใหม่
14.ผงพระสมเด็จแท้จากวัดระฆัง
15.ผงกาลาตาเดียว
16.ผงวาน108
17.ผงพระลักษณ์ของหลวงกาหลง
18.คำหมากฤาษีที่ยุในหิน ญาถ่านท่านนั่งเห็นแล้วให้ลูกศิษย์ไปทุบเอา
19.ผงไม้มณีโครต

พ่อปู่ฤาษีเจ้าสมิงพรายในฐานะบรมครูด้านเสน่ห์ ด้านภูตพราย มาเจาะลึกประวัติของปู่จากวรรณคดี เรื่องพระลอพูดถึงการที่พระธิดาต้องการทำเสน่ห์พระลอแต่การจะทำเสน่ห์พวกเจ้าเมืองนั้นยากมากเพราะที่เมืองจะมีทั้งพระเสื้อเมือง เทวดาคุ้มเมือง และหมอยาเก่งๆในวังมากมาย พระธิดาจึงต้องหาหมอที่มือแน่ที่สุดในการทำเสน่ห์ ในที่สุดก็ใด้ปู่เจ้าสมิงพรายเป็นผู้ทำสำเร็จ

ปู่เจ้าสมิงพราย มีลักษณะดังนี้ ไม่ผอม ไม่อ้วน ไม่หนุ่ม ไม่แก่ คิ้วสวย ตาสวยปากสวยและมีชีวิตอยู่มาถึงกัลป์แล้ว แต่ลักษณะทุกอย่างของท่านล้วนแต่พอดีไปหมด คงจัดว่าเป็นชายงาม ขนาดพระธิดายังชื่นชมเลยเมื่อพระเพื่อนพระแพงเจอท่าน จะขอให้ท่านทำของให้แล้วจะให้แก้วแหวนเงินทอง วัวควาย ท่านไม่รับท่านบอกว่าเป็นระดับเทพแล้วจึงไม่ต้องการ ท่านรับไว้แต่หมากที่พระธิดานำไปถวาย

การทำเสน่ห์ของปู่  ในครั้งแรก ท่านเอาไม้เลี้ยง ไม้ไล่ ไม้ไผ่ มาไขว้เป็นลูกกลมๆคล้ายตะกร้อ เขียนรูปพระลออยู่ตรงกลาง เขียนรูปพระนางทั้ง2กอดคนละข้างและเขียนยันต์เป็นขอบ และกวักมือไปที่ยอดต้นยางใหญ่7คนโอบ ยอดต้นยางค้อมมาหาปู่ ท่านเอาลูกตะกร้อลงยันต์นั้นวางบนยอดยางและปล่อยให้ดีดออกไปตามลมถูกพระลอ หลังจากนั้นพระลอก็เพ้อคลั่งอยากไปหาพระเพื่อนพระแพง เสด็จพ่อเห็นท่าไม่ดี รู้ว่าลูกโดนของ จึงไปหาหมอหายาดีทั่วสารทิศมารักษา ในที่สุดครั้งแรกคณะแพทย์หลวง ก็สามารถแก้ใด้

เมื่อปู่เจ้าท่านรู้ดังนั้นก็เอาใหม่ คราวนี้เปลี่ยนเป็น เอาธงสามชายมา เขียนยันต์ลงไปมากกว่าเก่า แล้วใช้ต้นตะเคียนขนาด9คนโอบ โน้มลงมาแล้วดีด ธงสามชายนั่นไป ถูกพระลอเป็นครั้งที่สอง คราวนี้พระลอเพ้อคลั่งยิ่งกว่าครั้งเก่า หมอเก่งในเมืองต่างจนปัญญากัน จึงต้องไปเชิญหมอชื่อ ปู่หมอสิทธิไชย ซึ่งอาศัยอยู่ในป่าชานเมืองมารักษา ปู่หมอทำพิธีเชิญบารมีครูบาอาจารย์และเทพในเมืองมารักษา ในที่สุดก็ช่วยถอนใด้เป็นครั้งที่สอง

เมื่อปู่เจ้าเห็นดังนั้น ท่านจึงคิดจัดการให้แตกหัก  ท่านจึงเชิญเทวดาและผีพรายต่างๆมาเป็นกองทัพ เพื่อจะบุกเข้าไปสู้กับเทวดาที่รักษาเมืองสรอง  บรรดาเทพและพรายที่มาช่วยปู่เจ้าต่างขี่เสือ สิงห์ แรด และสัตว์ดุร้ายต่างๆมากมาย ตามความบทนี้

๑๔๔ ปู่รำพึงถึงเทพดา หากันมาแต่ป่า มาแต่ท่าแต่น้ำ มาแต่ถ้าคูหา ทุกทิศมานั่งเฝ้า พระปู่เจ้าทุกตำบล ตนบริพารทุกหมู่ ตรวจตราอยู่ทุกแห่ง ปู่แต่งพระพนัสบดี ศรีพรหมรักษ์ยักษกุมาร บริพารภูตปีศาจ ดาเดียรดาษมหิมา นายกคนแลคน ตนเทพผู้ห้าวท้าวผู้หาญ เรืองฤทธิ์ชาญเหลือหลาย ตั้งเป็นนายเป็นมุล ตัวขุนให้ขี่ช้าง บ้างขี่เสือขี่สีห์ บ้างขี่หมีขี่หมู บ้างขี่หมูขี่เงือก ขี่ม้าเผือกผันผาย บ้างขี่ความขี่แรด แผดร้องก้องน่ากลัว ภูตแปรตัวหลายหลาก แปรเป็นกากภาษา เป็นหัวกาหัวแร้ง แสร้งเป็นหัวเสือหัวช้าง เป็นหัวกวางหัวฉมัน ตัวต่างกันพันลึก ละคึกกุมอาวุธ เครื่องจะยุทธ์ยงยิ่ง เต้นโลดวิ่งระเบง คุกเครงเสียงคะครื้น ฟื้นไม้ไหล้หินผา ดาดผาดเผ้ง ระเร้งร้องก้องกู่เกรียง เสียงสะเทือนธรณี เทียบพลผีเสร็จสรรพ ปู่ก็บังคับทุกประการ จึ่งบอกสารอันจะใช้ ให้ทั้งยามนตร์ดล บอกทั้งกลอันจะทำ ให้ยายำเขาเผือด มนตราเหือดหายศักดิ์ ให้อารักษ์เขาหนี ผีเขาแพ้แล้วไซร้ กูจึ่งจะใช้สลาเหิร เดิรเวหาไปสู่ เชิญพระภูธรท้าว ชักมาสู่สองหย้าว อย่าคล้าคำกู สั่งนี้ ฯ

ในที่สุดกองทัพของปู่ก็บุกไปสู้กับกองทัพของพระเสื้อเมืองสรอง และเอาชนะพระเสื้อเมืองใด้ ผีป่าต่างบรรดาลให้เกิดอาเพศทั่วเมืองสรวง ฟ้าผ่า ฟ้าเหลือง เกิดเมฆหมอก  ปู่หมอสิทธิไชยเห็นดังนั้นก็ถอดใจทันที ทูลพระราชาไปตามตรงว่าไม่สามารถสู้กับปู่เจ้าใด้เลยหยูกยาทั้งหลายก็ถูกบริวารปู่เจ้าถอนเสื่อมไปหมด หลักจากที่ใด้ชัยชนะทางผีแล้ว ปู่เจ้าท่านก็เสกหมากเป็นแมลงภู่บินเข้าไปในวังตกลงในเชี่ยนหมาก(วิชานี้ในเรื่องเรียกสลาเหินครับ) พระลอเสวยหมากคำนั้นเข้าไปก็ใด้เรื่อง เกิดอาการคุ้มคลั่งจะออกป่าให้ใด้ แม้แต่ หมอสิทธิไชยก็ไม่สามารถช่วยใด้แล้ว เพราะเทวดาประจำเมืองหนีไปหมดแล้ว ในที่สุดพระบิดามาร ห้ามไม่ไหว และในที่สุดพระลอก็ออกป่าไป ในที่สุด  นี่แหละครับเป็นเรื่องส่วนหนึ่งของปู่เจ้าสมิงพรายจากเรื่องพระลอท่านจึงถือเป็นบรมครูด้านเสน่ห์และภูตพราย ขอบารมีของท่านปกป้องทุกท่านครับ


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 09 กรกฎาคม 2565, 18:42:20
การสืบทอดจนกลายเป็นสายธรรมอุตฺตโมบารมี
1.องค์ต้นปรมาจารย์ใหญ่สมเด็จพระเจ้าสังฆราชาสัทธรรมโชตนาญาณวิเศษ (เจ้าราชครูหลวงโพนสะเม็ก) พ.ศ. 2174-2264
2.ปรมาจารย์ใหญ่พระครูพรหมา (เจ้าอาวาสพระธาตุพนม องค์ที่ 4) ผู้เก็บรักษาตำราใบลานของเจ้าราชครูหลวงโพนสะเม็ก พ.ศ. 2335 – ๒๔๑๐
3.ปรมาจารย์ใหญ่ญาถ่านอุตตมะ (อุปัชญาย์สำเด็จลุน มีศักดิ์เป็นหลวงอา และเป็นผู้ก่อตั้งสายอุตฺตมะอุตฺตโม ปัจจุบันได้เปลี่ยนเป็น สายธรรมอุตฺตโมบารมี เริ่มไหว้ครูธรรมใหญ่ครั้งแรก ปี 2405) ท่านได้ธุดงค์เพื่อไปกราบพระธาตุพนม จากนั้นจึงเข้าไปกราบพระครูพรหมา เพื่อได้ขอศึกษาตำราใบลาน พ.ศ. 2345-2395
4.ปรมาจารย์ญาถานสมเด็จลุน พระผู้ทรงอภิญญาแห่งประเทศลาว พ.ศ.๒๓๗๙ – ๒๔๖๓
5.บรมครูใหญ่ญาถ่านสว่าง โพธิญาโณ  ผู้สืบทอดรุ่นที่ 1 (ผู้รับมอบเกศา อัฐิ ตำราใบลานสำเร็จลุน จากญาถ่านสำเด็จตัน)พ.ศ.๒457-2553
6.บรมครูใหญ่ญาถ่านทา นาควัณโณ  ผู้สืบทอดรุ่นที่ 2 (ผู้สืบทอดจากญาถ่านตู๋ ผู้เป็นศิษย์ญาถ่านสว่าง โพธิญาโณ )พ.ศ. 2475 – ปัจจุบัน
7.บรมครูญาถ่านเบิ้ม อุตฺตโม ผู้สืบทอดรุ่นที่ 3 พ.ศ. 2510 – ปัจจุบัน


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 10 กรกฎาคม 2565, 15:21:30
จุดเริ่มต้นสายธรรมอุตฺตโมบารมี

      พระไชยเชษฐาธิราชที่ 2 หรือ พระไชยองค์เว้ ประสูติ พ.ศ.2228 เป็นพระราชโอรสของเจ้าชมพู ที่ถูกเนรเทศไปอยู่เมืองเว้
พระองค์ได้ครองราชย์สมบัติ เมื่อ พ.ศ. 2245 ทรงตั้งให้เจ้าองค์ลอง พระอนุชาต่างบิดาเป็นอุปราชและไปครองเมืองหลวงพระบาง
และอัญเชิญพระบางมาประดิษฐานที่เวียงจันทน์
      ต่อมาใน พ.ศ. 2249 เจ้ากิ่งกิสราชซึ่งเป็นพระโอรสของเจ้าราชบุตร และเป็นหลานปู่ของพระเจ้าสุริยวงศาธรรมิกราช
ที่ลี้ภัยไปอยู่สิบสองปันนากับเครือญาติฝ่ายพระมารดา ได้ยกทัพลงมาตีเมืองหลวงพระบาง เจ้าลองสู้ไม่ได้ แตกพ่ายลงมาเวียงจันทน์
เจ้ากิ่งกิสราชยกทัพตามลงมาที่เวียงจันทน์ พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ 2 จึงขอกองทัพจากกรุงศรีอยุธยามาช่วย
      สมเด็จพระเพทราชา กษัตริย์กรุงศรีอยุธยาในขณะนั้น ได้ยกทัพขึ้นมาและไกลเกลี่ยให้ทั้งสองฝ่ายประนีประนอมกัน
โดยให้แบ่งเขตแดนระหว่างหลวงพระบางกับเวียงจันทน์ ให้เจ้ากิ่งกิสราชครองหลวงพระบาง ให้พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ 2 ครองเวียงจันทน์
ทั้งสองกษัตริย์ตกลงแบ่งเขตแดนกันโดยใช้แม่น้ำเหืองเป็นแดนทางฝั่งขวา ทางฝั่งซ้ายใช้เทือกเขาภูชนะคามเป็นเขตแดน
แคว้นสิบสองจุไทกับหัวพันห้าทั้งหกขึ้นกับหลวงพระบาง แคว้นเชียงขวางและแคว้นที่อยู่ใต้ลงมาให้ขึ้นกับเวียงจันทน์ การแบ่งเขตแดนนี้เกิดขึ้นใน พ.ศ. 2250
      หลังจากสิ้นสุดสงครามกับพระเจ้ากิ่งกิสราช พระองค์ได้เร่งปรับปรุงการปกครองหัวเมือง ส่งคนที่ไว้ใจได้ไปปกครองเมืองที่สำคัญ
ทำให้กลุ่มของ องค์ที่ 1 พระครูยอดแก้วโพนสะเม็ก ต้องอพยพลงใต้ไปหาที่มั่นใหม่ ในที่สุดได้ไปตั้งมั่นที่เมืองจำปาศักดิ์ และแยกตัวเป็นอิสระจากเวียงจันทน์ใน พ.ศ. 2256 ในสมัยนี้ยังมีการบูรณปฎิสังขรณ์พระธาตุพนมศึกษาเล่าเรียน
จนกลายเป็นแหล่งเรียนรู้ในสมัยนั้นเรื่อยมาจนถึง พ.ศ.2280
      ต่อมา พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ 2 ครองราชย์จนถึง พ.ศ. 2273 จึงสิ้นพระชนม์ จากนั้น เจ้าลองพระอนุชาได้ขึ้นครองราชย์สืบแทน
      องค์ที่ 2 เจ้าองค์ลอง (สวรรคตใน พ.ศ. 2283) เป็นเจ้าผู้ครองอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์ ลำดับที่ 2 (พ.ศ. 2273 – 2283) พระราชโอรสในพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ 2
      องค์ที่ 3 พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ 3 หรือ พระเจ้าศิริบุญสาร เป็นเจ้าผู้ครองอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์ ลำดับที่ 4 (พ.ศ. 2294 - พ.ศ. 2322) พระราชโอรสในเจ้าองค์ลอง, เสียเอกราชแก่สยามในปี พ.ศ. 2322
      องค์ที่ 4 พระเจ้านันทเสน เป็นเจ้าผู้ครองอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์ ลำดับที่ 5 (พ.ศ. 2325 - พ.ศ. 2337) พระราชโอรสในพระเจ้าศิริบุญสาร
      องค์ที่ 5 พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ 4 หรือ พระเจ้าอินทวงศ์ เป็นเจ้าผู้ครองอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์ ลำดับที่ 6 (พ.ศ. 2337 - พ.ศ. 2348) พระราชสมภพเมื่อใดไม่ปรากฏ และสวรรคตเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2348 ทรงเป็นพระราชอนุชาในพระเจ้านันทเสน, พระบรมอัยกาธิราชในสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดี ในรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
      ต่อมาพระธรรมราชาเจ้าเมืองศรีโคตรบูรณ์องค์สุดท้าย ได้ย้ายเมืองมาตั้งบนฝั่งขวา (ฝั่งไทย) เยื้องเมืองเก่าไปทางเหนือแล้วขนานนามเมืองใหม่ว่า เมืองนคร
จากนั้นมีการโยกย้ายชุมชนเมืองอีกหลายครั้ง พ.ศ.2321 ในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ได้มีการย้ายเมืองมาตั้งที่บ้านหนองจันทร์
ห่างขึ้นไปทางเหนือ 52 กิโลเมตร ในปี พ.ศ. 2333 รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
เมืองนครก็ได้ขอขึ้นตรงต่อกรุงเทพมหานคร โดยพระองค์ทรงพระราชทานนามใหม่ขึ้นว่า นครพนม ชื่อนครพนมนั้น
      ต่อมา วัดพระธาตุพนม จึงได้มีเจ้าอาวาสนาม องค์ที่ 6 พระครูพรหมา (เจ้าอาวาสพระธาตุพนม องค์ที่ 4) ผู้เก็บรักษาตำราใบลานของเจ้าราชครูหลวงโพนสะเม็ก พ.ศ. 2335 – 2410
      หลังจากนั้น องค์ที่ 7 ปรมาจารย์ใหญ่ญาถ่านอุตตมะ ในราวปี 2335 (อุปัชญาย์สำเด็จลุน มีศักดิ์เป็นหลวงอา และเป็นผู้ก่อตั้งสายอุตฺตมะอุตฺตโม ปัจจุบันได้เปลี่ยนเป็น สายธรรมอุตฺตโมบารมี เริ่มไหว้ครูธรรมใหญ่ครั้งแรก ปี 2405) ท่านได้ธุดงค์เพื่อไปกราบพระธาตุพนม จากนั้นจึงเข้าไปกราบพระครูพรหมา เพื่อได้ขอศึกษาตำราใบลาน
      ต่อมาปรมาจารย์ใหญ่ญาถ่านอุตตมะ ได้ย้ายมาจากฝั่งขวาแม่น้ำโขง มาสร้างวัดสิงหาญ ราว พ.ศ.2345 โดยญาท่านอุตตะมะ (อุต) เป็นผู้ก่อตั้ง มีความเป็นมากล่าวคือ ญาถ่านอุตตะมะ ได้ย้ายมาจาก ฝั่งขวาแม่น้ำโขงไม่ทราบได้ว่าบ้านใหน ได้บวชเป็นพระและได้เดินทางมาบ้านสะพือ ชาวบ้านจึงได้นิมนต์ท่านให้อยู่จำพรรษที่บ้านสะพือ ญาถ่านอุต ท่านจึงได้บอกว่าถ้าจะให้จำพรรษอยู่ที่บ้านสะพือนี้ ก็จะเอาพ่อแม่มาด้วย ชาวบ้านจึงได้ตกลง ท่านจึงอพยพครอบครัวมา ตั้งถิ่นฐานอยู่ที่บ้านสะพือ ชาวบ้านได้จัดสรรที่ทำมาหากินให้มีไร่นาสวนพออยู่พอกิน ส่วนญาถ่านอุตนั้นได้ตั้งสำนักสงฆ์ ขึ้นอยู่ที่ป่าทางทิศให้ห่างจากหมู่บ้านประมาณ 1 กิโลเมตร ชื่อ "วัดศรีสุมัง"  ( ปัจจุบันได้ขุดเป็นสระน้ำสาธารณะ ชาวบ้านเรียก สระโนนวัด เพราะเคยเป็นวัดมาก่อน ) แต่ชาวบ้านเห็นว่าการนำภัตราหารเช้า,เพลไปถวายลำบาก เนื่องจากอยู่ไกลหมู่บ้าน จึงได้ย้ายวัดมาตั้งใหม่ที่ริมหมู่บ้านทางทิศใต้ (ที่ตั้งวัดในปัจจุบัน) ชาวบ้านได้ช่วยกันถากถาง สร้างกุฎิให้พระอยู่อาศัย ญาถ่านอุต จึงได้ย้ายมาจำพรรษาอยู่ที่นี่ ราว พ.ศ.2345 เรียกชื่อวัดนี้ว่า "วัดสิงหาญ" จนถึงปัจจุบัน
      หลังจากนั้นองค์ที่ 8 ปรมาจารย์ญาถ่านสำเร็จลุน อุปสมบทเป็นพระรุ่นราวคราวเดียวกันกับ “หลวงปู่สีดา” ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ของหลวงปู่โทน โดยมี “ปรมาจารย์ใหญ่ญาถ่านอุตตมะ” แห่งวัดสิงหาญ บ้านสะพือ ตำบลสะพือ อำเภอตระการพืชผล ซึ่งมีศักดิ์เป็น หลวงอาของปรมาจารย์ญาถ่านสำเร็จลุน ได้นำหลานชายชื่อ ลุน มาอุปสมบทและให้ศึกษาเล่าเรียนอักษรสมัย ทั้งอักษรขอมและอักษรธรรม พระธรรมวินัยการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานควบคู่กันไป รวมทั้งหลวงปู่สีดาและลูกศิษย์อื่น ๆ ด้วย
      ปรมาจารย์ใหญ่ญาถ่านอุตตมะ ถือว่าเป็นพระปรมาจารย์ใหญ่รุ่นแรกในสมัยนั้น เชื่อถือกันว่าเป็นผู้เรืองฤทธิ์ มีตำรายา ตำราเวทมนต์ คาถาอาคม มีวัตรปฏิบัติที่น่าเคารพเลื่อมใสมาก ท่านปรมาจารย์ใหญ่ญาถ่านอุตตมะ เป็นผู้หนึ่งที่ได้รับการศึกษาตำราใบลาน จากพระครูพรหมา เจ้าอาวาสพระธาตุพนม องค์ที่ 4 ผู้เก็บรักษาตำราใบลานของเจ้าราชครูหลวงโพนสะเม็ก ซึ่ง “หลวงปู่โทน” ก็ได้สืบทอดสรรพวิชาเหล่านี้มาส่วนหนึ่ง ปรมาจารย์ใหญ่ญาถ่านอุตตมะสังเกตลูกศิษย์คนสำคัญทั้งสองว่ามีวัตรปฏิบัติแตกต่างกัน โดยที่หลวงปู่สีดามีความขยันขันแข็ง ช่วยกิจการงานวัดทุกอย่างมิได้ขาด
     ต่อมาศิษย์รุ่นแรกจะ เรียกว่า สายอุตฺตมะอุตฺตโม ความเป็นมาพิธีกรรมไหว้ครูธรรมใหญ่สายอุตฺตมะอุตฺตโม ในทุกปีจะมีการทำพิธีกรรมไหว้ผีไท้หรือผีเชื่อสาย พร้อมกับพิธีไหว้ครูธรรมใหญ่ที่ต้องจัดขึ้นทุกปี ญาถ่านสว่าง โพธิญาโณ เล่าว่า ญาถ่านสำเร็จตัน บอกกับท่านว่า พิธีกรรมไหว้ครูธรรมใหญ่เท่าที่ท่านจำได้ว่า น่าจะเริ่มมีการจัดในสมัยที่ปรมาจารย์ใหญ่ญาถ่านอุตตมะ ผู้เป็นอาจารย์ของสำเร็จลุน เจ้าอาวาส วัดสิงหาญ ต.สะพือ อ.ตระการพืชผล จ.อุบลราชธานี พ.ศ.2345-2395 ก่อนท่านมรณะ 10 ปี ก็จะอยู่ในช่วงปี พ.ศ.2405 และเป็นช่วงของญาถ่าน(สำเร็จ)สีดา เจ้าอาวาส พ.ศ.2395-2450 เพราะญาถ่านสำเร็จตัน  จำได้ว่าตรงกับวันสำคัญ คือ วันพระราชสมภพ เจ้าแก้วนวรัฐ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่องค์ที่ 9 แห่งราชวงศ์ทิพย์จักราธิวงศ์ (เจ้าเจ็ดตน) ซึ่งเป็นองค์สุดท้ายแห่งนครเชียงใหม่ พ.ศ.2405 จะอยู่ในช่วงนี้ ดังนั้นการหาวันพิธีกรรมไหว้ครูธรรมใหญ่ปีนั้นจึงมีความง่ายมาก เพราะครูบาอาจารย์ได้ให้ลูกศิษย์ใช้ วันที่ขึ้น 3 ค่ำ เดือนสาม ของทุกปีจัดพิธีกรรมไหว้ครูธรรมใหญ่ จึงสามารถสรุปวันพิธีกรรมไหว้ครูธรรมใหญ่ ทั้งแรกคือ วัน อาทิตย์ ที่ 2 เดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ.2405 ขึ้น ๓ ค่ำเดือนสาม(๓) ปีระกา นับจากนั้นมาจึงเริ่มมีการทำพิธีไหว้ครูธรรมใหญ่อย่างเป็นทางการ
     ส่วนองค์ที่ 9 ญาถ่านสว่าง โพธิญาโณ ได้เล่าให้ลูกหลานฟังว่า สมัยนั้นท่านยังไม่ข้ามมาฝังไทย ยังธุดงปฏิบัติกรรมฐานตามป่าเขาในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เพื่อไปฝากตัวเล่าเรียนอาคมกับปรมาจารย์ญาถ่านสำเร็จลุน ราวปี พ.ศ.2443 จึงมีโอกาสได้เจอกับหลวงปู่จันทร์หอม สุภาทโร ผู้เป็นหลานของญาถ่านสำเร็จตัน  ต่อมาญาถ่านสว่าง โพธิญาโณ ก็ได้ฝากตัวเป็นศิษย์ปรมาจารย์ญาถ่านสำเร็จลุน หลังจากนั้นท่านจึงให้ญาถ่านสำเร็จตัน ทำหน้าที่เป็นพระพี่เลี้ยงดูแลการศึกษาตำรายา ตำราเวทมนต์ คาถาอาคม ต่างๆ ร่วมกับหลวงปู่จันทร์หอม สุภาทโร จนศึกษาจบทุกอย่าง ญาถ่านสว่าง โพธิญาโณจึงขอเดินทางออกธุดงไปยังที่ต่างๆ
     หลังจากนั้นปรมาจารย์ญาถ่านสำเร็จลุน ขณะจำพรรษาที่วัดเวินไซ บ้านเวินไซ เมืองโพนทอง แขวงนครจำปาศักดิ์ ประเทศลาว ได้อาพาธหนักแล้วได้มรณภาพในปี พ.ศ.2463 ต่อมาญาถ่านสำเร็จตัน จึงแจ้งข่าวงานศพปรมาจารย์ญาถ่านสำเร็จลุนไปยังญาถ่านสว่าง โพธิญาโณ ท่านก็ได้เดินทางมาร่วมงานจนเสร็จ ญาถ่านสำเร็จตัน จึงได้แบ่งเกษา อัฐิ บ้างส่วนให้ญาถ่านสว่าง โพธิญาโณติดตัว ต่อมาญาถ่านสว่าง โพธิญาโณได้เดินทางข้ามมาฝั่งประเทศไทยในปี พ.ศ.2513 มาอยู่ที่วัดสนามชัย ได้นำเอาตำราใบลานที่ได้รับการคัดลอกจากปรมาจารย์ญาถ่านสำเร็จลุน ข้ามมายังฝั่งไทยด้วย หลังจากนั้นไม่นานเกิดปัญหาภายในประเทศลาวเมื่อ พ.ศ.2518 พี่น้องทางประเทศลาวจึงข้ามมาฝังไทยเป็นจำนวนมาก
     ต่อมาเมื่อพี่น้องลูกศิษย์ที่เล่าเรียนสายอุตฺตมะอุตฺตโม รู้ข่าวว่าญาถ่านสว่าง โพธิญาโณ มาจำพรรษาอยู่อำเภอเขมราฐ ก็ต่างพากันกราบนมัสการ แล้วปรึกษาเรื่องการจัดงานไหว้ครูธรรมใหญ่ให้ต่อเนื่อง ต่อมาญาถ่านสว่าง โพธิญาโณ ท่านไม่ต้องการให้นำเอาชื่อ ปรมาจารย์ใหญ่ญาถ่านอุตตมะ มาเป็นชื่อเรียกใน สายอุตฺตมะอุตฺตโม จึงให้ตัดคำว่า อุตฺตมะ ออกจากคำเรียก ให้เปลี่ยนเป็นชื่อ สายธรรมอุตฺตโมบารมี ในราวปี พ.ศ.2529 นับจากนั้นมาจึงใช้ชื่อ สายธรรมอุตฺตโมบารมี ตลอดมา
     เมื่อญาถ่านสว่าง โพธิญาโณ เริ่มมีอาการป่วย จึงได้มอบตำราใบลานให้ฆราวาสครูธรรมใหญ่รินทอง สนธิหา ผู้สืบทอดรุ่นที่ 1 ได้ดูแลเก็บรักษาต่อไป ให้ศิษย์รุ่นต่อไปได้ศึกษาเล่าเรียนไม่ให้สูญหาย และมอบเกษา อัฐิ ปรมาจารย์ญาถ่านสำเร็จลุน ไว้ด้วย หลังจากนั้นคณะครูธรรมใหญ่จึงอันเชิญ ญาถ่านทา นาควัณโณ เป็นผู้สืบทอดรุ่นที่ 2 เมื่อญาถ่านทา นาควัณโณ ต่อมาฆราวาสครูธรรมใหญ่รินทอง สนธิหา ผู้สืบทอดรุ่นที่ 1 ได้ถึงแก่กรรม ทางคณะศิษย์จึงเชิญฆราวาสครูธรรมใหญ่ทองพลู กอมณี ขึ้นเป็นผู้สืบทอดรุ่นที่ 2 เมื่อครูธรรมใหญ่ทองพลู กอมณี  
      ต่อมาเมื่อปี พ.ศ.2558 องค์ที่ 9 ญาถ่านทา นาควัณโณ เป็นผู้สืบทอดรุ่นที่ 2 และฆราวาสครูธรรมใหญ่ทองพลู กอมณี ผู้สืบทอดรุ่นที่ 2 เริ่มแก่ชราจึงได้มอบหมายให้ องค์ที่ 10 ญาถ่านเบิ้ม อุตฺตโม เป็นผู้สืบทอดเป็นรุ่นที่ 3 พร้อมฆราวาสครูธรรมใหญ่เวด สีจันทะวง ขึ้นเป็นผู้สืบทอดรุ่นที่ 3 จนถึงปัจจุบัน
  


