vs12
|
|
« ตอบ #45 เมื่อ: 09 กรกฎาคม 2555, 20:39:09 » |
|
เสกปูนป้ายคอเป็นวิชาอย่างหนึ่งอยู่ในสายของวิชาคงกระพัน คือการเอาปูนที่กินกับหมาก มาเสกแล้วป้ายที่ลูกกระเดือกจะทำให้ร่างกายอยู่ยงคงกระพัน ผู้ที่ทำได้ขลังๆนั้นถึงกับเอาเคียวเกี่ยวข้าวมาเกี่ยวคอเล่น หนักเข้าถึงกับเคียวหักเลยทีเดียวหากท่านผู้ใดที่ได้เคยเรียนวิชานี้มา แล้วอยากทดลองว่าวิชาที่เรียนมานั้นใช้ได้หรือยัง ท่านมีเคล็ดลับโดยให้เอาปูนที่เสกนั้น มาป้ายลิ้นดู หากรู้สึกว่าปูนยังกัดลิ้นอยู่ยังใช้การไม่ได้ ให้เสกใหม่เสกไปจนกว่า ปูนนั้นเมื่อนำมาป้ายลิ้นแล้ว จะรู้สึกจืดสนิท ไม่กัดลิ้นเลย นั่นแหละใช้การได้แล้ว ร่างกายจะอยู่ยงคงกระพันทีเดียว เสกปูนคาดคอด้วย อิติมัตติยา มัตติภะเว ของหลวงปู่ศุข หรือ อุนุยัง เสกแล้วป้ายคอถ้าทำด้วยใจเชื่อแล้วก็จิตนิ่งไม่เข้าแนนอน เสกของกิน อาพัด เช่นหมาก เหล้า หรือที่เรียกว่า ข้าวเป็นต้นเช่น เสกหมากกินใช้การหัวใจ นิพพานจักกรีว่า อิ สะ วิ ระ มะ สา พุ เท วาเป็นต้น เสกเหล้าด้วยคาถา4เกลอว่า กะระมะถะ กิริมิถิ กุรุมุถุ เกเรเมเถนอกจากจะเหนียวแล้วถ้าเสกแค่3ประโยคแรกจะเมาช้า ถ้าเสก4 แถวแล้ววางไว้ให้คนอื่นในวงกินเป็นอันตีกัน ส่วนเสกข้าวใช้หัวใจปฏิสังขาโยว่า จิ ปิ เส คิ ว่ากันว่าเสือจำเรียง 5 นัด เคยใช้คาถาเสกปูนป้ายคอ
|
|
|
|
MaiUbon
|
|
« ตอบ #46 เมื่อ: 09 กรกฎาคม 2555, 22:37:08 » |
|
พระเครื่อง ที่มีองค์พระขนาดค่อนข้างใหญ่ ส่วนมากมักจะเรียกกันว่า พระหลวงพ่อโต และที่รู้จักกันดี ก็คือ พระหลวงพ่อโต กรุวัดบางกระทิง ต.หัวเวียง อ.เสนา จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นพระเนื้อดินเผา มีทั้งชนิดเนื้อละเอียดและเนื้อค่อนข้างหยาบ รวมทั้งมีพระเนื้อชินปะปนอยู่บ้าง แต่ไม่มากนัก
นอกจากกรุวัดบางกระทิงแล้ว พระหลวงพ่อโตยังพบตามกรุวัดต่างๆ ทั้งใน จ.พระนครศรีอยุธยา และจังหวัดใกล้เคียง รวมทั้งบางวัดในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นพระที่นำมาฝากกรุในภายหลัง
พระหลวงพ่อโต กรุวัดบางกระทิง เป็นพระที่มีจำนวนสร้างมาก คาดว่าน่าจะเท่ากับ พระธรรมขันธ์ คือ ๘๔,๐๐๐ องค์ หรือมากกว่านั้น ทำให้พบเห็นโดยทั่วไป ในส่วนพระเนื้อดิน นับเป็นเนื้อดินที่เป็นเอกลักษณ์ของเมืองอยุธยาโดยเฉพาะ ราคาเช่าหาไม่แพงนัก แต่ที่สวยคมชัดมากๆ อาจจะมีราคาที่สูงกว่าพระทั่วๆ ไป
