บอย น้ำยืน
|
|
« เมื่อ: 09 ตุลาคม 2556, 12:34:29 » |
|
หลวงปู่ญาท่านมหาผ่อง ประธานคณะสงฆ์ลาวองค์ปัจจุบัน ท่านเป็นคนจังหวัดอุบลราชธานีครับ ปุจฉาวิสัชนาธรรม กับ "หลวงปู่พระมหาผ่อง" ประธานคณะสงฆ์ลาว อายุ 98 ปี
ย้อนอดีต 2 ธันวาคม 2518 นับจากประเทศลาวมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบประชาธิปไตยมาเป็นสังคมนิยม เหตุไฉน...คณะสงฆ์หรือพระพุทธศาสนาในประเทศลาวก็ยังคงอยู่ได้อย่างมั่นคง และดูเหมือนว่าจะมั่นคง...เป็นหนึ่งเดียวกันมากขึ้น "พุทธศาสนาของเราอยู่ได้กับทุกระบอบการปกครอง แต่พุทธศาสนาของเราไม่ล่มหัวจมท้ายกับระบอบใดระบอบหนึ่ง" หลวงปู่ตอบ
ประเด็นต่อมามีอีกว่า หลวงปู่พระมหาผ่องยังมีความเชื่อมโยงกับ ?โฮจิมินห์? ผู้นำคอมมิวนิสต์ ประเทศเวียดนาม มีการบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ว่า ลุงโฮมีลูกเลี้ยงคนหนึ่งอยู่ที่ลาวชื่อว่า ?ผ่อง? ดร.สุภชัย วีระภุชงค์ เลขาธิการสถาบันโพธิคยาวิชชาลัย 980 บอกว่า ประเด็นศึกษาที่น่าสนใจคือ ?ลุงโฮ? กับการนำเอาหลักธรรมมาปรับใช้อย่างไรบ้าง
ดร.สุภชัย บอกว่า การเข้าไปทำธุรกิจในเวียดนามกว่า 20 ปี รู้ดีว่า... สถานที่ราชการทุกแห่ง รัฐบาลเวียดนามจะไม่อนุญาตไม่ให้ตั้งรูปเหมือนใครเลย แม้กระทั่งรูปเหมือนองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตั้งไม่ได้ ตั้งได้เฉพาะรูปเหมือนลุงโฮเท่านั้น ที่เปรียบเหมือนเทพเจ้า แล้วก็เหมือนเป็นพ่อของประเทศ
วันนี้...ขนาดประธานาธิบดีเวียดนามก็ไม่ค่อยกล้าเรียกตัวเองว่า ?ประธานาธิบดี? บอกว่า...ตัวเองเป็นรอง เพราะจริงแล้วคนเวียดนามหรือผู้ใหญ่ในรัฐบาลจะให้เกียรติลุงโฮแล้วก็จะบอกว่า ?ลุงโฮเป็นประธานาธิบดีคนเดียวของเวียดนาม...คนที่เป็นอยู่ก็เป็นรองทั้งนั้น?
การใช้ประสบการณ์ แนวคิด ปรัชญาในการบริหารชีวิต ต่อสู้ปกครองของลุงโฮเป็นประเด็นน่าสนใจ...ศาสนาพุทธจะสามารถสร้างการเปลี่ยนผ่านทางความคิดก้าวข้ามประวัติศาสตร์ในอดีต เดินหน้าสู่อนาคตที่จะเกิดความเชื่อมโยง สร้างสายสัมพันธ์ ให้เกิดความไว้เนื้อเชื่อใจกันและกันได้อย่างแนบแน่น
ศาสนาพุทธสอนปัจจุบัน อดีตทำให้เราเรียนรู้แต่ก็อย่าไปกังวล อนาคตเราก็อย่าไปหวาดกลัวกับมัน เพราะศาสนาสอนเราว่า ?ทำวันนี้ให้ถูก มันก็จะเป็นการพิสูจน์ว่า...พรุ่งนี้ก็ต้องถูก?
