หลวงพ่อภรังสี ฉันทโร วัดภูพลานสูง อ.นาจะหลวย จ.อุบลราชธานี เเละวัตถุมงคลของท่าน ?>
ชมรมอนุรักษ์พุทธศิลป์แห่งภาคอีสาน
The Buddhist Art Conservation Club Of Esan (North Eastern Part Of Thailand)
19 เมษายน 2567, 00:24:04 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  

กติกาในการ เช่า-แลกเปลี่ยนพระเครื่อง | พระเครื่องเมืองอุบลราชธานี | แจ้งปัญหาการใช้งาน
แจ้งเรื่องการยืนยันตัวตนสำหรับผู้ที่จะให้เช่าพระเครื่องฯ | วิธีสมัครสมาชิกเว็บ

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: หลวงพ่อภรังสี ฉันทโร วัดภูพลานสูง อ.นาจะหลวย จ.อุบลราชธานี เเละวัตถุมงคลของท่าน  (อ่าน 34246 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ChayTurbo
Full Member
***

พลังน้ำใจ : 56
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 148

Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com Level 9 : Exp 83%
HP: 0%



ดูรายละเอียด อีเมล์
« เมื่อ: 05 ตุลาคม 2554, 21:53:56 »



อัตตชีวประวัติของหลวงพ่อภรังสี        
 หลวงพ่อภรังสี เป็นพระเถระทีมีความสำคัญต่อพระพุทธศาสนา เนื่องจากท่านเป็นผู้ค้นพบพระบรม สารีริกธาตุ และรอยพระพุทธบาท เป็นเหตุให้พุทธศาสนิกชนทั้งหลายได้ชื่นชมพุทธบารมีได้พากันสร้างอริยทรัพย์ ตามกำลังศรัทธาและปัญญาของตน จึงจะได้รวบรวมเรียบเรียงอัตตชีวประวัติของหลวงพ่อภรังสี นำเสนอ เพื่ออนุชน คนรุ่นหลังจะ ได้ถือเอาเป็นแบบอย่างตามรอยส้นทางธรรมของหลวงพ่อสืบต่อไป

ชาติกำเนิด
         หลวงพ่อภรังสีได้ถือกำเนิดที่บ้านคำบอน ต.ตูม อ.นาจะหลาย อ.นาจะหลวย จ.อุบลราชธานี เมื่อวันที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๐๕ เป็นบุตรของพ่อหมอน กับ แม่สำเริง แก้วคำ มีพี่น้องด้วยกันทั้งหมด ๗ คน โดยหลวงพ่อเป็น คนที่ ๒ มีชีวิตเติบโตขึ้นมาท่ามกลางชนบทของบ้านคำบอนซึ่งส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทำนา เด็กชายรังสี จึงได้ ช่วยเหลือบิดามารดาทำการต่าง ๆ อย่างเต็มกำลัง เด็กชายรังสีมีอุปนิสัยเป็นคนมีอำนาจมาตั้งแต่กำเนิด พูดจา ฉะฉาน เสียงดัง พ่อแม่พี่น้องมักจะเกรง แม้แต่สัตว์ที่เลี้ยงต่างก็เกรงกลัว เมื่ออายุครบเกณฑ์ จึงได้เข้าเรียนที่ โรงเรียนบ้านคำบอน จนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ หลังจากจบการศึกษาจึงช่วยบิดามารดาทำงานมาตลอด จน กระทั่งอายุได้ ๑๘ ปี เกิดความเบื่อในเพศฆราวาส เพราะพิจารณาเห็นความยากลำบากในการดำเนินชีวิตแต่ละวัน เห็นโทษเห็นภัยในการครองเรือน และตั้งปณิธานว่า ชาตินี้จะเป็นเพียงลูก ไม่ขอเป็นพ่อคนแม่เด็ดขาด เพราะ ได้พิจารณาเห็นโทษอย่างลึกซึ้ง เกิดอุปมาในใจขึ้นมาว่า ?สมมุติว่าเราเกิดมามีน้องคนหนึ่ง เราไปป่าทำงาน ฝน ตกเปียก ลิ้น ยุง ก็เยอะ ไม่ได้เอาอาหารไปด้วย น้องก็จะหิวร้องไห้ เกิดความทุกข์ทรมาน เราก็จะสงสารน้อง ทั้งตัว เราหิว ถ้าหากเรามีลูกก็คงจะทุกข์ยากลำบากเช่นเดียวกันกับตัวเรา? จึงคิดหาหนทางออกจากเพศฆราวาส เพราะ ถ้าอยู่ก็ต้องดำเนินชีวิตไปตามวิถีของฆราวาส ไม่พ้นการครองเรือนไปได้

เข้าสู่ร่มผ้ากาสาวพัตร
         เมื่อเด็กชายภรังสีเจริญวัยขึ้นมาและได้ช่วยเหลือการงานของบิดามารดาพอสมควรแล้ว จึงได้ตัดสินใจ เข้าสู่
ร่มผ้ากาสาวพัตร บรรพชาเป็นสามเณรเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๔ มีอายุครบ ๑๘ ปี ที่วัดศรีพรหม อ.นาจะหลวย จ.อุบลราชธานี โดยมีพระครูอุดมคุณาภรณ์(สุก อดีตเจ้าคณะอำเภอนาจะหลวย เป็นพระอุปัชฌาย์ และได้ ศึกษาธรรมวินัยกับพระอุปัชฌาย์จำพรรษาที่วัดศรีพรหมนั่นเอง ในช่วงกลางพรรษาสามเณรภรังสี ได้เห็นภาพถ่าย ของหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต จึงมีจิตน้อมไปในสายทางแห่งการปฏิบัติธรรม คืนหนึ่งได้เกิดนิมิตว่า ได้เดินขึ้นไปที่ ตอไม้ใหญ่มองขึ้นไปที่วัดภูพลานสูง เห็นแสงสว่างมีพระอริยเจ้าเดินจงกรมเป็นแถวและได้ยินเสียงเทวดาบอกว่า ?นั่นคือวังพระนิพพาน? เมื่อตื่นขึ้นมาจึงทำให้สามเณรภรังสี ประหลาดใจยิ่งนักจึงอยากที่จะพิสูจน์ เรื่องราวเกี่ยวกับ นิมิตนั้น เมื่อสอบธรรมสนามหลวงประจำปี พ.ศ. ๒๕๒๔ เสร็จ จึงได้ไปปฏิบัติธรรมที่วัดภูพลาน สูงเพื่อตามหาให้รู้ว่าวังพระนิพพานอยู่ที่ใด ช่วงเวลานั้นที่วัดภูพลานสูงมีหลวงพ่อพระครูวิบูลธรรมธาดา เป็น ประธานสงฆ์กำลังจัดเตรียมสถานที่ปฏิบัติธรรม ในงานดังกล่าวนี้สามเณรภรังสีได้พบกับครูบาอาจารย์ สายกรรม ฐานหลายรูป เช่น หลวงปู่สาย จารุวณฺโณ วัดป่าหนองยาว หลวงพ่อเหลื่อม อนุตฺตโร วัดป่าโสภาวนาราม หลวงปู่เคน วัดประดิษฐ์ อ.เดชอุดม จึงได้กราบเรียบถามธรรมะกับครูบาอาจารย์ในเรื่องข้อวัตรปฏิบัติ ทำให้ เกิดความเลื่อมใสในธรรมเป็นอย่างมาก สามเณรภรังสีได้ร่วมปฏิบัติธรรมเป็นเวลา ๑๐ วัน ทำให้เลื่อมใส ศรัทธาในหลักธรรมคำสั่งสอนเป็นอย่างมาก หลังจากเสร็จงานปฏิบัติธรรมครูบาอาจารย์ก็แยกย้ายกลับสู่อาวาส ของตน สามเณรภรังสียังคงอยู่ปฏิบัติธรรมต่ออีกกับพระอีกไม่กี่รูป จนได้รับเชื้อมาลาเรียแต่ก็ฝืนทนตั้งใจปฏิบัติ ธรรมอยู่ต่อจนถึง ๒๕ เมษายน ๒๕๒๕

