แสดงกระทู้
|
หน้า: [1] 2 3 ... 54
|
1
|
ห้องพระ / พระคณาจารย์อริยสงฆ์ทั่วประเทศ / Re: พระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิศิษฏ์ ( หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี )
|
เมื่อ: 10 พฤศจิกายน 2567, 05:22:05
|
พวกเราได้ชื่อว่ากัมมัฏฐาน ให้มาปฏิบัติในแนวนี้ ปฏิบัติในทำนองเดียวกันเรียกว่าพวกกัมมัฏฐาน มันมีอะไรเป็นเครื่องวัดกัมมัฏฐาน? ฉันมื้อเดียว ฉันในบาตร อยู่ป่าเป็นวัตรฯ นั่นเป็นเครื่องวัด เครื่องแสดงของภายนอก กัมมัฏฐาน แปลว่า ที่ตั้งมั่นคง ถ้าไม่มั่นคงไม่มีที่ตั้ง การงานอะไรต่างๆสิ่งภายนอกที่เขาทำ ที่เขาตั้งใจจริงๆนั่นแหละมาจากอันนั้น แต่เราไม่ได้ทำการภายนอกเหมือนอย่างของฆราวาส เราทำกิจทางศาสนา ทางศีลก็ดี ทางสมาธิก็ดี ทางปัญญาก็ดี ทำให้หนักแน่นให้มั่งคง จึงเรียกว่ากัมมัฎฐาน เราสังเกตดูว่า ที่เราทำเวลานี้มีอะไรเป็นเครื่องวัด? เป็นกัมมัฏฐานแล้วหรือยัง? มีอะไรเป็นเครื่องบกพร่อง? ให้รู้สึกตื่นตัวอยู่เสมอ ถ้าไม่คิดไม่พิจารณาไม่ค้นคว้าก็ไม่รู้เรื่อง การพิจารณา “กัมมัฏฐาน” นี้ใช้อะไรก็ได้ ขอให้ตั้งมั่นคงก็แล้วกัน จะเอาพุทโธหรืออานาปานสติ กายคตาสติ อันเดียวกันหมดนั่นแหละ หรืออย่างเขาว่ายุบหนอพองหนอ หรือสัมมาอรหัง ก็เพื่อตั้งให้มั่นทำให้มั่นคงให้หนักแน่น เมื่อจิตมั่นคงหนักแน่นได้แล้ว ก็เป็นกัมมัฏฐานทั้งหมด เมื่อจิตไม่หนักแน่นก็คลอนแคลน เห็นใครว่าอันไหนดีก็ตามไปเรื่อย คว้านั่นคว้านี่ก็เลยไม่ได้รับประทานสักอย่าง ผลที่สุดก็เหลวแหลกหมด กัมมัฎฐานแตก กัมมัฏฐานอยู่อันเดียว เมื่อเราพิจารณาสิ่งใด ให้ตั้งมั่นพิจารณาลงในสิ่งเดียวก่อน สมถะ คือความสงบ ให้ทำความสงบจริงๆเสียก่อน มันจะรู้เรื่องหรอกว่าสมถะเป็นอย่างไร? วิปัสนาเป็นอย่างไร? แต่ความสงบเราก็ยังไม่ได้ จะไปโทษว่าความสงบไม่เกิดปัญญา ไม่ได้ จึงว่าความสงบนั้นทำให้มันมาก อบรมให้มันมาก เป็นแล้วก็ให้มันเป็นอยู่ตลอดเวลา ทั้งกลางคืนกลางวัน ถึงไม่ได้กลางวันก็ให้ได้กลางคืน ถึงไม่ได้วันหนึ่ง อย่างน้อยในวันหนึ่งให้ได้สักทีหนึ่งก็ยังดีอยู่ อันนี้ไม่เคยได้เลยตั้งแต่บวชมา บางองค์ก็ไม่เคยเป็นสมาธิสักที แล้วมันจะเป็นกัมมัฏฐานได้อย่างไร? กัมมัฏฐานทำความไม่มั่นคงก็ไม่ใช่ของตน ตั้งใจพิจารณาของของตน อย่าไปหาดูที่อื่น ครั้นพิจารณาลงในนี้แล้ว มันเห็นตัวของตนแล้วมันต้องมีความรู้ พิจารณาสิ่งเดียวมันต้องเกิดความรู้ขึ้นในที่นั้น พิจารณาสิ่งเดียวพิจารณาอะไร? จะพิจารณากาย หรือพิจารณาความเกิด ความดับ เราพิจารณาในสิ่งเดียวมันต้องเกิดความรู้ สิ่งทั้งปวงหมดถ้าเอามากมันก็พร่าไปหมดเลย จับอะไรไม่ได้ ถ้าของอันเดียวแล้วมันต้องรู้ พิจารณาของอันเดียวมันต้องรู้ พิจารณาตัวธาตุนั่นเอง ตัวอสุภะ ตัวของปฏิกูล ก็ของอันเดียวกันไม่ถูกที่ใดก็ต้องถูกที่หนึ่งแน่นอนทีเดียว เห็นชัดขึ้นมาเลย เนื่องจากสมาธิไม่มีมันจึงไม่เห็น การพิจารณาเลยเบื่อๆไป มันไม่มีหลักไม่มีฐานอยู่แล้ว จึงว่าพวกกัมมัฏฐานนี่ต้องเป็นกัมมัฏฐานจริงๆจังๆ มันต้องพิจารณาให้ลงอันเดียว มันจะสงบมันจะเป็นสมถะหรือเป็นสมาธิก็ตามเถิด พิจารณาค้นคว้า พิจารณาเหตุผลเรื่องราวนั่น ที่อันเดียวนี่แหละ ความเกิดความดับ ความสิ้นความเสื่อมของสังขารร่างกาย มันก็ปรากฎขึ้นมา เกิดความสลดสังเวชในตัวของตน ที่ได้ของไม่ดี ที่ได้ของไม่เที่ยง ที่ได้ก้อนทุกข์ บางคนบอกว่า ไม่เห็นทุกข์ อยู่กับทุกข์ ทุกวันทุกคืน ไม่เห็นอย่างไร? ทำไมจึงไม่พิจารณา ยืน เดิน นั่ง นอน เปลี่ยนอิริยาบถ ก็ล้วนแต่เปลี่ยนเพื่อระงับทุกข์ การอยู่ การกิน การนอน ก็ล้วนแล้วแต่เปลี่ยนอิริยาบถเพื่อระงับทุกข์เท่านั้น การเจ็บการป่วยเล็กๆน้อยๆ เรียกว่า เวทนา มันมีอยู่ประจำ ปวดหัว ตัวร้อน เป็นไข้ เป็นหนาว ด้วยอาการต่างๆ ก็ล้วนแต่เรื่องทุกข์ทั้งนั้น ครั้นพิจารณาลงอันเดียวมันเห็น เห็นในตัวของเรานี่แหละ ไม่ต้องไปพิจารณาที่อื่น อย่างนั้นจึงเป็นกัมมัฏฐานแท้ นี่สักแต่ว่ากัมมัฏฐานเฉยๆ ตรงไหนเป็นกัมมัฏฐานก็ไม่ทราบ เมื่ออยากเป็นกัมมัฏฐานก็ให้พิจารณาลงอันเดียว อย่างที่พูดมานี้ หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี การพิจารณากัมมัฏฐาน วันที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๓๒
|
|
|
5
|
ห้องพระ / พระคณาจารย์อริยสงฆ์ทั่วประเทศ / Re: พระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิศิษฏ์ ( หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี )
|
เมื่อ: 08 พฤศจิกายน 2567, 06:21:28
|
ถือ ธุดงควัตร นั้นแปลว่า ธรรมอันเป็นเหตุให้ไปหาความสงบ ไปหาความดี ไปหาความบริสุทธิ์ จึงเรียกว่าธุดงค์ ทูตะแปลว่าทูต ทูตนำไปนั่นเอง ท่านพูดไว้มีหลายข้อ มี ๑๓ ข้อ การถือธุดงค์ที่เป็นผู้ถือธุดงค์จริงๆจังๆนั้น จะต้องมีความมั่นใจว่า การรักษาธุดงค์อันนี้ จิตใจผ่องใสสะอาดบริสุทธิ์ เป็นไปเพื่อความหมดจดจริงๆจังๆ ไม่เป็นไปเพื่อความมักมาก และไม่เป็นไปเพื่อความมักใหญ่และไม่เป็นไปเพื่อความอิจฉาพยาบาทและอวดดีแก่คนอื่นๆ หากทำเพื่อคนอื่นนิยมชมชอบอย่างนั้นไม่ใช่ อันนั้นเป็นกิเลส ผู้หวังความบริสุทธิ์จริงๆ ต้องตั้งใจทำเพื่อตนจริงๆ ไม้ได้ทำเพื่อผู้อื่น นั่นเรียกว่า “ธุดงค์แท้” หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี ขนบธรรมเนียม ระเบียบ ของพระธุดงค์ วันที่ ๑๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๒๘