ประเทศไทยจะเปิดประตูเออีซีในอีกปีครึ่งข้างหน้า ?หลักธรรม? หรือ ?หลักพุทธศาสนา? เป็นสิ่งที่จะนำไปพูดดีๆ เชื่อมโยงกันได้เพื่อให้เกิดภาคีด้านการเกษตร ภาคีด้านการท่องเที่ยว หรือว่าการเคลื่อนไหวของคนงาน แรงงานในอนาคตต่อไป ซึ่งเราจำเป็นต้องร่วมมือกันอย่างแน่นอน
ดร.สุภชัย ย้ำว่า เวียดนามเป็นประเทศใหญ่ในกลุ่มอาเซียน ผลประโยชน์ที่เราจะทำเป็นคอมมูนิตี้จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลยถ้า ประเทศใหญ่กับประเทศใหญ่ยังขาดความไว้เนื้อเชื่อใจกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้นำรัฐบาล หรือรัฐบาลต้องมีความคิดที่จูนตรงกัน... "หลวงปู่พระมหาผ่อง" เป็นคนไทยเกิดอำเภอตระการพืชผล จังหวัดอุบลราชธานี อายุ 20 ปี ข้ามโขงไปบวชที่ฝั่งลาว แล้วก็ได้มาจำพรรษาศึกษาบาลีอยู่วัดชนะสงคราม กรุงเทพฯ นาน 16 ปี
หลวงปู่พระมหาผ่องวิสัชนาต่อไปอีกว่า วันนี้พวกเราชาวพุทธทั้งเป็นชาวพุทธเฉพาะแต่ละประเทศ และเราก็เป็นสมาชิกพุทธสมาคมทั่วโลก แสดงว่าในระยะผ่านมากิจกรรมของศาสนาแต่ละประเทศโดยเฉพาะศาสนาพุทธพวกเราทั้งหลาย...เราถือว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ประกอบด้วยเหตุผล
พูดตรงไปตรงมาว่า ?พวกเราเรียนรู้ตามทฤษฎีของพุทธ แต่ส่วนมากชาวพุทธไปปฏิบัติทฤษฎีที่เป็นปรปักษ์กับศาสนาพุทธ มันจึงเกิดมีเรื่อง?
ย้อนไปช่วงหลังสงครามโลก...เป็นยุคฝรั่งเศสเจ้าอาณานิคมกลับไปแล้ว ประเทศลาวประกาศเอกราชแต่ผู้คนยังมีจิตใจเป็นฝรั่ง ครั้งหนึ่งคณะสงฆ์ได้ร่วมประชุมกับเจ้าหน้าที่บ้านเมืองเกี่ยวกับการเผยแผ่ศาสนาพุทธ ที่ดูเหมือนว่าก่อนที่จะเผยแผ่ได้จะต้องเขียนเอกสารส่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจทานก่อนถึง 5 หน่วยงาน...
?เป็นระบบที่รับไม่ได้ ศาสนายังถูกครอบงำ?
หลวงปู่เล่าว่า เขาก็ถามว่าทำไมรับไม่ได้ ก็บอกว่า ?ขัดกับทิศทางของศาสนาพุทธ" เขาก็ถามอีกว่า ทิศทางศาสนาพุทธสอนอย่างไร ? หลวงปู่ก็อธิบายว่า ศาสนาพุทธถ้าเทียบกับการเผยแพร่ กัณฑ์ที่ 1. ต้องสอนสมเด็จพระเจ้าแผ่นดิน กัณฑ์ที่ 2. คณะรัฐบาลต้องได้รับฟังเสียก่อน กัณฑ์ที่ 3. พนักงานของรัฐทุกๆ ท่าน กันฑ์ที่ 4. ประชาชนทั่วไป
?เขาบอกอีกว่า เขาเป็นชาวพุทธหมดแล้ว อาตมาก็ว่าชาวพุทธนี่ไม่ถูก เพราะว่านั่งประชุมอยู่ในวัดองค์ตื้อ นั่งอยู่ต่อหน้าพระเจ้าองค์ตื้อ พระสงฆ์นั่งเลียบอยู่ตามพรม พนักงานฝ่ายบ้านเมืองข้าหลวงลาวที่นั่งอยู่รองเท้าไม่ถอด...เท่านั้น เขาก็บอกว่า ดูหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ถ้าเป็นประชาชนพูด ถูกจับแล้ว...?