นี้เป็นเวปไซต์ของวัดภูพลานสูง ครับ  http://www.suriyathat.net/default.php

หน้าพระเจ้าใหญ่อินทร์แปลง

สัมผัสสมาธิครั้งแรก

         อยู่มาคืนหนึ่งสามเณรภรังสีได้ยินเสียงของเทพเจ้าภูจองพูดว่า ? ขอให้ลูกเณรไปพักที่ถ้ำแห่งหนึ่ง ? จึงเดิน หาถ้ำนั้นจนถึงเวลา ๓ ทุ่ม จึงพบถ้ำนั้น และได้เข้าไปทำความสะอาดจัดแจงที่พัก จุดธูปเทียน สวดมนต์ภาวนา ขณะที่นั่งเจริญภาวนาอยู่นั้นก็มีสัตว์ชนิดหนึ่งวิ่งเข้ามาหยุดอยู่ ข้างเทียนที่จุดไว้หลายตัว สามเณรรังสีจึงลืมตามองดูสัตว์เหล่านั้น สักพักแสงเทียนที่จุดนั้นก็เปล่งประกายเป็นดวงไฟสว่างขึ้นเต็มถ้ำ และแสงเหล่านั้นก็วิ่งเข้ามาในดวงตาทั้งสองข้าง ทำให้ตกใจมากจนทำอะไรไม่ถูกจึงปล่อยจิตคล้อยตามแสงของ ดวงไฟจนเข้าสู่ภวังค์ ขณะนั้นมีความรู้สึกแน่นอึดอัดในหัวใจแต่ทำอะไร ไม่ได้จึงได้แต่นั่งพิจารณาจิตต่อไป จนจิตดับลงมีแต่แสงสว่างกับความรู้สึกที่ใสสะอาดบริสุทธิ์ จึงนั่งคิดในใจว่า ?นี่หรือคือความสงบของสมาธิ? จนเวลาล่วงไปจนถึงเวลาตีสี่ จิตก็ถอนออกจากสมาธิ ก่อให้เกิดความปีติและอัศจรรย์อย่างยิ่ง และอาการเจ็บไข้ ก็หายเป็นปลิดทิ้ง ด้วยอานุภาพแห่งธรรม โอสถสามเณรรังสีจึงนึกศรัทธาเลื่อมใสพระธรรมคำสั่งสอนเป็นอย่างมาก จึง ตัดสินใจลงจากเขา ทิ้งวัดภูพลานสูงไว้เบื้องหลัง ไปกราบนมัสการลาหลวงพ่อพระอุปัชฌาย์ เพื่อจะแสวงหา ครูบาอาจารย์ผู้ให้แนวทางการปฏิบัติธรรม จากนั้นได้เดินทางไปกราบหลวงปู่มั่น ทตฺโต วัดบ้านโนนเจริญ เพื่อขอ อุบายธรรม หลวงปู่มั่น ขณะนั้นมีอายุได้ ๑๐๔ ปี จึงได้บอกให้ไปศึกษาข้อวัตรกับหลวงปู่สาย จารุวณฺโณ วัดป่าหนองยาว จึงได้ เดินทางไปศึกษาข้อวัตรจากท่าน

อุปสมบทเป็นพระภิกษุ

         สามเณรภรังสีพอมีอายุครบอุปสมบทได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุในโดยมีพระครูพิพัฒนโกศลเป็นพระอุปัชฌาย์
การอุปสมบทนั้นไม่มีเจ้าภาพถวายอัฏฐะบริขาร ท่านจึงได้ไปหาเก็บเอาจีวรเก่า ๆ ที่เขาทิ้งเอามาซักย้อมใหม่ บาตรก็เป็นบาตรเก่าทะลุ ก็เอาสีผึ้งมาอุดทำสลกบาตรใส่ อัฏฐะบริขารต่าง ๆ ล้วนแล้วแต่เป็นของเก่าที่เขาทิ้งทั้งนั้น คิดแล้วก็น่าสังเวชยิ่งนัก ด้วยเหตุดังกล่าวจึงทำให้พระภรังสี ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท มักน้อยสันโดษตั้งใจ ประพฤติปฏิบัติธรรมตามพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด เมื่ออุปสมบทแล้ว หลวงปู่สายได้ให้โอวาทานุสาสนี และได้ ส่งพระภรังสีไปจำพรรษาที่วัดป่าโสภาวนาราม ซึ่งมีหลวงพ่อเหลื่อม อนุตฺตโร เป็นประธานสงฆ์ พระภิกษุ ภรังสีได้มีโอกาสไปกราบนมัสการฟังธรรมจากหลวงพ่อชา สุภทฺโท แห่งวัดหนองป่าพงอยู่เนือง ๆ เพราะได้ยิน หลวงปู่สายปรารภอยู่บ่อยครั้ง หลวงพ่อชาก็ให้ความเมตตาอนุเคราะห์ แก่พระภรังสีด้วยธรรมะข้อปฏิบัติว่า

? อยากภาวนาเป็นต้องหยุดคิด หยุดอยาก หยุดปรุงแต่ง
ไม่แบ่งเชื้อแบ่งชั้นก็เป็นพระอรหันต์หมดทุกข์ได้ ทำได้เดี๋ยวนี้เป็นเดี๋ยวนี้ ?

เป็นเหตุให้พระภรังสีเกิดความเลื่อมใส ศรัทธาเป็นอย่างมาก จึงได้ลงมือประพฤติปฏิบัติธรรมตามอุบายธรรมที่ หลวงพ่อชา และหลวงปู่สายมอบให้ จนยังจิตให้ได้เข้าสู่สมาธิอีกครั้ง ทำให้พระภรังสียิ่งได้ความมั่นใจ ในธรรม ไม่ลังเลสงสัยในมรรคผลนิพพานตั้งจิตปฏิญาณตนต่อพระรัตนตรัยว่า

?แม้ว่าชาตินี้ชาติหน้าข้าพเจ้ายังไม่ถึงพระนิพพาน ก็จะขอประพฤติปฏิบัติยึดมั่นในพระรัตนตรัยตลอดทุกชาติไป?



--------------------------------------------------------------------------------

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05 ตุลาคม 2554, 22:56:16 โดย ChayTurbo » บันทึกการเข้า
ChayTurbo
Full Member
***

พลังน้ำใจ : 56
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 148

Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com Level 9 : Exp 83%
HP: 0%



ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #1 เมื่อ: 05 ตุลาคม 2554, 21:58:52 »

