ข้อมูลที่ 2 ตำนานพื้นบ้าน"ญาคูขี้หอม" แห่งล้านช้าง ตามจารึกโบราณจารจดบทบันทึกไว้ในใบลาน เป็นตัวหนังสือธรรม ได้กล่าวไว้ว่า มีเมืองๆหนึ่ง ชื่อ "เมืองโพพันลำ" และ"เมืองพาน" เป็นบ้านเมืองที่เคยเจริญรุ่งเรือง และมีเจ้าปกครองสืบต่อกันมาหลายชั่วอายุคน สำหรับ "เมืองโพพันลำ" นั้น มีประวัติช่วงหนึ่งได้ขาดตอนไป เพราะเจ้าผู้ครองเมืองไม่มีพระราชโอรสสืบสกุล อำมาตย์ผู้ใหญ่จึงมอบเมืองให้ "ญาคูจำปา" หรือ "ญาคูลืมบอง" พระสังฆาธิการผู้ใหญ่ ขึ้นปกครองบ้านเมืองสืบต่อมา
ญาคูลืมบอง เป็นพระภิกษุที่มีความแกร่งกล้าสามารถ เมื่อขึ้นปกครองบ้านเมือง ก็สอนให้ชาวเมืองประพฤติปฎิบัติธรรม ให้ดำรงมั่นอยู่ในธรรม ท่านจึงเป็นที่ศรัทธาเลื่อมใสของชาวเมือง "โพพันลำ"เป็นอย่างยิ่ง
กาลสมัยต่อมาได้มีการเปลี่ยนชื่อเมืองจาก "เมืองญาคูลืมบอง" มาเป็น "บ้านกาลืม" ซึ่งเป็นบ้านหนึ่งในเขตปกครองของ ตำบลเมืองพาน อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี
ญาคูลืมบอง มีสามเณรรูปหนึ่งเป็นลูกศิษย์ชื่อว่า "สามเณรโพนสะเม็ก" เป็นผู้มีพละกำลังมหาศาล ตามตำนานเล่าว่า วันหนึ่งสามเณรได้นึ่งข้าวด้วยฟืนไม้งิ้วดำ เมื่อสุกแล้วข้าวจึงเป็นสีดำ "คณะสงฆ์" จึงติเตียนสามเณรว่า "นึ่งข้าวอย่างไรจึงทำให้ข้าวเป็นสีดำอย่างงี้" แล้วก็บังคับให้ "สามเณรโพนสะเม็ก" ฉันข้าวดำรูปเดียวจนหมด ปรากฎว่าเมื่อสามเณรฉันอิ่มแล้ว ก็เกิดเป็นผู้มีพละกำลังอันมหาศาล เหนือบุคคลธรรมดา
สามเณรโพนสะเม็ก เป็นผู้มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดมากสามารถเรียนอักษรสมัยและพระไตรปิฎกได้รวดเร็วและแตกฉาน ท่านญาคูลืมบอง จึงนำสามเณรไปฝากเรียนหนังสือต่อที่ เมืองศรีสัตตนาคนหุต หรือ นครเวียงจันทน์ เมืองหลวงแห่งอาณาจักรล้านช้างของลาว
ค่ำคืนหนึ่งก่อนที่ ญาคูลืมบอง จะพาสามเณรเดินทางไปถึง "สมเด็จพระสังฆราชแห่งนครเวียงจันทน์" ได้นิมิตว่า "มีช้างเผือกเชือกหนึ่งวิ่งเข้าไปในวัด พุ่งเข้าชนหอไตรที่บรรจุพระไตรปิฎกพังทลายลงมา หนังสือเก่าแก่คัมภีร์ทางพุทธศาสนาถูกทำลายจนหมดสิ้น" เมื่อตื่นจากฝันท่านได้กำหนดจิตก็รู้ในทันทีว่า "จะมีนักปราชญ์ทางพุทธศาสนาเกิดขึ้นในไม่ช้านี้อย่างแน่นอน"
