คนศรีเกษ
|
|
« เมื่อ: 04 พฤษภาคม 2557, 21:32:01 » |
|
ปู่หมอธรรมเฮือง ฆราวาสผู้เรืองเวทย์ แห่งแดนอีสานใต้ ณ บ้านหนองเหล่า ตำบลหนองเหล่า อำเภอเขื่องในจังหวัดอุบลราชธานี
|
|
|
|
คนศรีเกษ
|
|
« ตอบ #1 เมื่อ: 04 พฤษภาคม 2557, 21:47:23 » |
|
|
M30
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18 พฤษภาคม 2557, 04:01:31 โดย คนศรีเกษ »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
คนศรีเกษ
|
|
« ตอบ #2 เมื่อ: 04 พฤษภาคม 2557, 21:50:35 » |
|
|
.
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18 พฤษภาคม 2557, 04:10:36 โดย คนศรีเกษ »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ตังกวย...
|
|
« ตอบ #3 เมื่อ: 06 พฤษภาคม 2557, 01:31:59 » |
|
..ศิษย์เอกพ่อท่านศรี วัดบ้านคูขาดตั้วหนิ ตำราอิ๊หยังหลายๆ อย่างกะอยู่นำพ่อใหญ่เฮืองนี่หละ มีพ่อใหญ่เฮืองนี่หละเพิ่นเฮียนธรรมติดไวกว่าหมู่ สมัยแต่กี้ฆารวาสบ่เก่งจริงบ่ได้สร้างเหรียญดอกครับ ในเขื่องในเห็นแต่เหรียญพ่อใหญ่เฮืองนี่หละ ผมมีหนังสืองานศพเพิ่นยุ เดี๋ยวสิลองค้นมาให้อ่านเบิ่งครับ . ..
|
|
|
|
คนศรีเกษ
|
|
« ตอบ #4 เมื่อ: 06 พฤษภาคม 2557, 22:01:52 » |
|
ครั้งหนึ่งในชีวิตด้วยความบังเอิญแท้ ๆ ผมได้มีโอกาส ได้สัมผัส ได้รู้ ได้เห็น หมอธรรมอีสานที่มีวิชาความรู้ในเรื่องเวทมนต์ คาถาอาคม ฮีตครองประเพณีต่าง ๆ ของคนอีสานเป็นอย่างดี อีกทั้งเป็นหมอยาพื้นบ้าน ซึ่งอาศัยความรู้จากตัวยาจากสมุนไพรพื้นบ้านต่าง ๆ ที่ท่านได้เรียนมาใช้ในการรักษาผู้คนในทั้งหมู่บ้านและจังหวัดไกล้เคียงทั้งใกล้และไกล ทั่วทุกสารทิศพากันเหมารถมานั่งรอนอนรอกันทั้งวันเพื่อให้หมอธรรมท่านนี้รักษาเพราะเขาเชื่อกันว่า มาหาปู่หมอธรรมเฮืองแล้วถ้าดวงยังไม่ถึงที่ตายแล้วหายทุกราย แต่ถ้าปู่บอกว่าคนไหนหมดบุญแล้วก็ไม่มีทางรอดเด็ดขาด ตายแน่นอน โดยเฉพาะเรื่องผีสาง นางไม้ ผีปอบ คุณไสย์ ต่าง ๆ ท่านเก่งกาจและชำนาญทางด้านนี้มาก แม้แต่ผู้ที่เป็นพระระดับเกจิอาจารย์ยังนับถือท่าน ถึงกับออกปากชมให้ผู้เขียนฟังว่า " เก่งกว่าพระบางองค์ที่ว่าแน่ ๆ เสียอีก " ขอให้ติดตามต่อไป
|
|
|
|
คนศรีเกษ
|
|
« ตอบ #5 เมื่อ: 07 พฤษภาคม 2557, 21:20:55 » |
|
ครั้งแรกที่ได้พบปู่ ผู้เขียนเป็นชาวจังหวัดศรีสะเกษ วันหนึ่งจำได้ว่าประมาณปี พ.ศ. 2540-2541 ประมาณนั้น ถึงวันนี้ก็เป็นเวลา 15 - 16 ปี มาแล้ว วันนั้นเป็นวันเสาร์ คุณแม่ของผมใช้ให้ขับรถไปส่งพี่สาวของผมเพื่อให้พาไปหาพระระดับเกจิอาจารย์องค์หนึ่งของเมืองศรีสะเกษ เพื่อให้ทำพิธีรักษาทางไสยศาสตร์ ซึ่งพระองค์นี้ เก่งทางสะเดาะเคราะห์ อาบน้ำมนต์ ค้ำโพธิ์ ค้ำไทรตอกหลักปีต่ออายุ รวมถึงการทำนายโชคชะตาราษีอีกด้วย แม่ผมคุ้นเคยกับพระองค์นี้มาก พอพระเห็นอาการป่วยของพี่สาวผมแล้วมีลักษณะแปลก ๆ ยังไงชอบกล แกทำพิธีให้หลายครั้งแล้วแต่ไม่หาย แกสงสารจึงบอกว่า คราวนี้ จะพาไปรักษากับหมอท่านหนึ่งไม่ใช่พระแต่เป็นฆราวาส เรียกว่าหมอธรรมเฮือง(ต่อไปผมจะหมายถึงปู่หมอธรรมเฮืองหรือเรียกสั้น ๆ ว่า ปู่ )และแล้วแกก็นัดว่า พรุ่งนี้วันอาทิตย์ให้มารับท่านประมาณ 9 โมงเช้า จะพาไปพบหมอธรรม ซึ่งอยู่ที่อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี รุ่งเช้าผมพาแม่และพี่สาวขับรถไปรับหลวงพ่อที่วัดตามนัด หลวงพ่อรออยู่แล้วจึงออกเดินทางทันที ผมขับรถตามที่หลวงพ่อบอกทางก็ไปถึงที่หมาย ใช้เวลาประมาณชั่วโมงเศษก็ถึงบ้านหนองเหล่า อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี พอใกล้จะถึงบริเวณบ้านปู่ ปรากฏว่า มีรถชนิดต่าง ๆ ทั้งรถยนต์ปิคอัพ รถบรรทุกขนาดกลาง รถสองแถว รวมถึงรถอีแต๊ก จอดเรียงรายกันอยู่ตามข้างถนน