พิจารณาเห็นโทษของการครองเรือน
         ในช่วงกลางพรรษา คุณพ่อหมอน แก้วคำ ได้มารบเร้าให้พระภรังสีให้ลาสิกขาออกไปช่วยงานทาง ครอบครัว เพราะตอนนี้มีความเป็นอยู่ลำบากมากขาดคนช่วยงาน จึงทำให้ท่านเกิดการเปรียบเทียบระหว่าง โลกกับธรรมะ ในขณะที่จิตกำลังหยั่งลงสู่กระแสแห่งธรรม กลับถูกรบเร้าให้ลาสิกขา จิตสองฝ่ายจึงต่อสู่อย่างหนัก ระหว่างกระแสธรรม กับความกตัญญู ท่านจึงเร่งทำความเพียรอย่างหนัก เพราะพิจารณาว่าท่านเองมีโอกาสที่จะอยู่ ในพระธรรมวินัยน้อยนัก เพราะออกพรรษาจะได้สึก ด้วยเหตุที่ท่านได้เร่งบำเพ็ญเพียร อย่างหนักและต่อเนื่อง ทำให้จิตหยั่งลงสู่สมาธิ ก่อนพรรษา ๑๕ วัน จากการที่จิตได้หยั่งลงสู่สมาธิในครั้งนี้ จึงทำให้พระภรังสี ตัดสินใจ ที่จะไม่ลาสิกขา เพราะได้เห็นอานุภาพแห่งธรรม พิจารณาเห็นด้วยปัญญาถึงโทษของการครองเรือน เห็นความเกิด แก่เจ็บตายและความทุกข์ ที่วนเวียนเกิดแล้วเกิดเล่าทำให้เกิดมุ่งมั่น ที่จะปฏิบัติธรรมชำระจิตให้หลุดพ้นไป จากกระแสของการ เวียนว่ายตายเกิดให้ได้ จึงได้ตัดสินใจบอกโยมพ่อไปว่าท่านจะไม่ลาสิกขาเพราะมีศรัทธา ในธรรมเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าโยมพ่อจะหาท่านว่าลูกเป็นคนอกตัญญูก็ตาม ทำให้โยมพ่อผิดหวังถึงกลับน้ำตาคลอเบ้า

ออกจาริกธุดงค์แสวงหาโมกขธรรม
         ด้วยปณิธานที่แน่วแน่ต่อการมุ่งออกประพฤติปฏิบัติธรรม เมื่อออกพรรษากรานกฐินเสร็จ พระภรังสีจึงเตรียม อัฏฐะบริขารออกจาริกธุดงค์ โดยตั้งสัจจะปฏิญาณไว้ว่า ?ตราบใดที่การประพฤติปฏิบัติยังไม่ได้ความมั่นใจ ในธรรม จะไม่กลับมาให้พ่อแม่ญาติพี่น้องเห็นหน้าโดยเด็ดขาด? จากนั้นจึงได้จาริกสัญจรรอนแรมไปตามป่า เขาลำเนาไพร ทิ้งบ้านพ่อแม่ไว้เบื้องหลัง

ได้รับอุบายธรรมจากหลวงปู่หล้า
ในช่วงเวลาสิบปีนี้ พระภรังสีได้ใช้เวลาจาริกธุดงค์ ๕ ไปตามสถานที่ต่าง ๆ ของภาคอีสาน ครั้งหนึ่งได้เดิน ทางไปพักปฏิบัติธรรมที่ภูเขาคำผักกูด อ. นิคมคำสร้อย จ.มุกดาหาร ในขณะที่บำเพ็ญภาวนาอยู่นั้นได้นิมิต เห็นหลวงปู่หล้า เขมปตฺโต แห่งวัดภูจ้อก้อ ซึ่งไม่เคยรู้จักมาก่อน พอรุ่งเช้าก็เที่ยวบิณฑบาต ได้สอบถามชาวบ้าน ที่มาใส่บาตรว่าแถวนี้มีพระชื่อ หลวงปู่หล้าไหม ได้รับคำตอบจากชาวบ้านว่า หลวงปู่หล้าท่านพำนักอยู่ที่ภูจ้อก้อ เมื่อทำภัตตกิจเสร็จ จึงเดินทางไปพักที่ภูเก้า และได้ เดินทางไปกราบนมัสการหลวงปู่หล้าที่ภูจ้อก้อ ในขณะนั้น มีสาธุชนนั่งฟังธรรมจากหลวงปู่หล้าเป็น จำนวนมาก พอพระภรังสีเดินทางไปถึงหน้าถ้ำ หลวงปู่ก็หยุดแสดงธรรม พร้อมกับ ทักขึ้นทันทีว่า ? อ้อ... พอเรียก ก็มาทันทีเลยนะ ? ทำให้พระภรังสีอัศจรรย์ใจเป็นอย่างมาก จึงก้มกราบ หลวงปู่ท่านเอาพัดเคาะหัวเบา ๆ ๓ ครั้งและก็ต้อนรับปฏิสัณถาร สอบถามถึงความเป็นมาว่ามาจากไหน เป็น ลูกศิษย์ของใคร พระภรังสี จึงกราบเรียนหลวงปู่ว่า ? กระผมเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่สาย หลวงปู่ชา ? หลวงปู่หล้า ได้แนะนำให้พักบำเพ็ญภาวนาอยู่ที่ภูเก้า พระภรังสีจึงได้ปฏิบัติตามคำแนะนำของหลวงปู่ และทุก ๆ วันพระจะ เดินทางมาฟังธรรมกับหลวงปู่เป็นประจำ ในวันพระสุดท้าย หลวงปู่ท่านพูดเปรย ๆ ว่า

? มาฟังเทศน์ตั้งหลายวันไม่ได้อะไรเลย เดี๋ยวหลวงปู่จะให้ธรรม จงตั้งใจฟังนะ
ทุกคนเกิดมาต้องตาย ให้ตั้งใจปฏิบัติธรรมยืนเดินนั่งนอนให้มีสติเอาธรรมมาคิด
เอาจิตมาภาวนา ให้เห็นพุทโธในตัวของเรา เห็นธาตุเห็นขันธ์เห็นกิเลส เห็นเหตุเห็นผลแล้วยกตนออกจากทุกข์ แค่นี้ก็ถึงพระนิพพานแล้วครูบา เอ้ย ?

         เมื่อฟังธรรมเทศนาของหลวงปู่ก็ทำให้รื่นเริงบันเทิงใจในธรรมยิ่งนัก จากนั้นพระภรังสีก็ได้กราบลาหลวงปู่ เดินทางจาริก ไปที่ อ.สมเด็จ พักที่นั่น ๑ คืน จาริกไปที่ อ.นามน อ. สหัสขันธ์ อ.ยางตลาด อ. หนองกรุงศรี ตามลำดับ และได้ไปพักที่ถ้ำวัวซอ



นิมิตเห็นหลวงปู่เทพโลกอุดร

         ในคืนสุดท้ายที่พักบำเพ็ญภาวนาอยู่ที่ถ้ำหนองวัวซอนั้น ได้นิมิตพบกับหลวงปู่โลกเทพอุดร ท่านบอกว่า จะมี คนมารับไปพบท่าน พอรุ่งเช้าก็มีรถวิ่งมารับถึงที่พักและนิมนต์ให้ขึ้นรถโดยบอกว่าหลวงปู่ให้มารับ พระภรังสีเก็บ บริขาร และได้เดินทางมากับรถคันนั้นตลอดวันถึง จ. ชัยภูมิในเวลาบ่าย ๔ โมงเย็น รถมาจอดที่กลางเมืองชัยภูมิ จากนั้นทั้งรถและคนที่มารับก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย สร้างความอัศจรรย์ใจให้พระภรังสียิ่งนัก จึงได้เดินทาง ออกจากตัวเมืองไปพักที่ทุ่งนา รุ่งเช้าเห็นชาวบ้านพากันมาตักน้ำ จึงได้ออกบิณฑบาต และทำภัตตกิจ และ เดินทางไปที่ถ้ำหนองวัวแดง ซึ่งชาวบ้านล่ำลือกันว่าที่ถ้ำนี้มีผีกินพระ ยิ่งทำให้ท่านอยากรู้อยากเห็นอยากสัมผัส เป็นอย่างมาก เพราะโดยปกติวิสัยแล้วท่านเป็นคนไม่กลัวผี พระภรังสี ได้พักภาวนาที่ถ้ำหนองวัวแดงนี้เป็นเวลา ๓ คืน ในขณะที่เจริญภาวนาที่ถ้ำนั้นได้นิมิตเห็นพญางูมาบอกให้ไปบำเพ็ญภาวนาที่ถ้ำหมากเหย เพราะหลวงปู่ โลกเทพอุดร รอท่านอยู่ที่นั่น เมื่อออกจาสมาธิจึงได้เดินทางจาริกต่อไป ที่ภูหมากเหยและพักที่นั่น ๓ คืน ในคืน ที่สาม เกิดมี เสียงประหลาดเหมือนมีหมูป่าฝูงใหญ่เดินเข้ามาหา พอเอามือลูบที่กลด เสียงนั้นกลับเดินขึ้น หน้าผา ที่สูงชัน ในขณะที่นั่งภาวนาอยู่นั้น หลวงปู่โลกเทพอุดรได้ปรากฏขึ้นถอดเอาจิตของพระภรังสี ไป ท่องเที่ยว ในแดนทิพย์ พาไปดูทิพยสมบัติและลงไปในถ้ำที่หลวงปู่อยู่ และหลวงปู่ได้บอกให้ฟังว่า เมื่อเจ้าออกไปสู่ โลกภายนอกจะได้ยินชื่อเสียงของหลวงปู่โลกเทพอุดร เอง



