สุดยอดทางคงกระพันชาตรี แคล้วคลาดและเป็นมหาอุด ?>
ชมรมอนุรักษ์พุทธศิลป์แห่งภาคอีสาน
The Buddhist Art Conservation Club Of Esan (North Eastern Part Of Thailand)
11 พฤศจิกายน 2567, 02:20:41 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  

กติกาในการ เช่า-แลกเปลี่ยนพระเครื่อง | พระเครื่องเมืองอุบลราชธานี | แจ้งปัญหาการใช้งาน
แจ้งเรื่องการยืนยันตัวตนสำหรับผู้ที่จะให้เช่าพระเครื่องฯ | วิธีสมัครสมาชิกเว็บ

หน้า: 1 [2] 3 4   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: สุดยอดทางคงกระพันชาตรี แคล้วคลาดและเป็นมหาอุด  (อ่าน 435923 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
vs12
VIP Member
*****

พลังน้ำใจ : 591
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 331

Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com Level 14 : Exp 73%
HP: 0%



ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #15 เมื่อ: 27 ธันวาคม 2554, 22:26:03 »

หลวงพ่อโสธร หรือ หลวงพ่อพระพุทธโสธร เป็นพระพุทธรูปสำคัญของจังหวัดฉะเชิงเทรา ประดิษฐานอยู่ในพระอุโบสถวัดโสธรวรารามวรวิหาร อำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นพระพุทธรูปที่หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ หน้าตักกว้างประมาณ 1 ศอกเศษ ปางขัดสมาธิเพชร แต่ได้เสริมแต่งขึ้นจากเดิมโดยพอกปูน ลงรักปิดทองให้เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ หน้าตักกว้าง 3 ศอก 5 นิ้ว พระเนตรเนื้อเลียนแบบพระสมัยล้านช้าง หรือที่เรียกว่า ?พระลาว? ได้บูรณะหรือสร้างขึ้นในปลายกรุงศรีอยุธยา หรือต้นสมัยรัตนโกสินทร์ หลวงพ่อโสธร เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ คือมีพระอิริยาบถนั่งขัดสมาธิ พระชงฆ์ขวาทับพระชงฆ์ซ้าย พระหัตถ์ขวาทับพระหัตถ์ซ้ายวางซ้อนกันอยู่บนพระเพลา มีส่วนสูง 6 ฟุต 7 นิ้ว พระเพลากว้าง 5 ฟุต 6 นิ้ว ปัจจุบันประดิษฐาน อยู่ในพระอุโบสถหลวงวัดโสธรวราราม จังหวัดฉะเชิงเทรา
พล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร หรือ "บิ๊กเหวียง" ประธานที่ปรึกษาโครงการพระราชดำริ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และอดีตผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ผู้ยึดถือหลวงพ่อโสธรเป็นสรณะ โดยรอดตายมาได้หลายครั้งแล้ว
สำหรับเหตุปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นครั้งแรกนั้น "บิ๊กเหวียง" เล่าว่า สมัยที่ยังมียศร้อยเอกหรือพัน ตรี จำไม่ได้ มีวันหนึ่งจำได้ว่าขับรถยนต์ไปงานเลี้ยงที่แปดริ้ว พอเสร็จงานประมาณตีสอง ก็ขับรถกลับตามถนนสายมีนบุรี ประกอบกับตัวเองดื่มสุราเข้าไปพอสมควร จังหวะที่ขับ อยู่นั้นมีความรู้สึกว่าง่วงนอนมาก ถนนดังกล่าวยังไม่มีแสงไฟสว่างเหมือนในปัจจุบัน มันจะมีไฟวูบวาบตามเส้นทางเป็นระยะๆ แต่ยังพยายามประคองรถให้อยู่ตามเส้นทางได้ ไม่น่าเชื่อว่าทันใดนั้นมีอยู่ช่วงหนึ่ง รถก็เกิดเหวี่ยงแบบตวัดออกอย่างกะทันหัน หน้ารถเกือบชนท้ายรถเมล์ที่จอดทิ้งไว้เฉยๆ เหลืออีกนิดเดียวเท่านั้นก็จะถึงตัวรถอยู่แล้ว แต่รอดมาได้อย่างหวุดหวิด "ผม คิดว่าถ้าคืนนั้นผมขับเร็วอีกเสี้ยววินาทีเดียว รถผมอาจชนท้ายรถเมล์อย่างจังแน่นอน ไม่รู้ว่าเสี้ยววินาทีตรงนั้นใจมันคิดอะไร แทนที่รถจะชนกัน แต่ทำไมถึงมีสิ่งดลใจให้หักหน้ารถออกมาได้อย่างหวุดหวิด มันเป็นเสี้ยววินาทีเฉียดตายจริงๆ ถือว่าผมโชคดีมากๆ ถ้าชนเข้าไปตูมเดียวคงตายแน่ เพราะผมไม่ได้เหยียบเบรกเลย ผมจึงเชื่อในปาฏิหาริย์และสิ่งที่แคล้วคลาดจากหลวงพ่อโสธร" อดีต ผบ.ทบ.เชื่อว่าหลวงพ่อโสธรช่วยให้รอดตาย





* watsothon2_-.jpg (85.86 KB, 350x529 - ดู 81636 ครั้ง.)

* 6559943-low.jpg (18.41 KB, 335x500 - ดู 75197 ครั้ง.)

thxby6733tar
บันทึกการเข้า
vs12
VIP Member
*****

พลังน้ำใจ : 591
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 331

Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com Level 14 : Exp 73%
HP: 0%



ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #16 เมื่อ: 07 มกราคม 2555, 18:37:08 »

พระกริ่งจอมสุรินทร์ พ.ศ.2513 ถือเป็นหนึ่งในสุดยอดพระกริ่งแห่งภาคอีสาน ออกแบบโดยนายช่างเกษม มงคลเจริญ ผสมสูตรนวโลหะโดยพระอาจารย์ไสว สุมโน วัดราชนัดดา...  วัตถุประสงค์ในการสร้างเพื่อสมนาคุณแก่ผู้มีจิตศรัทธาบริจาคทุนสร้างพระพุทธ รูปขนาดใหญ่ประจำจังหวัด ประดิษฐาน ณ ภูเขาสวาย จ.สุรินทร์  ผู้จัดสร้างได้จัดพิธีพุทธาภิเษกใหญ่ ณ พระอุโบสถวัดบูรพาราม เมื่อวันที่ 20 พ.ย. 2513  พิธีในครั้งนั้นจัดได้ว่าเป็นพิธีพุทธาภิเษกที่ยิ่งใหญ่สมบูรณ์น่าเลื่อมใส
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล เป็นประธานฝ่ายสงฆ์  พระคณาจารย์สายอีสานและพระเกจิอาจารย์ดังทั่วประเทศเข้าร่วมพิธีอย่างคับ คั่ง อาทิ หลวงปู่ฝั้น อาจาโร, หลวงปู่ขาว อนาลโย, หลวงปู่ชอบ ฐานสโม, หลวงปู่สาม วัดป่าไตรวิเวก ฯลฯ  กล่าวได้ว่าพระกริ่งจอมสุรินทร์เป็นยอดพระกริ่งที่เพียบพร้อมด้วยคุณค่าและพุทธคุณอย่างแท้จริง
สนธิ ลิ้มทองกุล? หนึ่งในแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มีไว้ในครอบครอง นั่นคือ ?พระกริ่งจอมสุรินทร์เนื้อทองคำ? วัตถุมงคลที่พระราชวุฒาจารย์ หรือ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล แห่งวัดบูรพาราม อ.เมือง จ.สุรินทร์ เป็นผู้ปลุกเสก จัดสร้างในปี 2513


* Image.jpg (61.58 KB, 300x494 - ดู 79259 ครั้ง.)

* fff01.jpg (30.33 KB, 298x374 - ดู 74416 ครั้ง.)

thxby7076ส่องสนามเมืองนักปราชญ์, tar, ramin, M30
บันทึกการเข้า
siambomba
Jr. Member
**

พลังน้ำใจ : 41
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 47

Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com Level 5 : Exp 53%
HP: 0.1%



ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #17 เมื่อ: 12 มกราคม 2555, 17:41:21 »

เอ๋ บีทาเก้น 'มีบุญเพราะหลวงปู่บุญมี'
การประมูลพระเครื่อง ของวงการพระ จะแตกต่างจากวงการอื่นๆ คือ ประมูลก่อนจ่ายทีหลัง ทั้งนี้ รายได้ที่เกิดจากการประมูลพระเครื่องในคืนเลี้ยงรับรองคณะกรรมการนั้น ถือว่าเป็นการวัดบารมีของคนจัดงานว่า มีบารมีมากเพียงใดนั่นเอง

  ในการประมูลพระเครื่อง ของคืนวันเลี้ยงรับรองกรรมการนั้น ชื่อหนึ่งที่คนวงการพระได้ยินกันจนเป็นที่คุ้นหู ในการร่วมประมูลพระ คือ นายอภิชิต อาจจินดา หรือที่รู้จักกันในนาม ?เอ๋ บีทาเก้น? และส่วนที่มาของฉายา ?บีทาเก้น? เพราะเขาเป็นหนึ่งในผู้บริหาร บริษัท บีทาเก้น จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าประเภท นมเปรี้ยวพร้อมดื่มพาสเจอร์ไรส์ และโยเกิร์ตพาสเจอร์ไรส์ ตรา บีทาเก้น นั่นเอง