พุทธศิลป์ เป็นฝีมือของช่างสมัยอยุธยา อายุกว่า ๔๐๐ ปี ชาวอยุธยารุ่นเก่าๆ เล่าว่า สมัยก่อนบริเวณวัดบางกระทิง มักพบพระหลวงพ่อโตตกหล่นอยู่ตามพื้นดินตามลานวัดโดยทั่วไป คนสมัยก่อนไม่นิยมนำพระเข้าบ้าน เมื่อนำพระมาใช้ติดตัวยามไปไหนมาไหน หรือนำออกสู้รบในสงครามเสร็จแล้ว ก็มักจะนำพระกลับมาเก็บไว้ที่วัดเหมือนเดิม
สำหรับการแตกกรุของ พระหลวงพ่อโต นั้น ก่อนหน้านี้ไม่ปรากฏหลักฐาน แต่ที่ทางวัดเปิดกรุอย่างเป็นการ คือในปี ๒๔๘๑ ขณะรื้อโบสถ์เก่าเพื่อสร้างใหม่ จึงได้พบพระหลวงพ่อโต บรรจุอยู่ใต้ฐานพระประธาน ทางวัดจึงได้นำพระส่วนหนึ่งออกมาแจกสมนาคุณแก่ชาวบ้าน ที่ร่วมทำบุญสร้างโบสถ์หลังใหม่ ส่วนพระที่เหลือได้นำบรรจุที่ฐานพระประธานในโบสถ์หลังใหม่
ในการพบกรุพระหลวงพ่อโต ครั้งนั้นได้พบ แม่พิมพ์ ของพระหลวงพ่อโตด้วย ต่อมาได้มีคนร้ายแอบขุดพระหลวงพ่อโต ที่ใต้ฐานพระประธานได้ไปจำนวนหนึ่ง พร้อมกับเอาแม่พิมพ์เก่าไปด้วย ทางวัดจึงได้เปิดกรุพระอย่างเป็นทางการอีกครั้งหนึ่ง เพื่อป้องกันมิให้คนร้ายแอบลักขุดขโมยพระได้อีก
การขุดกรุครั้งนี้ ได้พบ พระหลวงพ่อโต อีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งเป็นคนละส่วนกับที่ขุดได้ในครั้งก่อน ทางวัดได้ให้กรมศิลปากร ตรวจสอบ ปรากฏว่า พระหลวงพ่อโต ในส่วนนี้เป็นการสร้างขึ้นภายหลัง ในสมัยรัตนโกสินทร์ เนื่องจากเนื้อหามวลสารแตกต่างกัน และอายุความเก่าไม่ถึงสมัยอยุธยา ไม่เหมือนกับพระหลวงพ่อโตที่ขุดพบก่อนหน้านี้
พระหลวงพ่อโต มีสัณฐานเป็นรูปสามเหลี่ยม องค์พระประทับนั่งขัดสมาธิราบ บนฐานบัวคว่ำบัวหงาย มีทั้งปางสมาธิ และ ปางมารวิชัย องค์พระคมชัดนูนเด่น พระพักตร์ใหญ่ และมักปรากฏรายละเอียดต่างๆ บนพระพักตร์อย่างครบถ้วน รวมทั้งเส้นสังฆาฏิ ด้านหลังองค์พระ ส่วนใหญ่มีรอยปาด ที่เรียกกันว่า "รอยกาบหมาก"
พระหลวงพ่อโต กรุวัดบางกระทิง มีของปลอมมานานแล้ว ทั้งที่ถอดพิมพ์ หรือสร้างแม่พิมพ์ขึ้นมาใหม่ รวมทั้งส่วนหนึ่งที่คนร้ายได้ขโมยแม่พิมพ์เก่าไป ได้เอาไปกดพิมพ์พระกันใหม่ ก็เป็นอีกฝีมือหนึ่งที่คนร้ายได้ทำ พระปลอม วางขายกันมาโดยตลอด การพิจารณาจากพิมพ์ทรงองค์พระ จึงอาจจะมีปัญหา เพราะ พระปลอม ส่วนหนึ่งมักจะมีจุดตำหนิเหมือนกับ พระแท้ มาก สิ่งที่ต้องยึดเป็นหลักในการพิจารณา คือ เนื้อพระ ที่ไม่สามารถทำได้เหมือน โดยเฉพาะ ความเก่า ที่เกิดขึ้นมาตามธรรมชาติ ซึ่งย่อมแตกต่างกับ ความเก่าที่แปลกปลอม อันเกิดมาจากการเร่งทำปฏิกิริยาด้วยน้ำยาทางเคมี หรือการเผาไปที่เป็นไปอย่างเร่งรีบ
