พระครูวิจิตรธรรมาจารย์ (ประสาร อรหปัจจโย) ศิษฐ์หลวงพ่ออ้วน และหลวงปู่หมุน ?>
ชมรมอนุรักษ์พุทธศิลป์แห่งภาคอีสาน
The Buddhist Art Conservation Club Of Esan (North Eastern Part Of Thailand)
11 พฤษภาคม 2567, 16:19:48 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  

กติกาในการ เช่า-แลกเปลี่ยนพระเครื่อง | พระเครื่องเมืองอุบลราชธานี | แจ้งปัญหาการใช้งาน
แจ้งเรื่องการยืนยันตัวตนสำหรับผู้ที่จะให้เช่าพระเครื่องฯ | วิธีสมัครสมาชิกเว็บ

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: พระครูวิจิตรธรรมาจารย์ (ประสาร อรหปัจจโย) ศิษฐ์หลวงพ่ออ้วน และหลวงปู่หมุน  (อ่าน 5199 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
konlathai
Full Member
***

พลังน้ำใจ : 57
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 77

Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com Level 7 : Exp 9%
HP: 0%



ดูรายละเอียด อีเมล์
« เมื่อ: 30 กรกฎาคม 2555, 15:57:48 »

                       
                         พระครูวิจิตรธรรมาจารย์  (ประสาร  อรหปัจจโย)
ชาติกำเนิด
          พระครูวิจิตธรรมาจารย์  เกิดเมื่อวันอาทิตย์ที่  10  มีนาคม  พ.ศ. 2471
           ที่บ้านโนนผึ้ง  ตำบลโนนสัง   อำเภอกันทรารมย์  จังหวัดศรีสะเกษ  เป็นบุตรของคุณพ่อใหญ่   คุณแม่พุก    พลชัย  มีพี่น้องร่วมบิดามารดา   9  คน  หลวงพ่อเป็นบุตรคนที่ 7       ชื่อเดิมของหลวงพ่อคือพระประสาร  พลชัย  จึงเป็นที่รู้จักในนาม  อาจารย์ประสาร  หรืออาจารย์สาร  สนใจศึกษาวิทยาคมมาตั้งแต่สมัยยังเด็กครองเพศฆราวาส  ชอบติดตามหลวงตาที่วัดโนนผึ้งไปธุดงค์ตามป่าเขาลำเนาไพรซึ่งไม่ไกลจากเขตอำเภอกันทรารมย์ , กันทราลักษณ์ , เดชอุดม , ภูสิงห์ ในละแวกนั้นเมื่อก่อนมีแต่ป่ารกทึบ  ฝึกฝนวิชาที่ได้เรียนรู้จากท่าน  จวบจนอายุใกล้บวชหลวงตาได้แวะที่วัดโนนค้อ  และได้ฝากหลวงปู่ประสารให้กับหลวงปู่อ้วน  วัดโนนค้อ  ต่อมาหลวงปู่ประสารได้มีโอกาสไปเรียนวิชากับหลวงปู่อ้วนบ้าง  แต่พอถึงฤดูทำนาก็ต้องกลับบ้าน จนเมื่ออายุครบบวชก็ได้อุปสมบทที่วัดโนนผึ้ง
ประวัติด้านการศึกษาและเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์