 ?จริงๆ แล้ว ผมไม่ใช่เซียนพระ ผมเข้ามาสู่วงการพระเพราะพี่ต้อย เมืองนนท์ จากนานๆ ไปร่วมงานของวงการพระที แต่เดี๋ยวนี้ต้องไปทุกงาน จนกลายเป็นว่า อาทิตย์ไหนไม่ได้ไปร่วมงานประกวดพระ รวมทั้งอาทิตย์ไหนไม่ได้ไปเดินศูนย์พระเครื่อง ดูเหมือนว่า ชีวิตขาดอะไรไปอย่างหนึ่ง เพราะวงการพระเครื่องมีแต่เพื่อนที่มาจากคนทุกชั้น ทุกครั้งที่ผมประมูลพระเครื่อง ผมมองว่า ผู้จัดงานนั้น นำเงินที่ได้ไปทำอะไร มากกว่าที่จะคิดว่า พระที่ประมูลได้มานั้นมีราคาเท่าไร? นี่คือ เสน่ห์ของวงการพระเครื่อง จากคำบอกเล่าของ เอ๋ บีทาเก้น

 แม้ว่า เอ๋ บีทาเก้น จะมีพระเครื่องชุดหลักๆ ราคาแพงหลายองค์ ไม่ว่าจะเป็นพระหลวงปู่ทวด เหรียญเสด็จเตี่ยกรมหลวงชุมพรฯ แต่ใครเลยจะคิดว่า พระเครื่องที่เขาแขวน กลับเป็น เหรียญหลวงปู่บุญมี โชติปาโล (โชติปาโล แปลว่า ผู้มีแสงสว่างในธรรม) แห่งวัดสระประสานสุข (วัดบ้านนาเมือง) จ.อุบลราชธานี เนื้อทองแดง รุ่นแรก ปี ๒๕๓๐ ซึ่งเลี่ยมกรอบและแขวนอยู่บนสร้อยคอสเตนเลสธรรมดาเท่านั้น ไม่ใช่เป็นกรอบเลี่ยมทองล้อมเพชร และแขวนอยู่บนสายคอทองคำเส้นใหญ่ อย่างที่หลายคนคิดเอาเองไปก่อน

 สำหรับที่มาของเหรียญหลวงปู่บุญมีนั้น เอ๋ บีทาเก้น บอกว่า เป็นพระของ นายชิดชัย วรรณสถิตย์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ซึ่งท่านมอบให้มาเป็นของประมูลในงานประกวดพระเครื่อง

 ในครั้งนั้น ได้ประมูลมาในราคา ๑.๒ แสนบาท แม้ว่าจะดูว่าราคาสูงเกินจริง เพราะราคาจากวัด และราคาตลาดอยู่ในหลักร้อยปลายๆ เท่านั้น แต่ถ้ามองในแง่ทำบุญ ช่วยการกุศลแล้ว เรื่องราคาค่างวดไม่ใช่สิ่งสำคัญ

 จากนั้นก็นิมนต์เหรียญหลวงปู่บุญมีขึ้นคอ ซึ่งเป็นเรื่องแปลกมากว่า ชีวิตมีความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น โดยมีความเชื่อว่า ชื่อของหลวงปู่บุญมีเป็นมงคล

 ทั้งนี้อาจจะพูดได้ว่า แขวนหลวงปู่บุญมีทำให้เป็นคนมีบุญ ก่อนหน้านี้ ไม่เคยสัมผัสปาฏิหาริย์อะไร เกี่ยวกับพระเครื่องเลย แต่เมื่อมีหลวงปู่บุญมี ทุกครั้งที่ตั้งจิตอธิษฐานของอะไร มักประสบความสำเร็จทุกครั้ง

  หลังจากนั้น ก็ศึกษาประวัติของหลวงปู่บุญมี พร้อมกับเดินทางไปกราบไหว้ท่าน ยิ่งทำให้มีความศรัทธามากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ชาวบ้านทั่วไปจะเรียกขานท่านว่าหลวงปู่ หรือหลวงตาบุญมี แต่ท่านจะเรียกตัวท่านเองเสมอว่า พระบ้านนอก

 ท่านเกิดเมื่อวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๔๕๒ ตรงกับวันพฤหัสบดี ขึ้น ๑๕ ค่ำ ปีระกา ตรงกับวันมาฆบูชา ท่านมรณภาพเมื่อวันที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๔๗ รวมสิริอายุ ๙๕ ปี ๓ เดือน ๙ วัน อายุพรรษา ๗๔ ปี รุ่นแรก ปี ๒๕๓๐

 ส่วนสถาปัตยกรรมของวัดสระประสานสุขนั้น ถือว่าเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่น และต่างจากวัดอื่นๆ เช่น ประตูทางเข้าวัดจะเป็นรูปพระอินทร์ทรงช้าง ๓ เศียร อุโบสถบนเรือสุวรรณหงส์ หอระฆัง ๕ ชั้น วิหารรูปเรือนาคราช ซึ่งตั้งอยู่กลางน้ำ อีกทั้งศาลาการเปรียญ ยังเป็นที่ประดิษฐานของพระประธานปางนาคปรก ขนาดใหญ่ อีกทั้งรูปเหมือนพระเกจิอาจารย์ชื่อดังอีกหลายองค์ เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้มากราบไหว้สักการะ

 ภายในวัดนั้น มีความเงียบสงบร่มเย็น มีบริเวณที่กว้างขวาง โดยพุทธศาสนิกชน ได้เลื่อมใสและศรัทธาเดินทางมาทำบุญและเยี่ยมชมวัด ไม่ว่าทั้งชาวไทย และชาวต่างประเทศ เป็นจำนวนมาก

 พร้อมกันนี้ เอ๋ บีทาเก้น ได้ยกบางส่วน คำสอนของหลวงปู่ ที่นำมายึดปฏิบัติในชีวิต เช่น "ดีชั่วก็ตัวเรา จงเอาอยู่ที่ใจ สวรรค์อยู่ที่ใจ อย่าสงสัย เอาใจเถิด เดินทางเดียวกัน อย่าเหยียบรอยกัน ทำสมาธิให้ภาวนา ตาย ตาย ตาย ทุกลมหายใจ"

 "ละชั่วประพฤติดี ละทิฐิไม่เป็นพาล หวังเพื่อพระนิพพาน บำเพ็ญญาณสนองคุณ"
 หลวงปู่จะสอนเสมอว่า พระแก้วสององค์ คือ บิดามารดา ให้ระลึกถึงบุญคุณอยู่เสมอๆ ความกตัญญูคือสิ่งที่ล้ำค่า

 "ให้เชื่อความดีที่เราทำ ให้เชื่อกรรมที่เราสร้าง"
 "คนยากจน เพราะความตระหนี่ คนเป็นเศรษฐี เพราะบริจาคทาน"
 เมื่อถามถึงหลักธรรม ที่นำมาใช้ในการบริหารธุรกิจนมเปรี้ยว จนประสบความสำเร็จ เอ๋ บีทาเก้น บอกว่า ใช้ทุกข้อ

 แต่ข้อที่ใช้มากกว่าปกติ คือ ?ความละอายและเกรงกลัวต่อบาป? ซึ่งมีธรรมอยู่ ๒ ข้อ คือ หิริ (อ่านว่า หิ-ริ, หิ-หริ) แปลว่า ความละอายแก่ใจ ความละอายต่อบาป หิริ หมายถึงความละอายใจตัวเองต่อการทำความชั่วความผิด ต่อการประพฤติทุจริตทั้งหลาย และความละอายใจตัวเอง ที่จะละเว้นไม่ทำความดีซึ่งควรจะทำให้เกิดมีในตน เช่น บิดามารดามีความละอายใจที่จะไม่ดูแลบุตรของตน เป็นต้น

 และ ๒.โอตตัปปะ เป็นอาการของจิตที่หวั่นไหว เมื่อจะทำความชั่ว เพราะกลัวความผิดที่จะตามให้ผลในภายหลังเกิดขึ้นได้ เพราะคิดถึงโทษหรือความทุกข์ที่จะเกิดขึ้นจากการทำชั่ว จากการประพฤติทุจริตของตน เช่น ตัวเองต้องเดือดร้อน เกิดความเสียหาย เสียทรัพย์สินเงินทอง เสียอิสรภาพ หรือถูกคนอื่นตำหนิติเตียน ถูกสังคมรังเกียจ เป็นต้น

 ทั้งหิริ และโอตตัปปะ เป็นธรรมรักษาคุ้มครองโลก ทำให้โลกเกิดสันติ ทำให้คนเราอยู่กันอย่างสงบสุข เพราะคนที่มีหิริจะเกลียดความชั่ว และละอายที่จะทำความชั่ว ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ทำให้ไม่ก่อความเดือดร้อนให้แก่โลกและสรรพสัตว์ทั้งปวง

 อย่างไรก็ตาม ในวันอาทิตย์ที่ ๖ กันยายน ๒๕๕๒ สมาคมนักเรียนเก่าอำนวยศิลป์ โดย พล.ท.รังสฤษดิ์ แจ้งเจนกิจ นายกสมาคม ร่วมกับสมาคมผู้นิยมพระเครื่องพระบูชาไทย จัดงานประกวด พระบูชา พระเครื่องและเหรียญคณาจารย์ ณ ศูนย์การค้าพันธุ์ทิพย์ พลาซ่า งามวงศ์วาน จ.นนทบุรี

 ในฐานะที่เป็นหนึ่งในศิษย์เก่าโรงเรียนอำนวยศิลป์ และเคยเป็นประธานรุ่นหญ้าแพรก เอ๋ บีทาเก้น ฝากบอกว่า อยากเชิญชวนศิษย์เก่าโรงเรียนอำนวยทุกรุ่น ร่วมงานเลี้ยงรับรองคณะกรรมการประกวดพระ ในเย็นวันเสาร์ ที่ ๕ กันยายน ณ ศูนย์การค้าพันธุ์ทิพย์

 โดยอยากให้ศิษย์เก่าทุกรุ่นทุกท่าน ที่มีอยู่กว่า ๘ หมื่นคน กระจายอยู่ในทุกกลุ่มอาชีพ มาช่วยงานในครั้งนี้ ทั้งในส่วนของการร่วมงานเลี้ยง และส่งพระเข้าประกวด

 ?ก่อนหน้านี้ไม่เคยสัมผัสปาฏิหาริย์อะไรเกี่ยวกับพระเครื่องเลย แต่เมื่อมีหลวงปู่บุญมี ทุกครั้งที่ตั้งจิตอธิษฐาน ขออะไรมักประสบความสำเร็จทุกครั้ง?