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาด้วยความละเอียดรอบคอบ ไม่ประมาท หรือถามผู้รู้ไว้ก่อน ก็ย่อมจะปลอดภัยจาก พระปลอม ได้ในระดับหนึ่ง
พระหลวงพ่อโต กรุวัดบางกระทิง เป็นพระที่ชายชาตรีสมัยก่อน หรือนักเลงโบราณ นิยมกันแขวนโชว์นอกเสื้อมานานแล้ว ด้วยความเชื่อมั่นในพุทธคุณ ที่เลื่องลือกันมานานแล้วว่า เป็นพระคงกระพันชาตรี มหาอุด ปืนผาหน้าไม้ทำอะไรไม่ได้เลย ขณะเดียวกัน คนสมัยใหม่ต่างยืนยันว่า ทางด้านเมตตามหานิยมก็เป็นเลิศ ที่สำคัญ คือ พระหลวงพ่อโต ที่เป็นของเก่า สร้างในสมัยอยุธยา เป็นพระเนื้อดินเผาที่ยึดเป็น เนื้อครู สำหรับการศึกษาพระเนื้อดินสมัยอยุธยาได้เป็นอย่างดี
|
|
|
|
vs12
|
|
« ตอบ #47 เมื่อ: 29 กันยายน 2555, 17:21:35 » |
|
พระหูยานลพบุรี สร้างเมื่อสมัยขอมยังเรืองอำนาจในแผ่นดิน ถ้าดูจากลักษณะของศิลปะพิมพ์เป็นพระที่สร้างอยู่ในยุคสมัยของขอมละโว้ อยู่ในราว 700 ปีเป็นอย่างต่ำ พระหูยาน เป็นพระพิมพ์เนื้อชิน ส่วนพุทธลักษณะเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ทรงประทับนั่งอยู่บนบัลลังก์ บัวเล็บช้าง แบบชั้นเดียวและสองชั้น (บัวคว่ำ-บัวหงาย) พระเกศเป็นรูปบัวตูม มีลักษณะพระพักตร์ที่ดูเคร่งขรึม พระพักตร์คว่ำแสดงถึงญาณอันแก่กล้า และมีลักษณะเคร่งเครียดอันเป็นเอกลักษณ์ของศิลปะขอม พระกรรณยาวจดพระอังสา จึงขนานนามว่า "พระหูยาน" และลักษณะของเนื้อพระนั้น จะเป็นเนื้อชินเงินที่ลงอาบปรอทเพื่อรักษาเนื้อของพระเอาไว้ แต่เพราะมีอายุการสร้างที่ยาวนาน ผิวปรอทก็จะค่อยๆจางไปจนเกือบจะหมด นักประวัติศาสตร์สันนิษฐานว่า ที่พระมาลาของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เวลาออกรบนั้น มีพระเครื่องตระกูลลพบุรี ประดิษฐานไว้ โดยรอบพระมาลามีพระหูยานลพบุรีกลัดติดไว้ "พระหูยาน ลพบุรี" ไม่ว่าจะกรุเก่า กรุใหม่ หรือกรุใดๆ ก็ล้วนเป็นเลิศด้วยพุทธคุณ ทั้งด้านคงกระพันชาตรีตามแบบฉบับของขอม และเมตตามหานิยมครบเครื่อง นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรผู้ล่วงลับ มีพระหูยานลพบุรี กรุวัดปืนไว้คู่กาย