ตามร่มไม้ และตามบ้านผู้อยู่อาศัยบริเวณนั้นเต็มไปหมด ส่วนคน ก็นั่ง ๆ นอน ๆ รอคิวพบปู่อยู่ตามที่ต่าง ๆ ผู้ป่วยบางคนลุกไม่ไหวนอนรอในรถ มีญาติคอยพัดวีให้อยู่ก็มี ผมสงสัยและคิดอยู่ในใจว่า ปู่นี้มีดีอะไรหนอคนถึงมาหามากขนาดนี้ พอส่งทุกคนลงจากรถแล้วผมก็ไปหาที่จอดเหมาะ ๆ ซึ่งอยู่ห่างออกไปพอสมควร ด้วยความสงสัยก็เลยเดินเข้าไปใกล้ๆ กับห้องปู่ทำพิธี ซึ่งอยู่ในบริเวณบ้านของปู่เอง ก็เลยได้รู้ ได้เห็น ได้สัมผัสกับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้น กล่าวคือ เท่าที่สังเกตุและได้พูดคุยกับคนที่นั่งรอนอนรอก็ได้ทราบว่า แต่ละคนก็มีปัญหาไม่เหมือนกัน บ้างก็เป็นคนป่วยให้ช่วยรักษาให้หาย ทั้งที่ไปรักษากับนายแพทย์ ของโรงพยาบาลของทางราชการ หมดเงินทองไปเป็นหมื่นเป็นแสนก็ไม่หายแต่ก็มีคนแนะนำมาหาปู่ จึงมาให้ปู่ช่วยซึ่งเป็นหนทางสุดท้าย บางคนมีปัญหากลุ้มใจ ทุกใจเรื่องครอบครัวแตกแยก เรื่องผัว เรื่องเมียทะเลาะกัน ไม่เข้าใจกัน เรื่องลูกเกเร บางคนถูกผีปอบเข้าสิง บางคนมาหาฤกษ์ยามการแต่งงาน ขึ้นบ้านใหม่ ออกรถใหม่ และ อื่น ๆ ปู่ท่านก็จะสงเคราะห์ให้ทุกคน โดยไม่กำหนดเงินค่าครูแล้วแต่จะให้ โดยให้แต่ละคนใส่เงินในจานสังกะสีซึ่งลูกหลานปู่เตรียมไว้ พร้อมทั้งดอกไม้ ธูปเทียน บางคนใส่เงิน 20 ก็มี ปู่ก็ไม่ว่า ไม่มีเงินให้ก็ไม่เป็นไร ส่วนวืธีการสงเคราะห์แต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน คราวหน้าจะเล่าให้ฟัง ส่วนพี่สาวของผู้เขียนนั้น ปู่หลับตาลง นั่งทางในส่องดูแล้วบอกว่า ที่เจ็บป่วยบ่อย ๆ และรักษาไม่หายและมีอาการแปลก ๆ เช่น เวียนหัวตลอดเวลา ลุกขี้นยืนและเดินไม่ได้ในบางครั้งนั้น ปู่บอกว่าเกิดจาก วิญญาณพยาบาทเข้าสิง เนื่องจากสามีของพี่สาวผู้เขียน เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุมาหลายปีแล้ว แต่ไม่ยอมไปเกิด ยังคงเป็นสัมภเวสีวิญญาณพเนจร ที่มีกิเลสตัณหา มีความหึงหวง อาฆาตพยาบาท เพื่อไม่ให้มีสามีใหม่ และจะมาเอาชีวิตเพื่อจะเอาไปอยู่ด้วย ปู่บอกว่า กรณีนี้ รักษาโดยไม่ต้องใช้ยาสมุนไพรใดๆ แต่ปู่จะสวดมนต์ขับไล่วิญญาณร้ายให้หนีไป และแล้วปู่ก็ได้ทำด้ายสายสิญจน์ให้คล้องคอเอาไว้ ไม่ต้องถอดออกทั้งเวลาอาบน้ำและเวลานอน อีกทั้งเอาน้ำมนต์ที่ปู่ทำให้ไปดื่มให้หมดต่อที่บ้านก็จะหาย ปู่ก็บอกให้กลับบ้านได้ ไม่น่าเชื่อตั้งแต่นั้นมาอาการป่วยของพี่สาวผู้เขียนก็หายไปตราบเท่าทุกวันนี้ ส่วนผู้เขียนก่อนกลับวันนั้นได้เข้าไปกราบปู่ที่ตักและบอกปู่ว่า วันหลังจะมาหาปู่ใหม่นะครับ หลวงปู่เอามือลูบหัวผู้เขียนและพูดอย่างเอ็นดูกับผู้เขียนว่า มาหาปู่ให้ได้นะหลานนะ แล้วผู้เขียนก็กราบลาปู่กลับบ้าน ทันที
|
|
|
|
คนศรีเกษ
|
|
« ตอบ #6 เมื่อ: 09 พฤษภาคม 2557, 13:48:05 » |
|
กลับไปหาปู่ตามสัญญา หลังจากนั้นไม่นานผู้เขียนก็ได้กลับไปหาปู่ ที่หนองเหล่า เขื่องในอีกครั้ง ไปคราวนี้ ผู้คนมารอพบปู่มากเช่นเคย จอดรถที่เหมาะ ๆ แล้ว ก็เลียบ ๆ เคียง ๆ ไปใกล้ ๆ ปู่ ให้ปู่เห็นเท่านั้น เมื่อกราบปู่แล้ว ปู่หันมารับทราบแล้วก็ยิ้มถามว่ากินข้าวมาแล้วหรือยัง ผู้เขียนบอกกินมาแล้ว น่าสงสารปู่ยังห่วงคนอื่นทั้งที่ปู่จะมีเวลากินข้าวไหมหนอ ยังไม่ได้ทำอะไรเพราะพี่น้องจากใกล้ไกล มารอคิวยาวเหลือเกิน จึงถือโอกาสนั่งลงดูวิธีการรักษาของหมอ คนที่มาหาปู่ส่วนใหญ่จะมาด้วยเรื่อง ประการแรก เจ็บป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ รักษาอย่างไรก็ไม่หาย ประการที่สองมาขอให้ทำนายโชคชะตาราศรี มาขอให้ทำนายเหตุการณ์ที่จะเกิดขี้นต่อไปว่าจะเป็นอย่างไร ดีหรือร้าย เจ็บป่วยจะหายหรือไม่ จะตายหรือไม่ มาขอฤกษ์ยามที่จะทำพิธีมงคลต่าง ๆ เป็นต้น