เรื่อง - ภาพ... "ไตรเทพ ไกรงู"



thxby7177เต้ อุบล, MaiUbon, ส่องสนามเมืองนักปราชญ์
บันทึกการเข้า
vs12
VIP Member
*****

พลังน้ำใจ : 591
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 331

Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com Level 14 : Exp 73%
HP: 0%



ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #18 เมื่อ: 13 มกราคม 2555, 22:14:57 »

ลูกอม  เป็นเครื่องรางของขลังชนิดหนึ่ง ลักษณะส่วนใหญ่ของลูกอมทำเป็นลูกกลม ๆ ขนาดเล็กใช้อมเป็นเครื่องรางของขลัง  เพื่อคุ้มครองป้องกันภัยอันตราย ลูกอมผง  มีส่วนผสมของผงวิเศษซึ่งได้จากการเขียน ผงตามสูตรบังคับเช่น ผงปถมํ อิถิเจ  มหาราช  ตรีนิ สิงเห  ผงพุทธคุณ และผงเกร็ดต่าง ๆ เป็นต้น
    ผงวิเศษต่าง ๆ เหล่านี้เป็นของดีที่สำเร็จในอิทธิอภินิหารย์ด้วตนเองมีพุทธานุภาพตามแต่ ท่านคณาจารย์จะอธิษฐานจิตลงไป การสร้างลูกอมผงนั้น  ส่วนใหญ่เป็นผลพลอยได้จากการสร้างพระเครื่อง  คือเมื่อนำเอาผงวิเศษไปผสมผสานคลุกเคล้ากับตัวยึดเกาะและเนื้อหาสำคัญ  เช่น  ผงปูนหอย  กล้วยน้ำว้า  น้ำผึ้ง  น้ำอ้อย  น้ำมันตั้งอิ๊ว  เมื่อเหลือจากการพิมพ์พระแล้วจึงนำเอามาปั้นเป็นลูกอม  มีลักษณะเป็นลูกกลมเล็ก ๆ ใช้อม  มีพุทธคุณไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าพระพิมพ์เช่นกัน
  ลูกอมของ หลวงพ่อดิ่ง  วัดบางวัว  อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา ท่านนิยมสร้างเป็นลูกกลมมีขนาดเล็กประมาณเท่าปลายนิ้วก้อย  สีออกไปทางน้ำตาลส่วนใหญ่  จะปิดทองมาแต่เดิม
   เสือขาวเป็นจอมโจรเจ้าของฉายาขุนโจรร้อยศพ มีประวัติเหี้ยมโหดมาก เสือขาวเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อดิ่ง มีของดีที่อยู่กับตัวคือลูกอมหลวงพ่อดิ่ง แต่ไม่ประพฤติตนเป็นคนดี หลวงพ่อดิ่งได้เตือนเสือขาวว่า "มึงจะต้องตายโหงหากไม่เลิกเป็นโจร" เสือขาวนั้นทะนงตัว เพราะไม่มีอาวุธใด ๆ ทำอันตรายได้ ปืนยิงไม่ออก มีดแทงไม่เข้า ความเป็นอมตะของเสือขาวนี้เอง ทำให้เกิดความลำพองใจไม่ฟังคำเตือนของหลวงพ่อดิ่งผู้เป็นอาจารย์ ตำรวจชุดไล่ล่าได้มาหาหลวงพ่อดิ่งที่วัดบางวัว แล้วถามว่าจริงหรือที่ว่าเสือขาวนั้นหนังเหนียว หลวงพ่อดิ่งบอกว่า "จริง ไอ้ขาวมันหนังเหนียว ยิงฟันไม่เข้าหรอก แต่มันจะแพ้ดวงของมันเอง อาตมาบอกไม่ได้หรอกว่าจะสังหารไอ้ขาวได้อย่างไร เพราะมันเป็นการผิดศีล"
    ตำรวจชุดไล่ล่าล่าหลวงพ่อดิ่งจะลากลับ ในขณะนั้นมีตาเถรคนหนึ่งซึ่งรู้จักกับจ่าบุญมีได้มาบอกว่า "ถ้าจะสังหารไอ้ขาว จะต้องใช้ปลายพระขรรค์ของหลวงพ่อโศก วัดปากคลองเขียนพระคาถาตามที่ท่านให้ ลงที่ลูกปืนที่หัวกระสุน" หลวงพ่อโศก ท่าน เป็นสหายของหลวงพ่อดิ่ง วัดบางวัว วิชาอาคมของหลวงพ่อดิ่งที่ลงไว้ หลวงพ่อโศกท่านจะจารแก้ไว้บนใบมีดหมอของท่าน" เสือขาวได้ปะทะกับตำรวจชุดไล่ล่าอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกับทุกครั้ง เพราะกระสุนเพียงนัดเดียวเสือขาวถึงกับทรุดสิ้นลายของคำว่า"จอมโจรหนัง เหนียว" กระสุนที่ใช้สังหารเสือขาว หัวกระสุนทั้งหมดที่ใช้ยิง จารด้วยพระขรรค์ของหลวงพ่อโสก วัดปากคลองฯ



* lpd01.jpg (84.71 KB, 425x527 - ดู 76033 ครั้ง.)

* ลูกอม01.jpg (82.64 KB, 500x714 - ดู 88947 ครั้ง.)

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13 มกราคม 2555, 22:16:49 โดย vs12 » บันทึกการเข้า
vs12
VIP Member
*****

พลังน้ำใจ : 591
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 331

Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com Level 14 : Exp 73%
HP: 0%



ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #19 เมื่อ: 13 มกราคม 2555, 22:42:55 »

พระขรรค์ คือ อาวุธปลายแหลม คลายมีด แต่มีสองคม และเรียวตรงกลาง คณาจารย์ท่าน ได้แยกแขนงมาจากมีดหมอ หรือเทพศาสตรา ใช้สำหรับการปราบภูติผีปีศาจ และคุ้มกันอันตราย วัตถุประสงค์ในการสร้างก็ดุจเดียวกันคือ "มีดหมอ" นั่นเอง พระขรรค์ด้ามทำด้วยเขาควายเผือกของ หลวงพ่อโสก วัดปากคลอง เป็นเกจิอาจารย์ที่ชาวเมืองเพชรให้ความเคารพนับถือมาก พระขรรค์ของหลวงพ่อโศกนั้น เป็นที่แสวงหากันมาตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง ดังมีคำกล่าวที่ว่า "ลูกผู้ชายชื่ออ้ายแผน เมืองเพชร ขอให้มีปลัดขิกอัน ผ้ายันต์ผืนพระขรรค์เล่มของหลวงพ่อโศก ถึงไหนถึงกัน" คำกล่าวนี้บ่งบอกถึงความเชื่อถือและความศักศิทธิ์แห่งเครื่องรางที่ท่าน สร้างไว้ได้เป็นอย่างดี
สุดยอดเทพศาตราวุธ
พระขรรค์เขาควายเผือกหลวงพ่อโศก ถือว่าเป็นหนึ่งในสุดยอดแห่งพระขรรค์ ที่มีอานุภาพใช้ได้ทุกทาง
1.คุ้มครองรักษาป้องกันอันตรายเมื่ออยู่กับตัวผู้ใช้
2.ป้องกันภัยภูติผีปีศาจ
3.ผ่อนหนักเป็นเบา ไม่ถึงคราวรอดตาย
4.เป็นที่ยำเกรงต่อศัตรู เป็นมหาอำนาจ
5. ด้ามพระขรรค์ ทำจากเขาควายเผือกถูกฟ้าผ่าตาย ตามเคล็ดวิชา เพราะสายฟ้านั้นมีพลังอำนาจทำลายล้างตามธรรมชาติที่รุนแรงที่สุด และเป็นเคล็ดคุ้มครองให้ผู้ถือครอบครองพระขรรค์ไม่ถูกฟ้าผ่าตาย
กรรมวิธีการสร้าง
ตาม ตำราของท่านกำหนดว่าเขาควายนั้นจะต้องประกอบด้วยลักษณะดังนี้ เขาควายเผือก (ควายธรรมดาใช้ไม่ได้) ต้องตายโหง ขวิดกันเองตาย หรือถ้าถูกฟ้าผ่าตายได้ก็ยิ่งวิเศษ เขาควายนั้นจะต้องไม่ถูกต้มมาก่อน เมื่อควายตายลงก็ต้องชำแหละตัดเขาออกสดๆ ไม่ต้องรอให้แล่ควายออกเป็นส่วน ๆ แล้วจึงนำหัวมาต้มเพื่อเอาเขาออกได้ สะดวกท่านว่าใช้ไม่ได้ แกะเป็นด้ามพระขรรค์ (โดยไม่ทวนเขา) เวลาแกะให้จำไว้ว่าทางไหนทางโคนเขา ทางไหนทางปลายเขา ให้ทำเครื่องหมายไว้ เวลาแกะให้แกะจากโคนเขาไปหาปลายเขา เป็นทางเดียวตลอดเวลาการแกะจนสำเร็จ ถ้าทวนแม้แต่ครั้งเดียวใช้ไม่ได้ต้องทิ้งไป
เสือขาว"จอมโจรหนัง เหนียว" ถึงกับทรุดสิ้นลายกระสุนที่ใช้สังหารเสือขาว หัวกระสุน จารด้วยพระขรรค์ของหลวงพ่อโสก วัดปากคลองฯ
คาถากำกับพระขรรค์
"พุทโธ ปัพพะชายาโน สัพพะศัตรู วินาสสันติ ธัมโม ปัพพะชายาโน สัืพพะศัตรู วินาสสันติ สังโฆ ปัพพะชายาโน สัพพะศัตรู วินาสสันติ"


