คนศรีเกษ
|
|
« ตอบ #30 เมื่อ: 30 สิงหาคม 2557, 11:04:52 » |
|
วันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาได้มีโอกาสแวะไปวัดไปหาพระอาจารย์ที่เป็นคนพาผมไปพบและรู้จักกับปู่หมอธรรมเฮือง ไม่ได้เจอกันนานเพราะผู้เขียนติดภาระหน้าที่การงานเมื่อพบกันจึงได้คุยถึงเรื่องเก่า ๆ เกี่ยวกับปู่เสียยืดยาว ผู้เขียนสอบถามถึงเรื่องเหรียญ ธรรมเฮือง พระอาจารย์บอกว่าไม่ทราบว่า ใครเป็นคนสร้าง ปีที่สร้าง และ มีจำนวนเท่าไร เท่าที่ทราบ เหรียญที่สร้างมี 2 แบบ คือ เหรียญทองแดงรมดำ กับเหรียญเงิน (มีจำนวนน้อย) ส่วนการปลุกเสกนั้น ปู่หมอธรรมเฮือง เป็นคนปลุกเสกเดี่ยวเอง เสร็จแล้วปู่ก็เป็นคนแจกให้กับคนที่มาพบปู่ที่บ้านของปู่นั่นแหละ ส่วนการทำบุญก็แล้วแต่ศรัทธา พระอาจารย์ก็ได้มา 1 เหรียญ เป็นเหรียญเงิน ทำบุญไปเท่าไรจำไม่ได้ น่าเสียดายที่พระอาจารย์ยังค้นหาเหรียญไม่เจอ แต่คิดว่าไม่น่าจะหาย กำลังพยายามค้นหาอยู่ จึงไม่สามารถถ่ายภาพเหรียญมาโชว์ได้ ส่วนเหรียญที่มีรอยเหล็กจารนั้นมีจริง แต่ปู่ไม่ได้จารทั้งหมดทุกเหรียญ เหรียญที่ลงเหล็กจารนั้นมีจำนวนน้อย หายาก และมีราคาเช่าหาแลกเปลี่ยนสูงกว่าเหรียญที่ไม่ได้ลงเหล็กจาร ส่วนอักขระที่ลงนั้นพระอาจารย์บอกว่า น่าจะเป็นอักษรธรรมอีสาน แต่ไม่ทราบว่าเป็นตัวอะไรบ้าง เพราะวิธีการลงเหล็กจารของปู่นั้น จะเป็นแบบง่าย ๆ กล่าวคือ ปู่จะเอาเหรียญหรือแผ่นทองแดง(กรณีจารตะกรุด) วางบนฝ่ามือซ้ายพาดไว้ที่เข่าซ้ายโดยใช้เข่าเป็นที่รอง จับเหล็กจารด้วยมือขวา กดเหล็กจารลงไปบนวัตถุแล้วสงบนิ่ง เข้าสมาธินั่งธรรม ลากอักขระที่ลงไปเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นเส้นตรงบ้าง โค้งบ้าง หักมุมบ้าง ไขว้กันไปมาจนครบสูตรแล้วก็เสร็จ พระอาจารย์ได้เอาแผ่นทองแดงแผ่นหนึ่งที่ปู่จารให้แต่ไม่ได้ม้วนทำเป็นตะกรุด เนื่องจากเอาไว้บูชาใต้พรหมหน้ารถ ก็ปรากฏรอยจารอย่างที่เห็นในภาพ ทำให้ผู้เขียนนึกถึงวิชาที่ปู่เรียน คือ วิชาดวงธรรมบรรลุ ซึ่งเมื่อปู่เรียนสำเร็จแล้วก็คงจะทำการฝึกฝนจนชำนาญ ดวงธรรมซึ่งบรรลุแล้วก็คงจะพัฒนาแตกแขนงก้าวหน้าออกไปเรื่อย ๆ จนสามารถรู้แจ้งแทงตลอดแห่งดวงธรรม จนถึงขั้นเกิดฌานหยั่งรู้หรือเกิดปัญญาขึ้นมาเอง การลากเส้นยันต์แต่ละเส้นแม้ว่าจะอ่านไม่เป็นตัว เมื่อบรรลุแล้วย่อมมีความหมาย ความศักสิทธิ์ ตามที่ปู่อยากให้เป็นแน่นอนครับ เชิญชม รอยเหล็กจารที่ปู่ลงบนแผ่นทองแดงและเหรียญครับ
|
.
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31 สิงหาคม 2557, 06:18:36 โดย คนศรีเกษ »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
คนศรีเกษ
|
|
« ตอบ #31 เมื่อ: 07 กันยายน 2557, 10:03:39 » |
|
ตอนไปดูเขายิงผีปอบ สืบเนื่องจากหัวข้อที่แล้ว ผู้เขียนได้ไปพบพระอาจารย์และก็ได้คุยกันหลายเรื่ิองตามที่กล่าวมาแล้ว ผู้เขียนก็ได้สอบถามพระอาจารย์ว่า แรกเริ่มรู้จักปู่ธรรมเฮืองได้อย่างไร และ ด้วยเหตุผลอย่างไรจึงได้นับถือศรัทธาปู่จนถึงขั้นเรียกว่าเป็นอาจารย์ของท่าน ทั้งที่ปู่เป็นฆราวาสและพระอาจารย์ก็เป็นพระสงฆ์ระดับเกจิอาจารย์ของเมืองศรีสะเกษ อีกทั้งพระอาจารย์ก็มีคนนับถือมากอยู่แล้ว แต่อาจารย์บอกว่า เพราะว่า เห็นปู่ธรรมเฮืองปราบผีปอบโดยวิธีให้ลูกศิษย์ไปยิงผีปอบแบบ จะะจะ ด้วยตามาแล้วนั่นเอง โปรดติดตามตอนต่อไป
|
บ่หัวซาผีบ้าเดินดิน
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07 กันยายน 2557, 10:12:32 โดย คนศรีเกษ »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
คนศรีเกษ
|
|
« ตอบ #32 เมื่อ: 11 กันยายน 2557, 21:49:34 » |
|
พระอาจารย์เล่าว่า เนื่องจากคุณพ่อของท่านเป็นหมอธรรมเหมือนกับปู่หมอธรรมเฮือง แต่เป็นหมอสู่ขวัญ เน้นสู่ขวัญให้คู่บ่าวสาวแต่งงานใหม่ ขึ้นบ้านใหม่ และเป็นหมอทำพิธีสะเดาะห์เคราะห์ แก้ดวง แก้เคล็ด และเป็นหมอดูทำนายโชคขะตาราศรี นอกจากนั้นก็เรียนวิชาไสยศาสตร์และเวทมนต์คาถาอาคมมาพอสมควรแต่เน้นไว้ป้องกันตัวเองให้แคล้วคลาดปลอดภัย เมื่อพระอาจารย์บวชเป็นพระก็ได้เรียนวิชาต่าง ๆ จากพ่อจนจบ เมื่อจบแล้วพ่อของท่านแนะนำให้ไปหาปู่หมอธรรมเฮือง แห่งบ้านหนองเหล่า ตำบลหนองเหล่า อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี เพราะสมัยนั้นผู้คนเล่าลือกันมากว่า ปู่หมอธรรมเฮืองเก่งทางด้านไสยศาสตร์และเวทมนต์คาถาอาคม พระอาจารย์จึงอยากจะรู้จักเผื่อจะได้ศึกษาเล่าเรียนวิชาเพิ่มเติมจากที่เรียนกับพ่อของท่านจนจบแล้ว จึงได้เดินทางไปพบปู่กับพระที่เป็นเพื่อนอีก 2 รูป วันนั้นท่านจำได้ว่าประมาณปี พ.