           เมื่อเรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4  หลวงปู่ท่านก็ได้ช่วยพ่อแม่ทำนา  อยู่ประมาณ 2 ปี พวกพี่ๆพากันบวชหมดทุกคน  หลวงปู่ท่านจึงคิดที่จะบวชบ้าง  แต่หลวงปู่ท่านพูดเป็นธรรมนองว่า  ถ้าได้บวชแล้วจะไม่ขอลาสิกขา   ทางคุณพ่อคุณแม่จึงได้ให้หลวงปู่บรรพชาเป็นสามเณร  เมื่ออายุย่างเข้า 17 ปี  ในวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2488  ณ  วัดบ้านดูน  อำเภอกันทรารมย์  จังหวัดศรีสะเกษ
โดยมีพระปลัดแสง    กิตฺติญาโน  เป็นพระอุปัชฌาย์   ในระหว่างเป็นสามเณรหลวงปู่ท่านได้เล่าเรียนศึกษาความรู้จากสำนักเรียน   หลวงปู่ท่านเป็นคนเรียนเก่งและมีความจำที่ดีมากๆ  และเป็นที่รักใคร่ของครูอาจารย์  และต่อมาเมื่อหลวงปู่อายุครบ 20 ปีจึงได้ขออาจารย์อุปสมบท ในวัน  ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2491  ที่วัดโนนผึ้ง  ตำบลโนนสัง อำเภอกันทรารมย์  จังหวัดศรีสะเกษ  โดยมีพระปลัดแสง  กิตฺติญาโน  เป็นพระอุปัชฌาย์   พระอธิการอ้วน   โสภโน  เป็นพระกรรมวาจารย์ พระอธิการทา  โกวิโท   เป็นพระอนุสาวนาจารย์   และมีฉายาว่า  พระประสาร   อรหปจฺจโย และเมื่อบวชเป็นพระแล้วหลวงปู่ท่านได้ศึกษาด้านเวชศาสตร์ และไสยศาสตร์ จากหลวงปู่อ้วนจนจบหลักสูตร  และหลวงปู่ท่านได้ศึกษาต่ออีกกับหลวงปู่มุม  ที่วัดประสาทเยอ อำเภอไพรบึง  และยังไม่พอเท่านั้นหลวงปู่ท่านยังได้ ไปฝากตัวเป็นศิษย์ หลวงปู่ฝาง  ที่อำเภอ ปัญจาคีรี   จังหวัดขอนแก่น  ได้ศึกษาวิปัสสนากรรมฐาน  บำเพ็ญเพียรจนช่ำชอง    ต่อมาหลวงปู่ประสารมีโอกาสเข้าเมืองหลวง  โดยจำพรรษาที่วัดหงส์รัตนาราม  บางกอกใหญ่  และได้มีโอกาสศึกษาวิชากับอาจารย์หลายรูปในย่านฝั่งธนบุรี  และ  กทม.  อยู่ที่วัดหงส์รัตนาราม  ๓-๔ ปี  จึงกลับวัดโนนผึ้ง  เพราะต้องช่วยงานก่อสร้างเสนาสนะต่างๆภายในวัด  และยังไปช่วยงานที่วัดบ้านโนนค้ออีกด้วย  ช่วงที่หลวงปู่ดำเนินการก่อสร้างและบูรณะวัดนั้น  ถึงช่วงจากการว่างเว้นการดูแลการก่อสร้าง  ท่านจะเข้าไปในป่าซึ่งไม่ไกลจากวัดท่านเพื่อหาว่านต่างๆ ตามที่ท่านมีความรู้ซึ่งได้เคยศึกษามาจากบรรดาครูบาอาจารย์ของท่าน  ครั้งหนึ่งหลวงปู่เดินเข้าไปเจอบริเวณลานดินกว้างมองเห็นเป็นเนินดินสูง  มีต้นไม้ปกคลุม  พอดีมีชาวบ้านจำนวนหนึ่งเข้ามาหาของป่า  อาสาถางต้นไม้และทำที่พักถวาย  เพื่อเป็นสถานที่ปักกลดของหลวงปู่  ถึงยามกลางคืนเงียบสงบหลวงปู่เริ่มนั่งสมาธิสลับกับการเดินจงกรม  ซึ่งคืนแรกนั้นไม่มีอะไรผิดปกติ  แต่มีบางอย่างบอกกับหลวงปู่ว่า  สถานที่ที่ท่านใช้ปฏิบัติกรรมฐานอยู่นั้น  มีอะไรพิเศษอยู่แน่นอน  พอคืนที่สองท่านก็ได้ล่วงรู้ถึงสิ่งที่มาสะกิดใจท่าน  นั่นก็คือท่านได้พบดวงไฟสว่างลอยจ้าขึ้นมาจากพื้นดินแล้ววนอยู่ใกล้ๆที่พัก  สิ่งนั้นมองเห็นได้ด้วยสายตา  ไม่ใช่เกิดจากนิมิต  พอรุ่งเช้าชาวบ้านกลุ่มเดิมที่เคยมาจัดสถานที่ให้ท่านได้แวะมาหาท่าน  หลวงปู่ไม่ได้เล่าอะไรให้พวกเขาเหล่านั้นฟัง  แต่ท่านตั้งข้อสงสัยว่าชาวบ้านสามถึงสี่คนนี้จะต้องเข้ามาหาอะไรสักอย่างนอกเหนือจากหาของป่าทั่วไป ถึงคืนที่สามหลวงปู่ก็ได้พบเหตุการณ์เหมือนเดิมอีก  คืนนี้ดวงไฟเปล่งประกายสีเหลืองสดใสมาก  เมื่อมีเหตุชวนสงสัยว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร  ท่านจึงตั้งจิตอธิฐานว่า ?ใต้พื้นแผ่นดินแห่งนี้ถ้ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ขอจงได้ปรากฏให้ทราบด้วยเถิด
 