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05 ตุลาคม 2554, 22:13:43 โดย ChayTurbo » บันทึกการเข้า
ChayTurbo
Full Member
***

พลังน้ำใจ : 56
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 148

Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com Level 9 : Exp 83%
HP: 0%



ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #2 เมื่อ: 05 ตุลาคม 2554, 22:02:13 »

จาริกสู่อำเภอภูกระดึง
          รุ่งเช้าวันต่อมาพระภรังสีก็ออกบิณฑบาต เมื่อทำภัตตกิจเสร็จแล้วก็ออกเดินทางข้ามภูเขาเดินหลงทางตั้ง แต่ เช้าจนถึงเวลาสี่ทุ่ม ในขณะที่หลงป่าอยู่นั้นได้พบต้นไม้ประหลาดมีพิษ เรียกว่าต้นหานช้าง เมื่อโดนพิษเข้าแล้ว ต้องใช้รากเป็นยาถอนพิษ และต้นตังหนู เหนียวเหมือนกับกาว ได้พบกับพรานป่า ๔ คนนำพาออกจากป่านั้น เดินทางถึงหมู่บ้านของนายพรานเวลา ๓ ทุ่มของอีกวันหนึ่ง หลังจากนั้นก็ได้แวะพักที่ถ้ำตลาด ๑ คืน ได้จาริก ไปบำเพ็ญสมณธรรมถ้ำเสือ อ. ภูกระดึง เป็นถ้ำที่มีความสวยงามตามธรรมชาติมาก ห่างไกลจากหมู่บ้าน ๗ กม. ถ้ำแห่งนี้มีเทพวานรสิงสถิตอยู่ ในช่วง ๓ คืนแรกของการเจริญภาวนา จะถูกเทพวานรนี้รบกวนตลอด จนถึงคืนที่ ๔ จึงหยุดรบกวน ได้พักที่ถ้ำเสือ ๗ วัน ต่อจากนั้นก็ได้ไปพักบำเพ็ญภาวนาที่ถ้ำพระอินทร์ เป็นอีกถ้ำหนึ่งที่มีความ สวยงาม มีบ่อน้ำทิพย์ ลึกเข้าไปข้างในจะพบพระธาตุอยู่เป็นจำนวนมาก ในคืนที่๒ ได้มีเทวดานำลูกแก้วมาถวาย แต่พระภรังสีไม่ได้รับไว้ ได้พักที่ถ้ำพระอินทร์นี้ ๓ คืน จากนั้นก็กลับมาพักที่ถ้ำเสืออีกครั้งหนึ่ง และได้พักบำเพ็ญ ภาวนาต่อที่ถ้ำน้ำดั้น เป็นเวลา ๑ เดือน ที่ถ้ำนี้เกิดเหตุการณ์มีผีก่องก่อยดงมารบกวนในเวลากลางคืน เป็นเวลา ๙ วัน ท่านก็ได้แผ่เมตตาให้ผีเหล่านั้น จนหายไปในที่สุด จากนั้นจึงได้เดินทางพักบำเพ็ญที่ถ้ำภูลังกา ที่ถ้ำนี้ได้มีชาว บังบด นำผลไม้เหมือนลูกแก้วใส่ตะกร้ามาถวาย แต่ท่านก็ไม่รับ เมื่อถูกชาวบังบดถามถึงเหตุผลของการไม่รับ ท่าน
จึง ตอบว่า ?อาตมาปฏิบัติบำเพ็ญธรรมมุ่งหวังที่จะดับกิเลสให้หมดสิ้น ไม่ได้หวังวัตถุสิ่งของสิ่งใด ? ในขณะที่พัก ภาวนาที่ถ้ำนี้แม้จะถูกรบกวน เหมือนมีเสียงคนเดินอยู่รอบถ้ำ แต่ท่านกลับไม่รู้สึกกลัว กลับได้ความอบอุ่นใจ เหมือนมีครูบาอาจารย์ หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ติดตามคุ้มครองตลอด

มุ่งหน้าสู่พระธาตุพนมและกลับสู่มาตุภูมิ
พระภรังสีได้จาริกลงมาตามลุ่มแม่น้ำโขง มุ่งหน้าสู่องค์พระธาตุพนม อันเป็นเจดีย์ศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง ศูนย์รวมพลังศรัทธาของพี่น้องสองฝั่งแม่น้ำโขง ได้แวะกราบนมัสการองค์พระธาตุพนม สวดมนต์อธิษฐานจิต เสร็จแล้วก็เดินมาตามลุ่มแม่น้ำโขงลงมาจนถึง จ. อุบลราชธานี อันเป็นดินแดนของมาตุภูมิ เมื่อมาถึงแล้วก็ได้เข้ากราบหลวงปู่เหลื่อม อนุตฺตโร วัดป่าโสภาวนาราม ผู้เป็นอาจารย์สอนกรรมฐาน และพำนักอยู่ที่นั่นตลอดมา

 

เผชิญกับผีสาวที่ป่าช้าบ้านเค็ง

         ในช่วงก่อนเข้าพรรษาหลวงปู่เหลื่อม ได้ส่งพระภรังสีไปจำพรรษาที่สำนักสงฆ์ป่าช้าบ้านเค็ง ซึ่งเป็นสาขา ของ วัดป่าโสภาวนราม ซึ่งที่สำนักสงฆ์นี้ไม่ค่อยมีพระภิกษุไปพักจำพรรษาเนื่องจากมีคำล่ำลือว่าผีดุ ในวันแรก ที่ไปถึงท่านได้ เจริญภาวนาพอจิตเป็นสมาธิ ก็ปรากฏเห็นมือแข็ง ๆ เล็ก ๆ ยื่นมาจับ พอท่านจับคืนมือนั้นก็หลุด ได้ยินเสียงร้องวิ่งหายเข้าไปในโพรงไม้ ในวันหนึ่งซึ่งตรงกับวันพระขึ้น ๑๕ ค่ำ เมื่อทำวัตรสวดมนต์ เจริญภาวนา ก็ปรากฏเห็นแสงสว่างมีร่างผู้หญิงคนหนึ่งเดินตรงเข้ามากราบ จากนั้นก็ยื่นมือจะมาจับตัวท่าน ทันใดนั้นก็เกิด มีเสียงเหมือนฝ้าผ่าหญิงสาวตกใจวิ่งไปจากศาลายืนอยู่ทางเข้าวัด เมื่อถอนจิตออกจากสมาธิก็ไม่เห็นอะไร จึงหลับ
ตาแจริสมาธิต่อไป ก็ปรากฏเห็นหญิงสาวคนเดิมเดินตรงเข้ามาหา และยื่นมือจะจับอีก ก็ปรากฏเสียงฟ้าผ่าหนัก กว่าเดิม หญิงสาวนั้นก็วิ่งออกไป เมื่อถอนจิตออกจากสมาธิแล้วก็ไปเดินจงกลม แล้วไปพักผ่อนที่กุฏิ หญิงสาว คนนั้นก็ตามไปที่กุฏิแล้วโยกกุฏินั้นสั่นสะเทือนจนเวียนศีรษะจนนอนไม่หลับ เป็นเช่นนี้อยู่ตลอด ๓ เดือน และมี เหตุการณ์ หนึ่งก่อนที่จะออกพรรษาพระภรังสีได้ไปพักผ่อนที่นอกเขตวัด ในขณะที่นั่งภาวนาอยู่นั้น ปรากฏมีเสียง ม้าวิ่งมาเป็นฝูงประมาณ ๗-๘ ตัว วิ่งมาที่กระท่อมริมฝั่งน้ำบึงสระพัง แล้วมาหยุดตรงหน้ากระท่อม ท่านจึงเพ่ง กระแส จิตใส่ฝูงม้านั้น เกิดเสียงดังเหมือนเสียงระเบิดฝูงม้านั้นก็หายไป จึงได้เจริญภาวนาต่ออีก ๑ ชั่วโมง ถึงเวลา ตี ๒-๓ ปรากฏเหมือนมีคนมาจุดไฟขึ้นเสียงดังสนั่น จึงได้ลืมตาขึ้นดูก็เห็นกองไปสว่างขึ้น แต่พอเดินเข้ามาสำรวจ กลับไม่พบอะไรเลย น่าอัศจรรย์มาก