ประการที่สามมาขอให้ไล่ผี ไล่ปอบ ถอนคุณไสย์ เท่าที่สังเกตุ ดูเหมือนจะมีเรื่องใหญ่ ๆ 3 เรื่องนี้เป็นหลัก นอกนั้นก็เรื่องสัพเพเหระ การสงเคราะห์และรักษา ไม่มีการกำหนดอามิสสินจ้างใด ๆ แล้วแต่จะให้ โดยให้ใส่ไว้ในจานสังกะสี พร้อมดอกไม้ธูปเทียน บางคน ให้ 20 บาท ก็มี ปู่ก็ไม่ว่า วิธีการรักษา เบื้องต้น ปู่ก็จะเริ่มสอบถามพูดคุย ถามชื่อ วันเดือนปีเกิด อยู่ที่ไหน สาเหตุมาด้วยเรื่องอะไร ถามถึงของรักษาที่นับถืออยู่ในปัจจุบัน เสร็จแล้วก็จะนั่งธรรมโดยการส่องดูทางใน แล้วก็ทำนายทายทักออกมา ถ้าป่วยก็จะบอกว่าเป็นอะไร รักษาอย่างไร แล้วก็จะเรียก ลุงพร ซึ่งเป็นผู้ช่วยปู่ ให้ไปจัดยาตามที่บอก ว่าจะมีสมุนไพรอะไรบ้าง ซึ่งลุงพรก็มีเตรียมพร้อมอยู่แล้ว แล้วบอกผู้ป่วยพร้อมกับลุงพร ออกไปจัดยาในห้องถัดไป มีครกบดยาโขลกตำกันตรงนั้น ให้กินกันตรงนั้น ที่เหลือเอากลับไปกินบ้าน ส่วนค่ายา ค่าสมุนไพรต่าง ๆ ลุงพรแกกำหนดเป็นราคามาตรฐานอยู่แล้ว ก็จ่ายค่ายาให้ลุงพรแกไป ส่วนกรณี สอบถามโชคชะตาราศรี ปู่ก็จะบอกตรง ๆ ว่าดีหรือร้าย ก่อนถามก็ขอให้ทำใจให้ดี ปู่จะถามว่า ให้ตอบตรง ๆ หรือ ไม่ ถ้ายืนยันปู่ก็จะบอกตามตรง ส่วนผู้ที่ถามว่า ป่วยจะหายหรือไม่ จะตายหรือไม่ หรือมีอายุยืนไปจนสิ้นอายุขัยหรือไม่ ปู่ก็จะทำพิธี ใช้ด้ายมงคลเสก หรือด้ายสายสิญจน์ของทางพระสงฆ์ นั่นแหละ จำนวน 2 เส้น ผูกไว้บนอุปกรณ์ อย่างหนึ่งซึ่งผู้เขียนจำไม่ได้แล้วว่าเป็นอะไร ซึ่งหย่อนลงมาจากเพดานห้อง แล้วปู่จะทำการอธิษฐานและเสี่ยงทายโดยใช้ไฟเผาไปที่ด้ายมงคลนั้น ถ้าไฟไหม้จากปลายด้ายด้านล่าง ไปจนสุดด้านบนที่ผูกไว้ทั้ง 2 เส้น ถือว่าดีที่สุด แต่บางคน ไหม้ไปถึงกึ่งกลางก็ดับ บางคนไหม้ไปสุดเส้นเดียว แต่อีกเส้นไหม้ไปไม่สุด ปู่ก็จะทำนายตามนั้น ซึ่งผู้เขียนก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าเป็นวิชาอะไร และ ทำไมจึงต้องใช้ด้าย 2 เส้น ใครมีความรู้เรื่องนี้ ช่วบอธิบายด้วยครับ ส่วนการไล่ผี ไล่ปอบ ถอนคุณไสย์ต่าง ๆ นั้น เห็นว่าปู่เชี่ยวชาญมาก ผีที่ว่าร้าย ๆ เจอวิชาปู่หนีหมด ผีปอบที่ว่าแข็ง พอว่าจะพาไปให้ปู่ไล่เท่านั้น มันกลัวมากรีบออกก่อนแล้ว มีรายหนึ่งวันที่ผู้เขียนกำลังนั่งอยู่กับปู่นั้น มีญาติพามาหาปู่มาจากสกลนคร บอกปู่ว่าลูกสาวถูกผีปอบเข้าสิง หมอผีที่สกลไล่อย่างไรก็ไม่ออก แถมท้าทายหมอว่าจะหักคอหมอเสียอีก พอมาหาปู่วันนั้นก็สิ้นท่า ผู้ป่วยที่ปอบสิงอยู่ก็ไม่พูดไม่จา แถมไม่ยอมลงจากรถ ปู่นั่งทางในดูและบอกว่ามันมาต้องปู่แล้ว มันกลัววิชาปู่ ปู่ก็เลยเรียกลุงพร ให้ไปทำพิธีไล่ปอบที่รถแทนโดยปู่ไม่ต้องออกไปเอง แต่ได้มอบย่ามประจำตัวของปู่ใส่ซึ่งน่าจะใส่เครื่องราง ของขลังและเครื่องมือการไล่ปอบไว้อย่างครบครัน พร้อมด้วยด้ายมงคลเสกของปู่ และน้ำมนต์ของปู่ขวดหนึ่งไปไล่แทน วันนั้น คนเยอะมาก กว่าปู่จะได้กินข้าวกลางวันก็ปาเข้าไป บ่าย 2 โมงกว่า เกือบ 3 โมงเย็น ยังมีคนรอคิวอยู่อีกพอสมควร ปู่บอกว่าขอเวลาไปกินข้าวก่อน ปู่เลี่ยงออกจากห้องทำพิธีไปกินข้าวที่ห้องด้านหลังซึ่งลูกหลานได้จัดเตรียมอาหารไว้แล้ว โดยไม่ลืมเรียกผู้เขียนเพียงคนเดียวติดตามไปด้วย ช่วงกินข้าวก็ได้ถือโอกาส สอบถามปู่เกี่ยวกับเรื่องการงาน เรื่องการเงิน เรื่องครอบครัวและเรื่องต่าง ๆ ที่อยากจะทราบและวิธีแก้ไข บางอย่างผู้เขียนไม่ได้บอก แต่ปู่ก็ทราบเหมือนตาเห็น จนปู่กินข้าวเสร็จ ก็เลยลาปู่กลับ บอกปู่ว่า วันหลังจะมาอีก จะพาภรรยาและ ลูก ๆ มา ด้วย ปู่บอกว่า อยากจะได้ เมนทอล การบูรผง และ กาฝากมะม่วง เพื่อจะเอามาเป็นส่วนผสมกับสมุนไพรอื่น ๆ ซึ่งผู้เขียนก็รับปากว่าจะหามาให้ แล้วก็กราบที่ตัก ปู่เอามือลูบหัวและอวยพรให้เดินทางกลับด้วยความปลอดภัย......