* lps01.jpg (46.81 KB, 377x512 - ดู 97243 ครั้ง.)

* pk01.jpg (36.82 KB, 500x665 - ดู 73968 ครั้ง.)

thxby7204Kongkrapan, M30
บันทึกการเข้า
ramin
วิทยาศาสตร์ที่ปราศจากศาสนา คือคนขาพิการ ศาสนาที่ปราศจากวิทยาศาสตร์ คือคนตาบอด
VIP Member
*****

พลังน้ำใจ : 88
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 192

Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com Level 11 : Exp 20%
HP: 0%



ดูรายละเอียด
« ตอบ #20 เมื่อ: 14 มกราคม 2555, 19:00:05 »

พระกริ่งจอมสุรินทร์ พ.ศ.2513 ถือเป็นหนึ่งในสุดยอดพระกริ่งแห่งภาคอีสาน ออกแบบโดยนายช่างเกษม มงคลเจริญ ผสมสูตรนวโลหะโดยพระอาจารย์ไสว สุมโน วัดราชนัดดา...  วัตถุประสงค์ในการสร้างเพื่อสมนาคุณแก่ผู้มีจิตศรัทธาบริจาคทุนสร้างพระพุทธ รูปขนาดใหญ่ประจำจังหวัด ประดิษฐาน ณ ภูเขาสวาย จ.สุรินทร์  ผู้จัดสร้างได้จัดพิธีพุทธาภิเษกใหญ่ ณ พระอุโบสถวัดบูรพาราม เมื่อวันที่ 20 พ.ย. 2513  พิธีในครั้งนั้นจัดได้ว่าเป็นพิธีพุทธาภิเษกที่ยิ่งใหญ่สมบูรณ์น่าเลื่อมใส
สนธิ ลิ้มทองกุล? หนึ่งในแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มีไว้ในครอบครอง นั่นคือ ?พระกริ่งจอมสุรินทร์เนื้อทองคำ? วัตถุมงคลที่พระราชวุฒาจารย์ หรือ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล แห่งวัดบูรพาราม อ.เมือง จ.สุรินทร์ เป็นผู้ปลุกเสก จัดสร้างในปี 2513

อันนี้น้อยคนที่จะรู้ ไม่ทราบท่าน VS12 ก็รู้ด้วย
เจ้าของพระกริ่งจอมสุรินทร์ เนื้อทองคำที่มอบให้คุณสนธิ คือ พ.ต.ท.จเร สุปิรยะ หรือเทพสุรินทร์ สวป.เมืองสุรินทร์
ผมเคยเสวนากับท่านเกี่ยวกับกริ่งจอมสุรินทร์ และท่านเล่าว่า เหตุการณ์ที่คุณสนธิรอดพ้นจากมัจจุราชเมื่อไม่นานมานั้น
แท้จริงแล้ววันนั้น คุณสนธิได้แขวนกริ่งจอมสุรินทร์ที่สารวัตรจเรให้ไปนั่นเอง หลังจากได้สติ คุณสนธิยังโทรไปขอบคุณสารวัตรจเรอีกด้วย

thxby7235M30
บันทึกการเข้า
vs12
VIP Member
*****

พลังน้ำใจ : 591
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 331

Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com Level 14 : Exp 73%
HP: 0%



ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #21 เมื่อ: 28 มกราคม 2555, 18:26:42 »

หลวงพ่อรุ่ง  วัดดอนยายหอม  เป็นศิษย์ก้นกุฎิของหลวงพ่อฮวบ  หลังจากที่หลวงพ่อฮวบ เจ้าอาวาสวัดดอนยายหอม ได้มรณภาพใน ปีพ.ศ.2465  หลวงพ่อรุ่ง  ได้อยู่ในตำแหน่งรักษาการเจ้าอาวาสวัดดอนยายหอม ได้ เพียง 1 ปี  หลวงพ่อรุ่งได้ลาสิกขาบท ในปี พ.ศ. 2466 ขณะที่ท่านมีอายุได้  70 ปี และหลวงพ่อเงิน ได้ดำรงค์ตำแหน่งเจ้าอาวาสสืบต่อมา
    หลวงพ่อรุ่ง ท่านมีความเจนจัดในด้านวิปัสสนากรรมฐานและพุทธาคมมากเรียกได้ว่าเป็น อาจารย์ใหญ่ของหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม  พุทธาคมที่หลวงพ่อเงินเรียนรู้ ส่วนใหญ่จะได้มาจากหลวงพ่อรุ่ง ในช่วงที่หลวงพ่อรุ่งยังมีชีวิตอยู่ในเพศฆราวาส  ท่านมีชื่อเสียงโด่งดังมาก ไม่แพ้หลวงพ่อฮวบอาจารย์ของท่าน  ท่านเป็นพระที่ร้อนวิชาองค์หนึ่งทีเดียว  เฉกเช่นกับหลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง  ท่านได้สร้างพระเครื่องไว้หลายรูปแบบด้วยดินขุยปู   แต่ที่เป็นที่รู้จักกันมากที่สุดได้แก่  พระพิมพ์นาคปรก  พระพิมพ์นาคปรกนี้  หลวงพ่อเงิน  วัดดอนยายหอมเองก็นำติดตัวตลอดเวลา  ในระหว่างออกเดินธุดงค์  ในสมัยที่ยังเป็นพระหนุ่ม
เสือผาดทับสายทอง  ให้ความเคารพและนับถือหลวงพ่อรุ่ง  วัดดอนยายหอมมาก และเคยเล่าว่า ชีวิตของตนรอดตายหลายต่อหลายครั้ง  ก็จากพุทธคุณของพระพิมพ์นาคปรก หลวงพ่อรุ่ง  วัดดอนยายหอม  ถึงขนาดที่เคยถูกล้อมจับไม่มีน้ำกิน  เคยอาราธนาพระพิมพ์นาคปรก  หลวงพ่อรุ่ง  ทิ้งลงไปในน้ำที่จะตักมาดื่ม  ผลปรากฏว่า  บริเวณที่พระตกลงไป  น้ำจะใสสะอาดทันที
 นอกจากได้พระนาคปรกจากหลวงพ่อรุ่งไว้คุ้มครองแล้วยังได้วิชาจากหลวงพ่อรุ่งไว้ป้องกันตัวโ ดยเฉพาะวิชากำบังกายถึงขนาดที่ว่า  เสือผาดเดินผ่านตำรวจมือปราบได้โดยที่นายตำรวจผู้นั้นไม่เห็น  และก็เป็นที่ยอมรับของตำรวจว่าหลายครั้งที่ล้อมจับเสือผาดแล้วหาตัวไม่พบ
  วันที่  12 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2494  เสือผาดได้ถูกตำรวจล้อมจับบริเวณ  สถานีรถไฟหนองปลาดุก  ต.ปากแรต อ.บ้านโป่ง  นายตำรวจและผู้ติดตามนับสิบคน  ได้เข้าล้อมจับเสือผาดที่จนมุมอยู่กลางทุ่งนา  พร้อมกับเสือสังวาลย์  สมุนคู่ใจ  แต่ทั้งคู่ไม่ยอมแพ้  ได้เกิดการต่อสู้กับตำรวจ  จนกระทั่งเสือสังวาลย์ถูกยิงตาย  ยังคงเหลือแต่เสือผาดแต่ตำรวจก็ไม่กล้าเข้าล้อมจับ จนกระทั่งมีเสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัด   หลังจากนั้นตำรวจได้เข้าไปตรวจสอบพบว่า  เสือ ผาดได้ใช้ปืนยาวพระรามหกยิงกรอกปากตัวเองด้วยกระสุนนัดสุดท้ายที่เหลืออยู่  เพราะไม่ยอมจนมุมและไม่ยอมตายด้วยเงื้อมือตำรวจแต่ขอปลิดชีพตัวเอง ก่อนที่เสือผาดจะยิงตัวตาย  ได้ถอดพระเครื่องที่แขวนติดตัวทั้งหมดฝังเอาไว้ในรูปู โดยหลังจากที่ตำรวจเข้าชันสูตรศพเสือผาด  ได้นำพระของเสือผาดมาไว้ที่หน้าอกและถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐานแต่ผลจากการชันสูตรศพพบว่า  เสือสังวาลย์โดนปืนร่างพรุึน  แต่เสือผาดมีรอยช้ำเป็นจ้ำๆทั่วทั้งตัว จากการที่โดนกระสุนปืนจากตำรวจแต่ไม่เข้าเลยแม้แต่นัดเดียว