ศ. 2516 - 2517 ประมาณนั้น เพราะช่วงนั้น จังหวัดยโสธร เพิ่งตั้งใหม่ ๆ โดยแยกตัวออกมาจากจังหวัดอุบลราชธานี เมื่อไปถึงก็ประหลาดใจมากที่เห็นผู้คนมากมายมาพบปู่ มีทั้งพระสงฆ์ และ ฆราวาส นั่ง ๆ นอน ๆ รอพบปู่อยู่ใต้ร่มไม้ก็มี ยังไม่ทันได้ทำอะไร ก็ปรากฎว่า มีรถยนต์ 6 ล้อ วิ่งเข้ามาจอดบริเวณหน้าบ้านปู่ มองขึ้นไปบนกระบะรถ เห็นมีชายฉกรรจ์ 5 - 6 คน นั่งล้อมวงจับผู้หญิงวัยกลางคน ผิวขาว รูปร่างสันทัด หน้าตาจัดว่าสวยพอดู อายุประมาณ 40 ปีเศษ ไว้ไม่ให้ดิ้นลงจากรถ สอบถามได้ความว่าผู้หญิงคนนี้ ถูกผีปอบเข้า ญาติพี่น้องคุมตัวมาให้ปู่ไล่ผีปอบออกจากตัว เมื่อมาถึงก็จะคุมตัวลงจากรถ แต่ผีปอบที่อยู่ในตัวไม่ยอมลง ผีปอบตัวนี้แก่กล้ามาก ได้แสดงฤทธิ์เดชให้เห็นโดยชายฉกรรจ์ 5 - 6 คน ไม่สามารถควบคุมตัวให้ลงจากรถยนต์ได้ แม่นางไม่รู้เอาเรี่ยวแรงมาจากไหน ใครเข้าไปจะจับตัวก็สะบัดหลุดหมด จนทุกคนอ่อนใจ พากันลงมานั่งอยู่ข้างรถ บางส่วนก็เข้าไปข้างในบ้านบอกปู่ว่า พาคนมาให้ปู่ไล่ผีปอบออกจากตัว แต่ผีปอบไม่ยอมลงจากรถ ปู่รับทราบแต่นั่งเฉยไม่สนใจปอบ ส่วนข้างนอกบนรถ ผีปอบที่เข้าสิงก็ออกลายหมอลำขึ้นมาทันที ลำเป็นกลอนกล่าวพรรณาไปเรื่อยอย่างไม่สะทกสะท้านกับสายตาคนหมู่ใหญ่ที่มามุงดู สอบถามได้ความว่า ผู้หญิงคนนี้เป็นนางทรง มีสำนักทรงอยู่ที่อำเภอคำเขื่อนแก้ว เป็นคนทรงผีฟ้า โดยตั้งเป็นสำนักทรงเพื่อรักษาคนป่วย โดยเชิญผีฟ้ามาเข้าทรง ทำมาหลายปี มีคนพาผู้ป่วยมารักษากันมากและได้ผล ทำให้มีฐานะดีขึ้นทันตาเห็น แต่ต่อมาน่าจะเกิดไปกระทำผิดข้อห้ามหรือข้อขะลำอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็เลยกลายเป็นปอบ เรียกกันว่าปอบผีฟ้า ญาติพี่น้องก็เลยคุมตัวมาให้ปู่ไล่ออก
|
บ่หัวซาผีบ้าเดินดิน
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11 กันยายน 2557, 22:03:12 โดย คนศรีเกษ »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
คนศรีเกษ
|
|
« ตอบ #33 เมื่อ: 12 กันยายน 2557, 19:57:22 » |
|
ก่อนที่จะไปถึงเรื่อง ปู่หมอธรรมเฮือง ไล่ปอบ และ ให้ทีมลูกศิษย์ไปยิงปอบ ผู้เขียนได้ไปค้นคว้าเรื่อง ผีฟ้า มาให้เพื่อน ๆ รู้จักเพื่อเป็นการปูทางเสียก่อน โดยไปค้นพบ ข้อเขียนของ ครูสุธะนะ พามนตรี (ครูตี๋ ครูไทยเลย) ที่เขียนไว้ใน GotoKnow ในหัวข้อ " ผีฟ้าเอย ........." ก็เลยคัดลอกมาให้เพื่อน ๆ ได้อ่านเพื่อเป็นการปูทางเผี่อว่าเพื่อนบางคนอาจจะยังไม่เคยรู้จัก หรือรู้แต่เพียงผิวเผินจาการฟังเขาเล่าต่อ ๆ กันมา ผมขอขอบคุณ ครูสุธะนะ ไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยนะครับ "ผีฟ้าเอย............" หากกล่าวว่า ผี คือ สิ่งเลวร้าย วิญญาณคนตาย หรือตัวแทนความน่ากลัวต่างๆบนโลกใบนี้ ก็คงจะไม่ใช่ความหมาย ของ ผีฟ้า ผู้ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นผู้วิเศษรักษาคนป่วยในแถบอีสานของประเทศไทย เพราะผีฟ้าที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้ เป็นคนอีสานธรรมดาที่ผ่านกระบวนการทางสังคม ทำให้เกิดสถานะใหม่ขึ้นมา เรียกกันว่า ผีฟ้า
ผีฟ้า คือ คำเรียก เทวดา ของชาวไทยในภาคเหนือ และภาคอีสาน เป็นการบูชาแบบพื้นบ้านที่มีการนับถือผีกันคนที่เป็นร่างทรงของผีฟ้าจะสืบทอดกันจากรุ่นสู่รุ่นในลูกๆ ที่เป็นผู้หญิง เมื่อมีคนที่เจ็บไข้ได้ป่วย ชาวบ้านมักนำมาให้ผีฟ้าเสี่ยงทาย และช่วยรักษา ผีฟ้าจึงเป็นประเพณีอีกอย่างหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อในเรื่องของไสยศาสตร์ และการทรงเจ้าเข้าผีของสังคมดั้งเดิมของคนไทย ผีฟ้า หรือ เรียกเต็มว่า หมอลำผีฟ้า (ลำคือการร้องเพลง) คือ บุคคลที่เปรียบได้เป็นผู้รักษา ทำหน้าที่รักษาผู้ป่วยในหมู่บ้านผ่านพิธีกรรมเฉพาะของผีฟ้า ทำให้ชุมชนเกิดความร่มเย็นเป็นสุข ผีฟ้า และ หมอลำผีฟ้า เป็นคำเรียกคนกลุ่มพื้นวัฒนธรรมล้านช้าง กลุ่มอีสาน และ กลุ่มลาว แต่ถ้าเป็นผู้ไทจะเรียกกันว่า ผีหมอ สำหรับคนพื้นบ้านอีสานจะเรียกว่า ผีฟ้าผีแถน เพราะคนอีสานเชื่อว่า แถน คือผู้สร้างสรรพสิ่ง ผู้สร้างสรรพชีวิต การเข้าสู่สถานการณ์เป็นผีฟ้า ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถจะเป็นผีฟ้าได้ อาจเรียกได้ว่าการเป็นผีฟ้าของใครก็ตามขึ้นอยู่กับความบังเอิญ หลังจากนั้น การประพฤติปฏิบัติตน และความสามารถเฉพาะตน จะทำให้ ผีฟ้า คนนั้นเป็นที่เคารพนับถือของคนในหมู่บ้าน การเข้าสู่สถานะของผีฟ้ามีอยู่หลายวิธี เช่น เกิดการเจ็บป่วยโดยไม่รู้สาเหตุ จนกระทั่งมี สัญญาณ มาบอกให้รับเป็นผีฟ้า หรืออาจจะมีคนมาบอกให้รับเป็นผีฟ้าแล้วจะหายจากโรคภัยไข้เจ็บ คำอธิบายนี้สอดคล้องกับความเชื่อในภาคกลางที่เกี่ยวข้องกับร่างทรงที่พบว่าเป็นอะไรต่างๆ นานาโดยไม่รู้สาเหตุ หรือ ผีฟ้าใหญ่ ซึ่งนิยมเรียกกันว่า แม่ครู หรือ แม่เมือง จะเป็นผู้คัดเลือก ซึ่งก็อาจใช้วิธีการคัดเลือกโดยผี หรือร่างทรง บางทีผีฟ้าก็สืบทอดผ่านลูกสาว ผ่านการกระบวนการขัดเกลาทางสังคมโดยระบบครอบครัว