|
|
|
|
คนศรีเกษ
|
|
« ตอบ #7 เมื่อ: 10 พฤษภาคม 2557, 07:36:02 » |
|
ต่อมา เมื่อมีเวลาว่าง เสาร์ อาทิตย์ เดือนละครั้ง หรือ สองเดือนครั้ง ผมก็จะหาโอกาสแวะเวียนไปเยี่ยม ปู่เสมอมาโดยไม่ลืมที่จะซื้อ เมนทอล การบูรผง จากร้านขายยากำโหล่ เมืองศรีสะเกษ ไปฝากทุกครั้ง มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมได้ใช้ความพยายามไปเสาะหากาฝากมะม่วงจนได้มาจากวัดแห่งหนึ่ง ซึ่งโชคดีมาก กิ่งมะม่วงกิ่งใหญ่ทั้งกิ่ง มีการฝากเต็มไปหมด ผมไปขอกับเจ้าอาวาสและจ้างเด็กวัดขึ้นไปตัดลงมาทั้งกิ่ง เอาไปฝากปู่คราวนั้น ปู่ดีใจมากจะให้เงินผู้เขียนเป็นค่าจ้าง แต่ผู้เขียนไม่รับ บอกตั้งใจหามาฝากปู่ เพื่อให้เอามาเป็นส่วนผสมของยาสมุนไพร จะได้บุญกุศลร่วมกันกับปู่ ช่วงหลังผมไปเยี่ยมปู่อย่างเดียวไม่ได้สอบถามอะไรมากนัก เอาของไปฝากแล้วก็ลากลับ เพื่อปู่จะได้มีเวลาสงเคราะห์ผู้เดือดร้อนที่รอเข้าคิวพบปู่จำนวนมากทุกวัน จนเวลาผ่านไปปีเศษ ผมไปหาปู่เพียงคนเดียวหลายครั้ง ยังไม่มีเวลาพาครอบครัวไปเยี่ยมปู่สักครั้งเดียว จนกระทั้ง วันหนึ่ง เป็นวันหยุดโอกาสเหมาะ ผู้เขียน ภรรยา และลูก ๆ พร้อม จึงนัดกันไปพบปู่ กินข้าวเช้าเสร็จก็รีบขับรถมุ่งสู่ อำเภอเขื่องใน ทันที โดยไม่ลืมหยิบกล้องถ่ายรูปไปด้วย อีกทั้งแวะซื้อ เมนทอล และ ผงกาบูรเช่นเคย คราวนี้ แปลกใจมาก ทำไมไม่เห็นรถจอดจำนวนมาก บริเวณบ้านปู่เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา หรือว่าปู่ไม่อยู่ หรือว่าปู่ไม่สบาย สอบถามลูกหลานแถวนั้น บอกว่า วันนี้ ปู่ไม่รับแขก เพราะว่าเป็นวันสวดมนต์ กราบไหว้บูชาครูบาอาจารย์ที่ประสิทธิ์ประสาทวิชาให้ทั้งวัน ซึ่งทุกคนที่จะมาหาปู่ทราบดี มีแต่ผู้เขียนที่ไม่ทราบ บอกเขาว่าจะขอพบปู่แว๊ปเดียวได้หรือไม่ น้องเขาทำท่าอิดออด ผู้เขียนก็เลยตื้อต่อ บอกว่าให้ไปบอกปู่ว่าหลานมาจากศรีสะเกษมาขอพบและบอกชื่อผู้เขียนไป หายไปสักพัก น้องเขาออกมาบอกว่าปู่อนุญาต แต่ให้รอสักพัก ปู่กำลังสวดมนต์ พร้อมแล้วจะบอก ผู้เขียน รออยู่นานพอสมควร น้องเขาก็ออกมาพาเข้าไปพบปู่ ซึ่งอยู่ที่ห้องอีกห้องหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่ห้องที่ปู่รับแขกปรกติ แต่เป็นห้องพระส่วนตัวของปู่ พอเห็นหน้าผู้เขียน ปู่ยิ้มทักทายแบบอารมณ์ดีเช่นเคย พร้อมทั้งถามว่ากินข้าวมาแล้วหรือยังเหมือนทุกครั้ง คราวนี้ ภรรยาผมสอบถามเรื่องโชคชะตาราศรี เรื่องสุขภาพ เรื่องเงิน เรื่องงานต่าง ๆ ปู่ก็ดูให้โดยละเอียด ตามมาด้วยลูก ๆ ทั้ง 2 คน ปู่ก็ถามวัน เดือน ปีเกิด และทำนายอนาคตของลูกว่า ดวงเกิดมาเป็นอภิชาติบุตรทั้งคู่ จะได้เป็นที่พึ่งพาอาศัยของพ่อแม่ทั้งสองคน ต่อมาปู่ก็ลุกขึ้นไปหยิบเหล็กจาร และบอกผู้เขียนเข้ามาใกล้ ๆ สั่งให้ก้มหัวลงและบอกว่า ปู่จะลงกระหม่อมให้ เจ็บนิดหน่อยนะ ว่าแล้วก็ร่ายเวทมนต์ คาถาอาคมด้วยเสียงอันดังพอสมควรพร้อมลงเหล็กจารที่หนังศรีษะของผู้เขียนเริ่มจากกลางกระหม่อมไล่ไปเรื่อยจนรอบศรีษะ ผู้เขียนเจ็บจนน้ำตาไหล เสียงเหล็กจารกรีดเข้าไปที่หนังศรีษะดังกรวด ๆ แต่ก็ต้องอดทน เมื่อปู่ลงเหล็กจารจนรอบศรีษะแล้วก็หยุด จากนั้น ก็นำขวดน้ำมันชนิดหนึ่งซึ่งผู้เขียนคิดว่า น่าจะเป็นว่าน 108 ชนิด ที่ปู่เคี่ยวจนใสและปลุกเสกจนครบสูตร มีกลิ่นหอมและเย็น เทใส่มือทั้ง 2 ข้างของปู่ แล้วนวดคลึงลงบนศรีษะของผู้เขียนจนทั่ว แล้วปู่ก็ร่ายเวทย์มนต์คาถาอาคม แล้วก็เป่าลงไปที่ศรีษะของผู้เขียนสลับกันไปมาระหว่างการร่ายเวทย์มนต์และการเป่าหรือการถ่ายปราณจากปู่เข้าสู่ร่างของผู้เขียนอยู่หลายครั้งจนครบสูตร ผู้เขียนรู้สึกเย็นยะเยือกทุกครั้งที่ปู่เป่าอีกทั้งสัมผัสได้ถึงความหอมและเย็นของน้ำว่านที่ซึมเข้าสู่ศรีษะและร่างกาย ความเจ็บปวดจากการลงเหล็กจารที่หนังศรีษะค่อย ๆ ผ่อนคลายและหายเจ็บไปในที่สุด .