|
mano, M30
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29 กันยายน 2555, 17:42:06 โดย vs12 »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
vs12
|
|
« ตอบ #48 เมื่อ: 18 มกราคม 2557, 12:30:57 » |
|
หลวงปู่หนู ฉินนกาโม วัดทุ่งแหลม ต.ป่าหวาย อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี เกิดเดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๘ มรณภาพเมื่อวันที่ ๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๒๙ สนใจวิชาทางไสยศาสตร์และเวทมนตร์คาถาพุทธาคม จึงไปเรียนวิชาการต่าง ๆ กับ หลวงพ่อหลาบ วัดเนินตอ อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี จนเชี่ยวชาญแล้วจึงไปเรียนกับ หลวงพ่อหลุง วัดทุ่งสมอ กระทั่งอายุครบบวชในปี พ.ศ. ๒๔๕๘ จึงทำการอุปสมบทที่ วัดใหม่เจริญผลโดยมี หลวงพ่อปลิว เป็นพระอุปัช ฌาย์แล้วไปจำพรรษาที่ สำนักสงฆ์วัดเขาคร้อ หนึ่งพรรษาจึงไปเรียนวิชา พุทธาคมและวิปัสสนากับ หลวงพ่อโหน่ง วัดคลองมะดัน จ.สุพรรณบุรี , หลวงพ่อจันทร์ วัดบ้านยาง, หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง จ.นครปฐม ซึ่งระหว่างเรียนวิชากับ หลวงพ่อแช่ม ได้พบกับศิษย์อีกคนหนึ่งของหลวงพ่อแช่มที่มาเรียนด้วยคือ หลวงพ่อเต๋ วัดสามง่าม จ.นครปฐม หลวงปู่หนูมรณภาพเมื่อวันที่ ๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๒๙ วัตถุมงคลที่สร้างชื่อเสียงให้กับหลวงปู่โด่งดังมากที่สุดจนรู้กันทั่วไป ทั้งแถบจังหวัดภาคตะวันตก จนได้รับฉายาว่า "เทพเจ้าแห่งภาคตะวันตก " สาเหตุเกิดจาก เมื่อปี พ.ศ.2524 ได้มีเด็ก นำเอาลูกระเบิดของพ่อที่เป็นอาสาสมัคร มาแกะเล่น และเกิดระเบิดขึ้น โดยที่เด็กได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ไม่เสียชีวิต เป็นเหรียญรุ่นที่ 7
|
tar
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
boom2013
|
|
« ตอบ #49 เมื่อ: 18 มกราคม 2557, 17:24:05 » |
|
ขอบคุณสำหรับข้อมูญดีๆครับผม
|
.
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Amuletism
|
|
« ตอบ #50 เมื่อ: 25 พฤศจิกายน 2557, 07:00:10 » |
|
สมาชิกใหม่ เข้ามาเจอโดยบังเอิญ ไว้จะขอเข้ามาแจมครับ
|
.