แล้ววันต่อมา ญาคูลืมบอง ก็นำ สามเณรโพนสะเม็ก ไปฝากให้เรียนหนังสือ สมเด็จพระสังฆราช ท่านก็รับไว้ และเป็นที่ประหลาดใจยิ่งนัก แม้ "สามเณรโพนสะเม็กแห่งเมืองญาคูลืมบอง" จะเป็นสามเณรหน้าใหม่ของ "วัดยอดแก้ว" ของ "สมเด็จพระสังฆราชแห่งกรุงศรีสัตตนาคนหุต" ก็ตาม แต่ท่านก็เรียนหนังสือได้อย่างรวดเร็วและแตกฉานมาก ไม่นานนักก็เรียนจบชั้นสูงสุดในสมัยนั้น
สามเณรโพนสะเม็ก มีกิจวัตรเป็นที่น่าเลื่อมใสศรัทธาของชาวศรีสัตตนาคนหุตเป็นอย่างมาก เจ้ามหาชีวิต หรือพระเจ้าแผ่นดินก็ทรงเลื่อมใสศรัทธา ทรงรับท่านไว้เป็น "นาคหลวง"
ในพระราชพิธีอุปสมบทตามตำนานกล่าวว่า เวลาจัดราชพิธีอุปสมบทพระภิกษุนั้น ทรงจัดอย่างใหญ่หลวง มีพระภิกษุเข้านั่งหัถบาตจำนวน ๕๐๐ รูป และใช้แพไม้ไผ่เป็นสีมาน้ำ สถานที่ประกอบพระราชพิธีอุปสมบท และเมื่ออุปสมบทเสร็จแล้วปรากฎว่า แพที่ใช้เป็นสีมาน้ำเกิดจมลง ทำให้พระภิกษุที่เข้านั่งหัถบาตต่างพากันว่ายน้ำเข้าฝั่งอย่างอุตลุตจีวรเปียกน้ำหมดทุกรูป ยกเว้น พระภิกษุบวชใหม่ คือ สามเณรโพนสะเม็ก จีวรไม่เปียกน้ำเลย
เมื่ออุปสมบทแล้ว พระคุณเจ้าหนุ่ม โพนสะเม็ก ก็ได้ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดล้านช้าง และต่อมาได้ย้ายไปเป็นเจ้าอาวาสวัดโพนสะเม็ก จนได้รับการสถาปนาจาก "เจ้ามหาชีวิต" ให้เป็น "เจ้าราชครูหลวง" หรือ "สมเด็จพระสังฆราชล้านช้าง" ปกครองฝ่ายพุทธจักรแห่งนครล้านช้างในกาลต่อมา...
เจ้าราชครูหลวง หลวงพ่อโพนสะเม็ก เป็นผู้มีบารมีสูงส่งยิ่งกว่าฝ่ายราชอาณาจักร เพราะเป็นพระอาจารย์สอนอรรถสอนธรรมนำปฎิบัติ สมถะและวิปัสสนากัมมัฏฐานแก่ชาวเมือง และเจ้านายในราชตระกูล มีคนเคารพนับถือมาก แม้เจ้านายในราชตระกูล ก็ให้การเคารพยำเกรงเป็นอย่างยิ่ง
ระหว่าง พ.ศ. ๒๑๘๗-๒๒๕๔ เจ้ามหาชีวิต มีพระโอรสองค์หนึ่งพระนามว่า "พระเจ้าองค์หล่อ" และมีพระมเหสีพระนามว่า "เจ้าชมพู"ซึ่งกำลังตั้งพระครรภ์แก่ใกล้คลอด เจ้ามหาชีวิตก็สิ้นพระชนม์ลง จึงทำให้เกิด "กบฎล้านช้าง" มีการแย่งชิงสมบัติ บ้านเมืองมีการจราจลเกิดขึ้นจนในที่สุด "พระยาแสง"หรือ "พระเจ้าสุริยวงศา"พระราชโอรสของ "พระเจ้าต่อนคำ" ได้ขึ้นครองราชสมบัติเป็น "เจ้ามหาชีวิตแห่งมหานครเวียงจันทน์ล้านช้าง" แต่หตุการณ์บ้านเมืองไม่ค่อยสงบนัก