ถอดจิตลงสู่เมืองบาดาลพบหลวงปู่ใหญ่มหาโมคคัลลานะ

         ในปีเดียวกันนั้นในคืนวันหนึ่งขณะที่พระอาจารย์ภรังสีเจริญสมาธิภาวนานั้น ได้เกิดนิมิต ถอดกระแสจิตพุ่ง ลอยออกจากร่างไปตกลงที่ปากมูลแม่น้ำสองสี ทะลุลงไปถึงเมืองบาดาลแล้วได้เดินขึ้นไปสำรวจดู ได้ยินเสียงพูด ดังกังวาลว่า ?ไม่ต้องมาหรอก เจ้าบวชได้สิบพรรษาแล้วจะไปอยู่ด้วย? จึงเดินสำรวจต่อไปเห็นตู้พระคัมภีร์ต่าง ๆ เรียง กันอยู่เป็นจำนวนมาก เห็นพระคัมภีร์ที่อยู่ในตู้แก้วส่องแสงสว่างแวววับ จึงทำให้เกิดความสงสัยว่าที่นี่เป็น ที่ไหน ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงตอบมาว่า ?ที่นี่คือภูมะโรง? หลังจากที่ได้เดินสำรวจดูจนทั่วแล้ว จึงได้มุดออกจาก น้ำมาแล้วเหาะกลับมาเข้าร่างที่วัดป่าบ้านเค็ง เป็นอยู่อย่างนี้เกือบ ทุก ๆ คืน

หลวงปู่สมชายมาปรากฏในนิมิต

         ก่อนออกพรรษาได้ปรากฏนิมิตเห็น หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย วัดเขาสุกิม มาปรากฏ ในนิมิตนั้นพระภรังสี เดินเข้าไปกราบท่านและถวายการนวดท่านก็ได้ให้โอวาทธรรมว่า ?ถูกแล้ว ตรงแล้ว ดีแล้ว เดินให้ถูกต้องตาม สติปัฏฐาน? จากนั้นหลวงปู่สมชายก็หายไป แล้วบอกว่าท่านจะมาหาใหม่

สร้างวัดป่าบ้านดินดำ

         ในปี พ.ศ. ๒๕๒๙ พระอาจารย์ภรังสี ได้ไปสร้างวัดที่ดอนเจ้าปู่ บ้านดินดำ ต.กระโสบ อ. เมือง จ. อุบล ราชธานีในครั้งอดีตกาลที่ตรงนี้เคยเป็นวัดมาก่อน สถานที่ตรงนี้มีความศักดิ์สิทธิ์มาก ใครไปล่วงเกินไม่ได้ เจ้าปู่ที่บ้านดินดำนี้มีชื่อว่า หลวงปู่ชา สุคโต( เป็นวิญญาณของพระ)ได้ไปนิมนต์ให้พระอาจารย์ภรังสีทางนิมิต ให้มาสร้างวัด จึงได้รับคำอาราธนาและได้มาสร้างวัด ในขณะที่เจริญภาวนา ในคืนหนึ่งเกิดนิมิต เป็นแสงสว่างพุ่ง ขึ้นกลางป่า รุ่งเช้าจึงได้ไปเดินสำรวจดูสถานที่ในนิมิตนั้น เห็นเป็นเนินดิน จึงบอกชาวบ้านให้ขุดดูเมื่อขุดลงไป จึงพบไห ๓ ใบ ใบหนึ่งบรรจุอัฐิของหลวงปู่ชา อีก ๒ ใบบรรจุอัฏฐะบริขารของหลวงปู่ชา สุคโต ซึ่งกลาย เป็นดินไป หมดไม่ทราบว่าฝังไว้นานเท่าใด ชาวบ้านก็มีความวิตกกังวลมากเพราะไปขุดในบริเวณศาลเจ้าปู่ เกรงว่าจะ เกิดอาเพศเหตุภัย เมื่อได้พบอัฐิธาตุของท่านแล้ว พระอาจารย์ภรังสีจึงได้นำขึ้นมาบำเพ็ญกุศล อุทิศถวายแด่ดวงวิญญาณของ หลวงปู่ชา สุคโต และได้กำหนดจิตเทศนาธรรมอันเป็นแนวทางแห่งการปฏิบัติ ท่านได้น้อมไปปฏิบัติตามไม่นานก็ได้สำเร็จมรรคผลเหตุการณ์ต่าง ๆ ก็กลับปกติตามเดิม





บันทึกการเข้า
ChayTurbo
Full Member
***

พลังน้ำใจ : 56
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 148

Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com Level 9 : Exp 83%
HP: 0%



ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #3 เมื่อ: 05 ตุลาคม 2554, 22:05:56 »

สร้างวัดป่าบ้านแคน

         ในปี พ.ศ. พระอาจารย์ภรังสี ได้นิมิตเห็นเจ้าที่ ซึ่งเป็นวิญญาณของพระสงฆ์ มาอาราธนาให้ไปสร้างวัด ท่านมีชื่อว่า หลวงปู่โสม กับหลวงปู่ธรรมบาล พระอาจารย์รังสี จึงได้เดินทางไปสำรวจที่ตามนิมิต เป็นบริเวณ หลังที่ว่าการ กิ่งอำเภอดอนมดแดง เป็นป่าหนาทึบ สมบูรณ์ไปด้วยแมกไม้นานาพรรณ จึงพิจารณาเห็นว่า เป็นสถาน ที่เหมาะสมสำหรับสร้างวัด จึงรับคำอาราธนาและได้ไปสร้างวัดป่าบ้าน ที่วัดป่าบ้านแคนนี้ พุทธศาสนิกเริ่มรู้ จักกิตติศัพท์ชื่อเสียงของพระอาจารย์รังสีไปอย่างกว้างขวาง จึงทำให้มีผู้มาประพฤติปฏิบัติธรรม กันเป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่ที่มาปฏิบัติที่นี่เมื่อกลับบ้านไปแล้วก็ จะเจริญก้าวหน้าในหน้าที่ ในชีวิตการงาน บาง รายก็เกิดโชคลาภมหาศาล ผู้คนจึงหลั่งไหลมาสู่วัดป่าบ้านแคนอย่างไม่ขาดสาย