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
vs12
|
|
« ตอบ #51 เมื่อ: 13 มกราคม 2558, 20:15:35 » |
|
ฝ้ายเจ็ดสี หลวงตาพวง สุขินทริโยฝ้ายเจ็ดสีวัตถุมงคลของหลวงตาเป็นที่ศรัทธาและรู้จักของพุทธศาสนิกชนโดยทั่วไป มิใช่เพียงแต่ชาวยโสธรเท่านั้น ชื่อเสียงของฝ้ายเจ็ดสีขจรกระจายไปทั่วทุกสารทิศ มีญาติโยมหลั่งไหลมามิได้ขาด ความเป็นมาของฝ้าย 7 สี ชาวบ้านใน ต.สิงห์ อ.เมือง จ.ยโสธร ประกอบด้วยหมู่บ้านสิงห์ หมู่บ้านหนองขอน หมู่บ้านหนองเยอ หมู่บ้านนาสีนวล มีผีปอบ (หมายถึงบุคคลที่มีวิชาคาถาอาคม แต่ไม่ปฏิบัติตนอยู่ในศีลในธรรม แล้วเกิดร้อนวิชา) มารังควาน ชาวบ้านไม่มีที่พึ่ง จึงพากันมาหาหลวงตาพวง โดยชาวบ้านไปซื้อด้ายสายสิญจน์ จากตัวเมืองยโสธรเพื่อให้หลวงตาแผ่เมตตาให้ แล้วนำไปผูกข้อมือบ้าง ผูกคอบ้าง ผูกตามบ้านเรือนบ้าง ชาวบ้านชุดแรกๆ ที่ได้ไป ร่ำลือกันว่าสามารถป้องกันผีปอบได้ ต่อมาเมื่อข่าวแพร่สะพัดออกไปก็มีญาติโยมมาขอเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่นานนักชาวบ้านในตำบลสิงห์ เกือบทุกบ้านได้สายสิญจน์จากหลวงตาไป ผลที่สุดคนที่ถูกหาว่าเป็นปอบก็เสียชีวิต หลังจากนั้นมาก็ไม่มีผีปอบมารบกวนชาวบ้านอีกเลย เมื่อข่าวสะพัดออกไปอีก ชาวบ้านหมู่บ้านและตำบลอื่นๆ ก็เริ่มหลั่งไหลมาขอฝ้ายเจ็ดสีกันมิได้ขาด บางคนก็ขอให้ผูกข้อมือให้ ซึ่งการผูกข้อมือแต่ละคนต้องเสียเวลามาก ถ้าหากมีญาติมาพร้อมกันมากๆ ก็ยิ่งเสียเวลานาน เพราะหากคนหนึ่งได้รับการผูกข้อมือจากหลวงตาแล้ว คนอื่นๆ ก็อยากได้บ้าง ด้วยเหตุนี้ลูกศิษย์ของท่านจึงเห็นว่าการผูกด้ายสายสิญจน์เสียเวลานาน จึงได้นำเชือกไนลอนที่มีเจ็ดสีมาถวาย เพราะไนลอนเจ็ดสีนั้นสามารถทำเป็นวงๆ สำเร็จรูปไว้ก่อน เมื่อญาติโยมมาขอก็แจกได้เลยโดยไม่เสียเวลา สาเหตุสำคัญอีกประการหนึ่งที่ทำให้ฝ้ายเจ็ดสีเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปก็ เพราะเหตุว่ามีชาวบ้านคนหนึ่งป่วยหนัก เป็นมะเร็งในระยะสุดท้าย ใกล้จะเสียชีวิตเต็มที ญาติได้มาขอฝ้ายเจ็ดสีจากหลวงตาไปผูกข้อมือเพื่อเป็นสิริมงคล แต่หลังจากนั้นอีก 3-4 วันคนป่วยคนนั้นก็เสียชีวิต ญาติจึงได้นำศพไปบำเพ็ญกุศล และนำไปเผา ปรากฏว่าศพไม่ไหม้ แม้ว่าจะใช้เวลาเผานานพอสมควรโดยใช้ถ่านถึงสองกระสอบแล้ว ศพก็เพียงแต่ดำเป็นตอตะโก ญาติของผู้ตายไม่ทราบจะทำอย่างไร นึกได้ว่าก่อนเผา ลืมถอดฝ้ายเจ็ดสีจากข้อมือศพ จึงได้มานิมนต์ หลวงตาพวงไปเผา หลวงตาก็รับนิมนต์ไปเผาให้ และให้นำถ่านมาอีกหนึ่งกระสอบ หลวงตาบอกว่า ?