ต่อมาก็เรียก ลูก ๆ ทั้งสองคนเข้าไป สั่งให้ก้มศรีษะลงทั้ง 2 คน แต่คราวนี้ ปู่ไม่ใช้เหล็กจาร แต่ใช้นิ้วชี้ด้านขวา จิ้มลงบนศรีษะวนเวียนไปมาโดยรอบและก็ร่ายเวทย์มนต์คาถาอาคมเช่นเคย จนเสร็จ แต่เด็กทั้งสอง ปู่ไม่ได้ลงน้ำมันให้ ส่วนภรรยาผู้เขียน ปู่ให้ด้ายมงคลและน้ำมนต์ให้เอากลับไปบูชาที่บ้าน ก่อนที่จะลากลับ ขออนุญาตปู่ ถ่ายภาพ ปู่บอกว่า เดี๋ยวให้ไปเปลี่ยนเสื้อก่อน หายเข้าไปในห้อง ได้เสื้อสีขาวตัวเก่งออกมาตามภาพ ผู้เขียนสังเกตุเห็นว่า เสื้อตัวนี้พิเศษ เพราะว่าปู่ เขียนยันต์ เป็นตัวหนังสือธรรมอีสาน ไว้ที่อกเสื้อด้านหน้าด้วย แต่ถ่ายภาพไม่ติดตัวยันต์ เสร็จแล้วก็ลากลับด้วยความอิ่มเอิบใจทั้งครอบครัว
|
|
|
|
คนศรีเกษ
|
|
« ตอบ #8 เมื่อ: 11 พฤษภาคม 2557, 08:16:59 » |
|
ปู่หมอธรรมเฮืองผีย่าน ครั้งหนึ่ง ปู่ธรรมธรรมเฮืองได้แสดงความสุดยอดของพลังจิต ในสายหมอธรรมอีสานที่ปู่ได้เล่าเรียนมาจนสามารถ มีตาทิพย์ เห็นวิญญาณ และสื่อสารกับผีได้ โดยแสดงให้ผู้เขียนเห็นแบบชัดเจนก็คือ ภรรยาของผู้เขียนได้ซื้อรถเก๋ง มือสองคันหนึ่ง ดูจากภายนอกสภาพทั่ว ๆ ไป ยังดูใหม่ มีคนเอามาขายให้ในราคาค่อนข้างถูก โดยบอกว่า เป็นรถบ้าน ซื้อมาขับเองได้ไม่กี่ปี แต่อยากจะขายเพื่อซื้อคันใหม่ให้มีขนาดที่ใหญ่ขึ้นกว่าคันเดิม ภรรยาผู้เขียนเห็นแล้วชอบ จึงตัดสินใจซื้อทันที ขับได้ไม่นาน ก็เกิดเรื่องแปลก ๆ ทั้งที่ภรรยาผู้เขียนก็ขับรถมานานหลายปี มีความชำนานพอสมควร ขับทางไกล้ ทางไกล ขับไปต่างจังหวัดได้ แต่วันหนึ่ง ขับผ่าไฟแดงไปเฉี่ยวชนกับรถจักรยานยนต์เอาดื้อ ๆ เธอบอกว่ามองไม่เห็นไฟแดงจริง ๆ ไม่รู้เป็นเพราะอะไร ก็เสียเงินให้คู่กรณีไปตามระเบียบ ต่อมาไม่นาน ขับไปเที่ยวกับเพื่อน ๆ ที่หาดคูดื่อ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ก็ไปเฉี่ยวชนกับจักรยานยนต์อีก คราวนี้หนัก รถยนต์ก็เสียหายต้องซ่อมเอง ต้องซ่อมรถจักรยานยนต์ให้คู่กรณี รวมถึงต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลและค่าทำขวัญให้ผู้เจ็บอีก อีกครั้ง ขับรถไปงานเลี้ยง ถอยชนเสาโคมไฟแสงจันทร์ที่ลานจอดรถของร้านเอาดื้อ ๆ เช่นกัน คราวนี้ เธอบอกว่ามองเห็นเสาไฟ พยายามหักพวงมาลัยหลบ แต่ทำไมไม่พ้นก็ไม่รู้ ผลก็คือ ท้ายรถยนต์ยุบ เสาไฟคดงอ เสียเงินซ่อมทั้งสองอย่างอีกตามเคย ผู้เขียนเห็นว่า ตั้งแต่ซื้อรถยนต์คันนี้มาไม่นาน ก็มีเหตุให้เกิดเรื่องราวและเสียเงินอยู่บ่อย ๆ จึงพาภรรยาขับรถคันนี้ไปหาปู่ เมื่อเจอปู่ ก็เล่าเรื่องรถและเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นให้ปู่ฟัง ปู่รับทราบแล้วหลับตาลงนั่งธรรม ชั่วอึดใจก็ลืมตาขึ้น บอกกับผู้เขียนและภรรยาว่า รถยนต์คันนี้มีผีเด็กสิงอยู่ และก็เล่าต่อเหมือนตาเห็นว่า เจ้าของรถยนต์คนเดิมขับไปชนเด็กผู้หญิงตายคาที่ วิญญาณได้สิงสถิตย์อยู่ในรถคันนี้ ไม่ยอมไปเกิด เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ก็เพราะผีเด็กแกล้งทำให้เกิดขึ้น ปู่บอกว่า เห็นวิญญาณเด็กคนนี้แล้วน่าสงสาร ปู่จะช่วยเขา ว่าแล้ว ก็หยิบขันน้ำมนต์ที่วางอยู่ใกล้ ๆ มาร่ายเวทมนต์ คาถาอาคม อีกครั้ง พอเสร็จ ปู่มองหน้าผู้เขียนแล้วบอกว่า คราวนี้ปู่จะไปไล่ผีเอง สั่งให้ผู้เขียนยกเอาขันน้ำมนต์ ส่วนปู่หยิบเอาด้ายมงคลเสกหรือด้ายสายสิญจน์ที่ทำไว้แล้ว พร้อมทั้งมัดหญ้าคาขนาดกำมือสำหรับประพรมน้ำมนต์ติดมือไปด้วย