ความสัมพันธ์ของผีฟ้าและคนในชุมชน ผู้ที่เป็นใหญ่ในผีฟ้าสำนักใดๆ หรือในชุมชนใดๆ จะเรียกกันว่า แม่ครู หรือ แม่เมือง สำหรับลูกศิษย์จะเรียกกันว่า ลูกคาย ลูกลม หรือ ลูกเทียน โดยคนที่มารับการรักษาจะถือว่าเป็นศิษย์ของผีฟ้า เมื่อเป็นลูกศิษย์แล้วจะต้องมาร่วม เลี้ยงข่วง ทุกปี ถ้าหากมาไม่ได้ ด้วยเหตุใดก็ตาม ลูกศิษย์คนนั้นจะต้องฝากเครื่องบูชา เช่น มะพร้าว ข้าวสาร น้ำตาล ไปให้แม่ครู หรือ แม่เมือง การกระทำเช่นนี้ถือได้ว่าเป็นความสัมพันธ์แบบเครือญาติ ในทาง มานุษยวิทยาเรียกว่า ญาติเทียม หรือ ญาติสมมติ
องค์ประกอบและคุณสมบัติของผีฟ้า ผีฟ้า มีขนบธรรมเนียมการปฏิบัติอย่างเป็นขั้นตอนและแบบแผน โดย ผีฟ้าจะต้องมีหิ้งบูชา ไว้สำหรับกล่าวบูชาเวลาจะไปรักษา หรือ เลี้ยงข่วง ที่หิ้งจะมี เครื่องคาย ซึ่งก็คือเงินที่ใส่ในขันเพื่อบูชาครู โดย เครื่องคายยังมีเครื่องประกอบหลายอย่าง คือ ดอกไม้ กับเทียน โดยจะใช้แบบ ขันห้า หรือ ขันแปด ( ดอกไม้ 5 คู่ เทียน 5 คู่ หรือ ดอกไม้ 8 คู่ เทียน 8 คู่ ) นอกจากนี้ยังมีเทียนขี้ผึ้งโดยใช้ฝ้ายผูกกับหลักหรือตะปู ขันน้ำหอม เทียนแผ่น และเทียนขี้ผึ้ง เครื่องแต่งกายของผีฟ้า ตามปกติแล้วก็จะแต่งตามสบาย แต่ถ้าเป็นกลุ่มชาติพันธุ์เฉพาะเช่นผู้ไท จะมีการแต่งตัวเป็นพิเศษและอลังการ ถือได้ว่าเป็นเครื่องแต่งกายในโอกาสพิเศษ ดนตรี จะใช้ แคนเก้า (แคน9คู่) ซึ่งเป็นแคนใหญ่สุด เสียงทุ้มกังวาน ถ้าเป็นผู้ไทจะใช้ปี่ ที่เรียกกันว่า ปี่โหรง (ปี่หลวง หรือ ปี่ใหญ่) ที่สำคัญ ผีฟ้า รวมถึงลูกศิษย์และญาติผู้ป่วย จะต้องปฏิบัติตาม ขะลำ (ข้อห้าม) ที่สำคัญคือ ห้ามกินอาหารและน้ำบนเรือนศพ ไม่กินสัตว์ที่ตายเอง ไม่กินอาหารเดนคน ห้ามเดินลอดใต้ถุนห้องน้ำ (อันนี้น่าจะเพิ่งเริ่มเพราะเรือนอีสานเก่าไม่มีห้องน้ำและห้องครัว) ห้ามเดินลอดไม้ค้ำเครือกล้วย ห้ามรอดราวตากผ้า ห้ามพูดคำหยาบ และ ห้ามเดินลอดเส้นหนังควายหนังวัว
ขั้นตอนการรักษาของผีฟ้าจะเริ่มจากการ รำเชิญผีฟ้าลง จากนั้นจึงรำส่อง (รำวินิจฉัยโรค) โดยส่องผ่านกระจก ซึ่งผีฟ้าจะบอกว่ามีผีอะไรมาทำผู้ป่วย หรือผู้ป่วย ไปทำอะไรมา ต่อมาถ้ารำส่องแล้วแล้วพบว่า ผีทำ คือผู้ป่วยได้ไปทำอะไรผิดไว้ ผีฟ้าจะทำการรักษาได้โดยใช้พิธี เสี่ยงไข่ ว่าจะหายหรือไม่ โดยการเสี่ยงไข่ให้ตั้งบนพื้น ก่อนที่จะทำการรักษาจะมีการรำเอิ้นขวัญ (เรียกขวัญ) ให้กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวของผู้ป่วย จากนั้นจึง รำปัว (รำรักษา) และ รำสั่งสอน ซึ่งก็คือ การรำอบรมสั่งสอนผู้ป่วยและญาติผู้ป่วยไปพร้อมๆกัน สุดท้ายคือ รำส่ง คือการรำส่งแถนกลับคืนฟ้า การรักษาตรงนี้จะมีบางช่วงตอนที่แม่เมือง จะถามคนป่วยว่า ?เจ้าจะเป็นอะไร? โดยมีความหมายคือ ?เจ้าจะเป็นตัวละครอะไร ในนิทานพื้นบ้านของชาวอีสาน? จากนั้นคนๆนี้จะถูกกำหนดให้เป็นตัวนี้ตลอดไป การกำหนดตัวละครนี้จะถูกนำมาใช้ในอีกครั้งใน พิธีเลี้ยงข่วง ซึ่ง ผู้ป่วยที่เคยถูกรักษานี้จะออกมาร่ายรำเป็นตัวละครนั้นอย่างสนุกสนาน การเลี้ยงข่วงผีฟ้าเป็นพิธีกรรมสำคัญอย่างหนึ่งของพวกผีฟ้า ลูกศิษย์ และผู้ป่วยที่เคยมารับการรักษากับผีฟ้า ตามตำนานกล่าวว่า จะเลี้ยงข่วง ในยามดอกไม้บาน โดยฤดูดอกไม้บานจะเริ่มตั้งแต่เดือน 3 ? 5 วิธีการเลี้ยงข่วงจะเลี้ยงที่ลานของแม่เมือง เมื่อถึงเวลาของงานเลี้ยงข่วง จะมีการส่งข่าวบอกต่อกัน คนอยู่ไกลมักจะมาก่อนเพื่อมาเตรียมเครื่องพิธี ซึ่งเครื่องสำคัญก็คือดอกจำปา ทำเป็นพวงมาลัยใส่หัวหรือคล้องคอ พอตกตอนบ่ายจะเริ่มพิธีการเลี้ยงข่วงซึ่งเป็นช่วงที่สนุกกันเต็มที่ เพราะลูกศิษย์ และผู้ป่วยที่ผีฟ้าเคยรักษาและถูกสมมติให้เป็นตัวละครจะออกมารำฟ้อน คนไหนรำเหนื่อยก็พัก คนไม่เหนื่อยก็รำไปฟ้อนไป มีความวุ่นวายขวักไขว่ ท่ามกลางเสียงดนตรีที่มาจาก แคน พิณ กลอง และฉาบ ที่ให้อารมณ์และความรู้สึกในเชิงวิงวอน ขอร้อง ต่อแถน ดังนั้นท่ามกลางความสนุกสนานของการเลี้ยงข่วงจึงมีอณูของความขลังศักดิ์สิทธิ์แทรกตัวลงในพิธีกรรมครั้งนี้ด้วย นอกจากนี้ลักษณะการรำจะเป็นการเอื้ออาทร มีการผูกข้อต่อแขน ทำให้เกิดการสัมผัสกันของข้อมือ เป็นการสื่อถึงความอาทรซึ่งกันและกันมีความรู้สึกไปถึงหัวใจ
หมอลำผีฟ้า จะเป็นผู้หญิงที่มีอายุหรือบางท้องถิ่นจะเป็นผู้หญิงสาว โดยเฉพาะที่จังหวัดเลย และจะต้องสืบเชื้อสายมาจาก กลุ่มหมอลำผีเท่านั้น แต่ที่จริงผีฟ้าสามารถสิงได้ทั้งหญิง ชาย และเด็ก โดยไม่จำกัดอายุ หมอแคน (หมอม้า) จะต้องเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ในการเป่าแคนมาเป็นอย่างดี เพราะในการประกอบพิธีจะต้องใช้เวลานาน จะต้องมีการเป่าอยู่ตลอดเวลา ส่วนผู้ป่วยนั้น จะต้องแต่งกายตามที่ได้กำหนดไว้ คือ มีผ้าไหมหรือผ้าขาวม้า พาดบ่า มีดอกมะละกอ ซึ่งตัดร้อยเป็นพวงทัดหู ผู้ป่วยนั้นสามารถที่จะฟ้อนรำกับหมอลำได้.. และสิ่งที่สำคัญอีกอย่าง คือ เครื่องคาย เป็นสิ่งที่อัญเชิญครูอาจารย์ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วมาช่วยเหลือ รักษาผู้ป่วย