หลวงปู่กลัวเหตุการณ์จะยืดเยื้อ ยกมือขึ้นพูด ?ถ้าคำพูดนี่ถึงขนาดจับ จะตัดคอถวายต่อพระเจ้าองค์ตื้อ...เชิญ?...พอดีประธานจะลุกจากที่นั่ง อาตมาจึงขอเวลาสัก 5 นาที บอกว่า
?กองประชุมนี่ไม่ใช่พระสงฆ์ รัฐบาลเรียกมาประชุม การพูดก็ต้องเสาะหาสิ่งที่ดีที่ถูก การเสาะหาสิ่งที่ดีที่ถูก...การใช้คำพูดอาจมีคำหนัก คำเบา เพราะฉะนั้นคำพูดอยู่ในองค์ประชุมนี่ ห้ามเอาออกจากเศียรพระองค์ตื้อ ไม่ให้ไปพูดที่อื่น เท่านั้น...เขาจึงขออภัยว่าเขาผิด? บรรยากาศในห้องประชุมที่ร้อนฉ่า เทียบกับนอกห้องก็ดูจะไม่ต่างกัน เพราะพวกผู้แทนที่รอกันอยู่ด้านนอก ก็ร้องเซี้ยว ?ขนาดพูดกับพระสงฆ์ยังขนาดนี้ กับประชาชนจะขนาดไหน?
อีกมุมมองทางโลกผสานทางธรรม เมื่อครั้งการประชุมศาสนาในปี 2542 จัดที่มหานครนิวยอร์ก หลวงปู่พระมหาผ่องเล่าว่า ตอนนั้นนักวิทยาศาสตร์ที่เมื่อก่อนดูถูกว่าศาสนา จิตนิยม เป็นเรื่องงมงาย
?แต่เมื่อเขาค้นหา...เส้นทางสันติภาพ ด้วยการส่งเสริมกัน สร้างความเป็นผู้ยิ่งใหญ่ แต่ต่างก็ว่าเพื่อสันติภาพ เสาะหาไปทั่วโลกมนุษย์หมดแล้วไม่พบ ขึ้นไปส่องโลกพระจันทร์ ตอนหลังจะไปถึงทางตันหรืออย่างใด หรือว่าเขาจะคิดได้อย่างไร...ก็พากันกลับลงมา?
ตอนนี้ ทั้งโซเวียต อเมริกา ทั่วโลก จะมาเสาะหาเส้นทางจากศาสนา เพราะว่าเมื่อก่อนว่า ?จิตนิยม งมงาย?...เป็นการพูดรวมๆ แท้จริงแล้วมันมีทุกศาสนาหรือเปล่า? พระมหาผ่องเคยไปพูดที่มอสโก โซเวียต เป็นความพยายามในการเสาะหาเส้นทางสันติภาพเหมือนกัน ที่ประชุมสรุปยังไงกันบ้าง...ตอบสั้นๆ ง่ายๆ ก็คือ...?ศีล 5?
