อัตตชีวประวัติของหลวงพ่อภรังสี หลวงพ่อภรังสี เป็นพระเถระทีมีความสำคัญต่อพระพุทธศาสนา เนื่องจากท่านเป็นผู้ค้นพบพระบรม สารีริกธาตุ และรอยพระพุทธบาท เป็นเหตุให้พุทธศาสนิกชนทั้งหลายได้ชื่นชมพุทธบารมีได้พากันสร้างอริยทรัพย์ ตามกำลังศรัทธาและปัญญาของตน จึงจะได้รวบรวมเรียบเรียงอัตตชีวประวัติของหลวงพ่อภรังสี นำเสนอ เพื่ออนุชน คนรุ่นหลังจะ ได้ถือเอาเป็นแบบอย่างตามรอยส้นทางธรรมของหลวงพ่อสืบต่อไป
ชาติกำเนิด หลวงพ่อภรังสีได้ถือกำเนิดที่บ้านคำบอน ต.ตูม อ.นาจะหลาย อ.นาจะหลวย จ.อุบลราชธานี เมื่อวันที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๐๕ เป็นบุตรของพ่อหมอน กับ แม่สำเริง แก้วคำ มีพี่น้องด้วยกันทั้งหมด ๗ คน โดยหลวงพ่อเป็น คนที่ ๒ มีชีวิตเติบโตขึ้นมาท่ามกลางชนบทของบ้านคำบอนซึ่งส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทำนา เด็กชายรังสี จึงได้ ช่วยเหลือบิดามารดาทำการต่าง ๆ อย่างเต็มกำลัง เด็กชายรังสีมีอุปนิสัยเป็นคนมีอำนาจมาตั้งแต่กำเนิด พูดจา ฉะฉาน เสียงดัง พ่อแม่พี่น้องมักจะเกรง แม้แต่สัตว์ที่เลี้ยงต่างก็เกรงกลัว เมื่ออายุครบเกณฑ์ จึงได้เข้าเรียนที่ โรงเรียนบ้านคำบอน จนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ หลังจากจบการศึกษาจึงช่วยบิดามารดาทำงานมาตลอด จน กระทั่งอายุได้ ๑๘ ปี เกิดความเบื่อในเพศฆราวาส เพราะพิจารณาเห็นความยากลำบากในการดำเนินชีวิตแต่ละวัน เห็นโทษเห็นภัยในการครองเรือน และตั้งปณิธานว่า ชาตินี้จะเป็นเพียงลูก ไม่ขอเป็นพ่อคนแม่เด็ดขาด เพราะ ได้พิจารณาเห็นโทษอย่างลึกซึ้ง เกิดอุปมาในใจขึ้นมาว่า ?สมมุติว่าเราเกิดมามีน้องคนหนึ่ง เราไปป่าทำงาน ฝน ตกเปียก ลิ้น ยุง ก็เยอะ ไม่ได้เอาอาหารไปด้วย น้องก็จะหิวร้องไห้ เกิดความทุกข์ทรมาน เราก็จะสงสารน้อง ทั้งตัว เราหิว ถ้าหากเรามีลูกก็คงจะทุกข์ยากลำบากเช่นเดียวกันกับตัวเรา? จึงคิดหาหนทางออกจากเพศฆราวาส เพราะ ถ้าอยู่ก็ต้องดำเนินชีวิตไปตามวิถีของฆราวาส ไม่พ้นการครองเรือนไปได้
เข้าสู่ร่มผ้ากาสาวพัตร เมื่อเด็กชายภรังสีเจริญวัยขึ้นมาและได้ช่วยเหลือการงานของบิดามารดาพอสมควรแล้ว จึงได้ตัดสินใจ เข้าสู่