ผีฟ้า หรือ ผีแถน นั้นชาวอีสานมีความเชื่อว่าเป็นเทวดามากกว่าเป็นผี ผีฟ้าจึงเป็นผีที่อยู่ระดับสูงกว่าผีชนิด อื่นๆ ส่วนแถนนั้น มีความเชื่อว่าเป็นคำเรียกรวมถึงเทวดา และแถนที่ใหญ่ที่สุดคือ "แถนหลวง" ซึ่งเชื่อว่าเป็นพระอินทร์ ผีฟ้าหรือผีแถนนั้นแต่ละพื้นที่มีการเรียกที่แตกต่างกันไป และมีความเชื่อว่า ผีฟ้า นั้นสามารถที่จะ ดับยุคเข็ญหรือทำลายล้างอุปสรรคทั้งปวงได้ และสามารถที่จะช่วยเหลือมนุษย์ที่เดือดร้อนได้ การที่มนุษย์เกิดการเจ็บป่วยนั้นเนื่องจากไปละเมิดต่อผี การละเมิดต่อบรรพบุรุษ การรักษาต้องมีการเชิญผีฟ้ามาสิงสถิตอยู่ในร่างของคนทรง เรียกว่า "ผีฟ้า นางเทียน" ในการลำผีฟ้าของชาวอีสานนั้นมีองค์ประกอบ ทั้งหมด 4 ส่วนคือ หมอลำผีฟ้า หมอแคน ผู้ป่วย และ เครื่องคาย
คุณค่าผีฟ้า
การที่ผีฟ้า มี ข้อขะลำ (ข้อห้าม) ที่สำคัญ เช่น ห้ามกินอาหารบนเรือนศพ ไม่กินสัตว์ที่ตายเอง ไม่กินอาหารเหลือเดนจากคน และไม่เดินลอดราวตากผ้าเป็นต้น เหล่านี้ ถือได้ว่า เป็นวิธีการหนึ่งในการควบคุมสังคม หรือพฤติกรรมของคน โดยอีกนัยก็คือ เตือนให้คนมีสติตลอดเวลานั่นเอง เพราะหากผีฟ้าคนใดเกิดทำผิดข้อขะลำ ก็จะกลาย เป็น "ปอบผีฟ้า" ซึ่งเป็นสถานะที่ต่ำต้อย และได้รับการดูถูกจากชาวบ้านในชุมชน และการปรับเปลี่ยนสถานะของคนมาเป็นผีฟ้า ไม่ขึ้นกับสภาพเศรษฐกิจใดๆทั้งสิ้น ถ้าหากคนใดผ่านความเชื่อตรงนี้มาได้ ก็ถือได้ว่าเป็น ผีฟ้า ผู้มีสถานะที่สูงส่งกว่าคนทั่วไป
|
บ่หัวซาผีบ้าเดินดิน
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13 กันยายน 2557, 07:23:34 โดย คนศรีเกษ »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
คนศรีเกษ
|
|
« ตอบ #34 เมื่อ: 14 กันยายน 2557, 11:16:16 » |
|
ย้อนกลับมาที่หน้าบ้านปู่หมอธรรมเฮือง ผีปอบที่เข้าสิงสู่อยู่ในร่างทรงก็ยังไม่ยอมลงจากรถ และไม่ยอมให้ใครเข้ามาจับตัว พอเข้ามาทีไรก็ผลักออกไปจนกระเด็นกระดอนกันไปคนละทิศละทางจนอ่อนใจ ก็พากันลงมานั่งข้างรถ พระอาจารย์ได้โอกาสก็เข้าไปสอบถามความเป็นมาเป็นไปของนางทรงคนนี้ บังเอิญได้สอบถามกับคนขับรถที่ญาติเหมามาก็เลยได้ข้อมูลเยอะ เพราะว่าคนขับรถเป็นคนแถวนั้น และพาคนป่วยไปรักษาที่สำนักทรงนี้บ่อย ความเป็นมาเป็นไปที่คนขับรถเล่าให้พระอาจารย์ฟังพอสรุปได้ว่า แรกเริ่มเดิมที นางทรงคนนี้ ได้ไปรับครอบเป็นคนทรงผีฟ้า โดยมีครูบาอาจารย์ทำพิธีครอบเชิญผีฟ้าให้มาเข้าทรง แต่ไปทำพิธีที่ไหน อย่างไร ไม่มีใครทราบแน่ชัด วัตถุประสงค์ก็เพื่อ ปกป้องคุ้มครองรักษาบ้านเรือน และคนในครอบครัวให้อยู่เย็นเป็นสุข อีกทั้ง เพื่อรักษาผู้คนทั่วไป เมื่อเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ รักษาอย่างไรก็ไม่หาย วิธีการรักษา นางทรง จะมีสำนักทรงเป็นของตัวเองก็คือบ้านที่อยู่อาศัยนั่นแหละ ญาติจะต้องนำคนป่วยมาให้รักษาที่สำนัก เมื่อมาถึงก็จะต้องมีขันธ์ห้า ขันธ์แปด มีค่าคายและเครื่องประกอบต่าง ๆ ตามที่นางทรงกำหนด เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้วก็จะเริ่มทำพิธี โดยนางทรงจะทำพิธีอัญเชิญผีฟ้าให้เข้ามาประทับร่างทรง ส่วนใหญ่ตัวนางทรงก็จะนั่งสั่นสะท้านอยู่ครู่หนึ่ง ไม่นานก็จะนอนลงสั่นต่อ สักพักก็หายแล้วจะลุกขึ้นนั่ง แล้วก็เริ่มออกลายหมอลำขึ้นมาทันที ต่อมาก็ยกแขนขึ้นฟ้อนรำทำเป็นจังหวะ ลูกมือที่เป็นหมอแคนที่อยู่ข้าง ๆ ก็เป่าแคนรับ คนทรงก็จะลุกขึ้นแล้วก็จะลำบอกเหตุการณ์ต่างๆ ที่เป็นสาเหตุของการเจ็บป่วยและวิธีการรักษา ผู้ป่วยบางรายเจ็บหนักนอนซมมานานหลายวัน ลุกขึ้นเดินไม่ได้ญาติพากันหามใส่รถมายังสำนักทรง แต่ผีฟ้าก็สามารถทำให้ลุกขึ้นมายืนฟ้อนรำวนเวียนคู่กับคนทรงผีฟ้าได้อย่างสดชื่น กระปี้กระเป่า ผิดกับตอนหามมาอย่างน่าประหลาด ทำให้ผู้คนเห็นเป็นสิ่งมหัศจรรย์และเพิ่มความศรัทธาเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่ง ส่วนคำทำนายส่วนใหญ่ก็จะออกไปในทางว่า ผู้ป่วยไปโดนผีป่า ผีไร่ ผีนา ผีบ้าน ผีเรือน กระทำ หรือผิดของรักษา สุดท้ายผู้ป่วยก็จะต้องถวายเครื่องเซ่นไหว้ขอขมาก่อนจึงจะหายป่วย ส่วนเครื่องเซ่นไหว้นั้น ก็อาจจะเป็น เหล้าไห ไก่ตัว ผ้าซิ่นไหม ผ้าสะโหร่งไหม หรือ ให้สร้างศาลให้ใหม่แล้วแต่กรณี เมื่อผีฟ้าบอกแล้ว ญาติก็จะต้องไปจัดการเครื่องเซ่นไหว้ขอขมาให้แล้วเสร็จ หรือถ้าจะให้สะดวกก็ต้องมอบค่าใช้จ่ายต่าง ๆ โดยคิดเป็นการเหมาทุกอย่าง เกี่ยวกับเครื่องเซ่นไหว้ไว้ให้ ทางสำนักทรงจะเป็นคนอำนวยความสะดวกโดยจัดการแทนให้ ส่วนใหญ่ก็จะลงเอยแบบนี้ แถมทางญาติบอกว่าถ้าหาย วันหลังก็จะกลับมาสมนาคุณอีก เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยนางทรงก็จะทำพิธีรดน้ำมนต์ให้คนป่วยแล้วกลับไปบ้านได้ ไม่นานคนป่วยก็จะหายเป็นปกติ ทำให้คนทรงผีฟ้าและบริวารเช่น หมอแคน ลูกมือที่เป็นคนจัดหาเครื่องเซ่นไหว้ ญาติพี่น้องของนางทรง ได้อานิสงส์จากลาภสักการะเครื่องบูชาครู เงินทองจากค่าคาย ที่ผู้คนนำมาให้ ทำให้สำนักทรงมีฐานะดีขึ้นอย่างรวดเร็วทันตาเห็น