?ในวงประชุมไม่เรียกว่าศีล 5 แต่จะพูดเป็นบทเรียนสั้นๆ... มนุษย์เป็นสัตว์เมืองไม่ใช่สัตว์ป่า ธรรมชาติสัตว์เมืองใครจะอยู่โดดเดี่ยวคนเดียว ต้องอยู่ร่วมกันเป็นหมู่เป็นคณะ แต่มนุษย์ก็มีความคิดความเห็นไม่ตรงกัน จำเป็นจะต้องมีกฎระเบียบเพื่อให้มวลมนุษย์ปฏิบัติ? กฎระเบียบอันนั้นชาวพุทธเราเรียกว่าศีล 5 หนึ่ง...มนุษย์อยู่ด้วยกันไม่ให้เบียดเบียนกัน สอง...มนุษย์อยู่ด้วยกันไม่ให้มีการลักทรัพย์ของกันและกัน สาม...มนุษย์อยู่ด้วยกันไม่ให้ล่วงเกินระหว่างผัวเมียของกันและกัน สี่...มนุษย์อยู่ร่วมกันไม่ให้หลอกลวงกัน พูดในทางที่เกิดสามัคคี ห้า...มนุษย์อยู่ร่วมกันไม่ให้พากันเสพสิ่งมึนเมา
นี่คือเส้นทางธรรมที่สั้น กระชับ ปฏิบัติง่ายของ ?หลวงปู่พระมหาผ่อง? ที่ยังมีไฮไลต์สำคัญที่ต้องติดตามคือ...?โฮจิมินห์? มหาบุรุษกู้ชาติที่นำหลักธรรมะไปปรับใช้อย่างไร จึงเป็นผู้ยิ่งใหญ่มาถึงวันนี้. ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.alittlebuddha.com ครับ
|
|
|
|
บ่หัวซาผีบ้าเดินดิน
|
|
« ตอบ #1 เมื่อ: 09 ตุลาคม 2556, 13:17:37 » |
|
ขอเสริมนะครับเรื่องที่ต้องรู้อีกเรื่องคือ ท่านมหาผ่อง ท่านเป็นคนบ้านกุงน้อย อ.ตระการพืชผล และที่สำคัญคือ หลวงปู่ญาท่านฤทธิ์แห่งวัดสระกุศกร เป็นผู้บวชให้ท่านครับ นามสกุลของท่าน ญาติพี่น้องท่านที่ตระการพืชผลจะใช้ ชมาฤกษ์ ครับ ส่วนที่เขียนและออกเสียงตามสำเนียงลาว นามสกุลของท่านมหาผ่อง คือ สมาเลิก ซึ่งก็คือนามสกุลเดียวกันนั่งเองครับ
|
ราคาพระคือการอุปทานหมู่ของมนุษย์ ศรัทธาต่างหากที่จะอยู่คู่กับเราตลอดไป
|
|
|
บ่หัวซาผีบ้าเดินดิน
|
|
« ตอบ #2 เมื่อ: 09 ตุลาคม 2556, 15:28:57 » |
|
เสริมอีกนิดครับ ลูกหลานที่ตระการของท่าน เคยเล่าให้ฟังว่า สมัยที่ท่านไปเรียนที่ วัดชนะสงคราม กทม ของขลังที่ท่านนำติดตัวไปด้วยเสมอคือ พระของหลวงปุ่ญาท่านตู๋ ครับเเต่ผมจำไม่ได้ว่าคือพระอะไรประเภทไหน ปัจจุบัน ที่วัดสระกุสกร ยังมีรูปท่านมหาผ่องสมัยยังเป็นพระหนุ่มอยุ่ที่วัดครับ ตอนนั้นไปกับท่านเต้ และได้ถ่ายรูปนั้นไว้ด้วยแต่ทำไฟล์หายไป ผมเห็นรูปของพระมหาผ่อง จึงได้เรียนถามหลวงปู่บุ่ เจ้าอาวาสวัดสระ จึงได้รู้ว่า สังฆราชของลาวเป้นคนตระการและหลวงปู่ญาท่านฤทธิ์ของเราเองที่เป็นผู้บวชให้ครับ
|