นิมิตเห็นปราสาทหินพนมรุ้ง

         ที่วัดป่าบ้านแคนนี่เอง ในขณะที่พระอาจารย์ภรังสี ได้เจริญภาวนาอยู่ในคืนหนึ่ง ได้นิมิตเห็นปราสาทหิน ผุดขึ้นมากลางสระน้ำหนองแคน แล้วมีเสียงดังตามมาว่า ?ปราสาทหินพนมรุ้ง? รุ่งเช้ามาจึงได้สอบ ถามญาติโยมว่ามีปราสาทหินพนมรุ้งอยู่ไหน เนื่องจากท่านไม่ทราบมาก่อน พอดีในช่วงนั้นมี พันเอก ประสิทธิ์ สว่างวงศ์ ผู้เป็นลูกศิษย์ได้เดินทางกลับถวายภัตตาหารที่วัด ได้อาสาจะพาเดินทางไปที่ปราสาทหินพนมรุ้ง ที่ จ.บุรีรัมย์ และได้เดินทางมาถึงปราสาทในเวลาบ่าย ๓ โมง และได้เกิดเหตุการณ์ที่ประหลาด คือ เจ้าเมืองพนมรุ้ง ได้เข้าสิงห์ผู้ชายคนหนึ่ง วิ่งเข้ามากอด แล้วก็เรียกว่า ?ลูกๆๆๆ เจ้าไปเกิดที่ไหน พ่อรอเจ้าอยู่ตั้งนาน? สร้างความตกตะลึงให้กับนักท่องเที่ยวที่อยู่ในเหตุการณ์เป็นอย่างมาก จากการสอบถามพูดคุยกัน จึงทำให้ได้ ทราบว่า อดีตชาตินั้น พระอาจารย์รังสี ได้เคยเกิดเป็นลูกสาวท้าวศรีสุริยะเทพอินทร อดีตเจ้าเมืองพนมรุ้ง โดย มีชื่อเรียกในสมัยนั้น ว่า เจ้าหญิงพนมรุ้ง เมื่อเดินทางกลับวิญญาณของเจ้าเมือง ปราสาทหินเมืองต่ำก็ได้ ตามมาส่ง เมื่อมาเจออาจารย์น้อย ผู้เป็นน้องชายของพระอาจารย์รังสี เจ้าเมืองปราสาทหิน เมืองต่ำก็เกิดอาการ เช่นเดียวกัน พยายามที่จะสื่อสารให้ได้ทราบว่า อาจารย์น้อยอดีตชาติเคยเป็นลูกของเจ้าเมือง ภพชาติจึงเป็นเรื่อง น่ากลัว สำหรับผู้ประพฤติธรรม ผู้เห็นภัยในการเวียนว่ายตายเกิด จึงควรรีบเร่งปรารภความเพียรกระทำให้แจ้งซึ่ง มรรคผลนิพพาน เพื่อนำตนให้พ้นจากห้วงแห่งวัฏฏะทุกข์นี้

บูรณะวัดหนองยาง

         ในช่วงที่ได้สร้างวัดป่าบ้านแคนนี่เอง พระอาจารย์ภรังสี ได้ไปบูรณะวัดหนองยาง ต.ไร่น้อย อ. เมือง จ.อุบลราชธานี ได้จัดสร้างปรับปรุงเสนาสนะวัตถุให้มีความเหมาะสมสำหรับรองรับพระภิกษุสามเณรได้ ที่วัดหนอง ยาง นี่เอง พระอาจารย์รังสี ได้ถูกลองดี ด้วยการใช้ไสยศาสตร์ บางคืนก็นิมิตเห็นตะกรุดดอกใหญ่ลอยเข้ามาในตัว และอีกสารพัดรูปแบบ เนื่องจากช่วงนั้นท่านกำลังมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป จึงถูกลองดี แต่ทุกอย่างก็ไม่ สามารถจะกระทำอันตราย ท่านได้ ต่างก็พ่ายแพ้ไปด้วยอำนาจแห่งธรรม

พบพระคัมภีร์มหาศักดานุภาพของหลวงปู่ใหญ่มหาโมคคัลลานะทางนิมิต

         ในช่วงที่จำพรรษาอยู่บ้านดินดำนี่เอง เป็นเหตุการณ์ที่นำพาพระอาจารย์รังสี ได้พบกับหลวงปู่ใหญ่มหา โมคคัลลานะครั้งที่ ๒ ในคืนวันหนึ่งขณะที่นั่งเจริญสมาธิภาวนา ได้นิมิตเห็นพระภิกษุชรา รูปหนึ่งไปเรียกให้ไปหา พระอาจารย์จึงไม่รู้ว่าพระภิกษุรูปนี้เป็นใคร อยู่ที่ไหน จึงได้ให้ เทพขุนมาลัย ผู้เป็นลูกศิษย์ของ ท่านนำพาไปหา ภิกษุรูปดังกล่าว เทพขุนมาลัยจึงนำพาพระอาจารย์ไปพบกับ หลวงปู่บุญมาก ฐิตปญฺโญ ที่ภูมะโรง ซึ่งเป็น สถานที่เดียวกันที่พระอาจารย์เคยไปมาในสมัยที่อยู่ว่าป่าบ้านเค็ง หลวงปู่บุญมาก จึงสอบถามว่า ? เธอเป็น ลูกศิษย์ของใคร ทำไมถึงมาที่นี่ได้? พระอาจารย์กราบเรียนว่า ท่านเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่สาย จากนั้นหลวง ปู่บุญมากจึงพาท่านเดินไปดูพระคัมภีร์ ที่มีชื่อเรียกว่า มหาศักดานุภาพ เป็นคัมภีร์ที่หลวงปู่ใหญ่มหาโมค คัลลานะ ได้เขียนจารึกใส่แผ่นทองคำไว้ มีทั้งหมด ๑๒ แผ่น เมื่อเขียนเสร็จแล้วไม่สามารถที่จะเก็บไว้ในที่ไหนได้ ไม่ว่าจะเป็นสวรรค์ โลกมนุษย์ เนื่องจากพระคัมภีร์นี้มีอานุภาพมาก จึงได้อัญเชิญไปเก็บรักษาไว้ที่เมืองบาดาล โดยมีพญานาคนามว่า ศรีสุทโธ เป็นผู้ดูแลรักษา ผู้ที่ได้คัมภีร์นี้ก็จะได้ตามวาสนาบุญบารมีของตน ในอดีต ก็เคยมีพระภิกษุผู้ได้เรียนคัมภีร์นี้หลาย ๆ รูป เช่น หลวงปู่สมเด็จลุน หลวงปู่คำคะนิง หลวงพ่อคูณ เป็นต้น ใน ขณะที่พระอาจารย์รังสีเดินดูพระคัมภีร์นั้น ได้ไปพบกับหลวงปู่คำคะนิง ถูกอำนาจพระคัมภีร์ครอบงำไว้ ไม่สามารถ จะไปไหนได้ สาเหตุเนื่องจากท่านเองประสงค์จะเรียนพระคัมภีร์นี้ให้ครบทุก ๑๒ แผ่น พระอาจารย์รังสีจึง ได้ให้อุบายแก่หลวงปู่คำคะนิงว่า ?ให้หลวงปู่กำหนดจิตปล่อยวาง ? ท่านปฏิบัติตามจึงหลุดพ้นจาก อำนาจพระ คัมภีร์ เข้าสู้แดนนิพพานต่อไป จากนั้นพระอาจารย์รังสีจึงได้ตั้งจิตอธิษฐานขอเรียนพระคัมภีร์ จึงได้มีแผ่น หนึ่งเป็นทองคำ ซึ่งเป็นแผ่นที่ ๑๒ ว่าด้วยเรื่องศักดานุภาพ(เกี่ยวกับเรื่องฤทธิ์) แล้วนำกลับขึ้นมาสู่โลกมนุษย์ ที่วัดป่าบ้านดินดำ เมื่ออัญเชิญเมื่อเข้าสู่เขตวัดอากาศเกิดแปรปรวน ฝนตกฟ้าร้องอย่างหนัก เกิดฟ้าฝ่า เมื่อเห็น ดั่งนี้พระอาจารย์รังสีจึงทราบว่า เป็นอานุภาพของพระคัมภีร์ ไม่สามารถจะอยู่บนโลกมนุษย์ จึงได้อธิษฐาน ให้พระคัมภีร์เสด็จกลับสู่เมืองบาดาลตามเดิม หลังจากจากที่อยู่ที่วัดป่าได้เพียง ๑๐ นาที พอพระคัมภีร์เสด็จ กลับอากาศก็กลับเข้าสู่ภาวะปกติ