* lpr001.jpg (47.45 KB, 400x284 - ดู 74006 ครั้ง.)

thxby7478Kongkrapan
บันทึกการเข้า
chanatip
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #22 เมื่อ: 28 มกราคม 2555, 20:21:44 »

?สนธิ? เปิดใจครั้งแรก เบื้องลึกปมลอบยิง หลังถูกยิงถล่มรถ กว่า 100 นัด

"มีคนถามผมว่า ผมห้อยพระอะไร ความจริงแล้วผมเป็นคนที่มีพ่อแม่ครูอาจารย์ที่ผมเคารพอยู่หลายองค์ ผมเข้ามาที่ออฟฟิศตอนเช้า ทุกวันผมก็ทำ ผมจะบูชาองค์จตุคามรามเทพ ที่อยู่ข้างล่าง ข้างๆ สระน้ำ ผมจะไหว้พระอุปคุต ผมไหว้พระแม่ธรณี ผมไหว้ศาลพระเจ้าตากสิน แล้วผมไหว้พระภูมิเจ้าที่ แล้วผมก็ขึ้นมาไหว้พระข้างใน พระชุดใหญ่ แล้วผมก็ไหว้หลวงตามหาบัว ผมก็มีหลวงตามหาบัว หลวงปู่มั่น ภูมิทัตโต พระอาจารย์เสาร์ซึ่งเป็นอาจารย์ของหลวงปู่มั่น หลวงปู่ดุลย์ แล้วผมก็ไหว้หลวงปู่ทวด มีหมดทุกองค์ หลวงปู่บุญมี โชติปาโล หลวงพ่อญาท่าน เพราะฉะนั้น พ่อแม่ครูอาจารย์ผมเยอะมาก ที่ผมบูชา ผมไหว้ แต่สิ่งที่สำคัญมากกว่าการที่ผมอ้างอิงพ่อแม่ครูอาจารย์ คือ ทุกครั้งผมตั้งจิตอธิษฐานในการไหว้ ผมบอกว่า ข้าพเจ้าขอตั้งใจทำงานรับใช้ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และส่วนรวมจนกว่าชีวิตจะหาไม่ ตรงนั้นต่างหาก แล้วผมเชื่อว่าผมรอดชีวิตได้เพราะคุณงามความดีพระ คุณงามความดีที่ผมทำ เพราะฉะนั้นพระที่ปกป้องผมคือ คุณงามความดี"

.................  ที่สำคัญคือ ยิง M 79 เข้าไปในรถแล้วไม่ระเบิดเสย!

ไม่เหรียญรุ่นแรกทองคำ  ก็น่าจะเป็น รูปหล่อก้นต้น อ่ะนะ









thxby7479M30
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28 มกราคม 2555, 20:43:50 โดย อ.แดน » บันทึกการเข้า
vs12
VIP Member
*****

พลังน้ำใจ : 591
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 331

Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com Level 14 : Exp 73%
HP: 0%



ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #23 เมื่อ: 18 กุมภาพันธ์ 2555, 22:15:35 »


          หลวงพ่อห้อง วัดช่องลม ท่านเกิดเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑๕ กุมภาพันธ์พ.ศ.๒๓๘๘ ที่ตำบลหน้าเมือง อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี โยมบิดาชื่อ แสง โยมมารดาชื่อ นาค
          เมื่อท่านอายุครบบวช(ปีพ.ศ.๒๔๐๙) หลวงพ่อห้องได้อุปสมบทที่วัดช่องลม โดยมีท่านเจ้าอาวาส วัดช่องลมในขณะนั้น เป็นพระอุปัชฌาย์ พระปลัดจันทร์ วัดพญาไม้ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ หลวงพ่อเรือง วัดท้ายเมือง เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า "พุทธสโร"
       เมื่อท่านบวชแล้ว หลวงพ่อท่านประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย และบำเพ็ญ ศาสนกิจของสงฆ์
ถูกต้องตามพุทธบัญญัติทุกประการ จนกระทั่งมรณภาพ เมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๖๙ มีอายุได้ ๘๑ปี
      ในสมัยที่หลวงพ่อห้องยังมีชีวิตอยู่ ท่านได้สร้างพระเครื่องในรูปแบบเหรียญปั้มและเหรียญหล่อโบราณ เมือประมาณ ปี พ.ศ.๒๔๖๕
      เสือเเป้นฉาย จอมโจรเเห่งลุ่มน้ำเเม่กลอง  เรียกว่าตั้งเเต่ราชบุรี สมุทร สงคราม ขนาดเด็กกำลังร้องให้ ถ้าพูดว่าไอเสือเเป้น มาเด็กหยุดร้องทันที ดังไหมขนาดเด็กยังกลัวขี้หดตดหาย เสือเเป้น เป็นลูกศิษย์ ของ หลวงพ่อห้อง วัดช่องลม เเละได้รับเหรียญหล่อโบราณและรับการสักยันต์
...พระโมคคัลลานะ... จากท่านกาลเวลาต่อมา เสือเเป้นถูกความกดดันหลายสิ่งหลายอย่าง จึงต้องหันเหมายึดอาชีพเป็นโจร เที่ยวปล้นระดมชาวบ้านชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว ถึงเเม้เจ้าหน้าที่จะออกปราบปรามเคยปะทะ กับเสือเเป้นเเบบประจัญบาน เเต่เจ้าหน้าที่ไม่สามารถทำอะไรเสือเเป้นได้ เพราะว่าหนังดีคือ
...คงกระพัน.. อาวุธทุกชนิดของเจ้าหน้าที่ ไม่สามารถทำอันตราย เเม้เเต่ผิวหนังของเขาได้ เสือเเป้นจึงหลุดรอดมาครั้ง ในที่สุดทางการจึงวางเเผน โดยให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกับสมุนเสือเเป้น ใช้วิธีจ้างให้ลูกสมุนทำร้ายให้สลบ เพื่อเจ้าหน้าที่จะได้เข้าไปจับกุมโดยง่ายดาย ลูกสมุนของโจรพอเห็นเงินก้อนใหญ่เลยเกิดความโลภ จึงวางเเผนทรยศต่อลูกพี่ ตอนเสือเเป้นนอนหลับ ลูกน้องทรยศได้ใช้ไม้พองตีจนสลบ
เจ้าหน้าที่จึงกรูเข้าจับตัวได้ หลังจากเสือเเป้นถูกส่งตัวฟ้องศาล ได้ตัดสินประหารชีวิต ในยุคนั้นการประหาร นักโทษ ทางราชการใช้วิธีนำผู้ต้องหามัดติดกับเสา เเล้วเพรชฌฆาต จึงลงมือฟันคอด้วยดาบ
เมื่อข่าวเเพร่ออกไปว่า เสือเเป้นถูกจับได้ เเละถูกนำตัวไปตัดศรีษะ ประชาชนนับหมื่น ต่างมุงดูกันหล้นหลาม ณ ลานประหาร โดยมีพระยาไกรเพรช รัตนสงคราม สมุหเทศบาล เป็นประธาน ส่วนเพรชฌฆาต
นั้นได้เตรียมมาจาก กรุงเทพ คือหมื่นสาหัส เป็นดาบ 1 คนฟันคอ ส่วนนายอ้น เพรชฌฆาต เป็นดาบ 2
คนรำล่อเเละเชือด พอได้กำหนดเวลาเจ้าหน้าที่ได้นำตัวเสือเเป้น.ผูกคอมัดติดกับเสาประหารท่าม กลางความโศกเศร้าเสียใจ ของมารดาเเละญาติ พี่น้องที่เคยห้ามปรามเเต่ไม่เชื่อฟัง พอได้เวลาเสียงปี่กลองก็เริ่มขึ้น เพรชฌฆาต ก็ร่ายรำหลอกหล่อไปตามจังหวะเสียงปี่เสียงกลอง พอรัวๆ เพรชฌฆาต ดาบ 1
ก็เงื้อดาบขึ้นสุดเเขนฟันลงไปตรงบั้นคอของเสือเเป้นทันที เเต่ทว่าคมมีดไม่สามารถชำเเหละผิวหนังของ
เสือ เเป้นได้ เเม้เเต่เพียงริ้วรอยก็เหมือนรอยหนามเกี่ยวเท่านั้น สร้างความตื่นตะลึงเเก่ผู้ที่มาดูในวันนั้น ดาบ 1 ฟันไม่เจ้า ดาบ 2 เลยใช้มีดดาบเชือดเฉือนทันที เเต่ทว่าก็หาระคายผิวไม่ ทั้งๆที่ดาบของ เพรชฌฆาต เป็นดาบศักศิทธิ์ เคยฟันคอนักโทษที่มีอาคมขลัง ขาดกระจุยมานักต่อนักเเล้ว เลยต้องเข้าไปกราบเรียนเจ้าคุณ ทศ เห็นจะต้องใช้วิธีอื่น พระยาไกรเพรช รัตนสงคราม จึงตัดสินใจให้นำกระทะมาต้ม
เมื่อมารดาเห็นเช่นนั้น จึงได้ขันอาสากับท่านเจ้าคุณ ว่าจะช่วยเกลี้ยกล่อมลูกชายให้เอง ให้ถอนอาถรรพณ์ เพราะไม่อยากเห็นลูกชายต้องทนทุกข์เวทนา เช่นนั้นเมื่อมารดาเสือเเป้น เข้าไปเกลี้ยกล่อม
บุตรชายให้ถอน อาถรรพณ์ ในที่สุดเสือเเป้น บอกให้มารดา ตักน้ำมา เเละตัวเองทำน้ำมนต์ให้มารดาไปรดที่ตัว พร้อมกับเอาน้ำมนต์ลูบไปที่ อักขระยันต์ด้านหลัง 3 ครั้ง เเล้วก้มลงกราบมารดา เป็นครั้งสุดท้าย หลังจากนั้น เพรชฌฆาต ก็ทำพิธีประหารต่อไป พอดาบ 1 ฟันลงก้านคอเท่านั้น คอขาดกระเด็นเลือดพุงกระฉูดกระจายไปทั่ว สิ้นสุดชีวิตความชั่วของเสือเเป้นฉาย.ซึ่งเรื่องนี้เป็นที่โจษจันกันไปทั่ว ว่า
เสือเเป้น หนังเหนียว เพราะหลวงพ่อห้องท่านสักยันต์ให้ ตั้งเเต่นั้นมานักเลงถิ่นไหนก็เดินทางมาให้หลวงพ่อห้องท่าน สักยันต์ให้ .เเละถวายตัวเป็นลูกศิษย์ พุทธคุณพระท่านช่วยทุกคนไม่ว่าคนนั้นจะเป็นคนดีหรือคนเลวก็ตาม พุทธคุณพระไม่มีเเบ่งชั้นวรรนะ มันอยู่ที่กรรมของเเต่ละคน.........