ราคาพระคือการอุปทานหมู่ของมนุษย์ ศรัทธาต่างหากที่จะอยู่คู่กับเราตลอดไป
|
|
|
|
คนโก้
|
|
« ตอบ #4 เมื่อ: 19 ตุลาคม 2556, 07:59:12 » |
|
ภาพนี้ท่าน บ่หัวซา บันทึกภาพไว้นานแล้ว พอดีผมสำเนาไฟล์ไว้ให้ครับ
|
"ขุนผู้หาญคองเมืองจั่งเฮืองฮุ่ง ขุนขี้ย่านคองบ้านบ่ฮุ่งเฮือง"
|
|
|
คนบ้านกุงน้อย ต.กุศกร อ.ตระการฯ
|
|
« ตอบ #5 เมื่อ: 21 ตุลาคม 2556, 22:16:50 » |
|
ถ้าอยากรู้ประวัติพระอาจารย์ใหญ่ ดร.พระมหาผ่อง สมาเลิก สามารถเล่าให้ฟังได้ครับ จากหลานท่าน
|
|
|
|
บ่หัวซาผีบ้าเดินดิน
|
|
« ตอบ #6 เมื่อ: 21 ตุลาคม 2556, 22:22:36 » |
|
ถ้าอยากรู้ประวัติพระอาจารย์ใหญ่ ดร.พระมหาผ่อง สมาเลิก สามารถเล่าให้ฟังได้ครับ จากหลานท่าน
เล่าเลยครับรอฟังอยู่ครับขอบคุณล่วงหน้าครับเอาส่วนที่เกี่ยวข้องกับครูบาอาจารย์สายตระการครับและอื่นๆครับ
|
.
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21 ตุลาคม 2556, 22:24:23 โดย ยิ้มเย้ยยุทธจักร »
|
บันทึกการเข้า
|
ราคาพระคือการอุปทานหมู่ของมนุษย์ ศรัทธาต่างหากที่จะอยู่คู่กับเราตลอดไป
|
|
|
คนบ้านกุงน้อย ต.กุศกร อ.ตระการฯ
|
|
« ตอบ #7 เมื่อ: 29 ตุลาคม 2556, 00:24:30 » |
|
พระอาจารย์ใหญ่ ดร.พระมหาผ่อง สะมาเลิก (เขียนตามภาษาลาว) เกิดเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2459 อุปสมบทเมื่อ 1 ตุลาคม 2479 พระอุปัชฌาย์ พระครูโสภิตพิริยคุณ(พ่อถ่านฤทธิ์)มาสายพระอาจารย์ตู๋ โยมบิดาชื่อ นายสีหา ชมาฤกษ์ โยมมารดา นางวันนา ชมาฤกษ์ โยมปู่ชื่อทิพมะสอน(เป็นหมอยา เป็นคนมีวิชาอาคม) ,ในย่านนั้นสมัยนั้น พระอาจารย์ที่โด่งดังที่ชาวบ้านให้ความเคารพบูชา คือญาถ่าน(ต้องเขียนแบบนี้นะ)กรรมฐานแพง เด่นดังทางด้านหนังเหนียว และญาถ่านตู๋ เด่นดังทุกด้าน เป็นที่พึ่งของชาวบ้าน จากนั้นมาก็เป็นพ่อถ่านฤทธิ์ นี่แหละที่เป็นที่พึ่งของชาวบ้านต่อจากพระอาจารย์ตู๋ พระมหาผ่อง เกิดที่บ้านกุงน้อย ต.กุศกร อ.ตระการพืชผล จ.อุบลราชธานี บริเวณบ้านเดิม ณ.