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 07 สิงหาคม 2565, 14:45:09
พระแสงดาบอุตฺตโมบารมี
เป็นศาสตราคู่บารมี ที่มีความสำคัญในการเตรียมเครื่องประกอบในพิธีพุทธาภิเษก พิธีกรรมบวงสรวงต่างๆ เห็นพระแสงซึ่งถือเป็นยุทธภัณฑ์อันมีความศักดิ์สิทธิ์ ที่มีความต่อเนื่องมาอย่างยาวนาน โดยยุทธภัณฑ์ที่มีความสำคัญในฐานะหนึ่งในเครื่องเบญราชกกุธภัณฑ์ คือ พระแสงขรรค โดยพระขรรค์ หมายถึง พระปัญญาอันจะตัดมลทินถ้อยความไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินให้เห็นแจ้งทั่วทั้งโลกธาตุ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมาแต่โบราณของพระมหากษัตริย์

พระแสงดาบ ก็เปรียบเสมือนด้านอำนาจวาสนา ยังประกอบพิธีลงอาคมไพรดำ ยิ่งขาดไม่ได้

    ประเด็นหลักที่สร้างเพื่อให้เป็นของสืบทอดของครูธรรมและใช้ประกอบพิธีกรรมอาคมต่างๆ  ในการปลุกเสกจัดนิมนต์พระสงฆ์ จำนวน 108 รูป ปลุกเสก เป็นเวลา 3 คืน

มวลสารหลักในมีดหมออาคม มีดังนี้
1.ตะปู สังฆวานรใช้ตอกโบสถ์,วิหาร,พระธาตุเจดีย์
2.เหล็กน้ำพี้ 
3.ยอดพระเสด็จฟ้าผ่า
4.ตะปูจากกองถ่านศพปรมาจารย์ใหญ่ต่างๆ
5.เหล็กฝาบาตรโบราณ
6.เหล็กช่อฟ้าอุโบสถ
7.แร่เหล็กในถ้ำต่างๆ
8.อุดมวลสารศักดิ์สิทธิ์ในด้ามมีด
เหล็ก 77 อย่าง นำมาผสม ดังนี้
1.เหล็กจากยอดพระเจดีย์มหาธาตุ
2.เหล็กขนันผีพรายตายทั้งกลม
3.ตะปูตอกฝาโลงจาก 7 ป่าช้า
4.เหล็กที่เกิดการชำรุดจากอาวุธที่พังในการศึก
5.เหล็กแทงคอวัว
6.เหล็กเบญจพรรณกัลเม็ด
7.เหล็กหล่อบ่อพระแสง
8.เหล็กที่ใช้สำหรับตรึงโลงศพ
9.หม้อผีตายหง
10.หอกสัมฤทธิ์
11.พระแสงหัก
12.เหล็กสลักประตู
13.เหล็กถ้ำต่างๆ
14.เหล็กกำแพง
15.เหล็กน้ำพี้
16.ธาตุเงิน
17.ธาตุทอง
18.ธาตุทองแดง
19.ผงถ่านไม้ไผ่
20.ผงตะไบพระต่างๆ
21.ยอดปราสาท
22.เหล็กประตูโบสถ์
23.เหล็กประตูวัด
24.เหล็กประตูบ้านคนตายท้องกลม
25.เหล็กประตูบ้านคนผูกคอตาย
26.เหล็กสะพาน
27.เหล็กทางสามแพร่ง
28.เหล็กฟ้าผ่า
29.เหล็กลำกล้องปืนที่ยิงคนตาย
30.ตะปูสังฆวานร
31.บาตรพระเก่า
32.เหล็กน้ำพี้
33.เหล็กน้ำลี้
33.ชนวนทองล้น หล่อพระประทาน
34.เหล็กช่อฟ้าอุโบสถ
35.ยอดปลีฉัตรทองพระธาตุ
36.เหล็กเปียก
37.เหล็กตะแกรงเผาศพ
38.เหล็กดึงคอศพ
39.เหล็กพลิกศพ
40.ตะปูเผาผีตายโหง
41.กำไรสำริด
42.โซ่ตรวนนักโทษอุกฉกรรณ์
43.ปรอทดำ
44.แร่เจ้าน้ำเงิน
45.แร่บริสุทธิ์(สังกะสี)
46.เศษสะเก็ดฟ้าผ่า หรือ(ที่เรียกว่าขวานฟ้าผ่า)
47.ลูกกระสุนปืนที่ยิงคนตาย
48.เหล็กกรงขัง
49.แร่เงินยวง
50.เหล็กแกนเจดีย์
51.เหล็กสมอเรือสำเภาโบราณ
52.กั่นพร้าหัก
53.โซ่ล่ามช้าง
54.ตราชั่งโบราณ
55.ขอบบาตร
56.ตะขอช้าง
57.กรีชทองแดง
58.ผานไถ
59.พญาร้อยคุ้ง
60.เหล็กปอฉ้อ
61.เหล็กฐานเทียนชัย
62.เหล็กไอ้ใบ้
63.เหล็กเที่ยงตรง
64.เหล็กแกะ
65.เหล็กไตรภพ
66.เหล็กลูกปืนใหญ่โบราณ
67.เหล็กหล่อบ่อพระขรรค์
68.เหล็กใบเลื่อย
69.ธาตุทองเหลือง
70.เหล็กเตารีดโบราณ
71.ขวานเหล็กโบราณ
72.กาน้ำชาเหล็กโบราณ
73.ทั่งเหล็กโบราณ
74. กล่องเหล็กโบราณ
75. กุญแจเหล็กโบราณ
76.เหล็กเกราะโบราณ
77.เคี่ยวเกี่ยวข้าวโบราณ
และบรรจุมวลสารอาถรรพ์ 77 ชนิด

.....มหาศาสตราคม สร้างไว้เป็นเครื่องศาสตราวุธทรงพุทธานุภาพ
ปกป้องคุ้มครองบรรดาลูกศิษย์ลูกหา กล่าวได้ว่าเป็นที่สุดแห่งศาสตร์พระเวทย์พิชัยสงคราม เป็นวิชาชั้นสูงแห่งเครื่องราชกกุธภัณฑ์

.....การสร้างมหาศาสตราคม ทั้งแบบที่ใช้เป็นอาวุธและแบบที่ใช้เฉพาะในพิธีกรรมนั้น จะมีขั้นตอนคล้ายๆกัน
จะต่างกันเพียงเรื่องที่จะใช้เป็นอาวุธด้วยหรือไม่เท่านั้น ถ้าจะใช้เป็นอาวุธด้วยก็ต้องพิถีพิถันในการตีใบมีดมากขึ้น

......ตำราการสร้างดาบมหาศาสตราคมต้องลงอักขระเลขยันต์เสกปลุกทุกส่วนของมีด คือ ใบมีด ด้ามมีด ปลอกมีด เมื่อจะทำการสร้างดาบมหาศาสตราคม
ขั้นแรกต้องจัดหาวัสดุโลหะธาตุต่างๆที่ใช้ทำใบมีดจะเป็นสิ่งที่ถือกันว่ามีอาถรรพ์อยู่ในตัว มีความศักดิ์สิทธิ์อยู่ในตัว ใช้โลหะหลายชนิดประกอบกันแล้วตีเป็นใบมีด
โดยฤกษ์ยามคือสิ่งสำคัญ

......ฤกษ์ยามคือสิ่งสำคัญ โดยแบ่งออกเป็น 5 วาระ ดังนี้
วาระที่ 1 หลอมเหล็ก โดยประกอบพิธีกรรมขอขมาอาถรรพ์ในตัวเหล็ก
ฤกษ์วาระที่ 1 วันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ.2563
ฤกษ์เวลา วันเสาร์ 06.00 ถึง 08:29 น.ในวันอาทิตย์
ตรงกับวันเสาร์ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนสิบสอง(๑๒) ปีชวด จุลศักราช ๑๓๘๒
คริสตศักราช 2020 , มหาศักราช 1942 , รัตนโกสินทรศก 239
อธิกสุรทิน ปกติมาส อธิกวาร , โสรวาร(ส) กัตติกมาส โทศก

วาระที่ 2 ตียึดเหล็กให้ยาว
วาระที่ 3 บวงสรวงโลหะ
วาระที่ 4 ขึ้นรูปดาบ โดยประกอบพิธีกรรมขอขมาครู
วาระที่ 5 พุทธาภิเษกพระแสง

......ขั้นแรกต้องจัดหาวัสดุโลหะธาตุต่างๆที่ใช้ทำใบมีดจะเป็นสิ่งที่ถือกันว่ามีอาถรรพ์อยู่ในตัว มีความศักดิ์สิทธิ์อยู่ในตัว ใช้โลหะ 77 อย่างหลอมเข้ากันแล้วตีเป็นใบมีด
การใช้เหล็ก 77 อย่าง นำมาผสม ดังนี้
1.เหล็กจากยอดพระเจดีย์มหาธาตุ
2.เหล็กขนันผีพรายตายทั้งกลม
3.ตะปูตอกฝาโลงจาก 7 ป่าช้า
4.เหล็กที่เกิดการชำรุดจากอาวุธที่พังในการศึก
5.เหล็กแทงคอวัว
6.เหล็กเบญจพรรณกัลเม็ด
7.เหล็กหล่อบ่อพระแสง
8.เหล็กที่ใช้สำหรับตรึงโลงศพ
9.หม้อผีตายหง
10.หอกสัมฤทธิ์
11.พระแสงหัก
12.เหล็กสลักประตู
13.เหล็กถ้ำต่างๆ
14.เหล็กกำแพง
15.เหล็กน้ำพี้
16.ธาตุเงิน
17.ธาตุทอง
18.ธาตุทองแดง
19.ผงถ่านไม้ไผ่
20.ผงตะไบพระต่างๆ
21.ยอดปราสาท
22.เหล็กประตูโบสถ์
23.เหล็กประตูวัด
24.เหล็กประตูบ้านคนตายท้องกลม
25.เหล็กประตูบ้านคนผูกคอตาย
26.เหล็กสะพาน
27.เหล็กทางสามแพร่ง
28.เหล็กฟ้าผ่า
29.เหล็กลำกล้องปืนที่ยิงคนตาย
30.ตะปูสังฆวานร
31.บาตรพระเก่า
32.เหล็กน้ำพี้
33.เหล็กน้ำลี้
33.ชนวนทองล้น หล่อพระประทาน
34.เหล็กช่อฟ้าอุโบสถ
35.ยอดปลีฉัตรทองพระธาตุ
36.เหล็กเปียก
37.เหล็กตะแกรงเผาศพ
38.เหล็กดึงคอศพ
39.เหล็กพลิกศพ
40.ตะปูเผาผีตายโหง
41.กำไรสำริด
42.โซ่ตรวนนักโทษอุกฉกรรณ์
43.ปรอทดำ
44.แร่เจ้าน้ำเงิน
45.แร่บริสุทธิ์(สังกะสี)
46.เศษสะเก็ดฟ้าผ่า หรือ(ที่เรียกว่าขวานฟ้าผ่า)
47.ลูกกระสุนปืนที่ยิงคนตาย
48.เหล็กกรงขัง
49.แร่เงินยวง
50.เหล็กแกนเจดีย์
51.เหล็กสมอเรือสำเภาโบราณ
52.กั่นพร้าหัก
53.โซ่ล่ามช้าง
54.ตราชั่งโบราณ
55.ขอบบาตร
56.ตะขอช้าง
57.กรีชทองแดง
58.ผานไถ
59.พญาร้อยคุ้ง
60.เหล็กปอฉ้อ
61.เหล็กฐานเทียนชัย
62.เหล็กไอ้ใบ้
63.เหล็กเที่ยงตรง
64.เหล็กแกะ
65.เหล็กไตรภพ
66.เหล็กลูกปืนใหญ่โบราณ
67.เหล็กหล่อบ่อพระขรรค์
68.เหล็กใบเลื่อย
69.ธาตุทองเหลือง
70.เหล็กเตารีดโบราณ
71.ขวานเหล็กโบราณ
72.กาน้ำชาเหล็กโบราณ
73.ทั่งเหล็กโบราณ
74. กล่องเหล็กโบราณ
75. กุญแจเหล็กโบราณ
76.เหล็กเกราะโบราณ
77.เคี่ยวเกี่ยวข้าวโบราณ
และบรรจุมวลสารอาถรรพ์ 77 ชนิด

คัมภีร์มหาศาสตราคม หาเหล็กสําหรับทํามีดตามที่ระบุไว้ ในคัมภีร์มหาศาสตราคมมาจนครบถ้วนคือ
เอาเหล็กยอดพระเจดีย์มหาธาตุ ยอดประสาททวารามาประสม
เหล็กขนันผีพรายตายทั้งกลม เหล็กตรึงโลงตรึงปั้นลมสลักเพชร
หอกสําฤทธิ์กริชทองแดงพระแสงหัก เหล็กปฏักสลักประตูตาปูเห็ด
พร้อมเหล็กเบญจพรรณกัลเม็ด เหล็กบ้านพร้อมเสร็จทุกสิ่งแท้
เอาเหล็กไหลเหล็กหล่อบ่อพระแสง เหล็กกําแพงนําพี้ทั้งเหล็กแร่
ทองคําสําฤทธิ์นากอะแจ เงินที่แท้ธาตุเหล็กทองแดงคง
            ยังได้รวมด้วยเหล็กสารพัดบิ่น สารพัดหักอีกร้อยแปดชนิดมาร่วมด้วย เมื่อได้เหล็กมาพร้อมแล้ว จึงตั้งมณฑลพิธีล้อมด้วยราชวัฏฉัตรธงทั้ง๔ มุม ตรงกลางตั้งพิธีดาดด้วยผ้าขาว ลงยันต์เพดานทั้งหน้าหลัง แล้วหาเครื่องกระยาสังเวย สําหรับบูชาเทพยดาอารักษ์และครูบาอาจารย์ผู้ประสิทธิ์ประสาท อันประกอบด้วยมัจฉะมังษาหาร ๖ ประการ พร้อมเครื่องกระยาบวช ขนมแห้ง ขนมหวานอีกผลไม้ ๙ อย่าง เทียนเงินเทียนทองหนัก ๔ บาท ๑ คู่ เมื่อได้วันดีคือวันเสาร์ขึ้น ๑๕ คํา จึงบูชาครูบาอาจารย์และเทพยดาฟ้าดิน จึงเริ่มพิธีตีดาบขึ้นทันที
            เอาสูบทั่งตั้งไว้ในพิธี เอาถ่านที่ต้องย่างวางในนั้น ช่างเหล็กมีฝีมือลือทั้งกรุง ผ้าขาวนุ่งผ้าขาวห่มดูคมสัน วงสายสิญจ์เศกลงเลขยันต์ คนสําคัญคอยดูซึ่งฤกษ์ดี ครั้นได้พิชัยฤกษ์ราชฤทธิ์ พระอาทิตย์เที่ยงฤกษ์ราชสีห์ ขุนแผนสูบเหล็กให้แดงดี นายช่างตีรีดรูปให้เรียวปลาย ที่ตรงกลางกว้างงามสามนิ้วกึ่ง ยาวหนึ่งศอกกํามาหน้าลูกไก่ เผาชุบสามแดงแทงตะไบ บัดเดี๋ยวใจเกลี้ยงพลันเป็นมันยับแล้ว
ลงกั่นดาบข้างแบน ด้วยคาถาบารมีพระพุทธเจ้าคือ
อายันตุโภนโต อิธะทานะ สีละเนกขัมมะ ปัญญา สะหะวิริยะขันติ
สัจจาธิฎฐานะเมตตุเปกขา ยุทธายะโว คัณหะถะอาวุธานิ
ลงกั่นดาบด้านสัน ด้วยพระคาถาหัวใจพระยาสมาสดังนี้
นานามุสะระ หะระ บัพพะตะคะรุ กะลิงคะระ
สะระธนู คะทาสิโต มาระหัตถา มาระคะนา
เอาทองแดงที่ใช้สําหรับห่อหุ้มกั่นดาบมาลงถมด้วยพระคาถา นวหรคุณ ๑๐๘ คาบ
อะสังวิสุโลปุสะพุภะ
แล้วลงถมด้วยพระคาถาต่างอีก พระคาถาพุทธนิมิตร์ ลงถม ๙ คาบ
พุทธัสสะ อิธิพุทธัสสะ พุทธะนิมิตตัง ปฏิมานะพุทโธ
ธาตุพุทโธ นิมิตตะพุทโธ กายะพุทโธ สูญญะพุทโธ
เอคะตานัง กายะรูปะสูญยัง พุทธะนิมิตตัง อิทธิฤทธิ์พุทธะ
นิมิตตังลงถมอีก ๙ คาบด้วยคาถา
อะสิ สัตติ ธนูเจวะ สัพเพ เต อาวุทธานิ จะ
ภัคคะภัคคา วิจุณณานิ โลมังมาเมนะผุสสันติ
ตามด้วยคาถาพรหมสี่หน้าลงถมอีก ๙ คาบ ว่า
 สหัสสะสีเส ปิเจโปโส สีเสสีเส สะตังมุกขา มุกเข มุกเข
สะตังชิวหา ชีวะกัปโป มหิทธิโก นะสักโกติ จะวัณเณตุง
ตามด้วยคาถาลงถมอีก ๙ คาบ บารมี ๓๐ ทัศน์ ว่า
อิติปารมิตาติงสา อิติสัพพัญญูมาคะตา
อิติโพธิมนุปปัตโต อิติปิโสจะเตนะโม
ลงถมด้วยคาถามงกุฏพระพุทธเจ้า ๙  คาบ ว่า
อิติปิโส วิเสเสอิ อิเสเส พุทธะนาเมอิ
อิเมนาพุทธะตังโสอิอิโสตังพุทธะปิติอิ
และตามด้วยอรหันต์ ๘ ทิศ ๙ คาบ ว่า
                                    อิระชาคะตะระสา ติหังจะโตโรถินัง
                                    ปิสัมระโลปุสัตพุท โสมาณะกะริถาโธ
                                    ภะสัมสัมวิสะเทภะ คะพุทปันทูทัมวะคะ
                                    วาโธโนอะมะมะวา อะวิสุนุสานุติ
 แล้วตามด้วย คาถา ๙ คาบ
พุทธังกันตัง ธัมมังกันตัง สังฆังกันตัง
พุทธังสิทธิ ธัมมังสิทธิ สังฆังสิทธิ
 แล้วลงถมตามด้วยคาถา ๙ คาบ
                                    นะผุด ผัดผิด ปฏิเสวามิ
แล้วจึงลงประทับด้วยคาถานี้อีกครั้งหนึ่งว่า
สัตถาธะนุง อากัตถิตุง ทัตวา วิสัชเชตุง นาทาสิ
( บทนี้เมื่อลงให้ผ่อนลมหายใจออกลงจบเดียว )
กัณหะเนหะ หายใจเข้าพุทธังปัจจุขาด
ธัมมังปัจจุขาด สังฆังปัจจุขาด
( หายใจเข้าออก สลับกันไปทีละบท )
 สําหรับแผ่นทองแดงด้านหลังนั้นลงประทับด้วยพระคาถานี้
 อะระหัง สุคะโต ภะคะวา
ลงถม ๙ คาบแล้วตามด้วย
นะโมพุทธายะ อิติปาระมิตาติงสา โนวะปะตานุภาเวนะ
มาระเสนา อะติกกันตา มาระนิทรา ทัสสะปาระมิตา
ทะมาระนิทรา ปาระชังฆานิทรา ทัสสะปาระมิตา โลหะกันตา
นามะเตนะโม มาตาปิตุพุทธะคุณัง สัพพะสัตรูวิธังเสนตุ
อะเสสะโต เอวังทัสสะวัณโณ ปฏิฐิตัง จักรวาฬะ
สัพพะสัตตานุภาเวนะ มาราโมระอะติกกันตา
ทัสสะพรหมมานุภาเวนะ สัพพะสัตรูวินาสสันติ
เมื่อลงทองแดงห่อกั่นดาบแล้ว จึงเอาเกสร ๑๐๘ และยามุกใหญ่มาบดให้ละเอียด เพื่อบรรจุในด้าม (ยามุกใหญ่คือยาสารพะดอย่าง ) หินซึ่งใช้บดยานั้นลงด้วยพระคาถา มหาโสฬสมงคล ลงถม๙ คาบ ตามด้วยคาถาหัวใจพระธรรมเจ็ดคําภีร์๙ คาบ คาถาพรหมสี่หน้า ๙ คาบ คาถาพุทธนิมิต ๙ คาบคาถาพระเจ้า ๑๖ พระองค์ ๙ คาบคาถาอะระหันต์ ๘ ทิศ ๙ คาบคาถาบารมี ๓๐ ทัศน์ ๙ คาบ คาถาหัวใจสนธิ งะญะนะมะ ๙ คาบ คาถาพระกรณีย์ จะภะกะ๙ คาบ ขณะบดยาให้ภาวนาพระคาถานี้
งะญะนะมะ จะภะกะสะ นะมะพะทะ
อะระหังสุคะโตภะคะวา  อิกะวิติ
อิสวาสุ สุสวาอิ นะโมพุทธายะ
อะสังวิสุโลปุสะพุภะ ปะติลิยะติ
พุทธังสิทธิ ธัมมังสิทธิ สังฆังสิทธิ
จนกว่าจะบดยาเสร็จด้ามมีดให้ใช้ไม้ ชัยพฤกษ์ แกะเป็นรูปท้าวเวสสุวรรณ เขียนคาถาเป็นตัวเลข ลงที่องค์ท่าน
ลงเลข ๓ ตรีนิสิงเหที่ปากท้าวเวสสุวรรณ ว่าด้วยสูตรคือ
                                    มะอะอุตรีนิสิงเห
ลงเลข ๗ ที่ตาทั้งสองของท่านว่าสูตร
                                    สะธะวิปิปะสะอุสัตตะนาเค
ลงเลข ๕ ที่อกของท่านว่า
อาปามะจุปะปัญจะเพชรฉลูกัญเจวะ
ลงเลข ๔ ที่หัวไหล่ทั้งสองของท่านว่า
นะมะพะทะจัตตุเทวา
ลงเลข ๖ ที่ขาทั้งสองของท่านว่า
อิสวาสุฉอวัชชะราชา
ลงเลข ๕ ที่ด้านหลังท่านว่า
ทีมะสังอังขุปัญจะ อินทรานะเมวะจะ
ลงเลข ๑ ที่ตาตุ่มทั้งสองข้างว่า
มิเอกะยักขา
ลงเลข ๙ ที่ศรีษะท่านว่า
อะสังวิสุโลปุสะพุภะนวะเทวา
ลงเลข ๕ ที่แขนซ้ายว่า
                                    สหะชะตะตรีปัญจะพรหมาสะหะบดี
ลงเลข ๕ ที่แขนขวาว่า
                                    นะโมพุทธายะ ปัญจะพุทธานะมามิหัง
ลงเลข ๒ ที่ศอกทั้งสองข้างว่า
                                    พุทโธทะเวราชา
ลงเลข ๘ ที่สะโพกทั้งสองข้างว่า
เสพุเสวะเสตะอะเส อัฏฐะอะระหันตา
ใช้พระคาถาท้าวเวสสุวรรณลงด้ามมีดให้ทั่วว่า
เวสสุวรรโณมหาราชา สัพเพเทวาเสเจวะ
อาฬะวะกาทะโย ปิจะขัคคัง ตาละปัตตัง
ทิสวา สัพเพยักขา ปะลายันติ
เวสสุวรรโณมหาราชา จัตตุโลกะปาลายัสสะสิโน
อิติภูตา มหาภูตา สัพเพยักขาปะลายันติ
ลงกระบองท้าวเวสสุวรรณด้วย
            นะโมพุทธายะ
จบคัมภีร์มหาศาสตราคม