ร่มผ้ากาสาวพัตร บรรพชาเป็นสามเณรเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๔ มีอายุครบ ๑๘ ปี ที่วัดศรีพรหม อ.นาจะหลวย จ.อุบลราชธานี โดยมีพระครูอุดมคุณาภรณ์(สุก อดีตเจ้าคณะอำเภอนาจะหลวย เป็นพระอุปัชฌาย์ และได้ ศึกษาธรรมวินัยกับพระอุปัชฌาย์จำพรรษาที่วัดศรีพรหมนั่นเอง ในช่วงกลางพรรษาสามเณรภรังสี ได้เห็นภาพถ่าย ของหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต จึงมีจิตน้อมไปในสายทางแห่งการปฏิบัติธรรม คืนหนึ่งได้เกิดนิมิตว่า ได้เดินขึ้นไปที่ ตอไม้ใหญ่มองขึ้นไปที่วัดภูพลานสูง เห็นแสงสว่างมีพระอริยเจ้าเดินจงกรมเป็นแถวและได้ยินเสียงเทวดาบอกว่า ?นั่นคือวังพระนิพพาน? เมื่อตื่นขึ้นมาจึงทำให้สามเณรภรังสี ประหลาดใจยิ่งนักจึงอยากที่จะพิสูจน์ เรื่องราวเกี่ยวกับ นิมิตนั้น เมื่อสอบธรรมสนามหลวงประจำปี พ.ศ. ๒๕๒๔ เสร็จ จึงได้ไปปฏิบัติธรรมที่วัดภูพลาน สูงเพื่อตามหาให้รู้ว่าวังพระนิพพานอยู่ที่ใด ช่วงเวลานั้นที่วัดภูพลานสูงมีหลวงพ่อพระครูวิบูลธรรมธาดา เป็น ประธานสงฆ์กำลังจัดเตรียมสถานที่ปฏิบัติธรรม ในงานดังกล่าวนี้สามเณรภรังสีได้พบกับครูบาอาจารย์ สายกรรม ฐานหลายรูป เช่น หลวงปู่สาย จารุวณฺโณ วัดป่าหนองยาว หลวงพ่อเหลื่อม อนุตฺตโร วัดป่าโสภาวนาราม หลวงปู่เคน วัดประดิษฐ์ อ.เดชอุดม จึงได้กราบเรียบถามธรรมะกับครูบาอาจารย์ในเรื่องข้อวัตรปฏิบัติ ทำให้ เกิดความเลื่อมใสในธรรมเป็นอย่างมาก สามเณรภรังสีได้ร่วมปฏิบัติธรรมเป็นเวลา ๑๐ วัน ทำให้เลื่อมใส ศรัทธาในหลักธรรมคำสั่งสอนเป็นอย่างมาก หลังจากเสร็จงานปฏิบัติธรรมครูบาอาจารย์ก็แยกย้ายกลับสู่อาวาส ของตน สามเณรภรังสียังคงอยู่ปฏิบัติธรรมต่ออีกกับพระอีกไม่กี่รูป จนได้รับเชื้อมาลาเรียแต่ก็ฝืนทนตั้งใจปฏิบัติ ธรรมอยู่ต่อจนถึง ๒๕ เมษายน ๒๕๒๕
นี้เป็นเวปไซต์ของวัดภูพลานสูง ครับ
http://www.suriyathat.net/default.phpหน้าพระเจ้าใหญ่อินทร์แปลง
สัมผัสสมาธิครั้งแรก
อยู่มาคืนหนึ่งสามเณรภรังสีได้ยินเสียงของเทพเจ้าภูจองพูดว่า ? ขอให้ลูกเณรไปพักที่ถ้ำแห่งหนึ่ง ? จึงเดิน หาถ้ำนั้นจนถึงเวลา ๓ ทุ่ม จึงพบถ้ำนั้น และได้เข้าไปทำความสะอาดจัดแจงที่พัก จุดธูปเทียน สวดมนต์ภาวนา ขณะที่นั่งเจริญภาวนาอยู่นั้นก็มีสัตว์ชนิดหนึ่งวิ่งเข้ามาหยุดอยู่ ข้างเทียนที่จุดไว้หลายตัว สามเณรรังสีจึงลืมตามองดูสัตว์เหล่านั้น สักพักแสงเทียนที่จุดนั้นก็เปล่งประกายเป็นดวงไฟสว่างขึ้นเต็มถ้ำ และแสงเหล่านั้นก็วิ่งเข้ามาในดวงตาทั้งสองข้าง ทำให้ตกใจมากจนทำอะไรไม่ถูกจึงปล่อยจิตคล้อยตามแสงของ ดวงไฟจนเข้าสู่ภวังค์ ขณะนั้นมีความรู้สึกแน่นอึดอัดในหัวใจแต่ทำอะไร ไม่ได้จึงได้แต่นั่งพิจารณาจิตต่อไป จนจิตดับลงมีแต่แสงสว่างกับความรู้สึกที่ใสสะอาดบริสุทธิ์ จึงนั่งคิดในใจว่า ?