thxby7837Kongkrapan, MaiUbon, เล็ก หัวตะเข้
บันทึกการเข้า
vs12
VIP Member
*****

พลังน้ำใจ : 591
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 331

Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com Level 14 : Exp 73%
HP: 0%



ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #24 เมื่อ: 18 กุมภาพันธ์ 2555, 22:25:45 »

 หลวงพ่อห้อง วัดช่องลม และเหรียญหล่อโบราณ หน้าเหรียญมีรูปหลวงพ่อและยันต์หัวใจยอดศีล "พุทธะสังมิ"ดีทางคงทนอาวุธ หอกดาบ และปืนไฟ ด้านหลัง นวหรคุณ 9 ห้อง " อะสังวิสุโลปุสะพุภะ" "มะอะอุ " คงกระพัน กันอาวุธ หยุดลูกปืน สุดท้ายยันต์พระโมคคัลลานะ


* Picture17.png (95.62 KB, 197x302 - ดู 92411 ครั้ง.)

* S00003.jpg (76.83 KB, 500x376 - ดู 81558 ครั้ง.)

* 7eKZ20111117112739.jpg (6.12 KB, 125x135 - ดู 73602 ครั้ง.)

thxby7839Kongkrapan, เล็ก หัวตะเข้
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18 กุมภาพันธ์ 2555, 22:27:59 โดย vs12 » บันทึกการเข้า
vs12
VIP Member
*****

พลังน้ำใจ : 591
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 331

Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com Level 14 : Exp 73%
HP: 0%



ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #25 เมื่อ: 06 เมษายน 2555, 15:37:56 »

ในช่วงที่ท่านมีชีวิต   หลวงพ่อพาน เปรียบเสมือน   เทพเจ้าแห่งกุยบุรี   ท่านเป็นพระที่เก็บตัว   วัดของท่านแทบจะเรียกว่าอยู่ในป่าเลยครับ   ทำให้ท่านไม่เป็นที่รู้จักของคนต่างถิ่นมากนัก   แต่ในท้องที่กุยบุรีแล้ว ท่านเป็นอันดับหนึ่งครับ   เหรียญรุ่นแรกของท่าน  สร้างในปี พ.ศ. 2519 เหรียญรุ่นแรก   หลวงพ่อพาน   สุขกาโม   วัดโป่งกระสัง   บ้านโป่งกระสัง   อ.กุยบุรี   จ.ประจวบคีรีขันธ์  
 สุดยอดมหาอุตม์ตลอดกาลเมืองประจวบคีรีขันธ์
2490  ต้องยกให้หลวงพ่อเปี่ยม   วัดเกาะหลัก    ช่วงปี พ.ศ. 2490 - 2520  ต้องยกให้   หลวงพ่อท้วม   วัดเขาโบสถ์    หลังจากหลวงพ่อท้วม   ก็จะเป็น   หลวงพ่อนิ่ม   วัดเขาน้อย  และ หลวงพ่อฟัก   วัดนิคมประชาสรรค์  เจ้าแห่งปลัดขิก   หลวงพ่อพาน   ท่านเป็นพระที่อยู่ในยุคเดียวกันกับ หลวงพ่อนิ่ม และหลวงพ่อฟัก   แต่ท่านจะอ่อนอาวุโสกว่าทั้งสองท่านครับ    ท่านจะมีอาวุโสมากกว่า หลวงพ่อยิด    วัตถุมงคลของ หลวงพ่อพาน  นอกจากเหรียญรุ่นแรก แล้ว    สิ่งที่เป็นสุดยอดแห่งความต้องการของบรรดาลูกศิษย์   ก็คือ  ตะกรุดโทน   ท่านค่อนข้างพิจารณาแจกมากครับ สำหรับตะกรุดโทนของท่าน
หลวงพ่อพาน  เกิด วันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ.2454   ในสกุล พุ่มอำภา   เป็นชาวบ้านกล้วย  ต.บางเค็ม  อ.เขาย้อย  จ.เพชรบุรี   อุปสมบท ณ.พัทสีมา  วัดหนองไม้เหลือง  เมื่อปี พ.ศ. 2475     หลวงพ่อพานเป็นชาวจังหวัดเพชรบุรีโดยกำเนิด เป็นพี่น้องกับหลวงพ่อเพลิน วัดหนองไม้เหลืองและได้บวชเรียนที่วัดหนองไม้เหลืองเพชรบุรี หลวงพ่อพานได้มาจำพรรษาที่วัดโป่งกะสังและเป็นเจ้าอาวาสตั้งแต่ปี พ.ศ. 2513 ยังเป็นสำนักสงฆ์ หลวงพ่อพานท่านเป็นพระปฏิบัติมีความมุ่งมั่นในการก่อร่างสร้างวัดโป่งกะสัง ที่ยังไม่มีอะไรเลย ให้เป็นวัดที่มีสิ่งต่างๆเกิดขึ้นมากมายจากบารมีของท่าน ท่านได้มรณภาพเมื่อวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ.2539รวมอายุ 84 ปี

หลวงพ่อพานนี้นะครับ หลวงพ่อยิดยังยกย่อง เรียกพี่ใหญ่หรือพี่เบิ้มนี่แหล่ะ ท่านเอ่ยชมเลยนะครับ
หลวงพ่อยิดท่านว่า ของฉันเก่งก็เก่งจริง แต่ถ้าทำไม่ดี เดี๋ยวคุ้มไม่ได้ ของหายบ้าง เสื่อมบ้าง อะไรบ้างแต่ของหลวงพ่อพาน คุ้มได้หมด ได้ขนาดไหน(ท่านอาจจะถาม) ขนาดยิงกรอกปากไม่ออกก็แล้วกันครับ
อันตะกรุดท่านนั้น ท่านจะลงจารเองทุกดอก สมัยนั้น ออกมาก็ดอกละพันแล้ว และจะลงในพรรษาเท่านั้น แม้หลวงพ่อเมี้ยน วัดหนองข้าวเหนียว ศิษย์ หลวงพ่อทองศุข วัดโตนดหลวง ก็บอกว่า หลวงพี่พาน ท่านลงน้อยเกินเนอะ ทำแค่ในพรรษาและทำแค่ 108 ดอก เอง อันตะกรุดท่านนั้น แม้ดอกเล็กๆ ก็มีประสบการณ์มาก ขนาดที่ มีผู้ถูกยิง ยิงเท่าไรก็ไม่ออก ปกติยิงเบิกทวาร ไม่มีเหลือครับโดนจับยิงกรอกปาก ปรากฏว่า กระสุนเข้าปาก ฟันหัก แต่กระสุนไปกลิ้งอยู่ในปาก อย่านี้ไงล่ะครับ หลวงพ่อยิดจึงยกย่องมากๆๆๆๆๆ สำหรับตะกรุดโทน มีตำรวจ ที่เมืองเพชร เอาไปใส่ในกระป๋องนม แล้วล้อมยิงสิบกว่กรบอก ยิงไม่ถูกเลย
ประสบการณ์อีกเรื่องครับ
กิตติศัพท์..ของท่านทราบมาพอสมควรครับ....ผมเองยังแอบ..จีบเพื่อขอ ตะกรุดของท่านจาก..ผู้ร่วมงานที่ทำงานอยู่ที่เดียวกัน...ครับเชื่อหรือ ไม่..ลองมาฟังกันเล่นๆนะครับ...(เล่าสู่กันฟัง)...คนที่ผมพูดถึงคนนี้..โดน เข้ากับตัวเอง...ครับ...มีดปลายแหลมกระซวกเข้าที่..ด้านหน้าท้อง..1 จึ๊ก(ตกกะใจ..หันหลังเพื่อจะวิ่งหนี)..เลยโดนที่ด้านหลังอีก..1 จึ๊ก.(เลิกวิ่งเลยครับ)เพราะคนที่วิ่งคือ(คนที่แทงนั่นแหละครับ)..ต่อหน้า ประชาชี.(กลางวันแสกๆ)..ที่นั่งกินข้าวอยู่ด้วยกัน.ผลปรากฎว่า..เสื้อทะลุ เป็นรู..ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง..ครับ.คมมีดไม่ระคายผิวแต่เจ้าตัวได้แต่ ยืนจุกอยู่ตรงนั้น...(เหตุเกิดเมื่อต้นปีที่แล้ว)...(ส่วนผมขอแบ่งไม่ทัน ครับ... )









* 6344957003375347171.JPG (112.02 KB, 495x675 - ดู 73674 ครั้ง.)