"เจ้าชมพู" พระชายาและ "พระเจ้าองค์หล่อ"ราชโอรสได้หลบหนีไปพึ่งบุญญาบารมีของ"เจ้าราชครูโพนสะเม็ก"ไปพำนักที่เมืองแกวตาเปียก ส่วนพระชายา "เจ้าชมพู"ให้พาไปพำนักที่"ภูสะง้อหอคำ"หลังเวียงจันทน์ ครั้นพระชายา"เจ้าชมพู"ประสูติพระราชโอรสแล้ว "เจ้าราชครูโพนสะเม็ก"จึงขนานพระนามให้ว่า"เจ้าหน่อกษัตริย์"แล้วอัญเชิญไปประทับที่เมือง "โพพันลำงิ้วสมสนุก"พร้อมทั้งพระมารดา
ครั้นต่อมา พ.ศ.๒๒๓๓ "ท่านราชครู"ก็เป็นที่ระแวงของ"เจ้ามหาชีวิต"แห่งนครเวียงจันทน์เกี่ยวกับความมั่นคงของราชบัลลังก์ "ท่านราชครู"จึงออกอุบายให้คณะศิษย์ประมาณ ๓,๐๐๐ คน จากนครเวียงจันทน์ไปอัญเชิญ"เจ้าหน่อกษัตริย์"และพระมารดาออกเดินธุดงค์โดยทางเรือไปตามลำน้ำโขง มุ่งไปยัง"เมืองมรุกขนคร"เพื่อบูรณะองค์พระธาตุพนม
ท่านราชครูโพนสะเม็ก ได้บูรณะองค์พระธาตุพนมตั้งแต่ชั้นที่ ๒ ขึ้นไปจนถึงยอดพระธาตุ ท่านให้หล่อเหล็กเปียก เหล็กไหลขึ้นสวมยอดพร้อมด้วยฉัตรยอดองค์พระธาตุด้วย ทำให้องค์พระธาตุสง่างามและมั่นคงยิ่งขึ้น ท่านราชครูใช้เวลาบูรณะองค์พระธาตุพนมเป็นเวลา ๓ ปีและได้แบ่งครอบครัวชาวเวียงจันทน์ เพื่ออยู่เฝ้ารักษาองค์พระธาตุพนมจำนวนหนึ่ง ท่านกับญาติโยมอีกจำนวนหนึ่งออกเดินธุดงค์ปฎิบัติกัมฐานไปตามลำน้ำโขง สลับฝั่งโขงซ้ายและขวา ออกลำน้ำมูล ถึงแม่น้ำโขง ออกไปทลุเมืองบรรทายเพชร เมืองหลวงกัมพูชา ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น "พนมเป็ญ" คือตั้งชื่อตามพระธาตุเจดีย์ที่ท่านก่อไว้บนยอดเขาและบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ แล้วตั้งชื่อไว้ว่า "พระธาตนางเปม"
ท่านราชครูโพนสะเม็ก จะไปอยู่ที่ไหนท่านมักจะมีบริวารมาก เป็นคณะใหญ่คือสามารถตั้งเป็นชุมชนแน่นหนาได้ เพราะเหตุนี้เองท่านจึงเป็นที่ระแวงของกษัตริย์กัมพูชาในเวลานั้น ท่านจึงอพยพบริวารทวนขึ้นไปทางลำน้ำโขง แล้วตั้งชุมชนขึ้นที่ปลายเขตแดนเขมรตับดำ ทางการเขมรก็ตามไปจะเรียกเก็บภาษีชุมชน แต่ท่านไม่ยอมจ่ายให้ จึงอพยพบริวารกลับคืนสู่เขตล้านช้าง มาตั้งพักอยู่ที่เมือง "เซียงแตง" ตั้งวัดและชุมชนอยู่ปลายเขตแดน รวบรวมทองคำและเต้าปูนหล่อพระพุทธรูปองค์หนึ่งชื่อว่า "พระองค์แสน"ไว้เป็นที่ระลึก แล้วย้ายมาอยู่ที่ดอนโขงและนครจำปาศักดิ์ตามลำดับ...