นี่หรือคือความสงบของสมาธิ? จนเวลาล่วงไปจนถึงเวลาตีสี่ จิตก็ถอนออกจากสมาธิ ก่อให้เกิดความปีติและอัศจรรย์อย่างยิ่ง และอาการเจ็บไข้ ก็หายเป็นปลิดทิ้ง ด้วยอานุภาพแห่งธรรม โอสถสามเณรรังสีจึงนึกศรัทธาเลื่อมใสพระธรรมคำสั่งสอนเป็นอย่างมาก จึง ตัดสินใจลงจากเขา ทิ้งวัดภูพลานสูงไว้เบื้องหลัง ไปกราบนมัสการลาหลวงพ่อพระอุปัชฌาย์ เพื่อจะแสวงหา ครูบาอาจารย์ผู้ให้แนวทางการปฏิบัติธรรม จากนั้นได้เดินทางไปกราบหลวงปู่มั่น ทตฺโต วัดบ้านโนนเจริญ เพื่อขอ อุบายธรรม หลวงปู่มั่น ขณะนั้นมีอายุได้ ๑๐๔ ปี จึงได้บอกให้ไปศึกษาข้อวัตรกับหลวงปู่สาย จารุวณฺโณ วัดป่าหนองยาว จึงได้ เดินทางไปศึกษาข้อวัตรจากท่าน
อุปสมบทเป็นพระภิกษุ
สามเณรภรังสีพอมีอายุครบอุปสมบทได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุในโดยมีพระครูพิพัฒนโกศลเป็นพระอุปัชฌาย์
การอุปสมบทนั้นไม่มีเจ้าภาพถวายอัฏฐะบริขาร ท่านจึงได้ไปหาเก็บเอาจีวรเก่า ๆ ที่เขาทิ้งเอามาซักย้อมใหม่ บาตรก็เป็นบาตรเก่าทะลุ ก็เอาสีผึ้งมาอุดทำสลกบาตรใส่ อัฏฐะบริขารต่าง ๆ ล้วนแล้วแต่เป็นของเก่าที่เขาทิ้งทั้งนั้น คิดแล้วก็น่าสังเวชยิ่งนัก ด้วยเหตุดังกล่าวจึงทำให้พระภรังสี ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท มักน้อยสันโดษตั้งใจ ประพฤติปฏิบัติธรรมตามพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด เมื่ออุปสมบทแล้ว หลวงปู่สายได้ให้โอวาทานุสาสนี และได้ ส่งพระภรังสีไปจำพรรษาที่วัดป่าโสภาวนาราม ซึ่งมีหลวงพ่อเหลื่อม อนุตฺตโร เป็นประธานสงฆ์ พระภิกษุ ภรังสีได้มีโอกาสไปกราบนมัสการฟังธรรมจากหลวงพ่อชา สุภทฺโท แห่งวัดหนองป่าพงอยู่เนือง ๆ เพราะได้ยิน หลวงปู่สายปรารภอยู่บ่อยครั้ง หลวงพ่อชาก็ให้ความเมตตาอนุเคราะห์ แก่พระภรังสีด้วยธรรมะข้อปฏิบัติว่า
? อยากภาวนาเป็นต้องหยุดคิด หยุดอยาก หยุดปรุงแต่ง
ไม่แบ่งเชื้อแบ่งชั้นก็เป็นพระอรหันต์หมดทุกข์ได้ ทำได้เดี๋ยวนี้เป็นเดี๋ยวนี้ ?
เป็นเหตุให้พระภรังสีเกิดความเลื่อมใส ศรัทธาเป็นอย่างมาก จึงได้ลงมือประพฤติปฏิบัติธรรมตามอุบายธรรมที่ หลวงพ่อชา และหลวงปู่สายมอบให้ จนยังจิตให้ได้เข้าสู่สมาธิอีกครั้ง ทำให้พระภรังสียิ่งได้ความมั่นใจ ในธรรม ไม่ลังเลสงสัยในมรรคผลนิพพานตั้งจิตปฏิญาณตนต่อพระรัตนตรัยว่า
?แม้ว่าชาตินี้ชาติหน้าข้าพเจ้ายังไม่ถึงพระนิพพาน ก็จะขอประพฤติปฏิบัติยึดมั่นในพระรัตนตรัยตลอดทุกชาติไป?
--------------------------------------------------------------------------------