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 13 สิงหาคม 2565, 16:43:03
อายุการสืบทอดมีมายาวนาน


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 14 พฤศจิกายน 2565, 13:18:58
#พระงั่งไพรดำ

รายการจัดสร้าง
1.พระงั่งไพรดำ ฝั่งตะกรุดทองคำ 19 คู่
เปิดจองราคา 5,999 บาท หลังจอง 25,000 บาท
2.พระงั่งไพรดำ ฝั่งตะกรุดเงิน 108 คู่
เปิดจองราคา 1,999 บาท หลังจอง 10,000 บาท

มวลสารศักดิ์สิทธิ์ที่สำคัญ
1.ไพรดำ ใบ ดิน ลำต้น ราก
2.เหล็กเปียกยอดพระธาตุพนม
3.เหล็กอาถรรพ์ 77 อย่าง
4.ผงไม้มณีโครต
5.ผงว่านเสน่ห์ 108 อย่าง
6.ผงแร่เหล็กกายสิทธิ์ 108 ชนิด
7.ชนวนมวลสารหลักจากพระแก้วช่วยไทย
8.ชนวน108 อาจารย์
9.ชนวนพระกริ่งปวเรศวัดบวรนิเวศ ปี2530
10.ชนวนทองหล่อพระประธานอุโบสถวัดหนองป่าพงของหลวงพ่อชา
11.ชนวนหล่อพระเจ้าชัยวรมันขนาดตั้งบูชานำฤกษ์ของหลวงปู่หงษ์
12.ชนวนพระกริ่งเก่าสายศิษย์วัดประดู่ฉิมพลี
13.ชนวนพระกริ่ง 20 จังหวัด
14.แผ่นจารพ่อท่านนวล วัดใสหล้า
แผ่นจารพ่อท่านช่วง วัดควนปันตาราม พัทลุง สายเขาอ้อ
แผ่นจารพ่อท่านเอียด วัดโคกแย้ม
แผ่นจาร+ตะกรุดนารายณ์พลิกแผ่นดิน พ่อท่านเขียว
แผ่นจารพ่อท่านท้วมวัดศรีสุวรรณ
ชนวนเหรียญเก่าคณาจารย์สายภาคใต้น้ำหนักรวมกันหลายโล
ชนวน 108 ตะกรุดทุกยุค
ตะกรุดหลวงปู่คำพันธ์ วัดธาตุมหาชัย
ตะกรุดวัดประสาทบุญาวาสปี2500
ตะกรุดหลวงพ่อเกษม เขมโก
ตะกรุดหัวใจพุทธคาถา(19จังหวัด)
ตะกรุดหลวงปู่ท่อน จ.เลย
ตะกรุดหลวงปู่ดู่ วัดสะแก
ตะกรุดหลวงปู่ทองสา
แผ่นจาร+ตะกรุด ปู่ซาสุด ดอนสำโฮง
ตะกรุดพระอาจารย์บุนจอน กิดติยาโน ดอนขะเหมา
ตะกรุดพระอาจานคำพัก พรมมะหาไซ หลัก(กม.)24
ตะกรุดทองคำ เงิน นาก พระอาจารย์ สะหว่าง สุทัมโม วัดหลัก 33 เมืองปากช่อง แขวงจำปาสัก
ตะกรุด ลป. หา สุภโร
ตะกรุด ลป ฤทธิ์ รัตนโชโต สุรินทร์
ตะกรุด ลพ คูณ ปริสุทโธ วัดบ้านไร่
ตะกรุดปืนแตก ลป คำบุ คุตตจิตโต อุบลฯ
ตะกรุดลูกปืนหลวงพ่อมหาสิงห์
ตะกรุด ลพ เพี้ยน วัดเกริ่นกฐิน
ตะกรุดโสฬสมงคล
ตะกรุดนวภาสิทธิ์
ตะกรุดมงกุฏพระพุทธเจ้า
ตะกรุดมะหาระงับ
ตะกรุดมหาจักรพรรดิ
ตะกรุดพุทธทำนาย
ตะกรุดพระอาจารย์นอง วัดทรายขาว
ตะกรุดพ่อท่านทอง วัดสำเภาเชย
ตะกรุดนารายณ์แปลงรูปของพระอาจารย์นองวัดทรายขาว
เหรียญหล่อรูปเหมือนหลวงปู่แสง ญาณวโร รุ่นแสงธรรมเนื้อพิเศษ ผสมทองคำ 27 บาท จำนวน 14 เหรียญ
เหรียญรุ่นแรกหลวงปู่สรวง เทวดาเดินดิน
เหรียญรุ่นแรกหลวงปู่หงษ์ สุสานทุ่งมน
เหรียญสมเด็จพระญาณสังวร สด.พระสังฆราช องที่ 19 แห่งราชอาณาจักรไทย
เหรียญพระพุทธรูปทองคำ วัดไตรมิตร กทม .
เหรียญพระพุทธชินราช +รูปเหมือน หลวงตามหาบัว ญานสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด อุดรธานี
เหรียญ ลป แหวน สุจินโน วัดดอยแม่ปั๋ง เชียงใหม่
เหรียญ ลป. สิม พุทธาจาโร วัดถ้ำผาปล่อง เชียงดาว เชียงใหม่
เหรียญ ลป. แว่น ธมปาโล วัดถ้ำพระสบาย
เหรียญพระสิวะลี + เหรียญ ลป. วัน อุตตโม)
เหรียญ ลป. จันทร์โสม กิตติกาโร วัดป่านาสีดา
เหรียญหลวงปู่บุญหนา ธัมมทินโน วป.โสตถิผล
เหรียญ ลป ผ่าน ปัญญาปทีโป
เหรียญ ลป สุภา กันตสีโล
เหรียญ ลป. เกษม เขมโก สุสานไตรลักษณ์ ลำปาง
เหรียญ ลป. แพ วัดพิกุลทอง
เหรียญ ลป. ลี กุสลธโร ภูผาแดง หลายรุ่น
เหรียญโชคดี ลป. ดี วัดพระรูป
เหรียญ ลป. คูบาสร้อย ขันติสาโร
เหรียญ ลพ. คล้อย ฐานธัมโม วัดถ้ำเขาเงิน อ.หลังสวน จ.ชุมพร
เหรียญ หลวงพ่อเดช เตชะจิตโต วัดสังฆมงคล
เหรียญ ลพ. รวย วัดท่าเรือ
เหรียญ ลพ. เพี้ยน วัดเกริ่นกฐิน
เหรียญ ลพ. ยิด วัดหนองจอก
เหรียญชนะสิบทิศ ลป คำบุ คุดตะจิดโต อุบลฯ
เหรียญ ลพ เจ็ดกษัตริย์ หลังพระเศรษฐีนวโกฐ
เหรียญรุ่นต่างๆสายหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
เหรียญรุ่นต่างๆ วัดพุทธมงคล จ.นครสวรรค์
เหรียญพระประจำวันเกิด วัดสุทัศน์ กทม.
เหรียญ ลพ. พิมลสีลาจารย์ วัดลาดปลาดุก
เหรียญพระราหู เงินขวัญถุง ลป พรหมา เขมจาโร วัดสวนหินผานางคอย อุบลฯ
เหรียญ ลป. ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล
เหรียญเสด็จเตี่ยกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์
เหรียญพระสยามเทวาธิราช นิตยสารศักดิ์สิทธิ์สร้าง
ห่วงเหรียญพระกริ่งสิทัตโถ สมเด็จพระสังฆราช อยู่ วัดสระเกศ กทม.
ห่วงเหรียญ 100 ปี ลป ทวด อจ. ทิม วัดช้างไห้
ห่วงเหรียญ แม่ชีแก้ว เสียงล้ำ มุกดาหาร
ห่วงเหรียญ ลป. ปะไพ สุภโร อุดรธานี
รูปหล่อพระสังกัจจายน์ ลป. เกตุ วัดเกาะหลัก
รูปหล่อพระสิวลี ครูบา บุญชุ่ม ญาณสํวโร
เหรียญกษาปน์ เช่น เหรียญ ร.5 หลังพระสยามเทวธิราช เหรียญอินโดจีน เงินพุดด้วง เงินแท่งสยาม เงินโสฬสสยาม ร.4 ฯลฯ ,เงินลาด(ของอาณาจักรล้านช้าง),วัตถุโบราณอื่นๆ
แหวนพิรอด ลพ. เจริญ ฐานยุตโต อุดรธานี
แผ่นจารหลวงปู่สุธัมม์ ธัมมปาโล
แผ่นจารตะกรุด ๑๐๘ ของอาจารย์ปู่ซาสุด โซทิกาน ดอนสำโฮง สปป.ลาว
แผ่นฮู้จารพระถังซัมจั๋ง,พระอาจารย์ตั๊กม้อ และปฐมภิกษุณีจิงเจียนแห่งแผ่นดินจีน
แผ่นจารมือหลวงปู่อ่อน วัดลุมพินี
ตะกรุดหลวงปู่ทองสุข สุทธิจิตโต
เศษทองหล่อหลวงพ่อโสธร
เศษทองหล่อพระพุทโธคลัง วัดโคกหม้อ
ชนวนนวะโลหะ หลวงปู่พิศดู ธัมมจารี
ชนวนเหรียญพระกีสนาคอุปคุต พ่อท่านผอม
ตะกรุดพระครูอุทัย อุทโย วัดวิหารสูง
ตะกรุดหลวงพ่อหวล วัดพิกุล
ตะกรุดนวภาสิทธิ ครูบาข่าย ญาณเมธี วัดหมูนิ้ง
ตะกรุดหลวงพ่อรุ่ง วัดท่ากระบือ
ตะกรุดหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม
ตะกรุดหลวงพ่อแช่ม วัดดอนยายหอม
ตะกรุดสาริกาอาจารย์ประสูติ
ตะกรุดหลวงปู่หมุน วัดบ้านจาน
ตะกรุดหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ
เหรียญรุ่นแรกหลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญ
เหรียญหลวงพ่อยิด วัดหนองจอก
เหรียญหลวงพ่อรวย วัดท่าเรือ
เหรียญพระครูทัน นะพามีฟอง สปป.ลาว
เหรียญหลวงปู่บุนมี กิดติธัมมาวโน วัดลาวพุดทะวง สปป.ลาว
เหรียญหลวงปู่เปลี้น วัดชอนสารเดช
เหรียญหลวงพ่อสมชาย วัดเขาสุกิม
เหรียญหลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง
เหรียญหลวงพ่อฤษีลิงดำ วัดท่าซุง
เหรียญกษาปน์อินโดจีน
เงินฮางโบราณ
พระโคนสมอห้อยพระบาท ( ชินเงิน )
----
15.ผงพระวัดพุทธมงคล นครสวรรค์ ปี 2510 ผ่านการอธิษฐานจิตและปลุกเสกโดยคณาจารย์สายหลวงปู่มั่นดังนี้ :
หลวงปู่ฝั้น อาจาโร
หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ
พระอาจารย์วัน อุตตโม
หลวงปู่สิม พุทธาจาโร
หลวงปู่บุญมา ฐิตเปโม
หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
หลวงปู่โชติ คุณสมฺปนฺโน
หลวงปู่ขาว อนาลโย
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ( สวดลักขี )
-----
16.ผงพระสองสมเด็จ ปี 2538
ประกอบด้วยใบลานลงอักขระ 999 แผ่น โดยคณาจารย์ทั่วประเทศ ณ ห้วงเวลานั้น
ว่าน 108
ข้าวก้นบาตร หลวงปู่เทสก์ วัดหินหมากเป้ง
ก้นยาหลวงปู่ดูลย์ วัดบูรพาราม
ก้นยาและยาเส้นหลวงพ่อคูณ วัดบ้านไร่
ข้าวสารเทวดาครูบาธรรมชัย
เส้นเกษาหลวงปู่สิม
แป้งเสกหลวงปู่บุดดา
น้ำมันงาและผงวิเศษครูบาสุรินทร์ วัดศรีเตี้ย
ฯลฯ
------
17.ผงพระสองสมเด็จทั้งหมดนี้ได้รับการอธิษฐานจิตและปลุกเสกโดยพระอาจารย์องค์สำคัญแห่งยุคปี ๓๐ เช่น :
ครูบาเจ้า เกษม เขมโก
หลวงปู่คร่ำ ยโสธรา
หลวงปู่แพ เขมังกโร
หลวงพ่ออุตตมะ อุตตโม
หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ
สมเด็จพระมหาธีราจารย์
พ่อท่านนอง ธัมภูโต วัดทรายขาว
หลวงปู่หยอด ชินวังโส
หลวงพ่อเปิ่น ฐิตคุโณ
หลวงปู่คำพันธ์ โฆษปัญโญ
หลวงปู่คำ วัดหนองแก
หลวงปู่ทองเบิ้ม วัดวังยาว
หลวงพ่อยิด วัดหนองจอก
หลวงปู่เกตุ วัดเกาะหลัก
หลวงพ่อคล้อย วัดถ้ำเขาเงิน
หลวงพ่อเก๋ วัดแม่น้ำ
หลวงพ่อลำไย วัดทุ่งลาดหญ้า
หลวงปู่ร่วง วัดศาลาโพธิ์
หลวงพ่อฮวด วัดดอนโพธิ์ทอง
หลวงปู่เมี้ยน วัดโพธิ์กบเจา
หลวงพ่อศรีเงิน วัดดอนศาลา
หลวงพ่อกลั่น วัดเขาอ้อ
พ่อท่านแดง วัดควนนางพิมพ์
หลวงพ่อคล้อยวัดภูเขาทอง
หลวงปู่ดี วัดพระรูป
ฯลฯ
----
18.ผงพระสมเด็จรุ่นแรกวัดแก่งตอย ได้รับการอธิษฐานจิตและปลุกเสกโดย :
หลวงปู่คำพันธ์ โฆษปัญโญ วัดธาตุมหาชัย
หลวงปู่กิ ธัมมุตฺตโม วัดป่าสนามชัย
ญาท่านสวน ฉันทโร วัดนาอุดม
ฯลฯ
----
19.ผงวิเศษผ่านการอธิษฐานจิตปลุกเสกโดยคณาจารย์ยุคปี ๑๐ เช่น :
หลวงปู่ชา วัดหนองป่าพง
หลวงปู่ดูลย์ วัดบูรพาราม
หลวงปู่สาม วัดไตรวิเวก
หลวงปู่ฝั้น วัดป่าอุดมสมพร
หลวงปู่สิม วัดถ้ำผาปล่อง
หลวงปู่บาง วัดหนองพลับ
หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่
หลวงพ่อเนื่อง วัดจุฬามณี
หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี
หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง
หลวงพ่อกี๋ วัดหูช้าง
หลวงพ่อผาง วัดอุดมคงคาคีรีเขตต์
หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม
หลวงพ่อน้อย วัดธรรมศาลา
หลวงพ่อเต๋ วัดสามง่าม
พระอาจารย์นำ วัดดอนศาลา
หลวงพ่อมุ่ย วัดดอนไร่
หลวงพ่อถิร วัดป่าเลไลย์
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม
หลวงพ่อคง วัดบ้านสวน
หลวงพ่อหมุน วัดเขาแดง
หลวงพ่อพรหม วัดช่องแค
หลวงพ่อโด่ วัดนามะตูม
หลวงพ่อหอม วัดซากหมาก
หลวงพ่อคง วัดวังสรรพรส
หลวงพ่อทบ วัดชนแดน
หลวงพ่อโอด วัดจันเสน
หลวงพ่อหน่าย วัดบ้านแจ้ง
หลวงพ่อเอีย วัดบ้านด่าน
หลวงพ่อพริ้ง วัดโบสถ์โก่งธนู
หลวงพ่อนอ วัดกลางท่าเรือ
หลวงพ่อแจ่ม วัดวังแดงเหนือ
หลวงพ่อฑูรย์ วัดโพธิ์นิมิตร
หลวงพ่อทองอยู่ วัดใหม่หนองพะอง
หลวงพ่อเทียม วัดกษัตราธิราช
ครูบาวัง วัดบ้านเด่น
หลวงพ่อปี้ วัดลานหอย
หลวงพ่อตาบ วัดมะขามเรียง
หลวงพ่อเมือง วัดท่าแหน
หลวงพ่อผัน วัดราษฏร์เจริญ
หลวงพ่อเชน วัดสิงห์
หลวงพ่อ คร้าม วัดกุ่มหัก
ฯลฯ
---
20.ธุลีดินอิฐศิลาอโรคยาศาลา :
พระธาตุเชิงชุม
ปราสาทตาเมือน
ปราสาทจอมพระ
ปราสาทโต๊ะโม๊ะ (จำปาสัก ลาว)
ปราสาทธาตุนางพญา
ปราสาทสระกำแพงน้อย
ปราสาทบ้านช่างปี่
ปราสาทบ้านเบญจ์
ปราสาทปรางค์กู่
ปราสาททองหลาง
ปราสาทตาเมือนธม
ปราสาทสมอ(ทามจาน)
-----
21.ผงหลวงปู่จันทร์ เขมิโย วัดศรีเทพฯ (ผงโสฬสมหาพรหม ของพระครูสีทัตต์ สุวรรณมาโจ ชุดที่นำมาสร้างพระนางพญาหลวงปู่จันทร์)
22.ผงหลายร้อยอาจารย์ทั้งรุ่นเก่าใหม่ ของ อ. อำพล เจน สะสมไว้นานปี
ผงของครูบาอาจารย์ทั่วไปทั้งที่รวบรวมเองและผู้มีจิตศรัทธามอบให้
ผงหลวงพ่อชา สุภัทโธ
ผงหลวงปู่บุญมา ฐิตเปโม
ผงหลวงพ่ออุตตมะ
ผงฤษีไม้จันทร์หอม (อ.อนันต์ มอบให้)
ผงอิทธิเจเขียนลบ ๘๔๐๐๐ ครั้งของหลวงปู่พรหมา เขมจาโร
ก้นยาสูบ อ.ปู่ซาสุด
ชานหมากหลวงปู่ทูล ขิปปปัญโญ
ชานหมากหลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญ
ชานหมากหลวงปู่บุญเพ็ง วัดถ้ำกลองเพล
ชานหมากหลวงปู่ทิม วัดพระขาว
ปูนเสกคุณแม่ชีบุญเรือน โตงบุญเติม
ทรายทองคุณแม่ชีบุญเรือน โตงบุญเติม
ผงพระ ๓ อริยสงฆ์ (มีส่วนผสม ๑๓๘ อย่าง เช่น สรีระหลวงปู่สี วัดถ้ำเขาบุนนาก)
ผงพระนางพญาทิพย์สุวรรณรุ่นแรก
ผงพุทธคุณหลวงปู่ดู่วัดสะแก
ข้าวก้นบาตรหลวงปู่สุภา กันตสีโล
ข้าวก้นบาตรหลวงปู่หล้า เขมปัตโต
ข้าวก้นบาตรหลวงปู่เปลี้ย วัดชอนสารเดช
ไม้กุฏิหลวงพ่อกบ วัดเขาสาลิกา
ดินจากสถานที่เข้าฌานของพระกกุสันโท,พระกัสสปะและพระพุทธเจ้า
ผงไม้จันท์หอมพระเมรุมาศพระเจ้าอยู่หัว ร.๙
ผงขุยนาคราชพระสายหลวงปู่มั่นแถบริมน้ำโขงมอบให้ (ผ่านการตรวจโดยหลวงพ่อชื่น วัดตาอี กับ หลวงปู่หงษ์ วัดเพชรบุรี ได้ความตรงกัน)
ผงหลวงปู่ชื่น วัดตาอี ๑พันยันต์
ผงหลวงพ่ออุ้น วัดตาลกง
ผงสายเสด็จปู่ท้าวมหาพรหมาธาดา
ผงปถมัง อ.ชุม ไชยคีรี
ผงหลวงพ่อสละ วัดประดู่
ผงญาท่านสวน วัดนาอุดม
ผงตะไปพระกริ่งวัดสุทัศน์
ผงเจ้าน้ำเงินพ่อท่านเอียด วัดเขาอ้อ
ผงตะไบตะปูสังขะวานรวัดพระแก้ว และ วัดสุทัศน์
ผงยอดบายศรีหลวงปู่หงษ์ วัดเพชรบุรี
ผงชันเพชร (อ.อนันต์ มอบให้)
ผงธูปโบสถ์พรามหณ์ เสาชิงช้า
ผงไก่ฟ้าพญาเลี้ยง หลวงปู่สรวง วรสุทโธ
ผงตะไบชนวนหล่อพระประธานของ ดร.ไมตรี บุญสูง
ผงตะไบพระกศปมหาฤษีรุ่นแรก หลวงปู่ทองสา
แป้งเสกหลวงปู่บุดดา ถาวโร วัดกลางชูศรีเจริญสุข
ผงพระธาตุพนม
ทรายเสกหลวงพ่อแช่ม วัดดอนยายหอม
ทรายเสกหลวงปู่เปลี้ย วัดชอนสารเดช
ทรายเสกหลวงปู่ทิม วัดพระขาว
พระว่านจำปาสักแตกหัก
ผงแร่เกาะล้านของหลวงปู่อ่อน วัดลุมพินี
ผงแร่บางไผ่สายวัดโมลี (จำผู้ที่มอบให้มาไม่ได้)
ดินกากยายักษ์
ผงไม่จันท์หอมหลวงพ่ออุตตมะ
ผงนิลกาฬหลวงพ่ออุตตมะ
ผงพระสมเด็จรุ่นแรกหลวงปู่พรหมา ปี ๒๕๓๔
ผงพระฤษีรุ่น ๒ (ฤษีเล็ก)หลวงปู่พรหมา ปี ๒๕๓๕
ผงพระฤษีรุ่น ๓ (ฤษีกลาง)หลวงปู่พรหมา ปี ๒๕๓๕ (มีเกษาหลวงปู่ผสมอยู่ด้วยค่อนข้างเยอะ)
ผงชานหมากหลวงปู่หงษ์วัดเพชรบุรี (มีเกษาผสมอยู่ด้วย)
ผงเจ้าคุณอุบาลีสิริจันโทวัดบรมนิวาส
ผงหลวงปู่แหวนชุดที่นำมาสร้างรูปเหมือนนหน้าตัก ๒ นิ้ว ถวายสมเด็จพระสังฆราชเจริญ
ผงปถมัง หลวงปู่ชอบ ฐานสโม
ผงพระชำรุดแตกหักหลวงปู่คำพันธ์
ผงว่านหลวงปู่แพงตา เขมิโย
ปฐวีธาตุหลวงปู่แสง ญาณวโร
ผงพระพุท
........
มวลสารหลักที่ใช้อีกชุด
1.ขี้เหล็กไหลจากถ้ำสกลนครนำมาบดเป็นผง
2.ผงมวลสารของหลวงปู่ทวด วัดช้างให้
3.กาฝากไม้มงคล 9 อย่าง 1.กาฝากรักซ้อน 2.กาฝากมะรุม 3.กาฝากมะยม 4.กาฝากมะขาม 5.กาฝากกาหลง 6.กาฝากขนุน 7.กาฝากยอ 8.กาฝากพยุง 9.กาฝากคูณ
4.ผงแก่มขามฟ้าผ่า
5.ผงแก้นงิ้วดำ ตัวผู้ ตัวเมียจากเขมร
6.ผงเงินเมืองผีบังบด
7.ผงช่องระอา
8.งาช้างจากเขมร
9.ผงกระดูกช้างจากบุรีรัมม์
10.วานสายเสน่ห์
11.วานสายเหนียว
12.เม็ดต้นมณีโคตร.จากฝั่งลาว บดเป็นผง
13.หอยพันปีจากบ้านสามแยกเมืองใหม่
14.ผงพระสมเด็จแท้จากวัดระฆัง
15.ผงกาลาตาเดียว
16.ผงดอกไม้และขี้ต่างๆ
- ดอกบัวบูชาองค์หลวงพ่อโสธร
- ขี้ธูปจากที่บูชาสมเด็จโตฯ วัดระฆัง
- ขี้ธูปและดอกไม้จากศาลเจ้าพ่อหลักเมือง
- ดอกไม้บูชาพระแก้วมรกต
- ดอกไม้บูชาพระนอนวัดโพธิ์
- ผงปูนและเศษทองปิดองค์พระพุทธรูป ในวัดโพธิ์ท่าเตียน
- ชานหมาก น้ำหมาก และผงวิเศษของหลวงปู่สี
17.ผงพระลักษณ์ของหลวงกาหลง
18.คำหมากฤาษีที่ยุในหิน ญาถ่านท่านนั่งเห็นแล้วให้ลูกศิษย์ไปทุบเอา
19.ชิ้นส่วนพระสมเด็จบางขุนพรหมที่แตกหักจำนวนมาก เมื่อคราวเปิดกรุ พ.ศ 2500
20.ผงชิ้นส่วนพระกรุต่างๆ ที่ชำรุด เช่น พระคง พระผงวัดสามปลื้ม
21.ผงพระวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ กรุงเทพฯ
22.ผงงาช้างโบราณ
23.ผงธนบัตรพันล้าน ธนาคารแห่งประเทศไทย
24.ผงตะไบอาวุธต่างๆ เช่น หอก ดาบ ง้าวโบราณ
25.ผงว่าน108 ผงจิตรลดา ผงอัญมณี อันเป็นมงคลต่างๆ
26.ผงทรายเสก พระคณาจารย์ 108 องค์
.....
มวลสารศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ
ธาตุเหล็กไหล พระธาตุ 500 อรหันต์ พระธาตุข้าว พระธาตุ 500 อรหันต์ พระธาตุข้าว หงอนพญานาค แก้วขนเหล็ก เพชรหน้าทั่ง ผงเหล็กไหลฤาษี ผงเหล็กไหลเงินยวง ผงเหล็กไหลตาแรด โคตรเหล็กไหลสีเงินยวง ขี้เหล็กไหล เหล็กย้อย เหล็กทรหด หยกพันปี แร่บางไผ่ ผงธนบัตรเก่า ผงตะไบเหล็กน้ำพี้ (ถลุงแล้ว) แร่เหล็กน้ำพี้ไหลเพชรดำ ขมิ้นหินหมื่นปี ข้าวตอกพระร่วง แก่นไม้สักหินอายุ 160 ล้านปี ลูกมณีโคตร คดกะลา กะลาตาเดียว กะลาไม่มีตา (กะลามหาอุด) มะพร้าวลูกกรอก กัลปังหาดิน ดินโป่ง ดินกลางใจเมือง และน้ำจากศาลหลักเมือง 76 จังหวัด ตะกรุดข้าวสารหิน คดหอย ทรายเสก ผงพระครูเทพโลกอุดร ผงหลวงปู่ดู่ วัดสะแก ผงหลวงปู่แหวน ผงจิตรลดา ผงพระปิลันทน์ ผงพระตุ๊กตาวัดพลับ ผงหลวงปู่ทิมวัดระหารไร่ ผงหลวงพ่อแก้ววัดเครือวัลย์ แป้งเสกหลวงปู่อยู่วัดไทรโยง ผงว่านหลวงพ่อเมี้ยนวัดโพธิ์กบเจา เศษพระหักหลวงพ่อมีวัดมารวิชัย เศษพระหักหลวงปู่คำพันธ์วัดธาตุมหาชัย และวัดต่าง ๆ อีกมากมาย เขากวางคุด น้ำมันมนต์หลวงพ่อเมี้ยนวัดโพธิ์กบเจา ชานหมากเสกหลวงพ่อดำวัดท่าทอง ดินวิเศษสีเหลือง สมุนไพร 300 กว่าชนิด น้ำมนต์ 100 ตุ่ม หลวงปู่หงส์วัดเพชรบุรี ดินวิเศษสีเขียว แร่เงิน แร่ทอง แร่นาค ผงธูปสมเด็จโตวัดระฆัง ผงธูปวัดเกศไชโย ผงธูปหลวงปู่ทวดวัดช้างให้ ผงธูปหลวงพ่อแช่มวัดท่าฉลอม ผงธูปหลวงพ่อจรัญวัดอัมพวัน แม่ลิ้มกอเนี่ย ผงธูปศาลเจ้าพ่อเสือ ผงธูปวัดเล่งเน่ยยี่ ผงธูปวัดไต๋ฮงกง พระบรมสารีริกธาตุ หินพระธาตุเขา 300 ยอด พระธาตุสิวลีสีขาว พระธาตุสิวลีสีทอง พระธาตุแก้วขวานฟ้าผ่าเนื้อหิน 16 อัน ข้าวสารหินหมื่นปี ข้าวสารดำพันปี ผงมณีรัตนะ โคตรเหล็กไหล (สีดำเงา) แร่เกาะล้าน เหล็กย้อย ลูกมณีโคตร อุกามณี (สะเก็ดดาว) ไม้กลายเป็นหิน ดอกไม้หิน เพชรน้ำค้าง หินเขี้ยวหนุมาน ขมิ้นขาวเปลือกหอย 75 ล้านปี ไม้งิ้วดำ คดปลวก ลูกธนูคนธรรพ์ แร่ทรายเงิน แร่ทรายทอง ผงงาช้าง งาช้างตายพราย งาช้างกระเด็น งาช้างกระดอน ผงเพชรแท้ เศษพลอยเมืองจันทร์ ผงเก่า วัดระฆัง ผงสร้างพระหลวงพ่อคูณวัดบ้านไร่ ผงสร้างพระหลวงพ่อแพวัดพิกุลทอง ผงสร้างพระหลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ ผงสร้างพระหลวงพ่อคงวัดบางกระพ้อม ผงสร้างพระหลวงปู่นิลวัดครบุรี ผงสร้างพระหลวงพ่อยิด วัดหนองจอก ผงสร้างพระหลวงพ่อเชิญวัดโคกทอง ผงสร้างพระหลวงปู่คำพันธ์วัดธาตุมหาชัย ผงสร้างพระ หลวงพ่อเกษมเขมโกสุสานไตรลักษณ์ ผงสร้างพระอาจารย์ต่าง ๆ อีก 300 กว่ารูป (ซึ่งไม่สามารถลงหมดได้) เศษพระหักของวัดระฆัง เศษพระหักวัดปากน้ำ พระเครื่องเก่าที่ชำรุดอีกเป็นจำนวนมาก ผงตะไบพระกริ่งเนื้อนวะวัดสุทัศน์ ชานหมากหลวงปู่นิลวัดครบุรี ชานหมากหลวงพ่อเมี้ยนวัดโพธิ์กบเจา แป้งเสกหลวงปู่บุดดา ผงยาจินดามณีหลวงปู่บุญวัดกลางบางแก้ว ผงจินดามณีหลวงปู่เพิ่มวัดกลางบางแก้ว น้ำมันงาเสกหลวงพ่อคงวัดเขาสมโภชน์ น้ำมันงาเสกแร่บางไผ่ น้ำมันมนต์ไพรดำ น้ำมันมนต์จากคณาจารย์ต่าง ๆ และศาลหลักเมืองทั่วประเทศ ดินกากยายักษ์ ดินพระแม่ธรณี ดินวิเศษสีขาว ดอกไผ่ 70 ปี ว่าน 108 เกสร 108 สมุนไพร 108 ผงยันต์ 108 ผงอิทธิเจ ผงปถมัง ผงมหาราช ผงตรีนิสิงเห ผงนรหรคุณ แร่อาถรรพณ์ภูเขาควายประเทศลาว ผงฤาษีผสมแล้ว ผงศักดิ์สิทธิ์จากถ้ำละว้า ผงศักดิ์สิทธิ์จากถ้ำม้าร้อง ผงศักดิ์สิทธิ์จากถ้ำไก่หล่น ผงศักดิ์สิทธิ์จากถ้ำเนินมะปรางค์ ผงใบลานคัมภีร์คาถาต่าง ๆ ผงเก่าสมัยอยุธยา ผงเก่าสมัยทวาราวดี ใบเสมาศิลาแลงสมัยอยุธยา ผงเก่าที่อยู่ในไหขุดได้ที่ จากวัดร้างอายุหลายร้อยปี ทองคำเปลวจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทั่วประเทศ ตะไคร่โบสถ์ ตะไคร่วิหาร ตะไคร่พระปรางค์สามยอด ตะไคร่กำแพงเมืองเก่า ดินจากเนินดินพระอรหันต์ ดินจากสถานที่ประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน และสถานที่ปฐมเทศนาจากประเทศอินเดีย (ดินสังเวชนียสถานทั้ง 4 แห่ง) กระเบื้องโบสถ์และวิหารหลวงพ่อโสธร กระเบื้องโบสถ์และวิหารหลวงพ่อชินราช กระเบื้องโบสถ์และวิหารพระแก้วมรกต กระเบื้องโบสถ์และวิหารวัดไร่ขิง กระเบื้องโบสถ์หลวงพ่อโตวัดบางพลีใน กระเบื้องโบสถ์และวิหารหลวงพ่อพระร่วงโรจน์ฤทธิ์ กระเบื้องโบสถ์และวิหารหลวงพ่อเศวตฉัตร์ ชิ้นส่วนหรืออิฐเก่าจากองค์พระธาตุพนม ชิ้นส่วนหรืออิฐเก่าจากองค์พระปฐมเจดีย์ ชิ้นส่วนหรืออิฐเก่าจากองค์พระธาตุและตะไคร่พระบรมสารีริกธาตนครศรีธรรมราชและเจดีบริวารอีก 150 กว่าเจดีย์ ผงตะไบสังฆวานร ผงลูกแก้วสามดวงหลวงพ่อพรหมวัดช่องแค ผงลูกแก้วสีชมพู หลวงปู่ดู่วัดสะแก ผงใต้คานหลวงพ่อคล้อยวัดถ้ำเขาเงิน ผงหลวงปู่โต๊ะวัดประดู่ฉิมพลี ผงหลวงพ่อแดงวัดศรีมหาโพธิ์ ผงหลวงปู่ทองฤทธิ์ วัดป่าฉันทนิมิต ผงหลวงพ่อโอดวัดจันทร์เสนจว.นครสวรรค์ ผงหลวงพ่อสุรเสียงวัดป่าเชิงจาน ผงพระกรุวัดป่าเชิงจาน ไหลคำดำประเทศลาว จีวรหลวงพ่อทองดำวัดท่าทอง ชาดหมากหลวงปู่หงษ์วัดเพชรบุรี ชานหมากหลวงปู่ทิมวัดพระขาว ชานหมากหลวงพ่อพุฒิวัดป่าสาละวัน สีผึ้งหลวงพ่อพรหม
.....
มวรสารศักดิ์สิทธิ์
    • ผงใบโพธิ์ที่ประชุมเพลิง หลวงปู่สำเร็จลุน
    • ผงธาตุ๑๐๘ ผงเกสร๑๐๘ ว่าน๑๐๘ โอสถ๑๐๘
    • ผงไครเสมา ไครเจดีย์ ไครเสาตะลุงช้างเผือก
    • ผงธูปพระอารามหลวง ผงธูปพระบรมธาตุเจดีย์            
    • ผงวิเศษทั้ง๕คัมภีร์
    • ผงยาวาสนาจินดามณี เเก้วมณีนพเก้า
    • ผงไม้มณีโคตร
    • ผงรังต่อจับหน้าโบสถ์
    • ผงเหล็กน้ำพี้ ผงสมเด็จวัดสัมฤทธิ์
    • ผงเครื่องคายพันเเละคายธรรม
    • ผงรัตนมาลา ผงจักรพรรดิ์ ดิน๗โป่ง๗ท่า๗จอม      
    • ผงข้าวตอกพระร่วง ผงว่านจำปาสัก
    • ผงพระธาตุพนม
    • ผงดินสังเวชนียสถานทั้ง ๔
    • ผงเกษา อังคารธาตุ เเละชานหมากบูรพาจารย์ฯลฯ