สร้างวัดป่าบ้านคำบอน

         พระอาจารย์ภรังสี ได้เดินทางกลับสู่บ้านเกิด เมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๕ แล้วได้มาสร้างวัดป่าคำบอนขึ้น เนื่อง จากท่านนิมิตว่าเหาะมาลงข้าง ๆ หนองบอน ซึ่งเป็นหนองน้ำอยู่ด้านทางทิศเหนือของหมู่บ้านเป็นประจำ จึง ได้มา สำรวจสถานที่ และมีโยมผู้ศรัทธาได้ถวายที่สร้างวัด คือ คุณสุดใจ วรรณประภา ถวายที่ ๑ ไร่ และคุณหนูการ ภวพรหม ถวายจำนวน ๓ ไร่ จึงได้สร้างวัดป่าคำบอนขึ้นและได้พักจำพรรษที่วัดป่าคำบอน ต่อมาได้ขยายเนื้อที่ประมาณ ๗๐ ไร่
         ในช่วงที่มาสร้างวัดป่าคำบอนนี้ พระอาจารย์รังสียังได้เมตตา ไปบูรณะวัดทุ่งเงิน ต.นาจะหลาย อ.นาจะหลวย จ.อุบลราชธานี อีกวัดหนึ่ง โดยได้ส่งพระลูกศิษย์ไปดูแล และพัฒนาให้มีความเจริญตามความ เหมาะสม ในช่วงเข้าพรรษาปี ๒๕๓๕ ซึ่งเป็นปีที่ท่านมีอายุครบ ๑๐ พรรษาหลวงปู่ใหญ่มหาโมคคัลลานะ จึงได้ เสด็จ มาอยู่กับพระอาจารย์รังสี ตามที่ได้บอกไว้ในครั้งที่ไปเจอหลวงปู่ใหญ่ครั้งแรกที่เมืองบาดาล เมื่อหลวงปู่ ใหญ่ เสด็จมา จึงได้มีการสนทนาสอบถามข้อสงสัยต่าง ๆ ถึงความเป็นมา ความผูกพันกันมาตั้งแต่สมัยครั้งพุทธ กาล ปัญหาหนึ่งที่พระอาจารย์รังสีสงสัยมากก็คือ หลวงปู่ใหญ่นิพพานไปแล้ว ทำไมถึงมาปรากฏให้ได้เห็นอีก ภาษิต ที่ว่า นิพฺพานํ ปรมํ สุญฺญํ นิพพานสูญอย่างยิ่ง เมื่อนิพพานไปแล้วทำไมยังมาปรากฏอีก ไม่ได้ สูญไป หรือ หลวงปู่ใหญ่ได้เมตตาตอบว่า ?คำว่า สูญ นั้นหมายถึงกิเลสต่างหากที่สูญไป ส่วนสภาวะบุญบารมี นั้นยังอยู่ไม่ได้สูญหายไปไหน ยังอยู่คุ้มครองดูแลพระศาสนาอยู่ ถ้าสูญไปเลย จะมีอะไรคุ้มครอง พระศาสนา ใครปฏิบัติถึงก็สามารถสัมผัสบุญบารมีนั้นได้? พระอาจารย์ภรังสีจึงได้รับความกระจ่าง ได้ยอมรับ นับถือหลวงปู่ใหญ่เป็นครูบาอาจารย์ ภายหลังได้มีการวาดภาพของท่าน สร้างเหรียญ และแกะสลัก รูปเหมือนของท่านขึ้นมา ประกาศเกียรติคุณเชิดชูบูชา จนทำให้พุทธศาสนิกชนได้รู้จักหลวงปู่ใหญ่ไปอย่าง กว้างขวาง เป็นการพลิกประวัติศาสตร์หน้าใหม่แห่งพระพุทธศาสนาซึ่งไม่เคยมีภิกษุรูปใดทำมาก่อนเลยจากการที่ หลวงปู่ใหญ่ได้เสด็จมาอยู่กับพระอาจารย์ภรังสี จึงได้มีการคัดลอกพระคัมภีร์ศักดานุภาพ จากแผ่นทองคำใส่แผ่น ทองเหลือง ปัจจุบันนี้ได้เก็บรักษาไว้ที่วัดป่าบ้านคำบอน โดยเทพขุนมาลัยได้เป็นผู้อัญเชิญพระคัมภีร์ขึ้นมา จากเมืองบาดาล และได้คัดลอก เมื่อคัดลอกเสร็จฟ้าผ่าลงมาถูกตาของเทพมาลัย จนตาบอด พระอาจารย์รังสี จึงเอา แผ่นทองเหลืองที่คัดลอกพระคัมภีร์แช่น้ำเอาให้เทพมาลัยดื่มตาจึงกลับปกติ เมื่อคัดลอกแล้วจึงได้ศึกษา เล่าเรียน ท่องบ่นสาธยาย จนจบ จึงทำให้ท่าน เป็นผู้ครอบครองคัมภีร์มหาศักดานุภาพ อันเป็นพระยาธรรมของ พระพุทธเจ้า เป็นลูกศิษย์ของปู่ใหญ่อย่างบริบูรณ์ จากนั้นมาหลวงปู่ใหญ่ได้นำพระสารีริกธาตุ ของท่านที่เก็บ รักษาไว้ที่ประเทศอินเดีย มามอบให้ เพื่อบูชาสักการะอันเป็นเสมือนหนึ่งตัวแทนของท่าน อัฐิธาตุของครูบาอาจารย์
ก็เสด็จมาที่วัดป่าบ้านคำบอน อย่างไม่ขาดสาย นอกจากนั้นยังมีลูกแก้ว พระพุทธรูปต่าง ๆ เสด็จมา อย่าง น่าอัศจรรย์

หลวงพ่อภรังสีกับการศึกษาพระปริยัติธรรม

         หลวงพ่อภรังสี นอกจากจะมีความรู้ความสามารถในทางปฏิบัติธรรมกรรมฐานแล้ว ด้านการศึกษาพระปริยัติ ธรรมท่านก็ไม่ได้ทอดทิ้ง สามารถสอบผ่านธรรมสนามหลวง ตามหลักสูตรการศึกษาของคณะสงฆ์ ดังนี้
         พ.ศ. ๒๕๒๔ สอบได้นักธรรมชั้นตรี สำนักเรียนวัดศรีพรม อ.นาจะหลวย
         พ.ศ. ๒๕๒๕ สอบได้นักธรรมชั้นโท สำนักเรียนวัดมณีวนาราม อ.เมือง
         พ.ศ. ๒๕๒๗ สอบได้นักธรรมชั้นเอก สำนักเรียนวัดมณีวนาราม อ.เมือง
         พ.ศ. ๒๕๒๘    ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นครูสอนพระปริยัติธรรม ประจำสำนักเรียนวัดกุดลาด
                               ต. กุดลาด อ. เมือง จ.อุบลราชธานี
         พ.ศ. ๒๕๕๐ ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดภูพลานสูง

ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.suriyathat.net/readarticle.php?article_id=9