แล้วลุกขึ้นบอกให้ผู้เขียนเดินนำไปที่รถที่จอดไว้ด้านนอก พอถึงรถปู่สั่งให้ผู้เขียนเปิดประตูรถเก๋งออกทั้ง 4 ด้าน แล้วปู่ก็ไปยืนอยู่บริเวณประตูที่นั่งคนขับโดยไม่เข้าไปในรถ สั่งให้คนที่มามุงดูถอยให้ห่างประตูรถออกไปให้หมด อย่าปิดทาง เอามัดหญ้าคาจุ่มน้ำมนต์ในขันที่ผู้เขียนอุ้มอยู่ แล้วก็ประพรมไปบริเวณที่นั่งคนขับ พร้อมกับพูดว่า " อีนางน้อยเอ้ย หม่องนี้ มันบ่อแม่นหม่องเจ้าอยู่เด้อ ให้หนีออกไปสา ให้เจ้าไปเกิดใหม่ ในภพ ในภูมิ ของเจ้าเด้อ ออกไป ออกไป ออกไป " ว่าแล้ว ก็จุ่มน้ำมนต์ในขันหลายครั้งประพรมเข้าไปในรถ ปากก็ร่ายเวทมนต์คาถาอาคมไปเรื่อย ๆ ชั่วอึดใจปู่ก็กวาดสายตามองขึ้นไปบนท้องฟ้า แล้วก็บอกว่า " อีน้อย ๆ มันออกไปแล้ว " " มันไปเกิดใหม่แล้ว " ต่อจากนั้น ปู่ก็เข้าไปนั่งในรถ แล้วเอาด้ายมงคลที่ถือติดมือมาด้วย มัดไว้กับพวงมาลัยรถยนต์ แล้วก็เป็นอันเสร็จพิธี ต่อจากนั้นมา รถยนต์คันนั้นก็ไม่เคยเกิดเหตุอะไรอีกเลย จนกระทั่งภรรยาผมได้ขายรถยนต์คันนั้นไปแล้วเมื่อหลายปีก่อน
|
|
|
|
คนศรีเกษ
|
|
« ตอบ #9 เมื่อ: 13 พฤษภาคม 2557, 10:17:27 » |
|
คิดถึงปู่ เมื่อถึงวันหยุดเสาร์ - อาทิตย์ ไม่ติดภาระกิจอะไร อยู่ว่าง ๆ ผมมักจะคิดถึงปู่อยู่เสมอ ปู่ยังคงสบายดี มีสุขภาพแข็งแรง อยู่เหมือนเดิมหรือเปล่าหนอ เมนทอล และ ผงการบูร ที่ซื้อไปฝากคราวที่แล้ว หมดแล้วหรือยังก็ไม่ทราบ ว่าแล้วก็ไปหาปู่ดีกว่า โดยไม่ลืมนำของฝากติดมือไปด้วย เมื่อพบปู่ ปู่ทักทายแบบอารมณ์ดีเช่นเคย พร้อมกับเอ่ยปากถาม " กินข้าวมาแล้วหรือยัง " โถ ปู่ครับ ปู่ห่วงแต่คนอื่นแต่ตัวปู่เอง มีเวลากินข้าวหรือเปล่าก็ไม่ทราบ คราวนี้ ผมได้รู้จักลูกชายของปู่ โดยปู่แนะนำให้รู้จัก ชื่ออะไรผมก็จำไม่ได้เสียแล้ว อายุวัยกลางคน รูปร่างผอมสูง แต่อายุน่าจะน้อยกว่า " ลุงพร " ผู้ช่วยของปู่ที่ผมรู้จักมาก่อนหน้านี้แล้ว ได้คุยกันเล็กน้อย ผู้เขียนสอบถามว่า ได้สืบทอดการเรียน " หมอธรรม " จากปู่ไว้บ้างหรือเปล่า แกตอบว่า ก็พยายามเรียนอยู่ แต่ว่าเรียนยาก แกตอบว่าอย่างนั้น เนื่องจากคนมาก ก็เลยไม่ได้คุยอะไรกันอีก วันนั้น ไม่มีธุระอะไรกับปู่ เพียงแวะมาเยี่ยมเฉย ๆ ทักทายกับปู่และเอา เมนทอล และ ผงการบูรให้แล้ว ก็คิดว่าจะกลับ แล้วก็เดินออกมาด้านนอก แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไร ปู่ก็ให้คนออกมาเรียกให้เข้าไปพบ ปู่กำลังยุ่งมากแต่ก็ยังอุตส่าห์บอกผู้เขียนว่า " อย่าเพิ่งกลับนะ ปู่มีของจะฝาก " ผู้เขียนดีใจมาก ในใจคิดว่าปู่น่าจะแจกพระ หรือ วัตถุมคลอะไรสักอย่าง ผู้เขียนจึงนั่งรออยู่ตรงนั้น นานพอสมควร สักครู่ ปู่ลุกขึ้นเรียกผู้เขียนให้เดินตามเข้าไปในห้องพระ หรือ ห้องสวดมนต์ของท่าน แล้วก็เอาย่ามประจำตัวออกมา ล้วงหยิบตะกรุดโทนออกมาให้ จำนวน 3 ดอก บอกให้ผู้เขียน 1 ดอก และฝากให้ลูกชายทั้ง 2 คน คนละดอก ปู่สั่งให้ก้มหัวลง วางตะกรุดทั้งหมดใส่มือแต่ยังไม่ปล่อย ร่ายมนต์ไปนานพอสมควรจึงให้รับเอากับมือปู่ และ พูดสำทับว่า ปู่ทำให้เป็นพิเศษ ให้เก็บรักษาไว้ให้ดีเป็นของ " ศักดิ์สิทธิ์ " ดีใจมากรีบลากลับทันที ลักษณะตะกรุด ตามภาพที่เห็น เป็นตะกรุดทองแดง แต่ละดอกยาวเท่ากัน คือประมาณ 5 นิ้ว ปู่ม้วนแล้วไม่ได้หุ้มอะไรไว้ ผู้เขียนกลัวว่าเมื่อใช้ไปนาน ๆ ตะกรุดจะชำรุดเสียหาย จึงได้นำเอาสายยางพลาสติคใสมาหุ้มเอาไว้
|
|
|
|
m92f
|
|
« ตอบ #10 เมื่อ: 13 พฤษภาคม 2557, 23:35:04 » |
|
ขอบคุณมากครับ สำหรับข้อมูลดี ๆ
ผมมาเป็นเขยอยู่บ้านนี้ (บ้านหนองเหล่า อ.เขื่องใน) ลูกชาย ธรรมเฮือง ตอนนี้ ก็เป็นหมอธรรมเหมือนกัน ชื่อ พ่อใหญ่สี ครับ
|
.