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 14 ธันวาคม 2565, 14:55:12
ยันต์มหาอำนาจพญาไกรสรราชสีห์
จัดสร้างจำนวน 19 ดอก
ทุกดอกจะตอกโค้ดกำกับรันเลขทุกดอก ในนามญาถ่านเบิ้ม อุตฺตโม บรมครูใหญ่สายธรรมอุตฺตโมบารมี ผู้สืบทอดรุ่นที่ 3 ศิษย์บูรพาจารย์สำเร็ลุน
วัถตุประสงค์ในการจัดสร้าง โดยมอบเป็นของชำร่วยให้แก่คณะครูธรรม เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจในการทำงาน ในทางด้านจิตใจของผู้ปฏิบัติ
...สร้างจากหนัง ส.โคร่ง จารอักขระเลขยันต์โบราณ ยันต์มหาอำนาจพญาไกรสรราชสีห์ หนุนส่งเสริมให้เป็นที่น่าเกรงขามแก่ผู้คนทั้งหลายใช้ดีกับคนที่ต้องคุมคน เป็นหัวหน้าคน  เสริมทางมหาอำนาจ ตบะ เดชะ แคล้วคลาด คงกระพัน และยังเป็นที่เสน่ห์เมตตาด้วยอำนาจและความสง่างามแห่งตระกูลราชสีห์ "ไกรสรราชสีห์" คือ ราชสีห์ ที่ยอมสละชีวิตตนเอง พร้อมพวกบริเวณอีก 5 ตัว เพื่อให้พระอิศวรสร้างพระอาทิตย์ ตามตำนานของศาสนาพราหมณ์ และได้ให้ความเคารพเป็นเทพองค์หนึ่ง ที่คอยปกป้องสรรพสัตว์ทั้งหลาย ดั่งเรื่องราวความรักชาติของวีรกรรมชาวค่ายบางระจัน ที่ยอมสละเลือดเนื้อและชีวิตเพื่อปกป้องแผ่นดิน ไว้ให้ลูกหลานได้สืบต่อไป


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 18 มกราคม 2566, 15:55:57
1.สีผึ้งมหาเสน่ห์ หลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญ (วัดเพชรบุรี) จ.สุรินทร์
2.สีผึ้งหลวงพ่อทาบ วัดกระบกขึ้นผึ้ง บ้านค่าย จ.ระยอง
3.สีผึ้งมหาเสน่ห์ หลวงพ่อกวย ชุตินธโร วัดโฆสิตาราม จ.ชัยนาท
4.สีผึ้งหลวงพ่อจง พุทธัสสโร วัดหน้าต่างนอก จ.อยุธยา
5.สีผึ้งผีหุงหลวงปู่ทิม อิสริโก  วัดละหารไร่ จ.ระยอง
6.สีผึ้งครูบากฤษณะ อินทวัณโณ วัดป่ามหาวัน จ.นครราชสีมา
7.สีผึ้งมหาเสน่ห์ หลวงพ่อพัฒน์ ปุญญกาโม วัดห้วยด้วย จ.นครสวรรค์
8.สีผึ้งหลวงปู่สุข ธรรมโชโต วัดโพธิ์ทรายทอง จังหวัดบุรีรัมย์
9.สีผึ้งหลวงพ่อเดิม พุทธสโร วัดหนองโพธิ์ จ. นครสวรรค์
10.สีผึ้งหลวงปู่หน่าย อินทสีโล วัดบ้านแจ้ง บางปะหัน จ.อยุธยา
11.สีผึ้งนางแย้ม มหาเสน่ห์ หลวงพ่อพิมพ์ ผลปุญโญ วัดพฤกษะวัน จ.พิจิตร
12.สีผึ้งหลวงปู่หมุน ฐิตสีโลวัดบ้านจาน อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ
13.สีผึ้งหลวงปู่รอด อาภัสสโร วัดโคกกรม อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์
14.สีผึ้งหลวงปู่สรวง เทวดาเดินดิน อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ
15.สีผึ้งนารายณ์กลืนจิต หลวงปู่ญาท่านสวน ฉันทโร วัดนาอุดม จ.อุบล
16.สีผึ้งญาท่านเภา จันทธัมโม วัดบ้านเวิน อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย
17.สีผึ้งหลวงปู่ป้อง สีวิไล วัดบ้านนากุง เมืองปากงึ่ม สปป.ลาว
18.สีผึ้งหลวงพ่อปาน โสนนฺโท วัดบางนมโค จ.อยุธยา
19.สีผึ้งแมงมุมดักทรัพย์ หลวงปู่สุภา กันตสีโล วัดสีลสุภาราม จ.สกลนคร
20.สีผึ้งพระลักษณ์หน้าทอง ลป.กาหลง เตชวัณโณ วัดเขาแหลม จ.สระแก้ว
21.สีผึ้งมหาเสน่ห์ หลวงปู่ฤทธิ์ รัตนโชโต วัดชลประทานราชดำริ จ.บุรีรัมย์
22.สีผึ้งกาจับหลัก หลวงปู่ชื่น ติคญาโณ วัดตาอี จ.บุรีรัมย์
23.สีผึ้งหลวงปู่ดู่ พฺรหฺมปญฺโญ วัดสะแก จ.พระนครศรีอยุธยา
24.สีผึ้งหลวงปู่จอม นาคเสโน วัดบ้านดอนดู่ จ.อำนาจเจริญ
25.สีผึ้งหลวงปู่ทา นาควัณโณ วัดศรีสว่างนาราม อ.โพธิ์ไทร จ.อุบลราชธานี
26.สีผึ้งญาถ่านเบิ้ม อุตฺตโม วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
27.สีผึ้งญาถ่านเพชร ฐานธัมโม วัดสิงห์ทอง จังหวัดอุบลราชธานี
28.สีผึ้งหลวงปู่อาจ อชิโต วัดภูบะปัง  อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี
29.สีผึ้งมงคลมหานิยม หลวงพ่อบุญเรือง สารโท วัดพิชโสภาราม จ.อุบล
30.สีผึ้ง หลวงพ่อเดิม พุทฺธสโร วัดหนองโพ จ.นครสวรรค์
31.สีผึ้งจักรพรรดิมหาลาภ ขี้หอมลป.สี วัดเขาถ้ำบุญนาค (เท่ากำปั้นมือ)
32.สีผึ้ง 100 ปี หลวงปู่บุดดา วัดกลางชูศรีเจริญสุข
33.สีผึ้งหลวงปู่พิศดู วัดเทพธารทอง
34.สีผึ้งหลวงพ่อฤาษีลิงดำสมัยท่านยังมีชีวิต
35.สีผึ้งหลวงพ่อแก้ว วัดละหารไร่
36.สีผึ้งลป.ยิ้ม วัดหนองบัว
37.สีผึ้งหลวงพ่อเคลือบ วัดหนองกระดี่
38.สีผึ้งหลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน อธิษฐานจิต
39.สีผึ้งครูบาคำเป็ง สำนักสงฆ์มะค่างาม กำแพงเพชร
40.สีผึ้งทิพย์มหานิยม ลป.จำเนียร วัดถ้ำเสิอ
41.สีผึ้งพญาหงส์ทอง ลพ.ถาวร วัดปทุมวนาราม
42.สีผึ้งหลวงปู่คำบุ วัดกุดชมภู
43.สีผึ้งลพ.เกาะ วัดท่าสมอ
44.สีผึ้งลป.ธีร์ วัดลำยอง บุรีรัมย์
45.สีผึ้งลพ.พรหม วัดขนอนเหนือ
46.สีผึ้งลป.แย้ม วัดตะเคียน นนทบุรี
47.สีผึ้งลพ.เสี้ยน วัดมะนาวหวาน
48.สีผึ้งหลวงปู่พวง ฐานวโร วัดน้ำพุ เพชรบูรณ์
49.สีผึ้งหลวงพ่อจ้อย วัดศรีอุทุมพร
50.สีผึ้งลป.เย็น วัดสระเปรียญ
51.สีผึ้งพระอาจารย์ศรีเงิน วัดดอนศาลา พัทลุง
52.สีผึ้งลพ.มี วัดมารวิชัย
53.สีผึ้งลป.ปรง วัดธรรมเจดีย์
54.สีผึ้งลพ.ดำ วัดใหม่ นราธิวาส
55.สีผึ้งลป.เรือง วัดเขาสามยอด
56.สีผึ้งลพ.วิชัย วัดถ้ำผาจม
57.สีผึ้งหลวงปู่เฮ็น วัดดอนแสง
58.สีผึ้้งลป.เริ่ม วัดจุกกะเชอ
59.สีผึ้งรวมเจ้าคุณเสงี่ยม วัดสุวรรณเจดีย์
60.สีผึ้ง 3 สี อาจารย์ประคอง รุ่นเจริญ
61.สีผึ้งลป.โลกเอ๊าะบายกรีม (ข้าวแห้ง) วัดบ้านตาปัน
62.สีผึ้ง 1000 วัด ลพ.เกษมสุข วัดประดู่ธรรมาธิปัตย์
63.สีผึ้งลพ.แสวง วัดสว่างภพ
64.สีผึ้งลพ.ทองหยิบ วัดบ้านกลาง
65.สีผึ้งลป.คำพัน
66.สีผึ้งหลวงพ่ออุตตมะ วัดวังก์วิเวการาม
67.สีผึ้งสมเด็จเกี่ยวอธิษฐานจิต
68.สีผึ้งลป.ทิม วัดพระขาว
69.สีผึ้งลพ.ฉาบ วัดศรีสาคร
70.สีผึ้งหลวงพ่อเอก วัดเขาแร่
71.สีผึ้งหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ วัดบ้านไร่
72.สีผึ้งหลวงพ่อนวล วัดไสหร้า
73.สีผึ้งหลวงพ่อเฉลิม วัดพระญาติ
74.สีผึ้งหลวงพ่อเพี่ยน วัดเกริ่นกฐิน
75.สีผึ้งหลวงปู่มหาโส วัดขอนแก่น
76.สีผึ้งลพ.เอียด วัดไผ่ล้อม
77.สีผึ้งลพ.ต้วน
78.สีผึ้งลพ.ตุ่น
79.สีผึ้งหลวงปู่จันทร์หอม สุภาทโร วัดบุ่งขี้เหล็ก อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
80.ตลับสีผึ้งไก่ป่า ครูบาต๋า วัดบ้านเหล่า
81.สีผึ้ง ม้าเสพนาง ครูบาวัง วัดบ้านเด่น จ.ตาก
82.สีผึ้งฝังตะกรุดสาริกา หลวงพ่อพูน วัดบ้านแพน จังหวัดอยุธยา
83.สีผึ้งวัดพระอาจารย์ขวัญ วัดทับยายเชียง
84.สีผึ้งผยองคำ ครูบาวัดไม้ฮุง จ.แม่ฮ่องสอน
85.สีผึ้งเมตตามหานิยม หลวงพ่อเปิ่น จ.นครปฐม
86.ตลับสีผึ้ง งาแกะ หลวงพ่อกัน วัดเขาแก้ว จ.นครสวรรค์
87.สีผึ้งสาริกาคู่  หลวงตาเณร สุสานโบราณ จ.ศรีสระเกษ
88.สีผึ้งเมตตา หลวงพ่อแดง สิริภทฺโท วัดห้วยฉลองราษฎร์บำรุง จ.อุตรดิตถ์
89.สีผึ้งพระอาจารย์โอ พุทธสถานวิหารพระธรรมราช จ.เพชรบูรณ์
90.สีผึ้งแม่หม่อมกวัก พระอาจารย์ประสูติ วัดในเตา จังหวัดตรัง
91.สีผึ้ง หลวงพ่อมุ่ย วัดดอนไร่ จ.สุพรรณบุรี
92.สีผึ้งพรายตานี หลวงพ่อสมชาย วัดด่านเกวียน จ.นครราชสีมา
93.สีผึ้งนกสาลิกา หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม(วัดบ้านแค) จ.ชัยนาท
94.สีผึ้งสาวหลง หลวงพ่ออาคม วัดทุ่งพระ จังหวัดสงขลา
95.สีผึ้งเมตตา หลวงปู่ขุ้ย วัดซับตะเคียน จังหวัดเพชรบูรณ์
96.สีผึ้งว่านสาวหลง หลวงปู่เมียน วัดบ้านจะเนียง จังหวัดบุรีรัมย์
97.สีผึ้ง หลวงปู่น่วม วัดโพธิ์ศรี จังหวัดสุพรรณบุรี
98.สีผึ้งอาถรรพณ์ หลวงพ่อปุ่น วัดป่าบ้านสังข์ จ.ร้อยเอ็ด
99.สีผึ้ง เมตตามหาบารมี หลวงปู่แผ้ว ปวโร จ.นครปฐม
100.สีผึ้งมหาเสน่ห์แม่เถาหลง หลวงพ่อบุญส่ง วัดดระโจม จ.สิงห์บุรี
101.สีผึ้งมหานิยม พ่อท่านหีต วัดเผียน จังหวัดนครศรีธรรมราช
102.สีผึ้งว่านดอกทอง  หลวงปู่ลุน วัดโพนแพง อ.ภูเวียง จ.ขอนแก่น
103.สีผึ้งเสือสมิงใหญ่ พระอาจารย์โอพุทธรักษา จังหวัดเพชรบูรณ์
104.สีผึ้งจันทร์เพ็ญ หลวงพ่อนัส วัดอ่าวใหญ่ จ.ตราด
105.สีผึ้งดำ หลวงตาช้วน วัดขวาง จ.สุพรรณบุรี
106.สีผึ้งเสน่ห์นางแดง หลวงพ่อไพโรจน์ วัดโคกพระ สิงห์บุรี
107.สีผึ้ง หลวงปู่ครูบาสร้อย วัดมงคลคีรีเขตต์ จ.ตาก
108.สีผึ้งมหาเสน่ห์มหาโชคลาภ  หลวงพ่อพยุงค์ วัดป่าสัก จ.สระบุรี