|
บ่หัวซาผีบ้าเดินดิน
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16 กันยายน 2557, 13:57:27 โดย คนศรีเกษ »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
คนศรีเกษ
|
|
« ตอบ #35 เมื่อ: 14 กันยายน 2557, 14:02:45 » |
|
นางทรงผีฟ้ากลายเป็นปอบผีฟ้า สำนักทรงเปิดรักษาคนไข้มาหลายปี เป็นที่รู้จักของคนยโสธรและจังหวัดใกล้เคียง มีคนพาคนป่วยมาให้รักษามิได้ขาด แต่ต่อมาปรากฎว่า นางทรงกลายเป็นปอบผีฟ้า สาเหตุอาจจะเนื่องมาจาก นางทรงเกิดทำผิดข้อห้าม (ข้อขะลำ) อย่างใดอย่างหนึ่ง หรืิอผิดครูถือไม่ได้ก็อาจจะเป็นได้ ดังนั้น เมื่อนางทรงกระทำผิดครูแล้ว ก็จะทำให้วิชาอาคมที่ครูบาอาจารย์ถ่ายทอดให้เสื่อมลง ไม่สามารถควบคุมผีฟ้าที่อัญเชิญมาประทับทรงให้เข้าและออกได้ตามปกติ เมื่อมีคนป่วยมาให้รักษา ผีฟ้าที่กลายเป็นปอบไปแล้ว ก็จะเข้าสิงสู่ในร่างกายของคนป่วย ทำการรักษาโรคแล้วก็ออก เมื่อคนป่วยกลับไปบ้า่นแล้วก็หาย แต่คนป่วยบางคนเข้าแล้วก็ไม่ยอมออกเพราะติดใจในร่างของผู้ป่วยเคราะห์ร้ายคนนั้น ปอบผีฟ้าก็จะใช้มารยาหลอกลวงให้คนหลงเชื่อ ทำการรักษาคนป่วยแบบหมอรักษาโรคเลี้ยงไข้ เกาะกินสูบเลือด สูบเนื้อจนซูบผอมลงเรื่อย ๆ จนตัวเหลืองอร่าม ผ่ายผอมไม่มีเลือดฝาดเพราะผีปอบเกาะกินจนตายไปในที่สุด ทำให้ญาติผู้ป่วยหลงเชื่อ ไม่รู้ว่าปอบผีฟ้ากินตาย พากันเข้าใจว่า สิ้นอายุขัยของผู้ป่วยเอง คงจะหมดความสามารถที่จะรักษาให้หายได้ พอนานวันเข้าก็แก่กล้ายิ่งขึ้น ออกลูกออกหลานปอบในร่างนางทรงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงขั้นแก่กล้าถึงขนาดว่า เข้าสิงสู่ร่างผู้ป่วยบางคนเกิดติดใจในรสชาติของร่างจนถึงขนาด เกาะกินเลือดเนื้อ จนคนป่วยซูปผอมตายไปในที่สุด แต่ยังไม่พอปอบผีฟ้ายังไม่ยอมให้ตาย มีฤทธิ์เดชแก่กล้าถึงขนาดชุบชีวิตคนตายขึ้นมาให้มีอากัปกิริยากระปี้ กระเป่า ร่างกายสดชื่น มีน้ำมีนวล หน้าตาสดใส ลุกขึ้นมานั่งพูดจาพาทีได้คล่องแคล่ว กินข้าวปลาอาหารได้มาก หลับนอนได้เหมือนคนกำลังเริ่มจะหายป่วย ปอบผีฟ้าจึงถือโอกาสสูบกินน้ำเลือด น้ำเหลืองอย่างเอร็ดอร่อยต่อไปได้อีก ทั้งที่ผู้ป่วยได้ตายไปนานแล้ว เมื่ออิ่มหนำสำราญเป็นที่พอใจของมันแล้ว มันจึงจะออก และ ผละจากร่างนั้น ทำให้คนที่ตายไปหลายวันแต่เป็นศพที่ชุบชีวิตขึ้นมา ก็จะกลับคืนสู่สภาพเดิม ศพจะนอนเบิกตาโพลง ลำตัวแข็งทื่อ ร่างกายผ่ายผอมเหลือแต่หนังหุ้มและกระดูก ส่งกลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้ง นั่นแหละ ญาติพี่น้องถึงได้รู้ว่า คนป่วยได้ตายไปหลายวันแล้ว จึงรู้ว่า นางทรงเป็นปอบผีฟ้าเข้าสิงทำให้ตาย เมื่อคนที่เคยเลื่อมใสเริ่มรู้ว่าคนทรงเป็นปอบผีฟ้าและเคยเข้ากินคนป่วยตายไปหลายรายแล้ว เขาก็เล่าลือบอกต่อกันไป ทำให้เกิดความหวาดกลัว ไม่พากันนำคนป่วยมาให้รักษา ลาภสักการะก็ค่อย ๆ ลดน้อยถอยลง ญาติพี่น้องที่มาคอยเป็นลูกมือ เช่น หมอแคน ก็พากันเดือดร้อนหนีหายไปไม่อยู่ในสำนักทรงต่อไปอีก ส่วนปอบผีฟ้าก็อดหยาก ปากแห้ง ไม่มีคนมาให้สิงสู่เพื่อดูดกินเลือดกินเนื้ออีก หนักเข้า ก็ออกเที่ยวสัญจรหากินไปในที่ต่าง ๆ เมื่อพบคนป่วยหรือคนที่อ่อนแอขวัญอ่อน จิตใจไม่เข้มแข็งตกใจง่าย ก็จะเข้าสิงสู่เกาะกินไปจนผอมตาย นานเข้าก็มีฤทธิ์เดชแก่กล้าขึ้นเรื่อย ๆ ถึงขนาดบางครั้ง สำแดงเป็นวิญญาณปีศาจร้ายสัญจรออกเที่ยวหากินตามที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะเวลาค่ำคืนยามดึกสงัด จะออกเป็นแสงดวงไฟกลมสว่างดวงโตดังผีกระสือ สำแดงเดชให้คนเห็นเป็นดวงหน้าของเจ้าของคือ นางทรง โดยไม่กลัวคนเห็นและจำหน้าได้ อดหยากมาก ๆ ก็จะออกเที่ยวหากินของสดคาวโดยเฉพาะแม่ลูกอ่อนที่ออกลูกใหม่และกำลังอยู่ไฟ ไม่เว้นแม้แต่สัตว์เลี้ยงต่าง ๆ ที่คนเลี้ยงไว้ ถ้าผีฟ้าได้โอกาสก็จะเข้าสิงสู่เกาะกินสัตว์เหล่านั้นจนล้มตายไปก็มี พอหาคนอื่นเข้าสิงสู่ไม่ได้ ก็จะเข้าสิงสู่ลูกหลานญาติพี่น้องของตัวเองนั่นแหละ เพราะว่านางทรงไม่สามารถที่จะควบคุมผีฟ้าได้แล้ว ทำให้เป็นที่หวาดกลัวและเอือมระอาของญาติพี่น้อง อีกทั้งทำให้ผู้คนพากันเกลียดชังทั้งกล่าวหาว่าเป็นผีปอบทั้งตระกูล ตั้งข้อรังเกียจและไม่ยอมคบหาสมาคมด้วย ทำให้ญาติพี่น้องทั้งหลายได้รับความเดือดร้อนกันทั่วหน้า จึงได้พากันเหมารถยนต์ คุมตัวมาให้ปู่หมอธรรมเฮืองไล่ผีปอบออกนี่แหละ
|
.