ถ้าเผาไม่ไหม้เมื่อถ่านหมดกระสอบนี้แล้ว ก็ให้นำศพไปลอยแม่น้ำชีให้ปลากิน? แต่ทว่าในที่สุดศพก็ไหม้เป็นที่เรียบร้อย ญาติของผู้ตายเลยนำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไปเขียนลงในหนังสือพิมพ์ ว่าฝ้ายเจ็ดสีของหลวงตาพวงยิงไม่เข้า เผาไม่ไหม้ เมื่อข่าวแพร่กระจายออกไปก็มีญาติโยมมาขอฝ้ายเจ็ดสีมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งไม่มีปัจจัยเพียงพอในการซื้อฝ้ายเจ็ดสีมาแจก ในที่สุดบรรดาลูกศิษย์จึงต้องขออนุญาตหลวงตานำฝ้ายเจ็ดสีไปจำหน่ายเพราะต้อง การทุนมาทำต่อไปให้เกิดการหมุนเวียน จวบจนปัจจุบันฝ้ายเจ็ดสีที่ได้แจกจ่ายไปมีเป็นจำนวนมากเทียบได้กับจำนวน บรรทุกของรถสิบล้อ 2-3 คัน นอกจากนี้ยังมีเหตุการณ์อื่นๆ อีกเป็นจำนวนมากที่ผู้ได้รับฝ้ายเจ็ดสีประสบด้วยตนเองจนร่ำลือต่อๆ กันไปแต่มิได้บันทึกไว้ ณ ที่นี้
|
.
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13 มกราคม 2558, 20:17:13 โดย vs12 »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
vs12
|
|
« ตอบ #52 เมื่อ: 13 มกราคม 2558, 20:19:14 » |
|
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นประมาณ เดือนพฤษภาคม พ.ศ.2540 นายเดนนิส แมสเจอร์แมน และนายอีวาน เดลเลี่ยน นักข่าวสารคดี บริษัทคาสตาร์โปรดักชั่น ประเทศเบลเยี่ยม ซึ่งเดินทางมาถ่ายทำสารคดีงานประเพณีบุญบั้งไฟ ที่ จ.ยโสธร ได้ตระเวนไปในพื้นที่ต่างๆ ของจังหวัด ในระหว่างการถ่ายทำงานบุญบั้งไฟ ที่บ้านไผ่ อ.ทรายมูล จ.ยโสธร ระหว่างนั้นเองบั้งไฟเกิดแตก ซึ้งทั้ง 2 คนอยู่ใกล้เหตุการณ์มากที่สุด แต่ไม่ได้ รับอันตรายแต่อย่างใด ต่อมา ระหว่างไปบันทึกภาพการจุดบั้งไฟของช่างมือหนึ่ง จ. ยโสธร ที่สวนพญาแถน อ.เมืองยโสธร ก็ได้เกิดเหตุบั้งไฟระเบิด แต่ทั้งคู่ก็ไม่ได้รับบาดเจ็บ เหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้ นายเดนนิส แมสเจอร์แมน และนายอีวาน เดลเลี่ยน เชื่อว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง ต่อมานึกขึ้นได้ว่ามีฝ้าย 7 สี ผูกข้อมือ ซึ่งนายบรรจบ สุวรรณราช ช่างบั้งไฟมอบให้ เมื่อสอบถามเรื่องฝ้าย 7 สีจึงรู้ว่าเป็นของหลวงตาพวง สุขินทริโย เจ้าอาวาสวัดศรีธรรมาราม เจ้าคณะจังหวัดยโสธร (ธ) จึงเดินทางไปกราบและท่านได้เมตตารดน้ำมนต์ พร้อมมอบฝ้าย 7 สี ให้อีกคนละ 1 เส้น
|
.
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|