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 02 มีนาคม 2566, 19:44:33
เสาหลักสายธรรมอุตฺตโมบารมี (สายอุตฺตมะอุตฺตโม)
ที่ครูธรรมศึกษาเล่าเรียนความรู้ด้านคุณธรรมจริยธรรม ด้านสามัคคีการรักไคร่พี่น้องครูธรรม

องค์ที่ 1 ญาถ่านเบิ้ม อุตฺตโม บรมครูใหญ่ ผู้สืบทอดรุ่นที่ 3
องค์ที่ 2 ญาถ่านยักษ์ โคษะกะ
องค์ที่ 3 ญาถ่านวิเชียร อนุตฺตโร
องค์ที่ 4 พระอาจารย์คณิน สุนฺทโร


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 05 มีนาคม 2566, 10:33:39
จุดเริ่มต้นสายธรรมอุตฺตโมบารมี

      พระไชยเชษฐาธิราชที่ 2 หรือ พระไชยองค์เว้ ประสูติ พ.ศ.2228 เป็นพระราชโอรสของเจ้าชมพู ที่ถูกเนรเทศไปอยู่เมืองเว้
พระองค์ได้ครองราชย์สมบัติ เมื่อ พ.ศ. 2245 ทรงตั้งให้เจ้าองค์ลอง พระอนุชาต่างบิดาเป็นอุปราชและไปครองเมืองหลวงพระบาง
และอัญเชิญพระบางมาประดิษฐานที่เวียงจันทน์
      ต่อมาใน พ.ศ. 2249 เจ้ากิ่งกิสราชซึ่งเป็นพระโอรสของเจ้าราชบุตร และเป็นหลานปู่ของพระเจ้าสุริยวงศาธรรมิกราช
ที่ลี้ภัยไปอยู่สิบสองปันนากับเครือญาติฝ่ายพระมารดา ได้ยกทัพลงมาตีเมืองหลวงพระบาง เจ้าลองสู้ไม่ได้ แตกพ่ายลงมาเวียงจันทน์
เจ้ากิ่งกิสราชยกทัพตามลงมาที่เวียงจันทน์ พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ 2 จึงขอกองทัพจากกรุงศรีอยุธยามาช่วย
      สมเด็จพระเพทราชา กษัตริย์กรุงศรีอยุธยาในขณะนั้น ได้ยกทัพขึ้นมาและไกลเกลี่ยให้ทั้งสองฝ่ายประนีประนอมกัน
โดยให้แบ่งเขตแดนระหว่างหลวงพระบางกับเวียงจันทน์ ให้เจ้ากิ่งกิสราชครองหลวงพระบาง ให้พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ 2 ครองเวียงจันทน์
ทั้งสองกษัตริย์ตกลงแบ่งเขตแดนกันโดยใช้แม่น้ำเหืองเป็นแดนทางฝั่งขวา ทางฝั่งซ้ายใช้เทือกเขาภูชนะคามเป็นเขตแดน
แคว้นสิบสองจุไทกับหัวพันห้าทั้งหกขึ้นกับหลวงพระบาง แคว้นเชียงขวางและแคว้นที่อยู่ใต้ลงมาให้ขึ้นกับเวียงจันทน์ การแบ่งเขตแดนนี้เกิดขึ้นใน พ.ศ. 2250
      หลังจากสิ้นสุดสงครามกับพระเจ้ากิ่งกิสราช พระองค์ได้เร่งปรับปรุงการปกครองหัวเมือง ส่งคนที่ไว้ใจได้ไปปกครองเมืองที่สำคัญ
ทำให้กลุ่มของ องค์ที่ 1 พระครูยอดแก้วโพนสะเม็ก ต้องอพยพลงใต้ไปหาที่มั่นใหม่ ในที่สุดได้ไปตั้งมั่นที่เมืองจำปาศักดิ์ และแยกตัวเป็นอิสระจากเวียงจันทน์ใน พ.ศ. 2256 ในสมัยนี้ยังมีการบูรณปฎิสังขรณ์พระธาตุพนมศึกษาเล่าเรียน
จนกลายเป็นแหล่งเรียนรู้ในสมัยนั้นเรื่อยมาจนถึง พ.ศ.2280
      ต่อมา พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ 2 ครองราชย์จนถึง พ.ศ. 2273 จึงสิ้นพระชนม์ จากนั้น เจ้าลองพระอนุชาได้ขึ้นครองราชย์สืบแทน
      องค์ที่ 2 เจ้าองค์ลอง (สวรรคตใน พ.ศ. 2283) เป็นเจ้าผู้ครองอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์ ลำดับที่ 2 (พ.ศ. 2273 – 2283) พระราชโอรสในพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ 2
      องค์ที่ 3 พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ 3 หรือ พระเจ้าศิริบุญสาร เป็นเจ้าผู้ครองอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์ ลำดับที่ 4 (พ.ศ. 2294 - พ.ศ. 2322) พระราชโอรสในเจ้าองค์ลอง, เสียเอกราชแก่สยามในปี พ.ศ. 2322
      องค์ที่ 4 พระเจ้านันทเสน เป็นเจ้าผู้ครองอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์ ลำดับที่ 5 (พ.ศ. 2325 - พ.ศ. 2337) พระราชโอรสในพระเจ้าศิริบุญสาร
      องค์ที่ 5 พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ 4 หรือ พระเจ้าอินทวงศ์ เป็นเจ้าผู้ครองอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์ ลำดับที่ 6 (พ.ศ. 2337 - พ.ศ. 2348) พระราชสมภพเมื่อใดไม่ปรากฏ และสวรรคตเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2348 ทรงเป็นพระราชอนุชาในพระเจ้านันทเสน, พระบรมอัยกาธิราชในสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดี ในรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
      ต่อมาพระธรรมราชาเจ้าเมืองศรีโคตรบูรณ์องค์สุดท้าย ได้ย้ายเมืองมาตั้งบนฝั่งขวา (ฝั่งไทย) เยื้องเมืองเก่าไปทางเหนือแล้วขนานนามเมืองใหม่ว่า เมืองนคร
จากนั้นมีการโยกย้ายชุมชนเมืองอีกหลายครั้ง พ.ศ.2321 ในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ได้มีการย้ายเมืองมาตั้งที่บ้านหนองจันทร์
ห่างขึ้นไปทางเหนือ 52 กิโลเมตร ในปี พ.ศ. 2333 รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
เมืองนครก็ได้ขอขึ้นตรงต่อกรุงเทพมหานคร โดยพระองค์ทรงพระราชทานนามใหม่ขึ้นว่า นครพนม ชื่อนครพนมนั้น
      ต่อมา วัดพระธาตุพนม จึงได้มีเจ้าอาวาสนาม องค์ที่ 6 พระครูพรหมา (เจ้าอาวาสพระธาตุพนม องค์ที่ 4) ผู้เก็บรักษาตำราใบลานของเจ้าราชครูหลวงโพนสะเม็ก พ.ศ. 2335 – 2410
      หลังจากนั้น องค์ที่ 7 ปรมาจารย์ใหญ่ญาถ่านอุตตมะ ในราวปี 2335 (อุปัชญาย์สำเด็จลุน มีศักดิ์เป็นหลวงอา และเป็นผู้ก่อตั้งสายอุตฺตมะอุตฺตโม ปัจจุบันได้เปลี่ยนเป็น สายธรรมอุตฺตโมบารมี เริ่มไหว้ครูธรรมใหญ่ครั้งแรก ปี 2405) ท่านได้ธุดงค์เพื่อไปกราบพระธาตุพนม จากนั้นจึงเข้าไปกราบพระครูพรหมา เพื่อได้ขอศึกษาตำราใบลาน
      ต่อมาปรมาจารย์ใหญ่ญาถ่านอุตตมะ ได้ย้ายมาจากฝั่งขวาแม่น้ำโขง มาสร้างวัดสิงหาญ ราว พ.ศ.2345 โดยญาท่านอุตตะมะ (อุต) เป็นผู้ก่อตั้ง มีความเป็นมากล่าวคือ ญาถ่านอุตตะมะ ได้ย้ายมาจาก ฝั่งขวาแม่น้ำโขงไม่ทราบได้ว่าบ้านใหน ได้บวชเป็นพระและได้เดินทางมาบ้านสะพือ ชาวบ้านจึงได้นิมนต์ท่านให้อยู่จำพรรษที่บ้านสะพือ ญาถ่านอุต ท่านจึงได้บอกว่าถ้าจะให้จำพรรษอยู่ที่บ้านสะพือนี้ ก็จะเอาพ่อแม่มาด้วย ชาวบ้านจึงได้ตกลง ท่านจึงอพยพครอบครัวมา ตั้งถิ่นฐานอยู่ที่บ้านสะพือ ชาวบ้านได้จัดสรรที่ทำมาหากินให้มีไร่นาสวนพออยู่พอกิน ส่วนญาถ่านอุตนั้นได้ตั้งสำนักสงฆ์ ขึ้นอยู่ที่ป่าทางทิศให้ห่างจากหมู่บ้านประมาณ 1 กิโลเมตร ชื่อ "วัดศรีสุมัง"  ( ปัจจุบันได้ขุดเป็นสระน้ำสาธารณะ ชาวบ้านเรียก สระโนนวัด เพราะเคยเป็นวัดมาก่อน ) แต่ชาวบ้านเห็นว่าการนำภัตราหารเช้า,เพลไปถวายลำบาก เนื่องจากอยู่ไกลหมู่บ้าน จึงได้ย้ายวัดมาตั้งใหม่ที่ริมหมู่บ้านทางทิศใต้ (ที่ตั้งวัดในปัจจุบัน) ชาวบ้านได้ช่วยกันถากถาง สร้างกุฎิให้พระอยู่อาศัย ญาถ่านอุต จึงได้ย้ายมาจำพรรษาอยู่ที่นี่ ราว พ.ศ.2345 เรียกชื่อวัดนี้ว่า "วัดสิงหาญ" จนถึงปัจจุบัน
      หลังจากนั้นองค์ที่ 8 ปรมาจารย์ญาถ่านสำเร็จลุน อุปสมบทเป็นพระรุ่นราวคราวเดียวกันกับ “หลวงปู่สีดา” ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ของหลวงปู่โทน โดยมี “ปรมาจารย์ใหญ่ญาถ่านอุตตมะ” แห่งวัดสิงหาญ บ้านสะพือ ตำบลสะพือ อำเภอตระการพืชผล ซึ่งมีศักดิ์เป็น หลวงอาของปรมาจารย์ญาถ่านสำเร็จลุน ได้นำหลานชายชื่อ ลุน มาอุปสมบทและให้ศึกษาเล่าเรียนอักษรสมัย ทั้งอักษรขอมและอักษรธรรม พระธรรมวินัยการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานควบคู่กันไป รวมทั้งหลวงปู่สีดาและลูกศิษย์อื่น ๆ ด้วย
      ปรมาจารย์ใหญ่ญาถ่านอุตตมะ ถือว่าเป็นพระปรมาจารย์ใหญ่รุ่นแรกในสมัยนั้น เชื่อถือกันว่าเป็นผู้เรืองฤทธิ์ มีตำรายา ตำราเวทมนต์ คาถาอาคม มีวัตรปฏิบัติที่น่าเคารพเลื่อมใสมาก ท่านปรมาจารย์ใหญ่ญาถ่านอุตตมะ เป็นผู้หนึ่งที่ได้รับการศึกษาตำราใบลาน จากพระครูพรหมา เจ้าอาวาสพระธาตุพนม องค์ที่ 4 ผู้เก็บรักษาตำราใบลานของเจ้าราชครูหลวงโพนสะเม็ก ซึ่ง “หลวงปู่โทน” ก็ได้สืบทอดสรรพวิชาเหล่านี้มาส่วนหนึ่ง ปรมาจารย์ใหญ่ญาถ่านอุตตมะสังเกตลูกศิษย์คนสำคัญทั้งสองว่ามีวัตรปฏิบัติแตกต่างกัน โดยที่หลวงปู่สีดามีความขยันขันแข็ง ช่วยกิจการงานวัดทุกอย่างมิได้ขาด
     ต่อมาศิษย์รุ่นแรกจะ เรียกว่า สายอุตฺตมะอุตฺตโม ความเป็นมาพิธีกรรมไหว้ครูธรรมใหญ่สายอุตฺตมะอุตฺตโม ในทุกปีจะมีการทำพิธีกรรมไหว้ผีไท้หรือผีเชื่อสาย พร้อมกับพิธีไหว้ครูธรรมใหญ่ที่ต้องจัดขึ้นทุกปี ญาถ่านสว่าง โพธิญาโณ เล่าว่า ญาถ่านสำเร็จตัน บอกกับท่านว่า พิธีกรรมไหว้ครูธรรมใหญ่เท่าที่ท่านจำได้ว่า น่าจะเริ่มมีการจัดในสมัยที่ปรมาจารย์ใหญ่ญาถ่านอุตตมะ ผู้เป็นอาจารย์ของสำเร็จลุน เจ้าอาวาส วัดสิงหาญ ต.สะพือ อ.ตระการพืชผล จ.อุบลราชธานี พ.ศ.2345-2395 ก่อนท่านมรณะ 10 ปี ก็จะอยู่ในช่วงปี พ.ศ.2405 และเป็นช่วงของญาถ่าน(สำเร็จ)สีดา เจ้าอาวาส พ.ศ.2395-2450 เพราะญาถ่านสำเร็จตัน  จำได้ว่าตรงกับวันสำคัญ คือ วันพระราชสมภพ เจ้าแก้วนวรัฐ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่องค์ที่ 9 แห่งราชวงศ์ทิพย์จักราธิวงศ์ (เจ้าเจ็ดตน) ซึ่งเป็นองค์สุดท้ายแห่งนครเชียงใหม่ พ.ศ.2405 จะอยู่ในช่วงนี้ ดังนั้นการหาวันพิธีกรรมไหว้ครูธรรมใหญ่ปีนั้นจึงมีความง่ายมาก เพราะครูบาอาจารย์ได้ให้ลูกศิษย์ใช้ วันที่ขึ้น 3 ค่ำ เดือนสาม ของทุกปีจัดพิธีกรรมไหว้ครูธรรมใหญ่ จึงสามารถสรุปวันพิธีกรรมไหว้ครูธรรมใหญ่ ทั้งแรกคือ วัน อาทิตย์ ที่ 2 เดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ.2405 ขึ้น ๓ ค่ำเดือนสาม(๓) ปีระกา นับจากนั้นมาจึงเริ่มมีการทำพิธีไหว้ครูธรรมใหญ่อย่างเป็นทางการ
     ส่วนองค์ที่ 9 ญาถ่านสว่าง โพธิญาโณ ได้เล่าให้ลูกหลานฟังว่า สมัยนั้นท่านยังไม่ข้ามมาฝังไทย ยังธุดงปฏิบัติกรรมฐานตามป่าเขาในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เพื่อไปฝากตัวเล่าเรียนอาคมกับปรมาจารย์ญาถ่านสำเร็จลุน ราวปี พ.ศ.2443 จึงมีโอกาสได้เจอกับหลวงปู่จันทร์หอม สุภาทโร ผู้เป็นหลานของญาถ่านสำเร็จตัน  ต่อมาญาถ่านสว่าง โพธิญาโณ ก็ได้ฝากตัวเป็นศิษย์ปรมาจารย์ญาถ่านสำเร็จลุน หลังจากนั้นท่านจึงให้ญาถ่านสำเร็จตัน ทำหน้าที่เป็นพระพี่เลี้ยงดูแลการศึกษาตำรายา ตำราเวทมนต์ คาถาอาคม ต่างๆ ร่วมกับหลวงปู่จันทร์หอม สุภาทโร จนศึกษาจบทุกอย่าง ญาถ่านสว่าง โพธิญาโณจึงขอเดินทางออกธุดงไปยังที่ต่างๆ
     หลังจากนั้นปรมาจารย์ญาถ่านสำเร็จลุน ขณะจำพรรษาที่วัดเวินไซ บ้านเวินไซ เมืองโพนทอง แขวงนครจำปาศักดิ์ ประเทศลาว ได้อาพาธหนักแล้วได้มรณภาพในปี พ.ศ.2463 ต่อมาญาถ่านสำเร็จตัน จึงแจ้งข่าวงานศพปรมาจารย์ญาถ่านสำเร็จลุนไปยังญาถ่านสว่าง โพธิญาโณ ท่านก็ได้เดินทางมาร่วมงานจนเสร็จ ญาถ่านสำเร็จตัน จึงได้แบ่งเกษา อิฐิ บ้างส่วนให้ญาถ่านสว่าง โพธิญาโณติดตัว ต่อมาญาถ่านสว่าง โพธิญาโณได้เดินทางข้ามมาฝั่งประเทศไทยในปี พ.ศ.2513 มาอยู่ที่วัดสนามชัย ได้นำเอาตำราใบลานที่ได้รับการคัดลอกจากปรมาจารย์ญาถ่านสำเร็จลุน ข้ามมายังฝั่งไทยด้วย หลังจากนั้นไม่นานเกิดปัญหาภายในประเทศลาวเมื่อ พ.ศ.2518 พี่น้องทางประเทศลาวจึงข้ามมาฝังไทยเป็นจำนวนมาก
     ต่อมาเมื่อพี่น้องลูกศิษย์ที่เล่าเรียนสายอุตฺตมะอุตฺตโม รู้ข่าวว่าญาถ่านสว่าง โพธิญาโณ มาจำพรรษาอยู่อำเภอเขมราฐ ก็ต่างพากันกราบนมัสการ แล้วปรึกษาเรื่องการจัดงานไหว้ครูธรรมใหญ่ให้ต่อเนื่อง ต่อมาญาถ่านสว่าง โพธิญาโณ ท่านไม่ต้องการให้นำเอาชื่อ ปรมาจารย์ใหญ่ญาถ่านอุตตมะ มาเป็นชื่อเรียกใน สายอุตฺตมะอุตฺตโม จึงให้ตัดคำว่า อุตฺตมะ ออกจากคำเรียก ให้เปลี่ยนเป็นชื่อ สายธรรมอุตฺตโมบารมี ในราวปี พ.ศ.2529 นับจากนั้นมาจึงใช้ชื่อ สายธรรมอุตฺตโมบารมี ตลอดมา
     เมื่อญาถ่านสว่าง โพธิญาโณ เริ่มมีอาการป่วย จึงได้มอบตำราใบลานให้ฆราวาสครูธรรมใหญ่รินทอง สนธิหา ผู้สืบทอดรุ่นที่ 1 ได้ดูแลเก็บรักษาต่อไป ให้ศิษย์รุ่นต่อไปได้ศึกษาเล่าเรียนไม่ให้สูญหาย และมอบเกษา อัฐิ ปรมาจารย์ญาถ่านสำเร็จลุน ไว้ด้วย หลังจากนั้นคณะครูธรรมใหญ่จึงอันเชิญ ญาถ่านทา นาควัณโณ เป็นผู้สืบทอดรุ่นที่ 2 เมื่อญาถ่านทา นาควัณโณ ต่อมาฆราวาสครูธรรมใหญ่รินทอง สนธิหา ผู้สืบทอดรุ่นที่ 1 ได้ถึงแก่กรรม ทางคณะศิษย์จึงเชิญฆราวาสครูธรรมใหญ่ทองพลู กอมณี ขึ้นเป็นผู้สืบทอดรุ่นที่ 2 เมื่อครูธรรมใหญ่ทองพลู กอมณี 
      ต่อมาเมื่อปี พ.ศ.2558 องค์ที่ 9 ญาถ่านทา นาควัณโณ เป็นผู้สืบทอดรุ่นที่ 2 และฆราวาสครูธรรมใหญ่ทองพลู กอมณี ผู้สืบทอดรุ่นที่ 2 เริ่มแก่ชราจึงได้มอบหมายให้ องค์ที่ 10 ญาถ่านเบิ้ม อุตฺตโม เป็นผู้สืบทอดเป็นรุ่นที่ 3 พร้อมฆราวาสครูธรรมใหญ่เวด สีจันทะวง ขึ้นเป็นผู้สืบทอดรุ่นที่ 3 จนถึงปัจจุบัน


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 27 พฤษภาคม 2566, 18:20:43
ครูธรรมอำพล พงสวัสดิ์


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 01 มิถุนายน 2566, 12:48:19
ปี 2566


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 18 มิถุนายน 2566, 23:31:16
ญาถ่านสำเร็จอุตฺตมะ ผู้เป็นพระอาจารย์ญาถ่านสำเร็จลุน

ญาถ่านสำเร็จอุตฺตมะ แห่งวัดสิงหาญ บ้านสะพือ ตำบลสะพือ อำเภอตระการพืชผล ซึ่งมีศักดิ์เป็นอาของญาถ่านสำเร็จลุน ได้นำหลานชายชื่อลุน มาอุปสมบทและให้ศึกษาเล่าเรียนอักษรสมัย ทั้งอักษรขอมและอักษรธรรม พระธรรมวินัยการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานควบคู่กันไป รวมทั้งหลวงปู่สีดาและลูกศิษย์อื่น ๆ ด้วย

ญาถ่านสำเร็จอุตฺตมะ ในราวปี 2335 ท่านได้ธุดงค์เพื่อไปกราบพระธาตุพนม จากนั้นจึงเข้าไปกราบพระครูพรหมา เพื่อได้ขอศึกษาตำราใบลาน ญาถ่านสำเร็จอุตฺตมะ ถือว่าเป็นพระปรมาจารย์ใหญ่รุ่นแรกในสมัยนั้น เชื่อถือกันว่าเป็นผู้เรืองฤทธิ์ มีตำรายา ตำราเวทมนต์ คาถาอาคม มีวัตรปฏิบัติที่น่าเคารพเลื่อมใสมาก ญาถ่านสำเร็จอุตฺตมะสังเกตลูกศิษย์คนสำคัญทั้งสองว่ามีวัตรปฏิบัติแตกต่างกัน โดยที่หลวงปู่สีดามีความขยันขันแข็ง ช่วยกิจการงานวัดทุกอย่างมิได้ขาด ส่วนญาถ่านสำเร็จลุน หลังจากฉันอาหารแล้ว ก็ไม่ช่วยกิจการงานวัดอะไร เอาแต่นั่งสมาธิภาวนาอย่างเดียว ญาถ่านสำเร็จอุตฺตมะจึงบอกว่า “ถ้าชอบภาวนาอย่างเดียว เจ้าก็ออกไปอยู่ป่าเสีย” จะด้วยไม่พอใจคำพูดของ “หลวงอา” หรือมีจุดประสงค์อะไรก็ไม่มีใครทราบ ญาถ่านสำเร็จลุนก็เลยออกไปอยู่ป่า หายตัวไปโดยไม่มีใครทราบว่าไปอยู่วัดใด หรือสำนักของใคร เป็นเวลากว่า 20 ปี จึงได้หวนกลับมาที่วัดสิงหาญอีกครั้งหนึ่ง กลับมาพร้อมชื่อเสียงหลายด้าน ทั้งการปฏิบัติธรรม คาถาอาคม เวทมนต์ ตำรายาและอิทธิฤทธิ์เหาะเหินเดินอากาศได้ มีคนเคารพนับถือจำนวนมากขึ้นจนเป็นที่เลื่องลือกันมากในขณะนั้น

วัดสิงหาญ ตั้งอยู่ที่หมู่ที่ 4 ตำบลสะพือ อำเภอตระการพืชผล จังหวัดอุบลราชธานี
ประวัติวัด เป็นวัดเก่าแก่ดั้งเดิม สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2345 ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อ พุทธศักราช 2395 มีพื้นที่ 6 ไร่ 2 งาน 91 ตารางวา มีพระเถราจารย์ที่เป็นที่เคารพเลื่อมใสของชาวบ้านและประชาชนทั่วไปหลายรูป แต่เดิมวัดสิงหาญเป็นที่รก เต็มไปด้วยสัตว์มากมาย ปัจจุบันเป็นวัดที่เงียบสงบ