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17 กันยายน 2557, 05:22:16 โดย คนศรีเกษ »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
คนศรีเกษ
|
|
« ตอบ #37 เมื่อ: 19 กันยายน 2557, 21:27:36 » |
|
วิธีการไล่ปอบของปู่หมอธรรมเฮือง หลังจากปอบผีฟ้าได้ออกลายหมอลำ ทั้งฟ้อน ทั้งลำ กล่าวพร่ำพรรณาเยาะเย้ย ถากถางผู้คนไปเรื่อยบนกระบะท้ายรถโดยไม่เกรงกลัวใคร และหยิ่งทรนงในตัวเองมาก ว่าไม่มีใครทำอะไรตัวเองได้ แม้ว่าจะพาตนมาหาหมอธรรมที่ว่าเก่งที่สุดแล้วก็ตาม ส่วนปู่นั้นยังคงนั่งนิ่งอยู่ภายในบ้าน ไม่ออกมาต่อกรกับปอบ ปล่อยให้นางร้องหมอลำต่อว่าเยาะเย้ยถากถางต่อไป แต่จากการสังเกตุของพระอาจารย์จะเห็นว่า ปู่ได้เตรียมการที่จะต่อสู้กับปอบผีฟ้าตนนี้ โดยได้ทำพิธีบูชาครูบาอาจารย์โดยจัดถวายขันธ์ 5 ขันธ์ 8 และจุดเทียนไขดอกเล็ก ๆ เป็นจำนวนมากคาดคะเนว่า น่าจะถึง 20 - 30 ดอก ปักลงไปบนแผ่นไม้กระดานที่วางอยู่หน้าโต๊ะหมู่บูชาของปู่ ต่อมาปู่หันหน้าเข้าหาโต๊ะหมู่ทำพิธีกราบไหว้บูชาครูบาอาจารย์ตามที่ร่ำเรียนมาเป็นเวลานานพอสมควร จากนั้นก็ได้เรียกลูกศิษย์ใกล้ชิดให้ไปเตรียมอุปกรณ์ต่าง ๆ เกี่ยวกับการไล่ปอบไว้ให้พร้อม แล้วก็นั่งธรรมต่อที่หน้าโต๊หมู่นั้นโดยไม่ลุกไปไหนและทำทีเป็นไม่สนใจปอบ แต่จริง ๆ นั้น ปู่ใช้เวทเวทย์มนต์ คาถาอาคมต่อสู้กับปอบ โดยใช้สมาธิจิตบีบบังคับปอบให้เชื่อฟังและทำตามคำสั่งของปู่ ต่อมาอีกไม่นานทางด้านนอกนั้น นางทรงอยู่ ๆ ก็หยุดฟ้อน หยุดลำขึ้นมาดื้อ ๆ อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย บอกว่าเหนื่อยและก็ร้อน แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนที่มุงดูอยู่รอบ ๆ พากันแตกตื่นและสงสัยในพฤติกรรมก็คือ อยู่ ๆ นางทรงก็ก้าวลงมาจากกระบะท้ายรถด้วยตัวเองโดยไม่มีใครเรียกร้อง หรือขึ้นไปฉุดกระชากลากดึงให้ลงมาเหมือนคราวแรก ลงมาแล้วก็เดินอย่างสงบเสงี่ยมเข้าไปในห้องที่ปู่นั่งธรรมอยู่ แล้วนางทรงก็นอนลงต่อหน้าปู่ แต่ก็ห่างออกมาประมาณ 5 - 6 เมตร แล้วก็เอ่ยปากออกมาว่า ข้างนอกร้อนมากและนางก็เหนื่อยจะขอนอนพักก่อนแล้วก็หลับตาลง ส่วนปู่ก็นั่งธรรมไปเรื่อย ๆ และวางแผนจะกำจัดปอบคอกนี้ให้สิ้นซาก พระอาจารย์กล่าวเสริมให้ผู้เขียนฟังว่า ปู่คงจะทราบจากการนั่งธรรมแล้วว่า ปอบผีฟ้าที่สิงอยู่ในร่างนางทรงนั้น เป็นปอบที่แก่กล้ามากและก็มิได้มีเพียงแค่ตัวเดียว ปู่บอกว่านอกจากตัวแม่แล้ว มันก็ได้ออกลูกออกหลานปอบออกมาอีกถึง 8 ตัว รวมเป็นทั้งหมด 9 ตัว ดังนั้น ทำให้ปอบคอกนี้ดุร้ายมากไม่เกรงกลัวใคร พระอาจารย์กล่าวเสริมอีกว่า ปกติธรรมดาการไล่ปอบ เท่าที่เคยเห็น หมอธรรมจะใช้มีดหมออาคม จิ้มหรือแทงลงไปที่ร่างหรือใช้หวายอาคมทำเป็นแส้ เฆี่ยนหรือตีลงไปที่ตัวคนที่ถูกปอบเข้า ไปเรื่อย ๆ จนกว่าปอบจะเจ็บจนทนไม่ไหวแล้วก็จะออก การสังเกตุว่าปอบออกหรือยังนั้น ก็ให้ใช้สายตามองดูจะเห็นปอบวิ่งอยู่ใต้ผิวหนังเป็นก้อนกลมนูนขึ้นมาเหมือนไข่เป็ดไข่ไก่ ถ้าก้อนกลมหายไปก็แสดงว่าออกแล้ว แต่ปอบบางตัวที่แก่กล้ามีฤทธิ์เดชมากไม่ยอมออกง่าย ๆ ก็จะใช้มารยาหลอกลวงโดยไปซ่อนอยู่ที่โคนขาหนีบใต้ร่มผ้า หรืออวัยวะเพศ ทำให้ยากแก่การค้นหาและอาจจะหลงผิดคิดว่าปอบออกแล้วก็ได้ ดังนั้นรายนี้ ปู่คงจะทราบแล้วว่า ใช้วิธีปกติธรรมดาคงจะยาก แต่ถ้าจะเอาให้อยู่คงจะต้องใช้ ท่าไม้ตาย (ขอยืมสำนวนของเกมส์สตรีทไฟท์เตอร์มาใช้) ปู่จึงสั่งให้ลูกศิษย์หากาน้ำร้อนออกมาใส่น้ำให้เต็มกา แล้วขึ้นตั้งไฟต้มให้เดือด จากนั้นปู่ก็ร่ายเวทมนต์คาถาอาคมตามสูตรที่ได้ร่ำเรียนมา ชั่วอึดใจปู่ก็เทน้ำร้อนที่ต้มจนเดือดใส่ลงไปในแก้วแล้วก็ยกขึ้นมาเทเข้าปากอมไว้จนเต็มปากโดยปู่ไม่แสดงอาการว่าร้อนแต่อย่างใด จากนั้น ปู่ก็เดินไปที่ร่างของนางทรงที่กำลังนอนหลับอยู่แล้วก็พ่นน้ำร้อนลงไปที่ตัวของนางทรง ทำให้นางทรงสะดุ้งสุดตัวนอนดิ้นทุรนทุรายปากก็ร้องว่าร้อน ๆ ๆ ๆ ขณะนั้นปู่ก็เทน้ำร้อนแก้วใหม่อมแล้วก็พ่นลงไปที่ร่างของนางทรงไปเรื่อย ๆ จนปอบผีฟ้าที่สิงอยู่ในร่างทนความร้อนไม่ไหว จึงร้องบอกว่า ร้อน ๆ ๆ กลัวแล้ว กลัวแล้ว ออกแล้ว ออกแล้ว นั่นแหละปู่จึงหยุด ก็เป็นอันว่าในที่สุด ปอบตัวแม่ก็หอบลูกหอบหลานทั้ง 9 ตัว ออกจากร่างนางทรงทั้งหมดในทันที โปรดติดตามตอนจบคราวหน้าครับ