ตอนนี้ คือบ้านเลขที่ 10 หมู่ที่ 6 บ้านกุงน้อย คนแถบนี้ถ้าไปไล่ตามนามสกุล จะเกี่ยวข้องเป็นญาติพี่น้องกันทั้งตำบลและตำบลใกล้เคียง เมื่ออุปสมบทแล้ว ได้เดินทางเข้ามา กรุงเทพฯ อยู่ที่วัดชนะสงคราม บางลำพู เดินทางมากับพระพี่ชายชื่อนายโกวิท(พระมหาเต็ม)ก่อน จากนั้นนำพระน้องชาย(พระปลัดประศาสน์) มาอยู่ที่วัดชนะสงครามด้วยกัน สมัยก่อนคนอีสาน ที่อยากเรียนต้องบวชแล้วมาเล่าเรียนในกรุงเทพฯสิ่งที่เป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ ที่โยมพ่อแม่ ให้นำติดตัวมาหรือไปขอจากครูบาอาจารย์คือ พระปิดตา พระอาจารยตู๋ (ทำจากไม้ งา ฟันพ่อแม่)ปัจจุบันตกทอดมาถึงผู้เขียนและพี่ๆผู้เขียน พอได้เก็บไว้เป็นมรดก ให้ลูกหลานได้ดูชม ช่วงที่พระมหาผ่องกับพระน้องชายเป็นพระอยู่กรุงเทพฯก็ได้ติดต่อกับพระอุปัชฌาย์คือพ่อถ่านฤทธิ์ วิชาอาคมที่ร่ำเรียนก็มาทางสายนี้ นอกเหนือจากที่เรียนจนจบเปรียญธรรม 6 ประโยค ที่กรุงเทพฯ กลับมาทางโยมบิดาและมารดา ได้ย้ายจากบ้านกุงน้อย ไปอยู่ที่เมืองโพนทอง แขวงจำปาศักดิ์ สปป.ลาวไปทำมาหากินอยู่ที่เมืองโพนทองกัน(ส่วนใหญ่ทำการเกษตร ทำนา) สมัยก่อนการย้ายถิ่นฐาน ย้ายกันไปตามญาติพี่น้อง ที่ไหนดีก็จะมาชวนกันไปอยู่ด้วยกัน ด้วยแนวคิดที่หัวก้าวหน้าและเป็นพระที่มีการศึกษา พระมหาผ่องจึงได้ย้าย ตามบิดาไปอยู่ สปป.ลาว ตั้งแต่บัดนั้น แต่ก็ยังมีการติดต่อไปมาหาสู่กันกับญาติพี่น้องเหมือนเดิม ซึ่งปัจจุบันก็มีการติดต่อกันอยู่ ดังจะเห็นได้ที่วัดบุรีรัฐ บ้านกุงน้อยจะมีรูปหล่อพระมหาผ่องอยู่ รูปหล่อนี้เหมือนกับที่ตั้งไว้หน้าโบสถ์ วัดองค์ตื้อ สปป.ลาว ส่วนนามสกุล จริงๆแล้วคือ ชมาฤกษ์ (สมาฤกษ์ ฉมาฤกษ์ ล้วนมาจากแหล่งกำเนิดเดียวกัน เขียนผิดเพี้ยนกันไป จากการไปแจ้งที่อำเภอ เจ้าหน้าที่ก็เขียนไปตามคำบอก ที่ออกเสียง สำเนียง แบบคนอีสาน) พระมหาผ่องได้เข้าร่วม(ทางพระนะ)การเคลื่อนไหวการเปลี่ยนแปลงใน สปป.ลาว จากทางลาวใต้และไปทั่วประเทศ จนกระทั้งได้มาเป็นเจ้าอาวาสวัดองค์ตื้อ เวียงจันทน์ สปป.ลาวจนถึงปัจจุบัน จากตำแหน่งรองประธาน อ.พ.ส.และเป็นประธาน อ.พ.ส.ตามลำดับ พระมหาผ่อง เป็นพระที่ผู้คนที่ สปป.ลาวให้ความเคารพนับถือมาก และเรียกว่าพระอาจารย์ใหญ่ ส่วน ดร.ที่ได้มา ทางมหาจุฬาฯถวายให้เป็นกิตติมศักดิ์ ที่เพิ่งเดินทางมารับถวายไปเมื่อไม่นานมานี้ พี่ชายพี่สาวผู้เขียน ยังได้เดินทางไปกราบและแสดงความยินดีด้วย ผู้เขียนเองได้เดินทางไปกราบหลวงปู่ที่สปป.ลาว 2 ครั้ง ในระหว่างที่ไปทำงาน สปป.ลาว
|
|
|
|
ส่องสนามเมืองนักปราชญ์
|
|
« ตอบ #8 เมื่อ: 29 ตุลาคม 2556, 07:17:35 » |
|
ญาถ่านตู๋ เด่นดังทุกด้าน
สุดยอด!!!
|
.