เจ้าอาวาสองค์แรก ญาถ่านสำเร็จอุตฺตมะ  พ.ศ. 2390-2420

วัดสิงหาญสร้างราว พ.ศ.2345 โดยญาท่านอุตตะมะ (อุต) เป็นผู้ก่อตั้ง มีความเป็นมากล่าวคือ ญาถ่านสำเร็จอุตฺตมะ ได้ย้ายมาจาก ฝั่งขวาแม่น้ำโขงไม่ทราบได้ว่าบ้านใหน ได้บวชเป็นพระและได้เดินทางมาบ้านสะพือ ชาวบ้านจึงได้นิมนต์ท่านให้อยู่จำพรรษที่บ้านสะพือ ญาถ่านสำเร็จอุตฺตมะ ท่านจึงได้บอกว่าถ้าจะให้จำพรรษอยู่ที่บ้านสะพือนี้ก็จะเอาพ่อแม่มาด้วย ชาวบ้านจึงได้ตกลง ท่านจึงอพยพครอบครัวมา ตั้งถิ่นฐานอยู่ที่        
บ้านสะพือ ชาวบ้านได้จัดสรรที่ทำมาหากินให้มีไร่นาสวนพออยู่พอกิน ส่วนญาถ่านสำเร็จอุตฺตมะนั้นได้ตั้งสำนักสงฆ์ขึ้นอยู่ที่ป่าทางทิศให้ห่างจากหมู่บ้านประมาณ 1 กิโลเมตร ชื่อ "วัดศรีสุมัง"  ( ปัจจุบันได้ขุดเป็นสระน้ำสาธารณะ ชาวบ้านเรียก สระโนนวัด เพราะเคยเป็นวัดมาก่อน ) แต่ชาวบ้านเห็นว่าการนำภัตราหารเช้า,เพลไปถวายลำบาก เนื่องจากอยู่ไกลหมู่บ้าน จึงได้ย้ายวัดมาตั้งใหม่ที่ริมหมู่บ้านทางทิศใต้ (ที่ตั้งวัดในปัจจุบัน) ชาวบ้านได้ช่วยกันถากถาง สร้างกุฎิให้พระอยู่อาศัย ญาท่านอุต จึงได้ย้ายมาจำพรรษาอยู่ที่นี่ ราว พ.ศ.2345 เรียกชื่อวัดนี้ว่า "วัดสิงหาญ" จนถึงปัจจุบัน


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 19 มิถุนายน 2566, 11:21:05
เจ้าราชครูหลวงโพนสะเม็ก : พระครูยอดแก้ว “ญาคูขี้หอม”

ใน ปี 2241 เมื่อครั้งสมเด็จพระเจ้าสุริยวงศาธรรมาธิราช สวรรคตได้ 8 ปี ประเทศลาวที่กว้างใหญ่ไพศาลได้ถูกแบ่งออกเป็น 3 อาณาจักร เป็นอาณาจักรล้านช้างหลวงพระบาง อาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์ และอาณาจักรล้านช้างจำปาสัก  โดยเฉพาะอาณาจักรล้านช้างจำปาสัก มีความผูกพันกับพระครูยอดแก้วโพนสะเม็ก ซึ่งเป็นพระครูที่มีชื่อเสียงโด่งดัง เป็นที่เคารพศรัทธาสูงสุดของชาวลาวตอนล่าง จนได้รับฉายาว่า “พระครูขี้หอม” หรือ “ญาคูขี้หอม” ด้วยความเลื่อมใสศรัทธาอย่างสุดซึ้ง ส่งผลให้ผู้คนเก็บสิ่งของเครื่องใช้ของท่านพระครูมาบูชา แม้แต่อุจจาระของท่านก็ไม่รังเกียจ เนื่องจากพระครูยอดแก้วโพนสะเม็กฉันอาหารมังสวิรัติประเภท เผือก มัน งา มะตูม จึงทำให้อุจจาระของท่านไม่มีกลิ่นเหม็น
“เจ้าราชครูหลวงโพนสะเม็ก” เกิด ณ บ้านกะลึม เมืองพาน (ปัจจุบันอยู่ในเขตอำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี) ตรงกับรัชสมัยแผ่นดินพระเจ้าปราสาททองของกรุงศรีอยุธยา อันเป็นยุคเดียวกับพระอุปราชครองกรุงเวียงจันทน์ เจ้าราชครูได้บรรพชาศึกษาเล่าเรียนทางธรรมอย่างแตกฉานมาตั้งแต่อายุยังน้อย จนได้รับการสถาปนาเป็น “ซาจัว” หรือราชาเณร
ภายหลังการอุปสมบทแล้ว ได้มาประจำอยู่วัดโพนสะเม็ก ชานเมืองเวียงจันทน์ จนได้รับแต่งตั้งให้มีฐานันดรสมณศักดิ์เป็นเจ้าราชครูตั้งแต่ยังเป็นพระหนุ่ม จากพระเจ้าสุริยวงศา พระเจ้าแผ่นดิน แห่งกรุงเวียงจันทน์ แต่ประชาชนทั่วไปมักขนานนามว่า “พระครูยอดแก้วโพนสะเม็ก”
พระครูยอดแก้วโพนสะเม็ก เกี่ยวข้องผูกพันกับอาณาจักรจำปาสัก เมื่อครั้งลาวเกิดความแตกแยกจนถึงขั้นแบ่งแยกอาณาจักรล้านช้างออกเป็น 3 อาณาจักร ครั้นพระเจ้าสุริยวงศาธรรมาธิราช สิ้นพระชนม์ เกิดการแย่งชิงบัลลังก์ ระหว่างกลุ่มของเจ้าพระยาหลวงเมืองจัน กับกลุ่มของเจ้าชายองค์หล่อ ในที่สุดเจ้าพระยาหลวงเมืองจันสามารถยึดอำนาจได้ จึงสถาปนาตนเป็นพระเจ้าแผ่นดิน แต่ก็ยังมีกลุ่มต่างๆ ที่ไม่เห็นด้วยเกิดขึ้นอีกหลายกลุ่ม ที่พยายามแยกอำนาจเป็นอาณาจักรย่อยๆ ไม่ขึ้นต่อกัน
เมื่อครั้งเจ้าพระยาหลวงเมืองจัน สถาปนาตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์ ใน พ.ศ. 2237 ใช้อำนาจบังคับพระนางสุมังคลา ราชธิดาของพระเจ้าสุริยวงศาธรรมาธิราช ซึ่งเป็นหม้ายและกำลังทรงพระครรภ์อยู่ อีกทั้งมีโอรสองค์หนึ่งชื่อ เจ้าองค์หล่อ รวมไปถึงการคิดจะกำจัดเจ้าองค์หล่อด้วย แต่อำมาตย์ที่จงรักภักดีได้พาเจ้าองค์หล่อหนีไปอยู่เมืองพานพูชุน ส่วนพระนางสุมังคลาหนีไปพึ่งพระครูยอดแก้วโพนสะเม็ก
ครั้นเจ้าพระยาหลวงเมืองจันทราบข่าว ก็คิดจะกำจัดพระครูยอดแก้วด้วย แต่ท่านพระครูรู้ตัวเสียก่อน จึงพานางสุมังคลาและญาติโยมประมาณ 3,000 คน หนีภัยจากเวียงจันทน์ ล่องแม่น้ำโขงลงสู่ภาคใต้ ฝ่ายเจ้าพระยาหลวงเมืองจันครองราชย์ได้ 6 เดือน ก็ถูกฝ่ายเจ้าองค์หล่อจับฆ่า แล้วอภิเษกขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน เจ้าองค์หล่อครองราชย์ได้ 4 ปี ก็ถูกเจ้านันทราชจับประหารชีวิต ใน พ.ศ. 2242 แล้วขึ้นครองราชย์แทน ส่วนเจ้านันทราชครองบัลลังก์ได้เพียง 2 ปี ก็ถูกเจ้าไชยองค์เว้จับประหารชีวิตอีก เจ้าไชยองค์เว้ก็ขึ้นครองราชย์ ทรงพระนามว่า พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ 2 จากนั้นจึงแต่งตั้งเจ้าลองเป็นอุปราชขึ้นไปครองเมืองหลวงพระบาง
หลังจากพระครูยอดแก้วโพนสะเม็กกับประชาชนอพยพลงใต้ตามลำน้ำโขง มาจนถึงเมืองนครพนม พระครูยอดแก้วและญาติโยมได้พากันบูรณปฏิสังขรณ์องค์พระธาตุพนม ใน พ.ศ. 2233
หลังจากที่พระครูยอดแก้วโพนสะเม็กบูรณะพระธาตุพนมสำเร็จเรียบร้อย ใน พ.ศ. 2236 แล้ว ได้แบ่งครอบครัวจำนวนหนึ่งให้อยู่อุปัฏฐากพระบรมธาตุ ส่วนผู้คนที่เหลือนอกนั้นได้นำลงเรือลอยไปตามลำน้ำโขง จนล่วงเข้าสู่แดนเขมรในที่สุด
เมื่อฝ่ายเขมรทราบข่าว ก็ไม่อนุญาตให้คณะของพระครูยอดแก้วโพนสะเม็กอยู่ในดินแดน พระครูยอดแก้วจึงต้องอพยพผู้คนกลับขึ้นมาพำนัก และสร้างชุมชนสำคัญหลายแห่งในบริเวณเกาะดอนกลางแม่น้ำโขง บริเวณที่เรียกว่า “สี่พันดอน” โดยเฉพาะ “ดอนโขง” พระครูยอดแก้วและชาวเวียงจันทน์ที่อพยพติดตามมานั้นได้พากันตั้งชุมชนอยู่ที่ “บ้านเมืองแสน” ปัจจุบันเป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่ อยู่ด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ของดอนโขง เป็นหมู่บ้านท่าด่าน ทำการค้ากับเขมร  นอกจากนี้ ยังได้สร้าง “เมืองโขง” หรือ “เมืองสีทันดร” ในช่วงเวลาต่อมา ปัจจุบันเป็นเมืองศูนย์กลางของมหานทีสี่พันดอน


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 19 มิถุนายน 2566, 16:23:55
ญาถ่านสำเร็จลุน ปรมาจารย์ผู้ถ่ายทอดสรรพวิชาสองฝั่งแม่น้ำโขง
ญาถ่านสำเร็จลุน ได้จาริกธุดงค์ ปฏิบัติสมณธรรมแสวงหาความรู้ด้านต่าง ๆ ดังกล่าว ตามป่าเขา แนวฝั่งแม่น้ำโขงทั้งสองด้านจากจังหวัดอุบลราชธานีตลอดถึงนครจำปาศักดิ์ ซึ่งเดิมอยู่ในเขตการปกครองของไทย จนเป็นที่เคารพเลื่อมใสศรัทธาของผู้คนสองฝั่งโขงแถบนี้เป็นอย่างมากจนบางครั้งลือว่า ญาถ่านสำเร็จลุน เป็น “ผู้วิเศษ” มีฤทธาศักดาเดชเหาะเหินเดินอากาศได้ ทั้งนี้อาจเป็นเพราะท่านเป็น “ผู้รู้” หลายด้าน โดยเฉพาะเป็นผู้รักสันโดษ มักน้อย ฉันมื้อเดียวตลอดไม่รับเงินรับทอง ไม่สะสมทรัพย์สมบัติ และปฏิบัติกัมมัฏฐานเป็นอาจิณ ที่สำคัญคือเป็นผู้มี “มนต์” หรือ “คาถา” ที่เชื่อว่ามีความศักดิ์สิทธิ์หลายด้าน รวมทั้งตำรายาและเวทมนต์คาถาอื่น ๆ อีกมาก สิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็น “ความเชื่อ” ของคนในยุคสมัยนั้นว่า สามารถช่วยขจัดปัดเป่าโรคภัย ไข้เจ็บ ตลอดจนเสริมสร้างขวัญกำลังใจให้หายจากความทุกข์ต่าง ๆ ได้


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 20 มิถุนายน 2566, 15:50:41
หลวงปู่สว่าง โพธิญาโณ ผู้สืบทอดรุ่นที่ 1
ประวัติจากคำบอกเล่าจากปากท่าน และชาวบ้าน

#ท่านผู้ส่งต่อ เกษา และอัฐิ #ปรมาจารย์ปู่สมเด็จลุน
หลวงปู่สว่าง โพธิญาโณ วัดสนามชัย บ.นาหว้าน้อย อ.เขมราฐ จ.อุบลฯ เกิดปี 2457 ศิษย์ผู้เป็นพี่ของหลวงปู่จันทร์หอม สุภาทโร เจ้าอาวาสวัดบุ่งขี้เหล็ก อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
...หลวงปู่สว่างได้เล่าให้ลูกหลานฟังว่า สมัยนั้นท่านยังไม่ข้ามมาฝังไทย ยังธุดงปฏิบัติกรรมฐานตามป่าเขาในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
เล่าเรียนอาคมสายปู่สมเด็จลุน จึงมีโอกาสได้เจอกับศิษย์ผู้น้อง คือ หลวงปู่จันทร์หอม สุภาทโร ต่อมาท่านปรมาจารย์ใหญ่ท่านอาจารย์สมเด็จตันที่ประสิทธิ์วิชา
ท่านเป็นเคยอุปถากหลวงปู่สมเด็จลุน จึงได้แบ่งเกษา อิฐิ บ้างส่วนให้หลวงปู่สว่างติดตัว ต่อมาหลวงปู่ท่านได้เดินทางข้ามมาฝั่งประเทศไทยในปี พ.ศ.2513 มาอยู่ที่วัดสนามชัย หลังจากนั้นไม่นานเกิดปัญหาภายในประเทศลาวเมื่อ พ.ศ.2518 พี่น้องทางประเทศลาวจึงข้ามมาฝังไทยเป็นจำนวนมาก

การสืบทอดจนมาเป็นสายธรรมอุตฺตโมบารมี
1.องค์ต้นปรมาจารย์ใหญ่สมเด็จพระเจ้าสังฆราชาสัทธรรมโชตนาญาณวิเศษ (เจ้าราชครูหลวงโพนสะเม็ก) พ.ศ. 2174-2264
2.ปรมาจารย์ใหญ่พระครูพรหมา (เจ้าอาวาสพระธาตุพนม องค์ที่ 4) ผู้เก็บรักษาตำราใบลานของเจ้าราชครูหลวงโพนสะเม็ก พ.ศ. 2335 – ๒๔๑๐
3.ปรมาจารย์ใหญ่ญาถ่านอุตตมะ (อุปัชญาย์สำเด็จลุน มีศักดิ์เป็นหลวงอา และเป็นผู้ก่อตั้งสายอุตฺตมะอุตฺตโม ปัจจุบันได้เปลี่ยนเป็น สายธรรมอุตฺตโมบารมี เริ่มไหว้ครูธรรมใหญ่ครั้งแรก ปี 2405) ท่านได้ธุดงค์เพื่อไปกราบพระธาตุพนม จากนั้นจึงเข้าไปกราบพระครูพรหมา เพื่อได้ขอศึกษาตำราใบลาน พ.ศ. 2345-2395
4.ปรมาจารย์ญาถานสมเด็จลุน พระผู้ทรงอภิญญาแห่งประเทศลาว พ.ศ.๒๓๗๙ – ๒๔๖๓
5.บรมครูใหญ่ญาถ่านสว่าง โพธิญาโณ  ผู้สืบทอดรุ่นที่ 1 (ผู้รับมอบเกศา อัฐิ ตำราใบลานสำเร็จลุน จากญาถ่านสำเด็จตัน)พ.ศ.๒457-2553
6.บรมครูใหญ่ญาถ่านทา นาควัณโณ  ผู้สืบทอดรุ่นที่ 2 (ผู้สืบทอดจากญาถ่านตู๋ ผู้เป็นศิษย์ญาถ่านสว่าง โพธิญาโณ )พ.ศ. 2475 – ปัจจุบัน
7.บรมครูญาถ่านเบิ้ม อุตฺตโม ผู้สืบทอดรุ่นที่ 3 พ.ศ. 2510 – ปัจจุบัน


ประวัติความเป็นมาพิธีกรรมไหว้ครูธรรมใหญ่
สายธรรมอุตฺตโมบารมี
     เดิม ศิษย์รุ่นแรกจะ เรียกว่า สายอุตฺตมะอุตฺตโม ความเป็นมาพิธีกรรมไหว้ครูธรรมใหญ่สายอุตฺตมะอุตฺตโม ในทุกปีจะมีการทำพิธีกรรมไหว้ผีไท้หรือผีเชื่อสาย พร้อมกับพิธีไหว้ครูธรรมใหญ่ที่ต้องจัดขึ้นทุกปี หลวงปู่เล่าว่า หลวงปู่สำเร็จต้นบอกกับท่านว่า พิธีกรรมไหว้ครูธรรมใหญ่เท่าที่ท่านจำได้ว่า น่าจะเริ่มมีการจัดในสมัยที่ญาท่านอุตตะมะปฐมาจารย์ใหญ่ผู้เป็นอาจารย์ของสำเร็จลุน เจ้าอาวาส วัดสิงหาญ ต.สะพือ อ.ตระการพืชผล จ.อุบลราชธานี พ.ศ.2345-2395 ก่อนท่านมรณะ 10 ปี ก็จะอยู่ในช่วงปี พ.ศ.2405 และเป็นช่วงของญาท่าน(สำเร็จ)สีดา เจ้าอาวาส พ.ศ.2395-2450 เพราะหลวงปู่สำเร็จต้นจำได้ว่าตรงกับวันสำคัญ คือ วันพระราชสมภพ เจ้าแก้วนวรัฐ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่องค์ที่ 9 แห่งราชวงศ์ทิพย์จักราธิวงศ์ (เจ้าเจ็ดตน) ซึ่งเป็นองค์สุดท้ายแห่งนครเชียงใหม่ พ.ศ.2405 จะอยู่ในช่วงนี้ ดังนั้นการหาวันพิธีกรรมไหว้ครูธรรมใหญ่ปีนั้นจึงมีความง่ายมาก เพราะครูบาอาจารย์ได้ให้ลูกศิษย์ใช้ วันที่ขึ้น 3 ค่ำ เดือนสาม ของทุกปีจัดพิธีกรรมไหว้ครูธรรมใหญ่ จึงสามารถสรุปวันพิธีกรรมไหว้ครูธรรมใหญ่ ทั้งแรกคือ วัน อาทิตย์ ที่ 2 เดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ.2405 ขึ้น ๓ ค่ำเดือนสาม(๓) ปีระกา นับจากนั้นมาจึงเริ่มมีการทำพิธีไหว้ครูธรรมใหญ่อย่างเป็นทางการ ปัจจุบันปี 2563 มีอายุการประกอบพิธีกรรมมาแล้ว 158 ครั้ง

ต่อมา มีลูกศิษย์ได้จัดสร้างเหรียญหลวงปู่สว่าง เมื่อ 1 ธ.ค.51 จำนวน เหรียญ 500 เหรียญ
หลังจากนั้นหลวงปู่สว่างท่านป่วยหนักญาติพี่น้องลูกหลานจึงพาท่านกลับยังถิ่นฐานบ้านเกิดยังสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
แล้วท่านก็มรณะภาพ ที่วัดบ้านนาแก เมืองไกสอนพมวิหาน แขวงสุวรรณเขต รวมอายุได้ 96 ปี พรรษา 75

หลวงปู่สว่างก่อนที่จะล้มป่วย ท่านได้มอบเกษา และอัฐิ ให้กับปู่รินทอง หัวหน้าโรงเลื่อยบ้านนาสนาม ปู่รินทองคือบิดาของญาถานเบิ้ม ต่อมา
เกษา และอัฐิ #ปรมาจารย์ปู่สมเด็จลุน วัดเวินไซ เมืองโพนทอง แขวงนครจำปาสัก สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวที่ได้รับการส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น
จนมาถึงสายธรรมอุตฺตโมบารมี โดยมีหลักฐานพยานบุคคล ไม่ว่าจะเป็นเชื่อสายตรง ชาวบ้านที่อยู่ใกล้วัดเวินไซ หรือศิษย์ที่ข้ามมาไทย
ท่านได้นำข้ามมายังประเทศไทย บ้างท่านได้แต่ผงอัฐิ บ้างท่านได้ เขี้ยวท่าน บ้างท่านได้ เกษา
และยิ่งมีเกิดความบังเอิญ ท่านที่ได้ครอบครอง ได้แบ่งให้บรมครูสายธรรมอุตฺตโมบารมี วัตถุประสงค์เพื่อให้เป็นเสาหลักให้ศิษย์สายปรมาจารย์ได้กราบบูชาเป็นตัวแทน ...


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 22 มิถุนายน 2566, 10:51:31
พระครูพรหมา ปรมาจารย์ใหญ่ผู้มอบตำราให้ปรมาจารย์ใหญ่ญ่าถ่านสำเร็จอุตฺตมะ
ข้อมูลที่มาจากคำบอกกล่าว
พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ 3 หรือ พระเจ้าศิริบุญสาร เป็นเจ้าผู้ครองอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์ ลำดับที่ 4 (พ.ศ. 2294 - พ.ศ. 2322) พระราชโอรสในเจ้าองค์ลอง, เสียเอกราชแก่สยามในปี พ.ศ. 2322
      องค์ที่ 4 พระเจ้านันทเสน เป็นเจ้าผู้ครองอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์ ลำดับที่ 5 (พ.ศ. 2325 - พ.ศ. 2337) พระราชโอรสในพระเจ้าศิริบุญสาร
      องค์ที่ 5 พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ 4 หรือ พระเจ้าอินทวงศ์ เป็นเจ้าผู้ครองอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์ ลำดับที่ 6 (พ.ศ. 2337 - พ.ศ. 2348) พระราชสมภพเมื่อใดไม่ปรากฏ และสวรรคตเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2348 ทรงเป็นพระราชอนุชาในพระเจ้านันทเสน, พระบรมอัยกาธิราชในสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดี ในรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
      ต่อมาพระธรรมราชาเจ้าเมืองศรีโคตรบูรณ์องค์สุดท้าย ได้ย้ายเมืองมาตั้งบนฝั่งขวา (ฝั่งไทย) เยื้องเมืองเก่าไปทางเหนือแล้วขนานนามเมืองใหม่ว่า เมืองนคร
จากนั้นมีการโยกย้ายชุมชนเมืองอีกหลายครั้ง พ.ศ.2321 ในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ได้มีการย้ายเมืองมาตั้งที่บ้านหนองจันทร์
ห่างขึ้นไปทางเหนือ 52 กิโลเมตร ในปี พ.ศ. 2333 รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
เมืองนครก็ได้ขอขึ้นตรงต่อกรุงเทพมหานคร โดยพระองค์ทรงพระราชทานนามใหม่ขึ้นว่า นครพนม ชื่อนครพนมนั้น
      ต่อมา วัดพระธาตุพนม จึงได้มีเจ้าอาวาสนาม องค์ที่ 6 พระครูพรหมา (เจ้าอาวาสพระธาตุพนม องค์ที่ 4) ผู้เก็บรักษาตำราใบลานของเจ้าราชครูหลวงโพนสะเม็ก พ.ศ. 2335 – 2410
      ต่อมาปรมาจารย์ใหญ่ญาถ่านอุตตมะ ได้ย้ายมาจากฝั่งขวาแม่น้ำโขง มาสร้างวัดสิงหาญ ราว พ.ศ.2345 โดยญาท่านอุตตะมะ (อุต) เป็นผู้ก่อตั้ง มีความเป็นมากล่าวคือ ญาถ่านอุตตะมะ ได้ย้ายมาจาก ฝั่งขวาแม่น้ำโขงไม่ทราบได้ว่าบ้านใหน ได้บวชเป็นพระและได้เดินทางมาบ้านสะพือ ชาวบ้านจึงได้นิมนต์ท่านให้อยู่จำพรรษที่บ้านสะพือ ญาถ่านอุต ท่านจึงได้บอกว่าถ้าจะให้จำพรรษอยู่ที่บ้านสะพือนี้ ก็จะเอาพ่อแม่มาด้วย ชาวบ้านจึงได้ตกลง ท่านจึงอพยพครอบครัวมา ตั้งถิ่นฐานอยู่ที่บ้านสะพือ ชาวบ้านได้จัดสรรที่ทำมาหากินให้มีไร่นาสวนพออยู่พอกิน ส่วนญาถ่านอุตนั้นได้ตั้งสำนักสงฆ์ ขึ้นอยู่ที่ป่าทางทิศให้ห่างจากหมู่บ้านประมาณ 1 กิโลเมตร ชื่อ "วัดศรีสุมัง"  ( ปัจจุบันได้ขุดเป็นสระน้ำสาธารณะ ชาวบ้านเรียก สระโนนวัด เพราะเคยเป็นวัดมาก่อน ) แต่ชาวบ้านเห็นว่าการนำภัตราหารเช้า,เพลไปถวายลำบาก เนื่องจากอยู่ไกลหมู่บ้าน จึงได้ย้ายวัดมาตั้งใหม่ที่ริมหมู่บ้านทางทิศใต้ (ที่ตั้งวัดในปัจจุบัน) ชาวบ้านได้ช่วยกันถากถาง สร้างกุฎิให้พระอยู่อาศัย ญาถ่านอุต จึงได้ย้ายมาจำพรรษาอยู่ที่นี่ ราว พ.ศ.2345 เรียกชื่อวัดนี้ว่า "วัดสิงหาญ" จนถึงปัจจุบัน