|
บ่หัวซาผีบ้าเดินดิน
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29 กันยายน 2557, 20:21:07 โดย คนศรีเกษ »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
คนศรีเกษ
|
|
« ตอบ #38 เมื่อ: 21 กันยายน 2557, 10:58:17 » |
|
ปู่บอกว่า ปอบคอกนี้มันแก่กล้ามาก เอาไว้ไม่ได้ไล่ออกไปแล้วถ้ามันยังไม่ตายมันก็จะพากันไปเข้าคนอื่นอีก แถมออกลูกออกหลานเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ต้องกำจัดให้สิ้นซากด้วยการฆ่าให้ตายอย่างเดียว ก่อนที่ปอบจะออกจากร่างของนางทรงนั้น ทีมงานของปู่ที่เป็นลูกศิษย์ก็ได้แยกกันไปทำหน้าที่ของแต่ละคน ทีมแรกเป็นทีมไล่ต้อนปอบไปยิงยังจุดที่กำหนด ทีมนี้จะมารอที่ประตูบ้านซึ่งเป็นช่องที่ปู่กำหนดให้ปอบออกทางประตูนั้น อุปกรณ์ในการไล่ต้อนปอบของกลุ่มนี้ก็คือ ขี้หินแห่ ( หินลูกรัง) ที่ปู่ปลุกเสกลงอาคมเพื่อการไล่ผีไล่ปอบไว้อย่างดีแล้ว เมื่อปอบหนีออกมาทางช่องนี้ ลูกศิษย์กลุ่มนี้ก็จะไล่ต้อนให้วิ่งไปตามทางที่กำหนด โดยใช้ขี้หินแห่เสกหว่านเป็นแนวกั้นไม่ให้ออกนอกเส้นทาง ซึ่งปอบมันจะกลัวขี้หินแห่นี้ ลูกศิษย์ก็จะไล่ต้อนไปเรื่อย ๆ เหมือนต้อนวัวต้อนควายนั่นแหละ พระอาจารย์อธิบายให้ผู้เขียนเห็นภาพอย่างนั้น ส่วนผู้คนทั้งคนแก่คนเฒ่าทั้งพระทั้งเณรก็วิ่งตามกันเป็นพรวนเพื่อไปดูเขายิงปอบ เป็นที่น่าประหลาดที่คนอื่น ๆ ทั่วไปไม่มีใครมองเห็นปอบ เว้นแต่ทีมลูกศิษย์ของปู่ที่ปู่ได้ครอบครูไว้เท่านั้น กับหมา 4 - 5 ตัวที่มันวิ่งเห่าตามปอบไปเป็นทาง จนถึงจุดยิงปอบซึ่งเป็นต้นไม้ใหญ่อยู่นอกหมู่บ้าน พระอาจารย์บอกว่า เป็นต้นกระบากใหญ่พอสมควร เมื่อถึงจุดก็ไล่ต้อนปอบคอกนั้นให้ขึ้นไปบนต้นกระบาก แล้วก็เอาด้ายสายสิญจน์เสกเส้นใหญ่ พันรอบโคนต้นกระบากไว้ กันไม่ให้ปอบหนีลงมา คราวนี้ ก็มาถึงทีมที่สอง คือ ทีมยิงปอบ ทีมนี้มีอยู่ 3 - 4 คน พร้อมอาวุธครบมือ ยืนรอทำหน้าที่พร้อมอยู่แล้วอยู่ที่ใต้ต้นกระบาก ปืนที่ใช้ยิงปอบนั้น คือ ปืนแก๊ปไทย(อีสาน)ประดิษฐ์ ใช้กระสุนเม็ดตะกั่วซึ่งปู่ได้ลงอาคมและปลุกเสกไว้แล้วเช่นกัน อันว่าปืนแก๊ปนั้น เป็นปืนยาวประเภทหนึ่ง ซึ่งชาวอีสานจะมีไว้เพื่อใช้ล่าสัตว์เช่น ยิงนก กระรอก กระแต กระต่าย เป็นต้น ตอนผู้เขียนเป็นเด็กจำได้ว่าคุณพ่อซึ่งเป็นตำรวจมีอยู่หนึ่งกระบอกเอาไว้ยิงนก เวลาจะยิงต้องบรรจุดินปืน(หมื่อ) ทางปากลำกล้อง จากนั้นก็จะนำวัสดุที่อ่อนนุ่นคือ ใยมะพร้าวบรรจุตามดินปืนลงไป จากนั้นก็จะใช้เหล็กเป็นเส้นเล็ก ๆ ยาวกว่าปากกระบอกปืนเล็กน้อย แหย่ลงไปเพื่อกระทุ้งเบา ๆ ให้แน่นพอสมควรแต่อย่าให้แน่นมาก จากนั้นก็ถึงสิ่งสำคัญ คือลูกตะกั่ว ขนาดประมาณหัวไม้ขีด ใส่ตามลงไป 5 - 9 เม็ด กรณีปืนยิงปอบต้องใช้ลูกตะกั่วลงอาคมเท่านั้น จากนั้นก็ใช้ใยมะพร้าวบรรจุตามลงไปพร้อมใช้เหล็กเส้นเล็ก ๆ กระทุ้งเบา ๆ เช่นเคย ก็เป็นอันเสร็จพิธีบรรจุกระสุนเข้าไปในรังเพลิง ต่อมาก็เป็นการลั่นไกยิงหรือการจุดระเบิด ก็จะเอาลูกแก๊ปเป็นแก๊ปแบบกระดาษเป็นแผง ใส่เข้าไปบริเวณนกสับของปืน ซึ่งง้างนกไว้รอใส่แล้วก็หนีบไว้ เมื่อยกปืนขึ้นเล็งตรงเป้าหมายก็เหนี่ยวไกปืน จะทำให้แก๊ปจุดระเบิดเป็นประกายไฟดินปืนที่อยู่ในรังเพลิงก็จะเผาไหม้และผลักดันลูกตะกั่วออกทางปากลำกล้องและวิ่งไปยังเป้าหมายในที่นี้ก็คือปอบครับ ลูกศิษย์แต่ละคนยิงทีละนัดอย่างใจเย็น เลือกยิงเป้าหมายเอาตามใจชอบ พระอาจารย์เล่าว่า ลูกศิษย์เลือกยิงอย่างสนุกสนานครึกครื้น พวกเขามองเห็นปอบแต่คนอื่นมองไม่เห็น พวกเขาร้องบอกกันว่า นั่น ๆ ยิงอีเฒ่าตัวแม่มันก่อน มันอยู่ตรงโคนต้นกระบากนั่น มันปีนขึ้นต้นไม้ไม่ได้เหมือนลูก ๆ มัน เมื่อจัดการแม่มันเสร็จแล้ว ก็จัดการลูก ๆ มันทีละตัว เมื่อยิงทีละนัดไปแล้ว ก็บรรจุลูกกระสุนใหม่ตามขั้นตอนที่กล่าวไว้ แต่ถึงกระนั้นกว่าจะจัดการกับมันเสร็จก็ใช้เวลาพอสมควร เพราะกว่าจะบรรจุกระสุนได้แต่ละนัดให้พร้อมที่จะยิงได้ก็ต้องใช้เวลา บางนัดพวกปอบคอกนี้มันสามารถแสดงอิทธิฤทธิ์ทำให้ปืนลั่นก่อน ทั้งที่ยังไม่ได้ง้างนกยิงก็มี