* 6344957003379647172.JPG (129.65 KB, 511x715 - ดู 73332 ครั้ง.)

* tk01.jpg (34.46 KB, 1243x300 - ดู 84817 ครั้ง.)

thxby8486Kongkrapan, MaiUbon, M30
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06 เมษายน 2555, 15:54:40 โดย vs12 » บันทึกการเข้า
vs12
VIP Member
*****

พลังน้ำใจ : 591
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 331

Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com Level 14 : Exp 73%
HP: 0%



ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #26 เมื่อ: 09 เมษายน 2555, 14:16:18 »

 ผีไม่เผา...เงาไม่เหยียบ

กาลนั้น สองพี่น้อง ทัพ กับ ทิวได้รับมรดกที่ดินจากตาทอง ผู้พ่อ ผู้ซึ่งจากไปด้วยโรคชรา หากแต่ว่า ทัพ ผู้พี่ได้ที่ดินที่บังเอิญโชคดี ที่ถนนกำลังจะตัดผ่าน ส่วนทิวนั้นฤาได้ที่ดิน แต่เสมือนกับที่ตาบอด หากแต่พ่อผู้ซึ่งล่วงลับ มิได้สนใจคิดในการขายที่กิน เพราะเป็นที่ซื้อขายจับจองแต่ครั้งปะสังปู่ย่านู่น เอาไว้สำหรับปลูกข้าวปลูกอ้อยและเลี้ยงปลาเลี้ยงหมูเลี้ยงชีพยังตน จำเนียนกลาผ่านพ้น ราคาที่ดินพุ่งสูงยังกับยอดตาล แม้เพียงกระผีกวาเดียว เจ้าของก็มิใยรู้สึกว่ามันมีค่าดั่งทองคำ ทิวผู้น้องให้ข่อนใจหนัก หลังจากที่ทิวได้ไปคุยกับทัพผู้พี่ ถึงเรื่องขอที่สำหรับทำทางออก เพื่อที่ของเขาจะได้มีทางออกไปสู่ถนน หากแต่คำตอบที่ได้รับกลับมาคือ "ไม่ได้"
หากสาเหตุจะว่าเกิดจากความโลภของทัพ ผู้พี่ก็หาไม่ แต่มาจากนังอ้อย พี่สะใภ้นั่นมากกว่า
คุยกันด้วยดีไม่รู้เรื่องยิ่งนานวันไปยิ่งกลายเป็นเกลียด สองพี่น้องที่เคยแก้ผ้าเล่นน้ำฝน กินขาวหม้อเดียวกัน บัดนี้ ผิดไปจากวันนู้นอย่างสิ้นเชิง
"ไอ้ทิว มึงเที่ยวไปโพทนากับชาวบ้าน ว่ากูโกงมึงหรือ"
"อ้าวอ้ายหมาทัพ กูไม่เห็นรู้เรื่องอะไรด้วย...."
"ไอ้สัตว์กะหมาทิว มึงเรียกูไอ้หมาทัพ เทียวรึ"
"อ้อ อ้ายทิวมึงก็หมาจริงอย่างว่ากระมังถึงได้โกรธแบบนี้...."
"ไอ้..............................................."
มิใช่ครั้งแรกที่พี่น้องคู่นี้ลงไม้ลงมือต่อสู้กันหากแต่เริ่มจะถี่ขึ้นๆจากหมัดเป็นไม้ จากไม้เป็นมีด ภาพเด็กสองคนพี่น้องที่เคยวิ่งเล่นอยู่ริมบ่อน้ำ เมื่อคราครั้งกระนู้น บัดนี้กลับกลายเปลี่ยนเป็น ต่อสู้กันด้วยเรื่องที่ทางเพียงเท่านั้น
"ไอ้หมาทิว วันนี้มึงกับกูคงจะเหลือชื่ออยู่เพียงหนึ่งเท่านั้น...."
"ได้กันไอ้หมาทัพ ดูซิว่ามึงกะกูใครจะยืนอยู่เป็นคนสุดท้าย..."
มิใยที่ชาวบ้านและเมียของแต่ละคนจะทัดทานเอาไว้ หากแต่สองพี่น้องไม่สามารถคุมสติเอาไว้ได้ ราคาที่ดินที่พุ่งพรวดพราดในที่แปลงข้างๆมันยิ่งทำให้ความโลภมันบังตา มีดในมือของ ทัพและทิว ขนาดไม่ต่างกัน คม เงาแปลบปลาบอย่างเกล็ดปลาตะเพียงยามต้องแสงแดดเช้า ทิวผู้น้อง
เสือกมีดซุยประจำตัว หมายลิ้นปี่ของทัพ ผู้พี่ หากแต่อีกฝ่ายระวังตัวอยู่แล้ว ฉากออกทางขวาเพียงเล็กน้อย และง้างมีดพร้าในมือ ฟันลงไปสุดแรง มีดที่ถูกลับทุกวัน ฟันขาดแม้กระทั่งกิ่งสะเดาป่าขนาดข้อแขน หากแต่สิ่งที่เกิดขึ้น มีดต้องลงไปที่ผิวหนัง กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น กลับกระเด็นออกไปตามแรงมีดที่ฟันลงมา คนที่ถูกฟังได้สติ ก็จ้วงมีดย้ำเข้าที่หมายอีกที คราวนี้ไม่มีพลาด มีซุยขนาดเหมาะมือ ปักลงกลางลิ้นปี่ ด้วยแรง เสียงดังจนคนที่ยืนดูได้ยินกันถ้วนทั่ว "ปึ๊ก" หากแต่เพียงมีดนั้น หยุดอยู่เพียงผิวหนังของผู้ที่ถูกแทง สองมือมีด ผละออกจากกัน ชาวบ้านที่มามุงดู ต่างร้องหวีด เพราะความหวาดเสียว ผู้ใหญ่บางคนพยายามจะเข้ามาห้ามศึกสองพี่น้อง หากแต่ก็กลัวเกรงในคนมีด จึงทำได้เพียงก่นร้องบอกพูดถึงเรื่องราวครั้งที่พ่อแม่ของทั้งสองยังอยู่ ทั้งสองยังคงฟาดฟันกันด้วยมีดประจำกายของทั้งสอง หากแต่ก็เพียงสร้างความเจ็บปวดบ้างเล็กน้อย เพราะมีดไม่สามารถจะเถือผ่านร่างของสองพี่น้องไปได้ จนเวลาล่วงมาสักพักใหญ่ เสียงหอบดังๆของพี่น้องทั้งสอง จากความเหน็ดเหนื่อย ต่างแนยกย้ายออกมาอยู่ในมุมจองแต่ละคน ทั่งร่างกายมีร่องรองแดงๆเป็นทาง ยาวบ้างสั้นบ้าง แต่ไม่มีแม้เลือดสักหยด พอคลายตระหนก ผู้คนก็ต่างเข้าไปช่วยกันจับพี่น้องทั้งสองเอาไว้ ด้วยว่าเหนื่อยอ่อนมากแล้ว ทั้งสองจึงแยกย้ายกลับไปบ้านของตน แต่ก็ยังมิวายที่จะท้ายกัน
"แน่จริงมึงคายเหรียญอาจารย์ออกมาซิวะ ไอ้ทัพ.."
"ชะช้าอ้ายทิว..มึงก็คายเหรียญออกจากปากมึงด้วย แล้วมาเถือกับกูให้รู้ไป..."
ชาวบ้านต่างทราบดี พี่น้องสองคน อมเหรียญ "หมูขวาง" ของหลวงพ่อสุรินทร์ แห่งวัดลาดบัวขาวเอาไว้ในปาก หากไม่อย่างนั้น สองพี่น้องคงดับดิ้นสิ้นชื่อไปแล้วทั้งคู่ ด้วยมือของทั่งสองคนนั่นเอง
หลังจากวันนั้น สองพี่น้อง ก็ต่างคนต่างอยู่ หากแต่ไม่ได้พบปะพูดคุยเฉกเช่นพี่น้องอื่นๆ ถึงขนาดประกาศว่า
"ผีกูไม่ต้องมาเผา เงากูไม่ต้องมาเหยียบ" กันเลยทีเดียว หลังจากวันนั้นได้สิบสองปี ทัพคนพี่ก็เสียชีวิตลงเนื่องจากป่วย แต่ยังดีที่ก่อนตาย พี่น้องได้มีโอกาศพูดคุยและอโหสิให้กันอีกครั้ง และฝากฝังให้ดูและที่ดินและครอบครัวแทนอีกด้วย ทิวผู้น้องรับปากและมอบที่ดินเป็นสาธารณประโยชน์ในกาลต่อมา จนบัดนี้ ทิวเมื่อวันนู้น กลายมาเป็นลุงทิวในวันนี้แล้ว เหรียญหลวงพ่อสุรินทร์ วัดลาดบัวขาวของแกและพี่ชาย ก็ได้มอบให้กับลูกๆของแกเอาไว้
ขอบคุณข้อมูล คุณเอก วัดมาร
 


* Sr92.jpg (42.56 KB, 297x382 - ดู 76020 ครั้ง.)