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 16 กรกฎาคม 2566, 22:54:48
ตะกรุดโทนแคว้นคลาดนวภา
ตะกรุดโทนสุริยะนวภาสามกษัตริย์
สร้างปี 2563

ตะกรุดโทนสุริยะนวภาสามกษัตริย์
จัดสร้าง 108 ดอก

ตะกรุดโทนแคว้นคลาดนวภา
จัดสร้าง 999 ดอก

ตะกรุดชุดนี้ได้อุดมวลสารศักดิ์สิทธิ์พันกว่าชนิด

อธิษฐานจิตโดย
ญาถ่านสำเร็จทา นาควัณโณ ผู้สืบทอดรุ่นที่ 2
ญาถ่านเบิ้ม อุตฺตโม ผู้สืบทอดรุ่นที่ 3


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 17 กรกฎาคม 2566, 00:12:58
ตะกรุดสามกษัตริย์ตันปืน ปี 2550

จำนวนการจัดสร้าง 9 ชุด ประกอบด้วย
- ตะกรุดสามกษัตริย์
- เศียรพ่อปู่ฤาษีรุ่น 3 พิเศษ
- เม็ดลูกประคำทุกชุด

อธิษฐานจิตโดย
ญาถ่านสำเร็จอ่อง ฐิตธัมโม
ญาถ่านสำเร็จจันทร์หอม สุภาทโร
ญาถ่านสำเร็จทา นาควัณโณ ผู้สืบทอดรุ่นที่ 2
ญาถ่านเบิ้ม อุตฺตโม ผู้สืบทอดรุ่นที่ 3


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 14 สิงหาคม 2566, 00:22:11
เหรียญ รุ่น เลื่อนสมณศักดิ์ ปี 2566

พระครูอัมพวันเขมากร (ญาถ่านเบิ้ม อุตฺตโม)

จัดสร้าง 5 รายการ
1.เนื้อทองคำ 1 เหรียญ
2.เนื้อเงินลงยา 19 เหรียญ
3.เนื้อทองแดง 999 เหรียญ
4.จัดสร้างเป็นชุด 3 เหรียญ จำนวน 108 ชุด
   -เนื้อทองคำขาวลงยา 108 เหรียญ
   -เนื้อนวะ 108 เหรียญ
   -เนื้อทองเหลือง 108 เหรียญ

   สำหรับเหรียญเลื่อนสมณศักดิ์รุ่นแรกนี้ ถือได้ว่าเป็นเหรียญที่ออกแบบมาได้อย่างสวยงามมีความคมชัดลึกได้มิติแห่งเหรียญพระพุทธ
องค์ประกอบต่างๆก็สื่อความหมายอันเป็นมหามงคลได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ กล่าวคือ ด้านหน้าได้จำลองรูป “ พระครูอัมพวันเขมากร (ญาถ่านเบิ้ม อุตฺตโม) ” พื้นหลังเป็นรูปแบบพัดยศ
ส่วนด้านหลังจะมีตรา สายธรรมอุตฺตโมบารมี
   จึงถือได้ว่าเหรียญเลื่อนสมณศักดิ์นี้ เป็นเหรียญรุ่นแรก ด้วยความเชื่อที่ว่ารูปพัดยศ และ คำว่า “ เลื่อนสมณศักดิ์ ” ซึ่งล้วนแต่สื่อถึงความหมายอันเป็นมงคลยิ่งของการมีลาภ
ยศถาบรรดาศักดิ์ ความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน จะได้เป็นใหญ่เป็นโตต่อไปในภายภาคหน้า
   จัดสร้างเป็นที่ระลึกในคราวฉลองสมณศักดิ์พระครูสัญญาบัตรชั้นเอก ในปี พ.ศ.2566 หรือที่นิยมเรียกกันว่า "เหรียญเลื่อน" จัดได้ว่าเป็นที่นิยมอย่างยิ่งในหมู่ข้าราชการ ยิ่งฤดูกาลแต่งตั้งเป็นต้องเสาะหามาบูชากัน เพื่อเป็นขวัญกำลังใจในการแข่งขันดำรงตำแหน่งให้สูงยิ่งขึ้น เป็นเหรียญที่น่าบูชาเพื่อความเป็นสิริมงคล เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่งเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 14 สิงหาคม 2566, 12:15:47
พระครูลืมบอง หรือ ญาคูลืมคบไฟ

...วัดโพพันลำหรือวัดภูพันลืม ปัจจุบันวัดดังกล่าว คือบริเวณดอนปู่ตาประจำหมู่บ้านกาลืม ตำบลเมืองพาน อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี เมื่อปี พ.ศ 2189 ท่านเจ้าราชครูหลวงโพนสะเม็ก หรือ ญาครูขี้หอม เดินเป็นคนบ้านดงกืม เมืองอาดสะพังทองแขวงสะหวันนะเขต ครอบครัวได้อพยพมาอาศัยอยู่บ้านกาลืม ตำบลเมืองพาน อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี เมื่อท่านเจ้าราชครูหลวง มีอายุได้ 15 ปีท่านพระครูลืมบองได้บรรพชาเจ้าราชครูหลวงเป็นสามเณร(จัว)ทั้งนี้ท่านพระครูลืมบองนั้นมีศักดิ์เป็นญาติผู้ใหญ่ทางโยมบุพการีของท่านเจ้าราชครูหลวงเป็นสามเณร(จัว) และพระครูลืมบองได้ถ่ายทอดวิชาพระเวทย์คาถาอาคม ที่เป็นยอดวิชาธรรมะธาตุ และวิชาต่างๆ ท่านเจ้าราชครูหลวงเป็นสามเณร(จัว) จนหมดทุกอย่าง ด้วยความฉลาดของท่านเจ้าราชครูหลวงเป็นสามเณร(จัว) จึงสามารถศึกษาจากพระครูลืมบอง ได้จนหมดเปลือก ต่อมาพระครูลืมบองไม่มีอะไรจะสอน จึงได้บอกให้เจ้าราชครูหลวงเป็นสามเณร(จัว) เดินทางไปฝากตัวศึกษาต่อกับพระครูยอดแก้ว    
...จากตำนานท้องถิ่นเล่ากันว่าท่านพระครูลืมบองเป็นพระเถระที่เคร่งครัดในพระธรรมวินัยและศึกษาวิปัสสนาธุระเป็นประจำ อีกทั้งมีความเชี่ยวชาญในเวทมนต์ คาถาอาคมรวมถึงไสยศาสตร์จนเป็นที่เคารพแก่เจ้าเมืองโพพันลำ ถึงขนาดเจ้าเมืองอาราธนาท่านพระครูลืมบองไปดูแลเมืองพานแทน ด้วยความเก่งกล้าและความสามารถของท่านพระครูลืมบอง


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 24 สิงหาคม 2566, 21:16:16
จุดเริ่มต้นการรับอิทธิพลอถรรพเวท
อิทธิพลของอถรรพเวทในศาสนาพุทธจนมาถึงการสืบทอดอถรรพเวทสายธรรมอุตฺตโมบารมี(สายอุตฺตมะอุตฺตโม) เวทย์มนตร์คาถาได้เกิดมาแล้วก่อนศาสนาพุทธซึ่งเราได้พบในคัมภีร์อถรรพเวท อันเป็นต้นกำเนิดของเวทมนตร์ทั้งหลาย หรือเกิดก่อนหน้านั้นซึ่งเป็นความเชื่อของชนดั้งเดิม ของอินเดียในพุทธศาสนาพระพุทธเจ้าห้ามมิให้พระภิกษุสงฆ์ยึดมั่นอยู่ในสิ่งนี้เพราะถือว่าเป็นเดรัจฉานวิชา และไม่ได้เป็นหนทางนำไปสู่นิพพาน มีการห้ามในพระวินัยบัญญัติไม่ให้พระสาวกอวดอุตริมนุษยธรรมหลอกลวงแสดงอิทธิฤทธิ์แข่งขัน    กับลัทธิอื่น แต่ถึงกระนั้นก็มีเหตุการณ์หลายครั้งที่นำไปสู่สิ่งที่เชื่อกันว่าเกี่ยวข้องกับเวทย์มนตร์ เช่น ในสมัยพระพุทธเจ้าทรงมีพระชนม์มีพระภิกษุถูกงูกัด ถึงแก่มรณภาพ พระพุทธเจ้าให้พระภิกษุมีเมตตาในงูเพื่อเป็นการป้องกันตนเองโดยการสวด ขันธปริตต์หรืออหิราชปริตต์ ให้พระภิกษุสวดมนตร์ให้เทวดา ภูตผีศาจที่มารบกวนให้รักใคร่ด้วยการสวด กรณียเมตตปริตต์ ทรงสวดให้พระมหาสาวกฟังบ้างเมื่อเกิดอาพาธ และให้    พระสาวกสวดถวายให้ทรงสดับบ้าง เช่น โพชฌงคปริตต์ เหตุการณ์เหล่านี้เอง ที่ทำให้เราเชื่อว่าเป็นต้นกำเนิดของเวทย์มนตร์ในพุทธศาสนา
ในบรรดาเวทมนตร์ทั้งหลายที่ถือกันว่าเป็นมนต์ขลังและศักดิ์สิทธิ์ในพระพุทธศาสนา สามารถขจัดปัดเป่าภยันตรายต่าง ๆ ที่เกิดจากธรรมชาติ จากภูตผี จากมนุษย์ จากสัตว์ร้าย ความชั่วร้ายทั้งหลาย และสิ่งที่ไม่เป็นมงคลทั้งหลาย และให้ความสุข ความพ้นทุกข์ ความมีชัย ก็คือ พระปริตต์ มีสัตตปริตต์ (เจ็ดตำนาน) และทวาทสปริตต์ (สิบสองตำนาน) เชื่อกันว่าพระปริตต์มาจากคำว่า รักษ์มนตร์ในอถรรพเวท มีการใช้คำใหม่ในพุทธศาสนา พระปริตต์ที่เก่าที่สุดซึ่งแต่งในพุทธศตวรรษที่ 5 มี 6 ปริตต์ ขันธปริตต์ (รัตนสูตร) สุวัตถิปริตต์ โมรปริตต์ ธชัคคปริตต์ อาฏานาฏิยปริตต์ องคุลิมาลปริตต์
ในพุทธศตวรรษที่ 10 ท่านพุทธโฆษาจารย์ได้อ้างถึงพระปริตต์ว่ามี 5 คือ รัตน ปริตต์ ขันธปริตต์ ธชัคคปริตต์ อาฏานาฏิยปริตต์ โมรปริตต์ ในปฐมสมันตปาสาทิกา มี 6 รตนปริตต์ เมตตปริตต์ ขันธปริตต์ ธชัคคปริตต์ อาฏานาฏิยปริตต์ และโมรปริตต์ การใช้พระปริตต์เกิดขึ้นเมื่อเกิดทุพภิกขภัยและโรคระบาด     ในลังกา ในสมัยพระเจ้าอุปติสสะที่ 1 ผู้ปกครองเมืองลังกา (พ.ศ. 911 -953) ทรงให้หล่อพระพุทธรูปปาง     อุ้มบาตร และให้นำน้ำมาใส่ ให้พระภิกษุสวดรตนสูตร แล้วพรมน้ำพระพุทธมนต์ไปตามถนน เกิดฝนห่าใหญ่ตกลงทำให้ความวิบัติจากโรคภัย และทุพภิขภัยหายไป
ทั้งหมดที่กล่าวอ้างมานี้ เป็นจุดเริ่มต้นของอถรรพเวทในศาสนาพุทธจนมาถึงการสืบทอดอถรรพเวทสายธรรมอุตฺตโมบารมี(สายอุตฺตมะอุตฺตโม)

การเข้ามาของศาสนา
คาดว่าศาสนาพุทธเข้าสู่ประเทศลาวเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ 13 โดยผ่านมาทางมอญและได้แพร่หลายไปจนทั่วประเทศในราวพุทธศตวรรษที่ 19 กษัตริย์ลาวทรงให้การสนับสนุนพุทธศาสนา ในอดีตพระสงฆ์ในลาวมีบทบาทด้านการให้การศึกษาแก่ประชาชน  สมัยอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์ในช่วงปลาย                 พุทธศตวรรษที่ 21 ถึงต้นพุทธศตวรรษที่ 22 พื้นที่ราบลุ่มน้ำโมงตอนกลางในเขตอำเภอบ้านผือยังพบศิลาจารึกอักษรไทยน้อย พ.ศ.2134 ที่วัดธาตุอุปสมาราม ตำบลเมืองพาน อำเภอบ้านผือ ซึ่งระบุชื่อขุนนางว่า          “ศรีพุมเวียงจันทน์” ด้วย  ทำให้สันนิษฐานว่าบริเวณที่ราบลุ่มน้ำโมงตอนกลางเป็นที่ตั้งของชุมชนโบราณ   เมืองพาน และถือเป็นชุมชนโบราณที่สำคัญแห่งหนึ่งของอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์ ที่น่าจะเกิดพัฒนาการความเป็นบ้านเป็นเมืองขึ้นในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 21 ถึงต้นพุทธศตวรรษที่ 22จากการที่ได้ย้ายศูนย์กลาง
การปกครองและเคลื่อนย้ายผู้คนครั้งใหญ่ในอาณาจักรล้านช้างชุมชนโบราณเมืองพานน่าจะเป็นชุมชนโบราณที่ไม่มีกำแพงเมืองหรือคูน้ำคันดินล้อมรอบ ศูนย์กลางของเมืองสันนิษฐานว่าน่าจะอยู่บริเวณบ้านเมืองพานและบ้านกาลึม ตำบลเมืองพาน อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี
หลังจากช่วงสมัยทวารวดีและเขมรผ่านไป ในราวพุทธศตวรรษ ที่ 22– 23 วัฒนธรรมล้านช้าง ได้แพร่เข้ามาที่ภูพระบาท พบหลักฐานเป็นพระพุทธรูปเช่น  พระพุทธรูปที่ถ้ำพระเสี่ยง ส่วนด้านสถาปัตยกรรมพบหลักฐานที่วัดลูกเขย
สันนิษฐานว่า เชื้อสายดั่งเดิมของพระครูลืมบอง เป็นคนเชื้อสายมอญ ได้อพยพมาพำนักอยู่      ประเทศไทยตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ท่านเป็นพระเถระที่เคร่งครัดในพระธรรมวินัยและศึกษาวิปัสสนาธุระ  เป็นประจำ อีกทั้งมีความเชี่ยวชาญในเวทมนต์ คาถาอาคมรวมถึง ไสยศาสตร์จนเป็นที่เคารพแก่เจ้าเมือง      โพพันลำ ถึงขนาดเจ้าเมืองอาราธนาท่านไปดูแลเมืองพานแทน ด้วยความเก่งกล้าและความสามารถของท่านรูปนี้ จึงได้สมญานามว่า (ญาคูเสือ) จากชาวบ้านเมืองโพพันลำ มอญเป็นชนชาติเก่าแก่ มีอารยธรรมรุ่งเรืองมากชนชาติหนึ่ง จากพงศาวดารพม่ากล่าวว่า "มอญเป็นชนชาติแรกที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในพม่า มาเป็นเวลาหลายศตวรรษก่อนคริสตกาล" คาดว่าน่าจะอพยพมาจากตอนกลางของทวีปเอเชีย เข้ามาตั้งอาณาจักรของตนทางตอนใต้ บริเวณลุ่มแม่น้ำสาละวิน และแม่น้ำสะโตง ซึ่งบริเวณนี้ในเอกสารของจีนและอินเดียเรียกว่า      "ดินแดนสุวรรณภูมิ"  
พระครูลืมบอง จากคำบอกเล่าสืบต่อกันมาว่าท่านได้รับการศึกษาจากคัมภีร์วิเศษที่มีการสอนกันอย่างแพร่หลายในอาณาจักรมอญ เป็นคัมภีร์อถรรพเวทที่ได้รับการสืบทอดเป็นพระเวทย์ วิชาอาคมธรรมะธาตุ   การปฏิบัติกรรมฐาน ท่านเดินจาริกไปที่ต่างๆ จนสำเร็จวิชาในที่สุด คัมภีร์อถรรพเวทเป็นการเผยแพร่มาจากประเทศอินเดียในสมัยนั้น มีพระภิกษุชาวอินเดีย โดยการนำของพระสมณทูตชาวอินเดียมาเผยแผ่ ในคราวที่พระเจ้ากนิษกะมหาราช ทรงอุปถัมภ์การสังคายนาครั้งที่ 4 ของฝ่ายมหายาน ณ เมืองชลันธร พระสมณทูตได้เข้ามาเผยแผ่พระพุทธศาสนาในเอเชียกลาง
ต่อมาชาวพวนได้อพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทยหลายครั้งด้วยกัน คือ สมัยกรุงธนบุรีตอนปลาย    สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว                     สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในครั้งที่ไทยยกทัพไปปราบฮ่อ เมื่ออพยพมาอยู่ในประเทศไทย จึงเลือกสถานที่สร้างบ้านเรือนอยู่ตามแม่น้ำลำคลอง เชื่อกันว่า อพยพเข้ามาในสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ประมาณปี พ.ศ. 2322 เมื่อสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงโปรดเกล้าให้ สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ยกทัพไปตีเมืองเวียงจันทน์และหัวเมืองต่าง ๆ ซึ่งมีชื่อเรียกรวมกันว่า หัวพันทั้งห้าทั้งหก ประกอบด้วย เมืองคำม่วน เมืองคำเกิด เมืองเวียงไชย เมืองไพศาลลี เมืองซำเหนือ และเมืองเชียงขวาง ได้กวาดต้อนเอาลาวเวียง       (ลาวเวียงจันทน์) ลาวพวนและไทดำ (ปัจจุบันนิยมเรียกว่าไทยทรงดำ หรือ ลาวโซ่ง) มาไว้ที่เมืองร้าง (เพราะถูกพม่ากวาดต้อนราษฎรไปตั้งแต่สมัยกรุงศรัอยุธยาเสียแก่พม่า เมื่อ พ.ศ. 2310) เช่นเมืองสระบุรี ลพบุรี นครนายก และฉะเชิงเทรา ระยะที่สอง ในราวปี พ.ศ. 2335 สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เมืองแถงและเมืองพวนแข็งข้อต่อเมืองเวียงจันทน์ เจ้าเมืองเวียงจันทน์จึงได้ยกทัพไปปราบ และกวาดต้อนครอบครัวไทดำและลาวพวนส่งมากรุงเทพฯ ลาวทรงดำถูกส่งไปอยู่ที่เพชรบุรี ลาวพวนถูกส่งมาที่เมืองลพบุรี สระบุรี นครนายก ฉะเชิงเทรา ราชบุรีและจันทบุรี ด้วย
ในสมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช เมื่อทรงหลบราชภัยจากพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง ที่ยกทัพเข้าตีเมืองเวียงจันทน์ หลวงพระบางได้ ก็ใช้เส้นทางจากเวียงจันทน์เข้าศรีเชียงใหม่ โพธิ์ตาก บ้านผือ และไปหลบซ่อนส้อมสุมกำลังพลที่สุวรรณคูหา ขอให้ดูลักษณะศิลปกรรม ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธรูป เสมา การจำหลัก        เจดีย์ต่างๆ และยังปรากฏจารึกที่เป็นหลักฐานยืนยันได้อย่างดีว่า พระองค์ทรงประกาศกัลปนาที่บริเวณ      วัดถ้ำถวายแด่พระศาสนา การหลบลี้หนีพระราชภัยของ พระวอ พระตา ที่หลบหนีพระเจ้าสิริบุญสารแห่งเวียงจันทน์ ก็อาศัยเส้นทางจากศรีเชียงใหม่ ท่าบ่อ มาบ้านผือ และเข้าไปตั้งชุมชนอยู่ที่หนองบัวลำภู         หรือนครเขื่อนขัณฑ์กาบแก้วบัวบาน เมื่อพระตาเสียชีวิตในการรบ พระวอจึงหนีไปอยู่ที่ดอนมดแดง อุบลราชธานี และถูกฆ่าที่ดอนมดแดง เป็นเหตุให้เจ้ากรุงธนบุรีโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก และเจ้าพระยาสุรสีห์ยกทัพไปตีเวียงจันทน์ และได้เวียงจันทน์ไว้ในอำนาจแต่นั้นมา




หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 10 ธันวาคม 2566, 09:14:24
อุ อะ สิ อิ
อุ    มาจาก พระคาถาหัวใจเสริมดวงโชคลาภ    อุเย อะเย อุอากะสะ
อะ    มาจาก พระคาถาหัวใจพุทธคุณ       อะ สัง วิ สุ โล ปุ สะ พุ ภะ
สิ   มาจาก พระคาถาหัวใจพระนิพาน       สิวังพุทธัง
อิ   มาจาก พระคาถาหัวใจพระรัตนตรัย   อิสะวาสุ


หัวข้อ: Re: ประวัติ พระอาจารย์สมศักดิ์ อุตฺตโม(ญาถ่านเบิ้ม)วัดวังม่วง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: maxna ที่ 25 มกราคม 2567, 13:19:01
สีผึ้งมหาปราบ
สร้าง จำนวน 108 ตลับ
1.สีผึ้งมหาปราบ ฝังตะกรุด 3 กษัตริย์ 9 ตลับ
2.สีผึ้งมหาปราบ ฝังตะกรุดทองคำ 9 ตลับ
3.สีผึ้งมหาปราบ ฝังตะกรุดเงิน 90 ตลับ

ลักษณะ ทุกตลับจะมีการยิงเลเซอร์ ตราสายธรรมอุตฺตโมบารมี(สายอุตฺตมะอุตฺตโม) และลัดนัมเบอร์ทุกตลับ ถือได้ว่าเป็นรุ่นแรกที่มีการยิงเลเซอร์ ตลับทำจากวัสดุสแตนเลส ป้องกันสนิม ปลอดภัยได้การเก็บรักษา และการนำมาใช้ทาปาก

วาระการอธิษฐานจิตโดย
1.ญาถ่านสำเร็จทา นาควัณโณ ผู้สืบทอดรุ่นที่ 2 สายธรรมอุตฺตโมบารมี(สายอุตฺตมะอุตฺตโม)
2.ญาถ่านเบิ้ม อุตฺตโม ผู้สืบทอดรุ่นที่ 3 สายธรรมอุตฺตโมบารมี(สายอุตฺตมะอุตฺตโม)
3.ญาถ่านยักษ์ โคษะกะ วัดภูตากแดด อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร
4.ญาถ่านวิเชียร อนุตฺตโร วัดบ้านคำมะโค้ง ตำบลสร้างนกทา อำเภอเมืองอำนาจเจริญ จังหวัดอำนาจเจริญ
5.พระอาจารย์คณิน สุนฺทโร วัดวังม่วง อำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี
6. ครูบาอริยชาติ อริยจิตฺโต พระนักบุญแห่งแดนล้านนา วัดแสงแก้วโพธิญาณ จังหวัดเชียงราย
และคณะสงฆ์คณาจารย์ จำนวน 227 รูป

สีผึ้งมหาปราบ  รุ่นนี้ถือได้ว่าเป็นรุ่นที่คณะครูธรรมใช้ในการพกพาติดตัว เพื่อให้ในการปกป้องรักษาผู้คน โดยได้รวบรวมนำเอาว่าน 108 ชนิด ที่มีพุทธคุณเด่นแตกต่างกันไป เป็นว่านที่มีพุทธคุณอำนาจสูงช่วยล้างอาถรรพ์ สิ่งชั่วร้ายที่มองไม่เห็นตัวตนกลัวหลีกหนี หากพกติดตัวระหว่างเดินทางช่วยคุ้มครองให้แคล้วคลาดปลอดภัยจากภยันตรายทั้งปวง สมดั่งฉายาว่า "มหาปราบ" ที่จะช่วยปราบช่วยคุ้มครองจากภัยทั้งปวง
ยังใช้ในถอนพิษแมลงสัตว์กัดต่อย รักษาแผล หรือนำไปพอกบริเวณแมลงสัตว์กัดต่อยช่วยถอนพิษ  และยังมีว่านทางคงกระพันชาตรีชั้น 1 สรรพคุณอานุภาพมาก หัวว่านมีสารพิเศษ ทนต่อคมศาสตราวุธ หอก ดาบ ขุนศึกโบราณนิยมมาก อานุภาพทำให้หนังเหนียว ปัจจุบันว่านนี้ยังอยู่ในความนิยมของผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่เสี่ยงอันตราย ตำรวจที่ปราบโจรผู้ร้าย ข้าราชการทหารแนวหน้าชายแดนที่ปกป้องแผ่นดินไทย เอาชีวิตเข้าแลกกับศัตรูเสี้ยนหนามแผ่นดินควรได้หาติดตัวไว้ ว่านนี้มีอานุภาพเฉพาะสุจริตชนเท่านั้น มิจฉาชีพ ทรชน ผู้ประพฤติผิดกฎหมายผิดศีลธรรมนั้นอานุภาพของว่านหาได้คุ้มครองไม่มีของดีผู้ที่เป็นเจ้าของนั้นจะต้องเป็นคนดีด้วย อันของดีนั้นจึงจะคุ้มครอง และศักดิ์สิทธิ์