        จากนั้นท่านหลับตาทำสมาธิ  จนในที่สุดจึงรู้ว่าใต้พื้นดินตรงนี้มีพระพุทธรูปอายุหลายร้อยปีฝังอยู่  เพื่อให้มั่นใจว่าสิ่งที่ปรากฏเป็นจริงหรือหลอก  จึงเข้าไปสำรวจบริเวณนั้นจึงได้รู้ว่า  บริเวณป่าที่ท่านนั่งสมาธินั้นเมื่อก่อนเคยเป็นวัด  หรือสถานที่สำคัญทางพุทธศาสนามาก่อน  เพราะมีสิ่งก่อสร้างที่ถูกทับถมอยู่ใต้พื้นดิน  พอขุดคุ้นดินลงไปก็เจออิฐก้อนใหญ่  ขุดตรงที่มีแสงสว่างลอยขึ้นมาพบว่าเป็นซุ้มครอบอะไรสักอย่าง และขุดกว้างจนพบพระพุทธรูปขนาดหน้าตักเกือบศอกองค์หนึ่ง  เป็นพระพุทธรูปสมัยเชียงแสนศิลปะลาว  เนื้อหินทราย  ท่านจึงได้อัญเชิญมาแล้วให้ช่างลงรักปิดทองตั้งไว้บูชาที่วัด  กล่าวกลับไปถึงการเก็บว่านของหลวงปู่  แต่ละชนิดต้องใช้เวลานาน  บางพื้นที่มีสองสามชนิดบางพื้นที่มีชนิดเดียว  บางชนิดเคยเห็นผ่านตา แต่พอจะไปเก็บกลับหาไม่เจอ  ดังนั้นพระเครื่องของท่านที่เป็นเนื้อว่านท่านจะทำเองเป็นส่วนใหญ่  ตั้งแต่การเก็บว่านจนถึงการกดพิมพ์  และวัตถุมงคลอีกชนิดที่โดดเด่นของท่านคือตะกรุดโทน  ตะกรุดโทนของท่านทำจากแผ่นทองแดง  ท่านทำชนิดที่คาดเอว ห้อยคอได้  หลวงปู่บอกว่าที่ลงนั้นเราลงอะไรก็ได้ที่เรียนมา  สำคัญอยู่ที่จิตทั้งสิ้น  จะลงมากตัวหรือน้อยตัว  ถ้าลงมากสมาธิไม่ดีพอ จิตไม่แก่กล้า ก็ไม่ขลังอะไรเลย  ของท่านที่ลงส่วนมากเป็นหัวใจธาตุทั้งสี่เป็นปฐม  สาเหตุที่ตะกรุดหลวงปู่ประสานเป็นที่รู้จักในหมู่ทหาร  ตำรวจ  ก็เนื่องจากตะกรุดอันลือลั่นของหลวงปู่พั่ว  วัดบ้านนาเจริญ  จังหวัดอุบลราชธานี  ทหาร ตำรวจ มีศรัทธามาก  พากันไปกราบขอตะกรุดจากหลวงปู่จนทำให้ไม่ทันแจก  จึงได้บอกกับบรรดาศิษย์ว่าที่นำมาแจกนั้นบางส่วนหลวงปู่ได้นำแผ่นโลหะไปให้หลวงพ่อประสาร  วัดบ้านโนนผึ้ง  จารอักขระคาถาให้  หลวงปู่ประสารบอกว่า ?ของฉันห้ามลอง ให้ใจมั่นอย่างเดียวจะช่วยให้แคล้วคลาดอันตราย  ถึงคราวสู้ต้องสู้  ถึงคราวหนีต้องหนี  ยามหนีไม่ต้องกลัวภัยและอย่าด่าเป็นอันขาด  รับรองได้เลยว่าปลอดภัยแน่ๆ

        มีประวัติบางตอนของหลวงปู่ประสารที่เกี่ยวเนื่องกับหลวงปู่หมุน  วัดบ้านจาน  ต้องขอความอนุเคราะห์จากสมาชิกท่านที่มีข้อมูลช่วยกันเล่าต่อด้วยครับ  ปัจจุบันหลวงปู่ประสาร  อรหปัจจโย  วัดบ้านโนนผึ้ง  ได้ถึงแก่มรณภาพแล้ว  และได้มีการพระราชทานเพลิงศพแบบโบราณอีสาน (นกหัสดีลิงค์) แล้วเมื่อปีที่ผ่านมา

บันทึกการเข้า
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.19 | SMF © 2006-2009, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!