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
คนศรีเกษ
|
|
« ตอบ #11 เมื่อ: 16 พฤษภาคม 2557, 20:04:37 » |
|
อะไรอยู่ในกระป๋อง ผู้เขียนจำได้ว่าในช่วงนั้น ไม่ได้ไปพบไปเยี่ยมปู่นานเป็นปี เนื่องจากติดภาระหน้าที่การงาน ยุ่งมากจนไม่มีเวลาว่างที่จะคิดถึงปู่ บางครั้งหยุดเสาร์ อาทิตย์ ก็ต้องทำงาน จนกระทั่ง วันหนึ่ง ผู้เขียนจำเป็นต้องไปทำภาระกิจการงานที่ยโสธร ทำภาระกิจต่าง ๆ เสร็จสิ้นแล้ว ช่วงบ่าย กลับศรีสะเกษทางด้านอำเภอเขื่องใน เพื่อจะตัดเข้าอำเภอยางชุมน้อย และเข้าศรีสะเกษต่อไป เมื่อรถวิ่งมาถึงเขื่องใน ไม่ทราบเป็นเพราะอะไร มาดลใจให้ผู้เขียนคิดแว๊ปไปถึงปู่ จำได้ว่าเมื่อใกล้ถึงตลาดเขื่องในช่วงนี้ เลี้ยวซ้ายเข้าไปอีกหน่อย ไม่กี่กิโลเมตร ก็จะถึงบ้านหนองเหล่า บ้านที่ปู่อยู่ซึ่งผู้เขียนคุ้นเคยมากเพราะว่าเทียวไปมาหลายครั้งแล้ว ว่าแล้วก็หักพวงมาลัยซ้ายเข้าหนองเหล่าทันที วันนั้น เป็นวันธรรมดาไม่ใช่วันหยุด และเป็นช่วงเย็นแล้ว ไม่มีรถจอดเพราะคงจะกลับหมดแล้ว จอดรถเสร็จโผล่หน้าเข้าไปในห้อง เห็นมีชาวบ้านหนองเหล่านั่งคุยกับปู่อยู่ 4 - 5 คน ทักทายปู่แล้ว ชาวบ้านคงเสร็จธุระพอดีก็พากันออกจากห้องไป เหลือแต่ปู่กับผู้เขียน มาพบปู่คราวนี้ สังเกตุดูปู่แก่ตัวลงกว่าเดิมมาก การเดินของปู่เดินแบบคนแก่หลังค่อม เวลายืนขึ้นลำตัวปู่แทบจะตั้งฉาก 90 องศากับพื้น เมื่อเจอหน้ากัน ปู่ตัดพ้อผู้เขียนในเชิงน้อยใจว่า เป็นเวลานานแล้วไม่มาเยี่ยมปู่เลย ไม่เหมือนก่อน คิดว่าลืมปู่แล้ว ผู็เขียนก็เลยเข้าไปกราบที่ตัก กล่าวคำขอโทษและ เล่าความจำเป็นต่าง ๆ ให้ฟัง ปู่นั่งฟังนิ่ง ๆ เหมือนใช้ความคิดโดยไม่พูดอะไร สักครู่หนึ่ง ปู่ก็ลุกขึ้นไปหยิบ สิ่งของชนิดหนึ่งออกมาจากในห้องสวดมนต์ของปู่ จำได้ว่าเป็นกระป๋องพลาสติกสีขาวทึบปิดฝาแน่น ความสูงประมาณสักครึ่งฟุต เสียงดังขลุก ๆ เหมือนมีวัตถุอะไรอยู่ข้างใน เมื่อปู่เปิดฝาแล้วเทสิ่งของนั้นออกมา ปรากฏว่า ของสิ่งนั้นลักษณะเหมือนหินชนิดหนึ่ง กลมแต่แบน ๆ ลักษณะคล้ายจาวตาล ขนาดโตกว่าเหรียญ 10 บาท นิดหน่อย สีน้ำตาลอ่อน ๆ หรือสีออกแบบท้องปลาไหล อยู่ในกระป๋องมีแค่ชิ้นเดียว ปู่พูดว่า " มีคนเพียรขอ อยู่หลายครั้ง แต่ปู่ไม่ให้ หนักเข้า ขอซื้อให้บอกราคามา แต่ปู่ก็ไม่ขาย เพราะเขาไม่ใช่คนที่เป็นเจ้าของสิ่งนี้ "แต่วันนี้ ปู่เห็นว่าผู้เขียน สมควรที่จะเป็นเจ้าของสิ่งนี้ จึงได้มอบใส่มือให้ผู้เขียน ฟรี ๆ โดยไม่ต้องการค่าตอบแทนแต่อย่างใด ผู้เขียนดีใจมาก ได้ของแล้วก็รีบลากลับ เพราะว่าใกล้มืืดค่ำแล้วกลัวจะกลับบ้านลำบาก วันนั้น ก็ปากหนัก ไม่ได้ถามปู่ว่า สิ่งที่ปู่มอบให้นี้คืออะไร แต่ก็คิดว่าไม่เป็นไร วันหลังจะกลับมาถามใหม่ .... พอได้มาแล้ว ด้วยความเชื่อมั่นและศรัทธายิ่ง จึงได้นำไปอัดกรอบพลาสติค โดยไม่ลืมตัดภาพใบหน้าของปู่ อัดลงไปในกรอบพลาสติคอีกด้านด้วยเพื่อไม่ให้ลืมปู่ และห่มจีวรให้อย่างงาม เชิญชมภาพครับ
|
|
|
|
คนศรีเกษ
|
|
« ตอบ #12 เมื่อ: 16 พฤษภาคม 2557, 22:01:10 » |
|