* lpsr01.jpg (98.62 KB, 400x633 - ดู 74908 ครั้ง.)

* lpsr02.jpg (96.93 KB, 400x654 - ดู 72043 ครั้ง.)

thxby8526ykk11, MaiUbon, M30
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09 เมษายน 2555, 14:21:13 โดย vs12 » บันทึกการเข้า
ykk11
Newbie
*

พลังน้ำใจ : 22
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 16

Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com Level 3 : Exp 27%
HP: 0%



ดูรายละเอียด
« ตอบ #27 เมื่อ: 09 เมษายน 2555, 15:19:33 »

สุดยอดทั้งรูปภาพและข้อมูล

บันทึกการเข้า
vs12
VIP Member
*****

พลังน้ำใจ : 591
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 331

Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com Level 14 : Exp 73%
HP: 0%



ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #28 เมื่อ: 10 เมษายน 2555, 16:41:06 »

ในบรรดาศิษย์สายวัดพะเนียงแตกแล้ว  ท่านถือเป็นศิษย์คนสุดท้าย แต่ไม่เคยแม้แต่พบกับหลวงพ่อทา
เนื่องจากเมื่อท่านบรรพชา หลวงพ่อทาสิ้นแล้ว  
ทำไม ?
ท่านถึงได้ชื่อว่าเป็นศิษย์องค์สุดท้ายของหลวงพ่อทา
เมื่อท่านบรรพชาแล้ว  ในคืนนึง ท่านได้นิมิตรไปว่า
หลวงพ่อทา ได้มาหา และบอกให้ท่านไปนำตำราของท่านมาศึกษา
เมื่อรุ่งเช้า ท่านได้เดินทางไปที่วัดพะเนียงแตก และบอกกล่าวกับเจ้าอาวาส ตามที่ได้นิมิตรมา
เมื่อไปค้นหาตามนิมิตร  ปรากฎว่า
ท่านได้พบกับตำราพุทธาคม  ตามนิมิตร  
ท่าน จึงนำตำรานั้น มาศึกษาและปฎิบัติตามตำรา แต่เมื่อติดขัดประการใด ท่านก็ได้มาปรึกษากับหลวงพ่อเต๋ ศิษย์พี่ของท่าน จนเชี่ยวชาญและต่อมาท่านได้รับการยอมรับว่า
เป็นหนึ่งในศิษย์สายวัดพะเนียงแตก องค์สุดท้าย
ชื่อของท่านคือ  หลวงพ่อภา วัดสองห้อง
เหรียญพิมพ์นี้ ไม่ใช่เหรียญรุ่นแรก  เป็นเหรียญรูปเหมือนที่ท่านอนุญาต ให้สร้างขึ้น เป็นเหรียญเนื้ออัลปาก้า แต่ว่าท่านได้ทำการปลุกเสกมวลสาร ก่อนที่จะนำไปรีดเป็นแผ่น เพื่อที่จะมาปั๊มเป็นเหรียญ
ในขณะที่ปั๊มเหรียญ ปรากฎว่า
เกิดบล็อคแตก เมื่อปั๊มครั้งแรก และเมื่อเปลียนบล็อคใหม่ ก็ปรากฎว่า
เหตุการ์ณยังเหมือนเดิม คือ
บล็อคแตกทุกบล็อค
จนไม่สามารที่จะปั๊มเป็นรูปเหมือนของท่านได้ แต่ว่าทางโรงงานก็ยังคงปั๊มเหรียญต่อไปจนครบจำนวน แต่ว่า
ไม่มีเหรียญใด  ติดรูปเหมือนของท่านเลยแม้แต่เหรียญเดียว
เมื่อทางโรงงานนำเหรียญมามอบให้กับท่าน
ท่านก็นำเหรียญเหล่านั้น ไปปลุกเสก  แต่ท่านก็ไม่ได้แจกจ่าย แต่ว่า
ท่านนำเหรียญไปวางไว้ที่โคนต้นไม้ภายในวัด
พร้อมกับกำชับว่า
อย่านำไปใช้ เพราะไม่มีรูปใดๆเลย
การณ์ กลับตรงกันข้าม  มีเด็กวัยรุ่นคึกคะนอง  นำเหรียญที่วางทิ้งไว้ไปแขวนติดตัว กลับเกิดประสบการณ์ แคล้วคลาดจากอุบัติเหตุหลายครั้ง จน
เป็นที่กล่าวขาน
และชาวบ้านละแวกวัด นำพระที่ทิ้งไว้ไปแขวนติดตัวจนหมด ต่างก็พบกับประสบการณ์ แคล้วคลาดมากมาย  จึงพากันเรียกขานเหรียญรุ่นนี้ว่า
สลายร่าง หลวงพ่อภา
ในยุคปี พ.ศ.2530 เหรียญสลายร่าง มีค่านิยมมากว่าเหรียญรุ่นแรกหลวงพ่อแย้ม ทั้งๆที่
อ.ภา มีอาวุโสน้อยกว่าหลวงพ่อแย้มร่วมหนึ่งรอบ
เพราะประสบการณ์ล้วนๆ
พระเครื่องหรือเครื่องรางใด ถ้าท้องถิ่นไม่นิยมและศรัทธา
ก็ไม่ต้องเก็บ  เสียเวลาเปล่า
แต่กับเหรียญสลายร่างแล้ว กลับเป็นตรงกันข้าม
ปัจจุบันนี้ เหรียญรุ่นแรกหลวงพ่อแย้ม ค่านิยมเกือบสามหมื่น ในเหรียญเนื้อทองแดง
แต่ว่า
เหรียญสลายร่าง ค่านิยมแค่ พันเศษเท่านั้นเอง
เหรียญสลายร่าง มีแต่เนื้ออัลปาก้า
มีทั้งจารและไม่มีจาร
แต่ไม่มีของเก๊
ถ้าพบเจอในสนาม  อย่าปล่อยผ่าน
เพราะนั่นคือ
ของดี ที่คุ้มครองชีวิตเพื่อนๆสมาชิกได้
ขอให้ทุกท่านโชคดี  ได้พบเจอ
เหรียญสลายร่าง หลวงพ่อภา วัดสองห้อง กำแพงแสน นครปฐม
หมายเหตุ: หลวงพ่อภา ถาวโร เป็นศิษย์หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง หลวงพ่อสด วัดปากน้ำฯ ศิษย์รุ่นพี่สายวัดตาก้อง หลวงพ่อแดง วัดเขาบันไดอิฐ หลวงพ่อเต๋ วัดสามง่าม หลวงพ่อเต้า วัดเกาะวังไทร  ฯลฯ
ขอบคุณข้อมูล คุณเจริญสิทธิ์


* 320959.1.jpg (74.06 KB, 532x341 - ดู 77723 ครั้ง.)

* lpp01.jpg (54.89 KB, 314x451 - ดู 70445 ครั้ง.)

* lpp02.jpg (57.78 KB, 295x435 - ดู 69942 ครั้ง.)

* pp01.jpg (55.41 KB, 400x594 - ดู 77912 ครั้ง.)

* pp02.jpg (58.02 KB, 400x596 - ดู 69442 ครั้ง.)

thxby8545M30
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10 เมษายน 2555, 16:49:02 โดย vs12 » บันทึกการเข้า
vs12
VIP Member
*****

พลังน้ำใจ : 591
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 331

Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com Level 14 : Exp 73%
HP: 0%



ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #29 เมื่อ: 10 เมษายน 2555, 17:05:18 »

เพิ่มเติม ประสบการณ์ตรง จากรุ่นน้องคนกำแพงแสน และหลวงพ่อเป็นอุปัชฌาย์บวชให้
"ผมเคยบวชอยู่วัดสองห้อง ก่อนหลวงพ่อมรณะภาพครับ ท่านมีเจโตปริยญาณคือหยั่งรู้จิตใจคน ผมโดนมาเยอะ หลวงพ่อเคยบอกว่าพระของกูยิงไม่ออกถึงยิงออกก็ไม่เข้าเหล็กไหลเหนียวอย่าง เดียวพระนี้มีครบทุกอย่างแต่ต้องอาราธนาใช้ ถ้ามีเคราะห์เต็มที่เนื้อแตกหนังแตกกระดูกไม่แตก ผมเคยมอไซค์ล้ม ความเร็วประมาณร้อยหนึ่งครูดกับถนน กลิ้งเป็นลูกขนุน โชคดีสิบล้อตามมาหักหลบทัน เสื้อผ้าขาดกระรุ่งกระริ่ง แขนขาถลอกปลอกเปิดแต่ไม่มีเลือดไหลซักหยด มีแต่น้ำเหลืองไหลซิ๊บๆ"


* 861127.JPG (121.77 KB, 487x650 - ดู 69862 ครั้ง.)

* 861129.JPG (118.75 KB, 487x650 - ดู 68938 ครั้ง.)

บันทึกการเข้า
หน้า: 1 [2] 3 4   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.19 | SMF © 2006-2009, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!