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29 ตุลาคม 2556, 07:24:59 โดย ส่องสนามเมืองนักปราชญ์ »
|
บันทึกการเข้า
|
วิเคราะห์ เจาะทุกประเด็นใน... ส่องสนามเมืองนักปราชญ์
|
|
|
คนบ้านกุงน้อย ต.กุศกร อ.ตระการฯ
|
|
« ตอบ #9 เมื่อ: 30 ตุลาคม 2556, 10:08:14 » |
|
พระสงฆ์ ครูบา อาจารย์ สายตระการฯ เด่นดังเยอะแยะ เรามาช่วยกันเชิดชูบูชากันครับ อย่างวัดบุรีรัฐ บ้านกุงน้อย วัดบ้านเกิดพระสังฆราช สปป.ลาว องค์ปัจจุบัน พระอาจารย์ใหญ่ ดร.พระมหาผ่อง สะมาเลิก ขอบอกข่าว เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน ท่านดีมากนะสุขุม เยือกเย็น เมตตา(พระครูสถิตพิริยคุณ วัดบุรีรัฐ บ้านกุงน้อย ต.กุศกร อ.ตระการพืชผล จ.อุบลราชธานี) ถ้าอยากได้ของดีจากท่าน แนะนำนะครับ หนังสือใบลาน ปัญญาบารมี ท่านเขียนสวยมากควรค่าแก่การนำมากราบไหว้ บูชา ดียิ่งกว่าคาถาบูชาใดๆ
|
|
|
|
บอย น้ำยืน
|
|
« ตอบ #10 เมื่อ: 11 เมษายน 2557, 19:30:04 » |
|
เมื่อเวลา 07.00 น.วันที่ 6 เม.ย. พระอาจารย์ใหญ่ดร.มหาผ่อง ปิยะทีโร (สะมาเลิก) ประธานศูนย์กลางการพระพุทธศาสนาสัมพันธ์ลาว (พระสังฆราชลาว องค์ที่ 4 )) นำญาติโยมจำนวนหนึ่ง มาร่วมทำบุญ ที่ วัดพระโต บ้านที่วัดพระโต บ้านปากแซง ตำบลพะลาน อำเภอนาตาล จังหวัดอุบลราชธานี ด้วยการทำบุญตักบาตร ถวายเครื่องไทยทาน และปล่อยปลาดุกลงสู่แม่น้ำโขง จำนวน 99 ตัว ครบตามอายุ 99 ปี โดยมีพระครูพุทธวราธิคุณ เจ้าคณะอำเภอนาตาลและเจ้าอาวาสวัดพระโต บ้านปากแซง นำพระภิกษุสงฆ์พร้อมพุทธสาสนิกชนถวายการต้อนรับคับคั่ง ทั้งนี้ ท่านพระอาจารย์ใหญ่ หรือ (พระสังฆราช ลาวองค์ที่ 4) เปิดเผยว่า ?ข้อยดีใจหลายเด้อ ที่ได้มาทำบุญในมื้อนี่? พร้อมบอกต่อไปว่า การทำบุในครั้งนี้นับเป็นการที่ทำบุญที่มีความสำคัญมา เพราะเป็นการเชื่อมสัมพันธ์พุทธศาสนาไทย ลาว ให้ได้เป็นแบบอย่างในการที่ได้ร่วมกันทำบุญเพื่อเป็นการจรรโลงพระพุทธศาสนาให้มีความเจริญรุ่งเรืองสืบต่อไป และเห็นว่า วัดแห่งนับเป็นวัดที่ศักดิ์สิทธิ์อีกวัดหนึ่ง ในแถบลุ่มแม่น้ำโขง ที่สำคัญ ชื่อพระประธานในวัด ที่เวียงจันทร์ ก็ชื่อเดียวกันกับที่นี่ คือ ชื่อ ?