|
|
|
6
|
ห้องพระ / พระคณาจารย์อริยสงฆ์ทั่วประเทศ / Re: พระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิศิษฏ์ ( หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี )
|
เมื่อ: 06 พฤศจิกายน 2567, 05:50:22
|
คุณ-ครูบา -ครูบาอาจารย์ --------------------------- ภิกษุพูดคำแทนชื่อ บางทีก็ยังไม่ทันถูก ตามภาษาบ้านเมืองแถวนี้เขานิยมเรียกว่า “ครูบา” คำว่า “ครูบา” นี้เป็นคำแทนชื่อ เป็นคำแสดงความเคารพ ชาวบ้านชาวเมืองเขาเรียกพระว่า “ครูบา” สำหรับพระเจ้าพระสงฆ์เรียกกัน ใช้เรียกผู้มีอายุพรรษากว่าจึงเรียก “ครูบา” ท่านที่มีพรรษาอ่อนกว่าแล้วไปเรียก “ครูบา” เป็นอาบัติ เหตุนั้นไม่ควรเรียก “ครูบา” ครั้นมีความเคารพแท้เรียก “ครูบาอาจารย์” เป็นการเคารพแท้ เป็นคำแทนชื่อผู้ที่เป็นอาจารย์ คำเรียกผู้มีพรรษามากกว่าว่า “ครูบา” ก็ดีเหมือนกัน ดีกว่าเรียกว่า “คุณ” ถ้าหากเรียกผู้มี พรรษาน้อยกว่าว่า “คุณ” ก็สมควร ให้รู้จักเรียกกันตามความนิยมนับถือกันอย่างนั้น ต่อไปนี้การศึกษาเล่าเรียนฝ่ายวิปัสสนาธุระก็ดี ฝ่ายคันถธุระก็ดี ให้ศึกษาเล่าเรียนกับพระผู้มีอายุพรรษามาก ที่พอจะปรึกษาหารือได้ ที่พอจะพูดคุยกันได้ก็คุยกันไป ถ้าหากว่ามันขัดข้องกันจริงๆจังๆ จึงค่อยมาหาผม ผมพูดได้แต่เล็กๆน้อยๆ มันหมดเรื่องหมดทางแล้ว ตั้งแต่นี้ต่อไปผมพูดไม่ได้ พูดได้เท่าที่พูดแล้วนั่นแหละ เอาละ หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี การอบรมในโบสถ์ครั้งสุดท้าย วันที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๒
|
|
|
8
|
ห้องพระ / พระคณาจารย์อริยสงฆ์ทั่วประเทศ / Re: พระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิศิษฏ์ ( หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี )
|
เมื่อ: 05 พฤศจิกายน 2567, 06:07:51
|
เราบวชมาในศาสนาพระพุทธเจ้า ต้องรักษาคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ระลึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าอยู่เสมอ ทำอะไรต้องคิดถึงพระพุทธเจ้า คิดถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นประมาณ พระองค์ทรงเป็นศาสดา จึงทรงเป็นผู้สั่งสอนพวกเราโดยตรง ที่จริงแท้นั้น เรามาบวชในศาสนานั้น อาหารทุกสิ่งทุกประการ ผ้าผ่อน เครื่องนุ่งเครื่องห่ม เสนาสนะ เครื่องใช้ไม้สอย หยูกยาสารพัดต่างๆ เกิดจากคำสอนของพระพุทธเจ้าโดยแท้ ถ้าหากว่าไม่ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า เรื่องเหล่านี้ไม่มีใครมาทำบุญทำทานหรอก เราทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้าจึงค่อยมีคนเลื่อมใสศรัทธาทำบุญทำทาน แต่เราลืมตัว เราเลยลืมตัวไม่ระลึกถึงพระพุทธศาสนา ไม่ระลึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้า จึงเป็นเหตุให้เกิดกิเลสทับถมตัวเรามากขึ้นไปอีก ครั้นถ้าไม่เชื่อพระพุทธเจ้า มันก็ตายไปนะสิศาสนา มันเลยไม่เป็นของจริงในพระพุทธศาสนา หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี อาหารมีทั้งคุณและโทษ วันที่ ๑๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๘
|
|
|
13
|
ห้องพระ / พระคณาจารย์อริยสงฆ์ทั่วประเทศ / Re: พระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิศิษฏ์ ( หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี )
|
เมื่อ: 31 ตุลาคม 2567, 06:52:34
|
นักปฏิบัติ อย่าเพิ่งมุ่งหมายให้มันสูงเกินไป เรามุ่งหมายแต่เพียงว่าในธรรมวินัยที่เราจะต้องปฏิบัติ จะต้องประพฤติ จะต้องให้อยู่ในขอบเขตในธรรมวินัยนี้เท่านั้นก็เพียงพอก่อนคือว่า ที่เราเป็นภิกษุ สามเณร ให้รักษาฐานะของเราให้เต็มเปี่ยมบริบูรณ์เสียก่อน อย่าไปมุ่งเกินไป เมื่ออันนี้เต็มเปี่ยมแล้ว ให้เกิดศรัทธาพอใจเลื่อมใส ยินดียิ่งในข้อวัตรปฏิบัติ ในความประพฤติของตนนั้น อยู่ในขอบเขตของธรรมวินัยนั้น เอาเท่านั้นเสียก่อน อุบาสกอุบาสิกา ก็เหมือนกันนั่นแหละ ครั้นหากว่าเขาปฏิบัติอยู่ในขอบเขตของอุบาสกอุบาสิกา ไม่เกินขอบเขต ไม่ล่วงเลยขอบเขต และไม่ลดหย่อนต่ํากว่าอุบาสกอุบาสิกาสมบูรณ์ในข้อวัตรปฏิบัติของอุบาสกอุบาสิกา นั่นก็เรียกว่าสมบูรณ์แล้ว ธรรมวินัยอันนี้ อุบาสกอุบาสิกา ภิกษุสามเณร ต่างคนก็พากันรักษาหน้าที่ของตนให้สมบูรณ์บริบูรณ์ทุกประการ นี้ก็เรียกว่าบํารุงพระพุทธศาสนา เชิดชูพระพุทธศาสนาให้เจริญงอกงามเพียงพอแล้ว อย่าไปมุ่งหมายเกินไป โดยเฉพาะภิกษุสามเณรเห็นว่า เป็นผู้ปฏิบัติเคร่งครัดหรือสูงกว่าอุบาสกอุบาสิกา จะให้ดียิ่งขึ้นไป อันนั้นเป็นความเข้าใจผิด บางทีอุบาสกอุบาสิกาปฏิบัติสมบูรณ์บริบูรณ์ในหน้าที่ของตน มีความเชื่อมั่น อาจจะถึงความบริสุทธิ์หรือถึงมรรคผลนิพพานก่อนพระก็ได้ ถ้าพระเรายังย่อหย่อนก็อาจจะไม่ถึงเขาก็ได้ เหตุนั้นจึงว่า ถ้าหากว่ามุ่งหมายปรารถนาเกินขอบเขต แต่ว่าเราไม่รักษาความดีความงาม ไม่รักษาศรัทธาความเชื่อมั่นของตนให้เต็มสมบูรณ์บริบูรณ์ เมื่อปรารถนาเช่นนั้น มันเกินขอบเขตไป มันจึงได้ชื่อว่า รักษาฐานะของตนไว้ไม่ได้ เมื่อรักษาฐานะของตนไว้ไม่ได้แล้ว คราวนี้พิจารณาไป ทําไปก็เลยย่อหย่อนท้อถอย ไม่เห็นคุณงามความดีของตน ก็เลยท้อถอยย่อหย่อน ก็เลยเสื่อมศรัทธา เลยไม่เป็นผลเป็นประโยชน ์ หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี รักษาฐานะของเราให้เต็มที่สมบูรณ์ วันที่ ๖ ม.ค. ๒๕๒๘
|
|
|
14
|
ห้องพระ / พระคณาจารย์อริยสงฆ์ทั่วประเทศ / Re: พระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิศิษฏ์ ( หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี )
|
เมื่อ: 30 ตุลาคม 2567, 05:39:21
|
ปัญญาในทางพุทธศาสนา – ปัญญาทางโลก ---------------------------------------------- ปัญญาในทางพุทธศาสนา ท่านบอกว่า เมื่อคิดนึกปรุงแต่งสารพัดทุกอย่างมีความรู้รอบ เข้าใจทุกสิ่งทุกประการตามความเป็นจริงหมดแล้ว มันหยุด อันนั้นเรียกว่าปัญญา อันที่จะให้มันหยุดนั้นมีปัญญามากทีเดียว จะทางธรรมหรือทางโลกก็ตาม ที่มันนึกคิดมันปรุงแต่งไปนั้น ไปรอบคอบรอบทาง ถ้ามี “สติ” ควบคุม มี “สัมปชัญญะ” รู้ตัวอยู่ มันหยุดคิด นั่นแหละ “ปัญญาในทางพุทธศาสนา” “ปัญญาทางโลก” นั้นก็คิดไปเถิดไม่มีที่สิ้นสุด ตั้งแต่วันเกิดจนวันตายก็ไม่สงบสักที คิดแล้วๆเล่าๆกลับไปกลับมาอยู่นั่นแหละ วนเวียนอยู่นั่น จึงเรียกว่า “วัฏฏะ” หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี จิต-ใจ-ปัญญา วันที่ ๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๒
|
|
|
15
|
ห้องพระ / พระคณาจารย์อริยสงฆ์ทั่วประเทศ / Re: พระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิศิษฏ์ ( หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี )
|
เมื่อ: 29 ตุลาคม 2567, 06:03:37
|
ถ้าหากเรามีสติควบคุมอยู่ระมัดระวังอยู่ จนถึงขนาดนั้นมันก็ยังตามมาคุกคามอยู่ แต่หากมีเวลาแก้ไขได้ ภัยอันตรายสำคัญที่สุดมันล้อมอยู่ เรื่องเหล่านี้จะไปหาที่ไหน? จะหลีกไปที่ไหน? มันตามไปอยู่ตลอดทุกเมื่อ อยู่วัดก็เหมือนกัน อยู่บ้านก็เหมือนกัน อยู่ป่าก็เหมือนกัน อยู่ที่ไหนๆ มันตามอยู่ตลอดเวลา ถ้าเห็นภัยตลอดเวลาเห็นทุกขณะแล้ว เราเป็นผู้มีสติระมัดระวังสังวรไม่ให้คิดชั่ว ไม่ให้คิดผิด ไม่ให้ส่งส่าย ตั้งใจระมัดระวังจิตใจของเราอยู่เป็นปรกติ อันนั้นจึงค่อยพ้นภัยอันตราย หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี ป่าของพระโยคาวจร วันที่ ๒๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๗
|
|
|
|