สีผึ้งมหาปราบ มีพุทธคุณเน้นไปทางด้าน คงกระพันชาตรี แคล้วคลาด และเมตตามหานิยม เสริม อำนาจ บารมี เวลาเข้าในที่คับขัน เผชิญหน้ากับศัตรู ด้วยจิตอันสงบและมั่นคงแล้วจะมีพุทธคุณคุ้มครองครอบจักรวาล หรืออาจกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ มีพุทธคุณครบทุกด้าน เช่น เมตตามหานิยม แคล้วคลาด ป้องกันภัย มหาเสน่ห์ มหาอุด รวมทั้งไล่ภูตผี และใช้กันเสนียดจัญไรได้อีก หนุนดวงเสริมดวง มีคุณด้านมหาปราบ ปราบสิ่งเลวร้ายขจัดทำลาย อุปสรรค ป้องกันภัยอันตรายได้สารพัด วิเศษนักแล
และพุทธคุณในด้านเมตตามหาเสน่ห์ โภคทรัพย์ เรียกทรัพย์ มหาระงับ ครบทุกด้าน เมตตา แคล้วคลาด โภคทรัพย์ ประกอบพิธีกรรมเฉพาะทางสายครูธรรมตามสูตรโบราณกาล

อานุภาพแห่งว่านมงคล 108 ชนิด
ตามตำราโบราณ
 1.ว่านตระกูลกวัก  ซึ่ง บันทึกไว้ในตำราสมุดข่อยโบราณ กล่าวไว้ว่ามีอานุภาพทางด้านโชคลาภ เมตตามหานิยม ดีทางโภคทรัพย์ เป็นสิริมงคลต่อผู้ครอบครอง ประกอบด้วย ว่านกวักพระพุทธเจ้าหลวง ว่านกวักนางพญาใหญ่ ว่านกวักนางพญาเล็ก หรือ ว่านกวักนางพญามหาเศรษฐี ว่านกวักมาคาวดี หรือ ว่านมหาโชค ว่านกวักหงสาวดี ว่านกวักแม่จันทร์ ว่านกวักโพธิ์เงิน ว่านกวักทองใบ ว่านกวักเงิน กวักทอง ว่านกวักเศรษฐีพญาบดินทร์ ว่านกวักนางพญาเผือก โดยเฉพาะว่านกวักนางพญา ถือกันว่า เป็นว่าน ที่มีตระกูลสูงส่งผลทางด้านอำนาจราชศักดิ์ เรียกอีกอย่างว่า ว่านทรงยศ ทรงเกียรติ เป็นสง่าราศีแก่ผู้พบเห็น
 2.ว่านตระกูลเสน่ห์จันทร์  ประกอบ ด้วย เสน่ห์จันทร์มหาโพธิ์ เสน่ห์จันทร์ขาว เสน่ห์จันทร์แดง เสน่ห์จันทร์เขียว เสน่ห์จันทร์หอม เสน่ห์จันทร์ทอง อานุภาพของว่านตระกูลเสน่ห์จันทร์ จะเด่นทางด้านเสน่ห์เมตตามหานิยม เป็นที่รักเมตตาแก่ผู้พบเห็น โบราณใช้ทำนางกวัก ค้าขายดี มีโชคลาภ
3.ว่านตระกูลเศรษฐี เป็น ว่านที่บ่งบอกในตัวเอง อานุภาพให้คุณทางด้านลาภผล เงินทอง โบราณกล่าวว่า ผู้ใดได้ครอบครอง จะเจริญด้วยฐานะ บริบูรณ์ ด้วย โภคทรัพย์ ข้าทาสบริวาร จัดเป็นตระกูลว่านที่นิยม อย่างยิ่ง โบราณมักจะนำมาปลูกในกระถางที่มีค่า เช่น กระถางลายคราม  ดังนั้น จึงเป็นว่านตระกูลสูงอีกประเภทหนึ่งมีดังนี้ ว่านเศรษฐีเรือนนอก ว่านเศรษฐีเรือนใน ว่านเศรษฐีขอด (กอบ ทรัพย์) ว่านเศรษฐีด่าง ว่านเศรษฐีมงคล ว่านมหาเศรษฐี ว่านเศรษฐีจีน ว่านเศรษฐีญวน ว่านเศรษฐีแขก ว่านเศรษฐีใบพาย ว่านเศรษฐีใบโพธิ์ ว่านเศรษฐีเรือนใหญ่ ว่านเศรษฐีเรือนแก้ว
4.ว่านโกเมน อานุภาพทางด้านเมตตามหานิยม มีโชคลาภ
5.ว่านหม่องเล ว่านนี้ตามตำราพม่ากล่าวว่า มีอานุภาพ เรียกเงินเรียกทองเข้าบ้าน เรียกมิตรมาหาร้านค้าขาย ควรมีว่านชนิดนี้ไว้ครอบครอง
6.ว่านไก่กุก อานุภาพ ทางเสน่ห์เมตตานิยม ซึ่งว่านนี้สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) แห่งวัดระฆังโฆสิตาราม ผู้สร้างพระสมเด็จอันลือชื่อก็ได้ใช้ว่านนี้เป็นส่วนผสมในพระสมเด็จวัดระฆัง ที่ท่านสร้างด้วย
7.ว่านไก่ฟ้าพญาแล อานุภาพทางด้านเมตตามหานิยม
8.ว่านกำแพงเจ็ดชั้น  มีอานุภาพทางด้านคุ้มครอง ป้องกันภัย กันและแก้ คุณไสยภูตผีปีศาจ สิ่งอัปมงคลทั้งปวงไม่ให้กล้ำกราย
9.ว่านกระแจะจันทร์หงสา มีอานุภาพทางเสน่ห์เมตตา นิยม เป็นที่รัก เมตตาแก่ผู้พบเห็น
10.ว่านคุ้มรจนา มีอานุภาพคุ้มครองปกป้องเคหสถาน บ้านเรือนให้อยู่ร่มเย็นเป็นสุข
11.ว่านเครือสาวหลง เป็น ว่านพิเศษที่มีลักษณะฝอยๆ ไม่มีลำต้น ไม่มีใบ จะเกาะอยู่ตามต้นไม้ขนาดใหญ่ในป่าลึก มีกลิ่นหอมตลอดเวลา มีอานุภาพทางด้านเมตตามหานิยมสูงมาก ซึ่งว่านนี้พระเทพรัตนกวี เจ้าอาวาสวัดพระศรีรัตนมหาธาตุได้ให้พวกที่หาของป่า และนำมาวางขายในวัดช่วงงานประจำปี ไปหามาจากป่าลึกทางภาคเหนือ
12.ว่านเงินไหลมา มีอานุภาพเรียกเงินทองให้เข้ามาสู่เคหะสถาน บ้านเรือน ทั้งยังคุ้มครองปกป้อง เป็นว่านนิยมมากของคนไทย
13.ว่านเงาะถอดรูป มี อิทธิฤทธิ์เมตตามหานิยม เป็นที่รักเมตตาแก่ผู้พบเห็น ดีทางค้าขาย ประดุจเงาะถอดรูป ใครเห็นใครก็รัก แล้วยังมีอานุภาพเรียกลูกค้าเข้ามาสู่ร้านค้าอีกด้วย
14.ว่านช้างพลาย มีอานุภาพทางเมตตามหานิยม เป็นสง่าราศี ขับเสนียดจัญไร ศัตรูหมู่มาร เป็นเดชอำนาจบารมี
15.ว่านช้างดำ มีอานุภาพทางคุ้มครองป้องกัน เสมือนเกราะแก้ว คุ้มกัน และ ป้องกันไฟเวทย์มนต์คาถาทำอันตรายไม่ได้
16.ว่านญาณรังษี มีอานุภาพประดุจพทุธานุภาพแห่งพระพุทธองค์ หัวว่านนี้ มีลักษณะชั้นๆ 3 ชั้น คล้ายพระพุทธรูปประทับนั่งบนรัตนบัลลังก์
17.ว่านถุงเงินถุงทอง มีอานุภาพทางด้านโภคทรัพย์ ประดุจถุงเงินถุงทอง ในเคหะสถานบ้านเรือนดีทางโชคลาภ และป้องกันคุณไสยต่างๆ
18.ว่านทองไหลมา เป็นว่านมงคลคู่กัยว่านเงินไหลมา อานุภาพให้ผู้ครอบครองมีโชคลาภอยู่เป็นนิจ
19.ว่านเทพรำพึง เป็นเอกทางด้านเมตตามหานิยม เป็นสิริมงคลแก่ผู้ครอบครอง
20.ว่านธรรมรักษา เป็นว่านสิริมงคล โน้มน้าวให้ประพฤติปฏิบัติ อยู่ในศีลธรรม ป้งอกันภัยพิบัติ
21.ว่านนางพญาหงษ์ทอง เป็นว่านทางเมตตามหานิยม เจรจาสิ่งใดจะเป็นที่พอใจถูกอัธยาศัยกับผู้ที่พบเห็น
22.ว่านนพมาศ เป็น ว่านเก่าแก่ครั้งกรุงสุโขทัย มีอานุภาพป้องกันเสนียจัญไร คุ้มครองป้องกันภัยพิบัติ เป็นสิริมงคล พร้อมพรั่งทางด้านเมตตานิยม เป็นสง่าราศี
23.ว่านนเรศวร เป็นว่านที่ทรงอานุภาพ ด้านมหาอำนาจ ตบะเดชะ เป็นที่ยำเกรงต่อศัตรู หมู่มาร และ คุ้มครองปกป้องเป็นเลิศ
24.ว่านน้ำเต้าทอง เด่นทางเมตตา โชคลาภ ทั้งยังมีคุณทางด้านอยู่ยงคงกระพัน
25.ว่านปัดตลอด อานุภาพทางด้านแคล้วคลาด ปราศจาก อุปสรรค
26.ว่านปัญจเศวตร มีอานุภาพด้านคุ้มครอง ปกป้องเป็นตบะบารมี
27.ว่านประกายเพชร ดีทางโชคลาภ เป็นเสน่ห์มหานิยม เจริญด้วยโภคทรัพย์
28.ว่านพญาหัวเสือ เด่นทางด้านอำนาจราชศักดิ์ เป็นตบะเดชะ นะจังงัง และ คงกระพันชาตรี
29.ว่านพญากาเผือก เป็นว่านที่ดีทางเรียกโชค เรียกลาภ เด่านเป็นสง่า คือ เมตตาหานิยม
30.ว่านเพชรกลับดำ อานุภาพเด่นทางแคล้วคลาด ปกป้องจากสิ่งอัปมงคล ไปที่ใดปราศจากอันตราย และกลับถึงเคหะสถานได้เป็นอัศจรรย์
31.ว่านเพชรหลีก ดีทางแคล้วคลาดจากภยันตราย ศาตราวุธ ทั้งปวง
32.ว่านมหาอุตม์ มีอานุภาพทางด้านคงกระพันชาตรี เป็นว่านเก่าโบราณ
33.ว่านมหาหงษ์แดง เป็นว่านที่มีสิริมงคล คนโบราณมักพกพากับตัวเวลาเข้าหาเจ้านาย ว่ากันว่าเป็นเสน่ห์มหานิยมยิ่งนัก
34.ว่านมงคลชัย เป็นว่านที่มีสิริมงคลตามชื่อว่าน ศัตรูหมู่มารมิอยากเข้าใกล้ ก็ด้วยอานุภาพแห่งชัยมงคลของว่านนี้
35.ว่านวาสนาทางลาย เด่นทางโชคลาภวาสนา เจริญด้วยความสมบูรณ์พูนสุข
36.ว่านแววมยุรา เป็นว่านที่มีสรรพคุณทางเมตตามหานิยม นำโชคลาภเป็นสิริมงคลแก่บ้านเรือนผู้ครอบครอง
37.ว่านสาริกาลิ้นทอง มีอานุภาพทางเมตตามหานิยมโบราณใช้โขลกตำผสมกับสีผึ้งทาปาก เพื่อไปติดต่อเจรจาค้าขาย จะเป็นที่เมตตาและสำเร็จตามปรารถนา
38.ว่านกระทู้เจ็ดแบก เป็นว่านเด่นทางคงกระพันชาตรี นักรบโบราณมักใช้ว่านนี้ในการรพทัพจับศึก
39.ว่านกำบัง มีอานุภาพป้องกันสรรพภัย คุณไสยเวทย์วิทยาคมที่ประสงค์ร้าย และ แคล้วคลาดปราศจากเหตุร้าย
40.ว่านกงจักรพระอินทร์ เป็นว่านดีทางอยู่ยงคงกระพัน เมตตามหานิยมเป็นอำนาจป้องปราบ ข้าศึกศัตรู
41.ว่านขมิ้นขาวปัดตลอด ว่าน นี้อยู่ที่ใดก็นำความเจริญ มาสู่ที่นั่น ทั้งยังนำโชคลาภความเจริญ ความมีเมตตามหานิยม และความร่มเย็นเป็นสุขมั่งคั่ง สมบูรณ์พูนผล เจริญในหน้าที่การงาน ว่านนี้พระอาจารย์นอง วัดทรายขาว พระเกจิอาจารย์ ผู้สร้างพระหลวงพ่อทวดเนื้อว่าน อันโด่งดัง กล่าวไว้ว่า ว่านนี่เป็น “พญาว่าน” มีอานุภาพมาก ท่านเคยนำไปสร้างพระหลวงพ่อทวด เนื้อขมิ้นขาว ปัจจุบันองค์ละหลายหมื่นบาท
42.ว่านค้ำคูณ เป็นว่านดีทางเมตตามหานิยมแก่เคหสถาน บ้านเรือน ค้ำจุนชะตาชีวิต เพิ่มพูนพลัง
43.ว่านเพรชหน้าทั่ง เป็นว่านเสน่ห์มหานิยมและคงกระพันชาตรี
44.จ่าว่าน เป็นว่านอานุภาพสูง มีสรรพคุณคุมกำลังว่านต่างๆ ให้ทรงด้วยอานุภาพ ป้องกันเสนียดจัญไร พิษร้ายต่างๆ
45.ว่านจังงัง เป็นเมตตามหานิยม  เป็นที่รักใคร่เมตตาแก่ศัตรูหมู่มารทำให้ไม่กล้าคิดร้าย อำนาจของว่านจะทำให้ศัตรูเกิดจังงัง
46.ว่านดาบหลวง เป็นว่านที่มีอำนาจป้องกันฟ้าผ่า ป้องกันอันตรายแคล้วคลาดเป็นเยี่ยม เป็นตบะเดชะและเสน่ห์ มหานิยมแก่ผู้พบเห็น
47.ว่านฤษี ดีทางเสน่ห์มหานิยมยอดเยี่ยม เข้าหาเจ้านายดียิ่งนัก
48.ว่านถอนโมกขศักดิ์ ใช้ดีทางด้านแก้ถอนคุณไสย ยาเบื่อเมาทุกประเภท
49.ว่านเถาวัลย์หลง ดีทางเจรจาพาที เป็นที่เมตตามหานิยม กลับจากโกรธเป็นรักเมตตา เปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดี
50.ว่านเทพรัญจวน ให้ในทางเมตตามหานิยม เป็นที่รัก เมตตาต่อผู้พบเห็น
51.ว่านนางล้อม เป็นว่านมหามงคล ป้องกันสรรพสัตว์ทั้งปวง และศัตรูหมู่มาร เมื่อเกิดเรื่องราวใด จะได้รับชัยชนะเสมอ
52.ว่านนางคุ้ม ป้องกันไฟ และคุ้มกันภยันตรายต่างๆ โบราณกล่าวว่า ว่านนางคุ้มมีไว้คุ้มครองบ้านเรือน เสมือนมีเกราะเพชรไว้ป้องกันภัยถึง 7 ชั้น
53.ว่านปลาไหลม่วง เป็นว่านแก้คุณไสย ลมเพลมพัด กันอัปมงคลต่างๆ
54.ว่านเพ็ชรนารายณ์ เป็นว่านตระกูลสูง มีอำนาจตบะเดชะ เพิ่มพูนบารมีและเจริญด้วยยศถาบรรดาศักดิ์
55.ว่านเพ็ชรกลับ ว่าน นี้มีอานุภาพอยู่ยงคงกระพัน เป็นว่านป้องกันการถูกคุณไสยและแก้อาถรรพ์ ป้องกันอุบัติเหตุ เป็นมงคลแก้วคุ้มครองป้องกันทั้งไปและกลับ ปราศจากอันตราย
56.ว่านพัดโบก เป็นว่านมหามงคลสูงพร้อมด้วยเมตตา มหานิยม โบราณว่าว่านนี้อยู่บ้านใดจะได้ลาภมหาศาล นำความร่มเย็นเป็นสุขมาสู่บ้านเรือน
57.ว่านไพรปลุกเสก อานุภาพเกิดลาภผล ความอุดมสมบูรณ์พูนสุขเจริญรุ่งเรือง ทั้งยังแก้คุณไสย ขับภูติ ผี ปีศาจ
58.ว่านพุทธกัวก ว่านนี้ดีทางเมตตาและทางการค้า เป็นสิริมงคลแก่สถานที่และผู้ครอบครอง
59.ว่านนางพญาห้าร้อย มีสรรพคุณทางเสน่ห์เมตตามหานิยม เป็นที่ชื่นชอบในหมู่ชน
60.ว่านพญาจงอาง อานุภาพด้านกันงูและสัตว์มีพิษ ตลอดจนสรรพภัยทุกชนิดไม่ให้กล้ำกลาย
61.ว่านพระฉิม เป็นสิริมงคล อุดมด้วยโภคทรัพย์และคงกระพันชาตรี
62.ว่านพะตะบะ ใช้กันภูติ ผี ปีศาจ มีอานภาพสูงมาก วิญญาณต่างๆ จะไม่เข้าใกล้ แต่เทพยดาอารักษ์จะรู้จักว่านชนิดนี้ดี
63.ว่านพรายแก้ว เป็นว่านคงกระพันชาตรี เป็นเสน่ห์มหานิยมสำหรับร้านค้าขาย
64.ว่านมหานิยม ตรงตามชื่อ เป็นเมตตามหานิยม สิริมงคล ต่อผู้ครอบครอง
65.ว่านแม่ทัพ มีอานุภาพทางคงกระพันชาตรี เพิ่มพูนตบะเดชะ อำนาจบารมี
66.ว่านมหาเมฆ เป็นว่านนิยมมาตั้งแต่โบราณ ดีทางคลกระพันชาตรี เป็นตบะเดชะ
67.ว่านมหาปราบ สรรพคุณดีทางฤทธิ์และอำนาจ อยู่ยงคงกระพัน ป้องกัน ภูติ ผี ปีศาจ ได้ดียิ่งนัก
 68.ว่านมรกต ดีทางคงกระพันชาตรี เป็นตบะเดชะ
69.ว่านมหาเสน่ห์ อานุภาพดีทางเสน่ห์มหานิยม เป็นว่านมีอานุภาพชั้นสูง ดึงดูดจิตใจผู้คนใช้ทางค้าขาย มีสรรพคุณเป็นเลิศ
70.ว่านมหาอุดม เป็นว่านมหานิยมสูงมาก เป็นที่รักใคร่ เมตตาแก่ผู้ที่พบเห็น
71.ว่านมหาจักรพรรดิ ใช้ดีทางเมตตามหานิยม มีอิทธิฤทธิ์ทางคุ้มครองเคหสถานบ้านเรือน ป้องกันเสนียดจัญไร อีกชื่อคือ ว่านอรหันต์แปดทิศ
72.ว่านมหากวัก อานุภาพ สิริมงคล ส่งเสริมกิจการธุรกิจการค้าและเจริญก้าวหน้า เข้าเจรจากับผู้ใหญ่เป็นที่รักของผู้คนโบราณเอาว่านนี้ แช่น้ำมนต์ประพรมร้านค้า จะค้าขายดีมาก
73.ว่านรางจืดเถา มีอานุภาพทางถอนพิษ ถอนยาสั่งโบราณว่าว่านนี้มีค่า 5,000 ตำลึงทอง ดังนั้นต้องเป็นว่านที่ไม่ธรรมดา
74.ว่านภควัมบดี มีอานุภาพเป็นศรีสง่า สิริมงคลนำโชคลาภบันดาลให้เจริญด้วยโภคทรัพย์ มีความอุดมสมบูรณ์และอยู่เย็นเป็นสุข
75.ว่านศรนารายณ์ มีอานุภาพทางคงกระพันชาตรี และเมตตามหามงคล
76.ว่านสามพันตึง มีอานุภาพทางอยู่ยงคงกระพันชาตรี ต่อศัตราวุธทั้งปวง
77.ว่านสามกษัตริย์ เป็นเมตตามหานิยมรักใคร่และความเจริญรุ่งเรือง
78.ว่านสาวหลง เป็น ว่านที่ทรงคุณค่าทางด้านเมตตามหานิยมอย่างสูงสุด โบราณกล่าวว่า ว่านนี้ไม่เป็นเสนียดจัญไร มีอานุภาพสูงล้ำเกิดเสน่ห์เมตตาเจรจากับใครไม่มีรังเกียจ ทั้งยังเป็นว่านที่ดีทางโภคทรัพย์พกไว้ เงินจะไม่ขาดกระเป๋า
79.ว่านเหล็กไหล ดีทางด้านคงกระพันชาตรี มีตบะเดชะ
80.ว่านพัดแม่ชี มีอานุภาพสูงทางด้านปัดเป่าสิ่งอัปมงคล ป้องกันอำนาจคุณไสย และผู้ที่คิดร้าย ว่านี้ใช้ถอนคุณไสยได้
81.ว่านอุมาวดี มีอานุภาพบันดาลให้ประสบโชคลาภ ความร่มเย็นเป็นสุข
82.ว่านกวักพระพรหม เป็น ว่านที่มีอานุภาพสูง นำโชคลาภความร่มเย็น เป็นสุขมาสู่เคหสถานบ้านเรือน เจริญรุ่งเรืองและคุ้มครอง ป้องกันภัยอันตรายได้อย่างดีเยี่ยม
83.ว่านกระบี่ทอง มีสรรพคุณทางคงกะพันชาตรี
84.ว่านกุมารทอง มีสรรพคุณทางด้านคงกระพันชาตรี ค้าขายดี มีกำไรเป็นสิริมงคลทั้งยังมีอำนาจ มีเทวดารักษาคุ้มครอง
85.ว่านกาสัก มีอานุภาพทางคงกระพันชาตรี แคล้วคลาด ปลอดภัย
86.ว่านกบ เป็นว่านมีเทพรักษา มีอานุภาพทางด้านคงกระพันชาตรี ป้องกัน ไม่ให้ภัยพิบัติมาแผ้วพาล
87.ว่านขมิ้นขาวเสน่ห์ ดีทางด้านเมตตามหานิยม ทั้งยังเป็นเมตตามหานิยม
88.ว่านเขียวพันปี ให้คุณทางด้านเมตตามหานิยม
89.ว่านพระยาค่าง ให้คุณทางด้านคงกระพันชาตรี
90.ว่านเฉลิม ตำราว่านกล่าวว่า ว่านนี้ดีทางเมตตามหานิยม คนเห็นคนรักคนชอบ
91.ว่านเณรแก้ว เป็นเมตตามหานิยมและคงกระพันชาตรี
92.ว่านรางเงิน เป็นสิริมงคลและเมตตามหานิยมโชคลาภ
93.ว่านรางทอง เป็นสิริมงคลและเมตตามหานิยมโชคลาภ
94.ว่านรางนาค เป็นสิริมงคลและเมตตามหานิยมโชคลาภ
95.ว่านสิทธิโชค เป็นว่านที่มากด้วยสรรพคุณทางเมตตามหานิยม ทำให้ประสบโชคลาภ
96.ว่านแสนนางล้อม เป็นว่านที่มีสิริมงคลและป้องกันอัคคีภัยได้
97.ว่านเสือสามทุ่ง มีอานุภาพทางด้านบารมี ปกป้อง คุ้มครองเป็นตบะเดชะอำนาจ
98.ว่านปู่โสมเฝ้าทรัพย์ มีอำนาจเดชบารมี อยู่ที่ใดมักมีทรัพย์สมบัติมิได้ขาด
99.ว่านแสงอาทิตย์ มีอิทธิฤทธิ์อำนาจ ความร่มเย็นเป็นสุข
100.ว่านสบู่เหล็ก มีสรรพคุณทางคงกระพันชาตรี
101.ว่านหอมดำ เป็นว่านมีอานุภาพทางคงกระพันชาตรี
102.ว่านหางเสือ มีอานุภาพทางด้านป้องกัน ภูติ ผี ปีศาจ และคุณไสยต่างๆ
103.ว่านพญาหงส์เงิน ดีทางด้านเมตตามหานิยมและเดชอำนาจ
104.ว่านลิ้นกระทิงลาย ดีทางเมตตามหานิยมและคงกระพันชาตรี ป้องกันอันตรายจากหมู่มาร
105.ว่านกลิ้งกลางดง มีสรรพคุณทางด้านคงกระพันชาตรี
106.ว่านสบู่เลือด ดีทางด้านคงกระพันชาตรี โบราณนิยมมาสร้างพระ เช่น พระผงน้ำมัน วัดชนะสงคราม
107.ว่านท้าวชมพู ดีทางคงกระพันชาตรี
108.ว่านชมพูหนังแห้ง ดีทางคงกระพันชาตรีป้องกันศัตราวุธ เป็นว่านที่ดีมาก