บางนัดมันทำให้ปากกระบอกปืนสะบัดออกจากเป้าหมายไม่ให้ลูกตะกั่วถูกพวกมันก็ได้ ก็เล่นเอาเหนื่อย แต่ในที่สุดก็จัดการมันครบทุกตัว ยกเว้นมีลูกมันตัวหนึ่งแหกด่านขี้หินแห่ขณะไล่ต้อนเตลิดหนีไปได้ ตามไม่ทันหายจ้อยไปไหนก็ไม่รู้ เมื่อจัดการเสร็จแล้วก็ยกทีมกลับมาที่บ้านปู่อีกครั้ง ทั้งทีมไล่ต้อน ทีมยิง และท่านผู้ชมทั้งหลายรวมทั้งญาติของนางทรงที่พากันวิ่งไปดูและให้กำลังใจ เมื่อมาถึง นางทรงยังคงนอนนิ่งอยู่หลับตาเหมือนนอนหลับ ปู่กำลังนั่งธรรมเข้าสมาธิอยู่ข้าง ๆ ไม่นาน นางทรงก็ลืมตาขึ้นลุกขึ้นนั่งช้า ๆ ทำหน้างง ๆ มองไปรอบ ๆ ไม่คุ้นสถานที่ นางทรงกลับมาเป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง ถามว่า ที่นี่ที่ไหน และนางมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ญาติ ๆ ก็พากันอธิบายเรื่องราวต่าง ๆ ให้ทราบ พอนางเข้าใจแล้ว ก็คลานเข้าไปกราบปู่ ปู่เอามือลูบศรีษะอย่างเอ็นดู และอบรมสั่งสอนว่า ให้เลิกอาชีพนางทรงนี้ซะ เพราะปัจจุบันการรักษาพยาบาลก็ก้าวหน้ามากขึ้น มีแพทย์แผนปัจจุบันออกไปทำการรักษาโรคตามโรพยาบาลอำเภอต่าง ๆ อย่างทั่วถึงแล้ว ไม่จำเป็นต้องรักษาโรคโดยการเข้าทรงอีก ให้ประกอบสัมมาอาชีพทำไร่ ทำนา ทำสวน หรือจะทำมาค้าขายก็ได้แล้วแต่ชอบ แต่อย่าหวนกลับไปถือผีฟ้าอีก นางทรงก็รับคำ แล้วปู่ก็รดน้ำมนต์ให้ พร้อมทั้งผูกด้ายสายสิญจน์ให้ทั้งคอและแขน และอวยพรให้ทำมาหากินร่ำรวยมีเงินทองใช้อย่าให้ขาดและให้กลับบ้านโดยสวัสดิภาพ บทส่งท้าย จากเหตุการณ์คราวนั้น เป็นสาเหตุให้พระอาจารย์เกิดนับถือ ศรัทธา ในวิชาอาคมของปู่หมอธรรมเฮืองขึ้นมาในทันที ต่อมาก็ได้ฝากตัวเป็นลูกศิษย์ และได้เรียนวิชาอาคมจากปู่หมอธรรมเฮืองเพิ่มเติมเท่าที่สามารถเรียนได้ เป็นบางอย่างเท่านั้น ผู้เขียนก็เลยถือโอกาสถามถึงการไล่ปอบโดบใช้น้ำร้อน อมแล้วพ่นใส่นางทรงนั้น เป็นน้ำร้อนจริง ๆ หรือ พระอาจารย์ตอบว่าใช่ ขนาดว่า คนนั่งอยู่ใกล้ ๆ ละอองน้ำร้อนกระเด็นมาถูกตัวยังร้อนจนสะดุ้ง แต่ปู่ไม่ร้อนเนื่องจาก ปู่สำเร็จวิชา ดวงธรรมบรรลุ สามารถใช้วิชาธาตุทั้ง 4 คือ นะ มะ พะ ทะ หรือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ได้เป็นอย่างดี พระอาจารย์เล่าเสริมว่า ถ้าเรียนสำเร็จ การที่จะอาบน้ำร้อนที่ต้มจนเดือดมิให้ร้อนนั้น ให้ภาวนาด้วยอาโปธาตุ(ธาตุน้ำ) และ เตโชธาตุ(ธาตุไฟ) 15 คาบ มิร้อนแล ส่วนนางทรงนั้น เป็นที่น่าประหลาดว่า ร่างกายผิวหนังก็มิได้พุพอง แสบร้อนจากน้ำร้อนลวกแต่ประการใด หากแต่ว่าอาการต่าง ๆ จะไปเกิดกับผีปอบที่เข้าสิงร่างอยู่โน่นแหละ แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าไอ้ลูกปอบที่แหกด่านขี้หินแห่หนีเตลิดไปได้นั้น ไม่รู้ป่านนี้หายไปอยู่ที่ไหน ไม่มีใครทราบข่าวคราวจนกระทั่งทุกวันนี้
|
บ่หัวซาผีบ้าเดินดิน
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29 กันยายน 2557, 05:56:41 โดย คนศรีเกษ »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
คนศรีเกษ
|
|
« ตอบ #39 เมื่อ: 14 ธันวาคม 2557, 15:07:33 » |
|
วันนี้ วันอาทิตย์ เป็นวันหยุดและเป็นวันพระ ไปนั่งกราบพระที่โต๊ะหมู่บูชาประจำบ้าน เปลี่ยนดอกไม้ในแจกันนั่งสวดมนต์อยู่นานพอสมควร ครู่ใหญ่ ๆ ไม่ทราบว่ามีอะไรมาดลจิตดลใจให้บังเอิญเหลือบไปเห็น ใบประกาศนียบัตรเกียรตินิยม จากการประกวดพระเครื่องหลายแห่ง ที่เคยส่งพระเข้าประกวด ติดรางวัลบ้าง ไม่ติดบ้าง จำนวนหลายใบซ้อนกันอยู่ข้างโต๊ะหมู่ จึงเอาออกมาดู พอเปิดไปเรื่อย ๆ ก็ต้องตกตะลึงเมื่อมองเห็นภาพขยายสี ขนาด 8 X 10 นิ้ว จำนวน 1 แผ่น ซ้อนอยู่ในใบประกาศ เป็นภาพของ ปู่หมอธรรมเฮืองอีกภาพหนึ่งที่ผู้เขียนได้ถ่ายเอาไว้ในคราวเดียวกันกับภาพเก่า ๆ ที่เคยนำเสนอไว้ก่อนหน้านี้แล้วและนำไปขยาย แต่ที่พิเศษสุด ๆ ก็คือ ด้านหลัง มีรอยหมึกเขียนยันต์ลายมือของปู่ จำนวน 2 แถว ซึ่งผู้เขียนนำไปให้ปู่ทำพิธีปลุกเสกให้และเอามาเก็บไว้นานจนลืม เห็นทีจะต้องรีบเอาไปใส่กรอบบูชาซะแล้วเรา
|
.
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15 ธันวาคม 2557, 11:17:48 โดย คนศรีเกษ »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|