พระเจ้าใหญ่องค์ตื้อ? เช่นเดียวกัน แต่ที่พระเจ้าองค์ตื้อ ที่เวียงจันทร์นั้น ก่อสร้างขึ้นมาได้เพียง 450 ปี แต่พระเจ้าใหญ่องค์ตื้อ ที่ฝั่งไทยแห่งนี้ อายุ กว่า 1 พันแล้ว นับเป็นพระพุทธรูปที่มีคนเลื่อมใสกันมาก ส่วนชาติภูมิของพระอาจารย์ใหญ่ ดร.มหาผ่อง ปิยะทีโร (พระสังฆราชเมืองลาว องค์ที่ 4) นั้นพบว่า ท่านเป็นคนไทยโดยกำเนิด เกิดที่บ้านกุงน้อย ตำบลกุศกร อำเภอตระการพืชผล จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อปี พ.ศ.2459 ติดตามบิดามารดาไปอยู่ บ้านโพนทอง เมืองโพนทอง แชวงจำปาสัก สปป.ลาว ตั้งแต่เป็นเด็กเล็ก และได้รับการเป็นลูกบุญธรรมของเจ้าฟ้าเพชรราช(วีระบุรุษของชาวลาวอิสระ ปลดแอกจากการปกครองฝรั่งเศส และได้เป็นบุตรบุญธรรมของโฮจิมินห์ ประธานพรรคคอมมิวนิสน์ อีกด้วย อุปสมบทเมื่ออายุครบ 20 ปี ที่วัดโพธิ์สระปทุม บ้านกุศกร (ที่บ้านเกิด) จากนั้นก็เดินทางไปศึกษาพระปริยัติธรรม ที่วัดชนะสงคราม กรุงเทพมหานคร (เป็นพระที่สนิทสนมกับ(สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลสังฆปรินายก)ศึกษาร่วมสำนักเดียวกันจนคุ้นเคย ได้รับพระราชทานประกาศนียบัตร เปรียญธรรม 6 ประโยค จาก(พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล)รัชกาลที่ 8 จากนั้นก็ได้นำความรู้มาสอนมัธยมสงฆ์หลายแห่งในประเทศลาว ปัจจุบัน ท่านพนักอยู่ที่วัด องค์ตื้อมหาวิหาร แชวงเวียงจันทร์ ประเทศสาธารณรัฐประชาธิไตยประชาชนลาว ปัจจุบัน อายุ 98 ปี กับ 10 เดือน ที่มา : คมชัดลึก 7 เมษายน 2557
|
|
|
|
|
|
คนบ้านกุงน้อย ต.กุศกร อ.ตระการฯ
|
|
« ตอบ #13 เมื่อ: 04 พฤษภาคม 2557, 20:36:47 » |
|
พระปลัดประศาสน์ (พระน้องชาย พระอาจารย์ใหญ่ ดร.พระมหาผ่อง สะมาเลิก) ที่เดินทางมาอยู่ที่วัดชนะสงคราม กทม.ด้วยกัน โดยการชักนำ โดยพระมหาเต็ม (นายโกวิท)
|
คนโก้, บอย น้ำยืน
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04 พฤษภาคม 2557, 20:43:53 โดย คนบ้านกุงน้อย ต.กุศกร อ.ตระการฯ »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
คนบ้านกุงน้อย ต.กุศกร อ.ตระการฯ
|
|
« ตอบ #14 เมื่อ: 04 พฤษภาคม 2557, 20:47:02 » |
|
ล๊อคเก็ต พระปลัดประศาสน์
|
.
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04 พฤษภาคม 2557, 20:50:37 โดย คนบ้านกุงน้อย ต.กุศกร อ.ตระการฯ »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|