  วัตถุมงคลในครอบครองของผมครับ

จตุคาม รุ่น ยอดมหาทรัพย์ วัดภูพลานสูง


ด้านหลังครับ

Thanks: ฝากรูป
ฮือฮาจตุคามฯรุ่นยอดมหาทรัพย์วัดภูพลานสูง จ.อุบลราชธานี คุ้มชีวิตฟ้าผ่าไม่เป็นอะไร
อ่านประสบการณ์ได้ที่นี้ครับ   http://news.thaieasyjob.com/crime/show_news-4551-4.html


ส่วนวัตถุมงคล รุ่น อื่นๆ สามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  
http://www.suriyathat.net/readarticle.php?article_id=39




ขอบคุณคุณ TaeUbon  มากครับ ที่มาช่วยให้ข้อมูลเพิ่มเติม  เเละขอบคุณพี่น้องๆที่มาโพสทักทายกัน

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07 ตุลาคม 2554, 01:30:26 โดย ChayTurbo » บันทึกการเข้า
คนโก้
Global Moderator
*****

พลังน้ำใจ : 687
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 678

Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com Level 21 : Exp 12%
HP: 0%



"ทางไปสวรรค์มันฮก ทางไปนรกมันแปน"

ego-2519@hotmail.com
ดูรายละเอียด
« ตอบ #4 เมื่อ: 06 ตุลาคม 2554, 08:33:51 »

ขอบคุณมากครับ ไม่มีตัวอย่างวัตถุมงคลของท่านเหรอครับ

บันทึกการเข้า

"ขุนผู้หาญคองเมืองจั่งเฮืองฮุ่ง  ขุนขี้ย่านคองบ้านบ่ฮุ่งเฮือง"
เล็ก หัวตะเข้
VIP Member
*****

พลังน้ำใจ : 103
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 100

Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com Level 8 : Exp 8%
HP: 0%




ดูรายละเอียด
« ตอบ #5 เมื่อ: 06 ตุลาคม 2554, 16:17:06 »

เหรียญรุ่นแรก หลวงพ่อภรังสี ฉันทโร รุ่นแรกออกที่วัดป่าบ้านคำบอน ครับ


* 89.JPG (550.92 KB, 750x1004 - ดู 12983 ครั้ง.)

* 5+.JPG (496.85 KB, 850x1136 - ดู 12746 ครั้ง.)

บันทึกการเข้า
เต้ อุบล
พุทธศาสนิกชน ฅนรักษ์ธรรมะ
Administrator
*****

พลังน้ำใจ : 634
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 982

Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com Level 25 : Exp 44%
HP: 0%



อย่าสุไลเสียถิ้ม พงษ์พันธุ์พี่น้องเก่า อย่าสุละเผ่าเซื้อ ไปย่องผู้อื่นดี

sabayd8861@hotmail.com
ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #6 เมื่อ: 06 ตุลาคม 2554, 16:32:52 »

วัตถุมงคลหลวงพ่อภรังสี  ที่เป็นที่นิยม และเป็นตำนานประจำตัวหลวงพ่อ ก็คือ เสือ หลวงพ่อได้สืบทอดตำนานเสือ มาจาก หลวงปู่มั่น  ทตฺโต  บูรพาจารย์ ของชาวอุบลราชธานี  และได้ทำวัตถุมงคลออกมาหลาย รุ่น  แต่ละรุ่นก้ได้รับความสนใจจากสาธุชน  เพราะหลายคนที่นำติดตัวแล้วได้เห็นอานุภาพในทาง คุ้มครอง คลาดแคล้ว และป้องกันตัวได้เป็นอย่างดี จะขอประมวลวัตถุมงคลของหลวงพ่อภรังสี เท่าทีพอจะมีข้อมูล

1. เหรียญหลวงพ่อภรังสี รุ่น 1
ลักษณะ  ด้านหน้าเป็นรูปหลวงพ่อภรังสี ครึ่งองค์ ด้านหลังเป็นยันต์ ประจำตัวหลวงพ่อ เหรียญรุ่นนี้ จัดทำ เมื่อ พ.ศ.2547 วสมัยที่หลวงพ่อพำนักอยู่วัดป่าคำบอน สร้างจำนวน  5000 เหรียญ
2. เหรียญ รุ่น 2
มีลักษณะเหมือนรุ่น ๑ ทุกประการ ต่างกันเพียงแต่ รุ่น ๒   จัดสร้างปี 2548 จำนวน 10,000 เหรียญ จัดทำขึ้นในโอกาสอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุสู่วัดปทุมวนาราม บางท่านเรียก รุ่นเชิญพระธาตุ


* a (13).jpg (32.45 KB, 115x153 - ดู 13248 ครั้ง.)

* a (12).jpg (36.58 KB, 117x141 - ดู 13061 ครั้ง.)

บันทึกการเข้า
เต้ อุบล
พุทธศาสนิกชน ฅนรักษ์ธรรมะ
Administrator
*****

พลังน้ำใจ : 634
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 982

Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com Level 25 : Exp 44%
HP: 0%



อย่าสุไลเสียถิ้ม พงษ์พันธุ์พี่น้องเก่า อย่าสุละเผ่าเซื้อ ไปย่องผู้อื่นดี

sabayd8861@hotmail.com
ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #7 เมื่อ: 06 ตุลาคม 2554, 16:34:26 »

2. เหรียญ รุ่น 2
มีลักษณะเหมือนรุ่น ๑ ทุกประการ ต่างกันเพียงแต่ รุ่น ๒   จัดสร้างปี 2548 จำนวน 10,000 เหรียญ จัดทำขึ้นในโอกาสอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุสู่วัดปทุมวนาราม บางท่านเรียก รุ่นเชิญพระธาตุ



3. เหรียญ รุ่น 1 พิเศษ
ลักษณะ   ด้านหน้าเป็นรูปหลวงพ่อภรังสี นั่งสมาธิเต็มองค์ ด้านหลังเป็น ยันต์ประจำตัว มีรูปเสือหมอบ รุ่นนี้ จัดสร้างเมื่อ    ปี พ.ศ.2549 เหรียญทองแดง 10,000 เหรียญ  เหรียญเงิน 100 เหรียญ  เหรียญรุ่นนี้หลวงพ่อชอบเรียก เสมอว่า      รุ่น "ไม่แพ้"
4. เหรียญผง
ลักษณะ เหรียญกลม  ด้านหน้าเป็นรูปหลวงพ่อภรังสี  ด้านหลังเป็นยันต์ ล้อมรอบด้วยเสือ 9 ตัว มี  จัดสร้างในปี 2549 มี 2 เนื้อ คือ เนื้อผง มวล กับ เนื้อ ผงงาช้าง  จัดสร้างในโอกาศที่หลวงพ่อได้รับแต่งตั้งเป็น พระครูธรรมธร  ฐานานุกรม ของพระธรรมปริยัติโสภณ เจ้าคณะภาค 10


* a (11).jpg (32.75 KB, 119x143 - ดู 12949 ครั้ง.)

* a (14).jpg (34.13 KB, 117x163 - ดู 12957 ครั้ง.)

บันทึกการเข้า
เต้ อุบล
พุทธศาสนิกชน ฅนรักษ์ธรรมะ
Administrator
*****

พลังน้ำใจ : 634
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 982

Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com Level 25 : Exp 44%
HP: 0%



อย่าสุไลเสียถิ้ม พงษ์พันธุ์พี่น้องเก่า อย่าสุละเผ่าเซื้อ ไปย่องผู้อื่นดี

sabayd8861@hotmail.com
ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #8 เมื่อ: 06 ตุลาคม 2554, 16:37:04 »

สามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.suriyathat.net/readarticle.php?article_id=39

บันทึกการเข้า
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.19 | SMF © 2006-2009, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!