บทส่งท้าย ต่อมาอีกนานพอสมควร ผู้เขียนหาเวลาว่างจนได้ โดยตั้งใจที่จะกลับไปหาปู่ เพื่อจะถามปู่ว่า สิ่งที่อยู่ในกระป๋องที่ให้มานั้นเป็นอะไร ออกจากศรีสะเกษแต่เช้า รีบบึ่งรถเข้าไปหนองเหล่า เขื่องในทันที แปลกใจทั้งที่วันนี้เป็นวันหยุด ปรกติ รถจะต้องจอดเป็นแนวยาว คนจะต้องพลุกพล่าน เมื่อใกล้ถึงบ้านปู่ แต่วันนี้ ว่างเปล่า มีแต่ความเงียบ ผู้เขียนเริ่มใจหาย ปู่ไปไหนหนอ หรือว่าป่วย .....หรือว่า ........ทำให้คิดไปต่าง ๆ นานา.วิ่งเข้าไปจอดรถที่หน้าบ้านปู่ จำได้แม่น เพราะว่าไปบ่อย เป็นบ้านปู่แน่นอน สิ่งที่เห็นคือ บ้านที่อดีดเคยคราคร่ำ และเนืองแน่นไปด้วยผู้คน วันนี้ ปิดสนิท เงียบเหงา ไม่มีแม้แต่คนในบ้านที่จะสอบถาม เดินอ้อมไปด้านหลังบ้านก็ปิด ก็เลยต้องเดินต่อไปที่บ้านข้างเคียง สอบถามได้ความว่า " ปู่หมอธรรมเฮือง เสียชีวิตแล้ว " ในขณะนั้น ผู้เขียนรู้สึกตกใจ ทำให้ตัวผู้เขียนเย็นวูปไปชั่วขณะหนึ่ง เสียใจมาก ที่ไม่ได้มาร่วมงานศพของปู่เพราะว่าไม่ทราบ และ ไม่มีใครบอก ได้แต่รำพึงในใจว่า " ปู่ได้ลาจากโลกนี้และพวกเราไปแล้ว โดยไม่มีวันกลับ " น้ำตาแห่งความรัก เคารพ ความศรัทธาและอาลัยยิ่ง มันไหลออกมาโดยไม่รู้สึกตัว ได้แต่พนมมือขึ้นหันหน้าไปทางห้องสวดมนต์ที่เคยคุยกับปู่ และ ตั้งจิตอธิษฐาน ขอให้ดวงวิญญาณของปู่ จงขึ้นไปสถิตสถาพรเสวยสันติสุขในสุคติสัมปรายภพบนสรวงสวรรค์ด้วยเทอญ วันนั้น จึงต้องเดินทางกลับด้วยความผิดหวัง เสียใจ และเศร้าใจเป็นอย่างยิ่ง สิ่งที่จะถามปู่ก็เลยหมดโอกาสเสียแล้ว ยังคงเป็นปริศนาต่อไป จนถึงเท่าทุกวันนี้ เพื่อนฝูงหลายคนสอบถามว่าเป็นอะไร ก็บอกว่าไม่รู้ ปู่หมอธรรมเฮืองให้มา และปู่แกก็เสียชีวิตแล้ว มันก็เลยเดากันใหญ่ วิเคราะห์จากคนให้ บางคนก็บอกว่าเป็น " คดหินกายสิทธิ์(หินขวานฟ้า) " บ้างก็บอกว่าเป็น " หมากไม้มณีโคตร " แต่บางคนคิดไปถึง " ขี้เหล็กไหล " ไปโน่นก็มี แต่ไม่ว่า จะเป็นอะไร เมื่อปู่ให้ และผู้เขียนรับมากับมือของปู่ คุณค่าจึงอยู่ที่จิตใจ ความเคารพ นับถือศรัทธา เหล่านี้จึงมีค่าสูงยิ่ง อีกทั้ง วัตถุชนิดนี้ จะต้องมีความสำคัญ มีความศักดิ์สิทธิ์ เนื่องจากปู่อาจจะใช้เป็นส่วนประกอบในพิธีกรรมบางอย่าง เช่น แช่ในขันเพื่อประกอบพิธีทำน้ำมนต์ หรืออาจจะใช้เป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์โรคบางชนิด ก็อาจจะเป็นได้ เนื่องจากวัตถุสิ่งนี้อยู่ในห้องสวดมนต์ของปู่ และด้วยความบังเอิญผู้เขียนถ่ายภาพปู่แล้วติดภาพกระป๋องที่ใส่วัตถุนั้นมาด้วย .... ตามภาพ อยู่ในกระป๋องสีขาวทึบที่วางอยู่ข้างปู่ กระป๋องใด กระป๋องหนึ่ง ในสองกระป๋อง ในวงสีเหลืองนั้นอย่างแน่นอนครับ
|
|
|
|
คนศรีเกษ
|
|
« ตอบ #13 เมื่อ: 17 พฤษภาคม 2557, 05:12:15 » |
|
เหรียญธรรมเฮือง ผู้เขียน เห็นเหรียญธรรมเฮือง ซึ่งเป็นเหรียญฆราวาส จับขึ้นมาส่องดู เห็นมีรอยลงเหล็กจารด้านหน้าเหรียญไว้ด้วย มีความเก่าพอสมควร จึงได้เช่าเก็บเอาไว้ ไม่ทราบว่า เป็นเหรียญของปู่หมอธรรมเฮือง บ้านหนองเหล่า ตำบลหนองเหล่า อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี หรือเปล่า เพราะว่าในเหรียญ นอกจากชื่อธรรมเฮืองและอักษรธรรมอีสานแล้ว ไม่ได้บอกรายละเอียดอะไรไว้เลย ท่านใดทราบ ช่วยให้ข้อมูลของเหรียญนี้ เพื่อเป็นวิทยาทานด้วยครับ ขอขอบคุณล่วงหน้าครับ
|
|
|
|
คนโก้
|
|
« ตอบ #14 เมื่อ: 17 พฤษภาคม 2557, 09:30:06 » |
|
ขอบคุณที่แบ่งปันเรื่องราวดีๆครับ
|
.
|
|
บันทึกการเข้า
|
"ขุนผู้หาญคองเมืองจั่งเฮืองฮุ่ง ขุนขี้ย่านคองบ้านบ่ฮุ่งเฮือง"
|
|
|
|