อาจารย์ปู่ คำผุก อุนาภาค ?>
ชมรมอนุรักษ์พุทธศิลป์แห่งภาคอีสาน
The Buddhist Art Conservation Club Of Esan (North Eastern Part Of Thailand)
17 เมษายน 2567, 03:18:24 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  

กติกาในการ เช่า-แลกเปลี่ยนพระเครื่อง | พระเครื่องเมืองอุบลราชธานี | แจ้งปัญหาการใช้งาน
แจ้งเรื่องการยืนยันตัวตนสำหรับผู้ที่จะให้เช่าพระเครื่องฯ | วิธีสมัครสมาชิกเว็บ

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: อาจารย์ปู่ คำผุก อุนาภาค  (อ่าน 16653 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
เต้ อุบล
พุทธศาสนิกชน ฅนรักษ์ธรรมะ
Administrator
*****

พลังน้ำใจ : 634
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 982

Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com Level 25 : Exp 44%
HP: 0%



อย่าสุไลเสียถิ้ม พงษ์พันธุ์พี่น้องเก่า อย่าสุละเผ่าเซื้อ ไปย่องผู้อื่นดี

sabayd8861@hotmail.com
ดูรายละเอียด อีเมล์
« เมื่อ: 30 กรกฎาคม 2555, 07:37:45 »




เมื่อปี2534ปู่มีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับครอบครัวโสมอินทร์ จนเหมือนว่าเป็นลูกชายคนโตของคุณแม่เสงี่ยม โสมอินทร์
คุณแม่เสงี่ยมมีลูกชายคนเดียวคือคุณบรรณศาสตร์ โสมอินทร์ ที่เปรียบเสมือนน้องชายของปู่

คุณบรรณศาสตร์แขวนเหรียญกษาปณ์สมัยรัชกาลที่๕(พระบรมรูป ร.๕)มีรอยจารเต็มทั้งหน้าหลังอยู่ในคอเพียงเหรียญเดียว
ปู่นึกว่าเป็นเหรียญ ร.๕ ของหลวงพ่อมุม ด้วยเห็นเหรียญลักษณะนี้ออกจากหลวงพ่อมุมบ่อยๆ

วันหนึ่งคุณบรรณศาสตร์ไปกินเหล้าที่ไหนสักแห่ง(จำไม่ได้) อาจเป็นผับหรือร้านเหล้าที่มีดนตรี
เกิดทะเลาะวิวาทกัน จึงถูกฝ่ายตรงข้ามยิงด้วยปืนสั้น 3 นัดซ้อน
ไม่ออกแม้แต่นัดเดียว
คุณบรรณศาสตร์ไล่ชกต่อยมือปืนจนถึงกับโกยยอ้าวหนีหัวซุกหัวซุนสู้ไม่ได้
ระหว่างชุลมุนจะมีการยิงซ้ำอีกหรือเปล่าไม่ทราบ ไม่ได้สังเกตุ มัวแต่หน้ามืดด้วยโทสะ

หลังเกิดเหตุนั้นแล้ว ปู่จึงสนใจและได้ซักถามเอาความจริงว่าเหรียญนั้นเป็นของหลวงพ่อมุมใช่หรือไม่

"ไม่ใช่ครับพี่"
"อ้าว..ของใครกันล่ะ"
"ของอาจารย์คำผุก"
"อาจารย์คำผุก?"
"เป็นอาจารย์ของคุณพ่อของผมครับ"

คุณพ่อของคุณบรรณศาสตร์คือ นายประสพ โสมอินทร์ เสียชีวิตไปนานหลายปีก่อนที่ปู่จะมารู้จักครอบครัวนี้

"ไหนเล่าให้ฟังหน่อย เรื่องมันเป็นยังไง"
"ก่อนเสีย..คุณพ่อให้เหรียญนี้กับผม บอกว่าผมเป็นลูกชายคนเดียว นอกนั้นผู้หญิง จึงสมควรจะได้เหรียญนี้ไว้ สั่งแล้วสั่งอีก ให้เก็บรักษาบูชาให้ดี"

หลังจากนั้นเรื่องของอาจารย์คำผุกก็พรั่งพรูออกมา
ทำเอาปู่อึ้งประหนึ่งถูกผีอำ

เกิดคำถามผุดขึ้นในใจอย่างช่วยไม่ได้

เรื่องของอาจารย์คำผุกทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริงหรือ?

thxby10514kruba
บันทึกการเข้า
เต้ อุบล
พุทธศาสนิกชน ฅนรักษ์ธรรมะ
Administrator
*****

พลังน้ำใจ : 634
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 982

Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com Level 25 : Exp 44%
HP: 0%



อย่าสุไลเสียถิ้ม พงษ์พันธุ์พี่น้องเก่า อย่าสุละเผ่าเซื้อ ไปย่องผู้อื่นดี

sabayd8861@hotmail.com
ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #1 เมื่อ: 30 กรกฎาคม 2555, 07:38:21 »

เรื่องของอาจารย์ปู่ คำผุก อุนาภาค

ปู่คำผุก เป็นชาวบ้านท่าสว่าง เกิดที่นั่น โตที่นั่น และมีเรื่องราวชวนอัศจรรย์อยู่ที่นั่น
เมื่อแรกเกิดเป็นคนปกติเช่นเด็กทั่วไป
แต่พอเริ่มรู้ภาษารู้จักความ เกิดอาการป่วยจนถึงกับทำให้ตาบอดสนิททั้งสองข้าง
กลายเป็นภาระให้พ่อแม่เลี้ยงดูอย่างยากลำบาก
พ่อแม่ได้นำตัวปู่คำผุกไปถวายวัด โยนภาระให้วัด ซึ่งวัดก็รับไว้ด้วยเมตตาสงสาร
อยู่วัดไม่นาน หลวงพ่อเจ้าอาวาสให้บรรพชาเป็นสามเณร ได้ศึกษาและปฏิบัติธรรมไปตามอัตภาพ

หลายปีต่อมา ปู่คำผุกเติบใหญ่ขึ้น กลายเป็นสามเณรโข่งตาบอดที่นึกอยากจะได้วิชาคาถาเพื่อพัฒนาตน
อยากหาความรู้ใส่ตัวพอให้ได้ช่วยสร้างประโยชน์ตนประโยชน์ท่านกับเขาบ้าง

เวลานั้นปู่คำผุกได้ยินกิตติศัพท์ว่าอาจารย์สิงห์ บ้านคึม มีวิชาดี
โดยเฉพาะวิชาอ้อน้ำไหล
ถ้าได้ใครเรียนจนสำเร็จจะเล่นจะร้องจะลำอะไรคนมักติด
ปู่คำผุกอยากเรียนเป็นอันมาก หวังว่าจะได้เอาวิชานี้มาใช้สำหรับการเทศน์

ตัวอาจารย์สิงห์เองเคยบวชเป็นพระมาก่อน สึกออกมาหาเลี้ยงตนและครอบครัวด้วยวิชาอาคมอยู่นานปี
หลังๆประสพความลำบาก ด้วยชาวบ้านพากันเห็นว่าอาจารย์สิงห์เป็นปอบ
เลยพาลขับไล่ให้ออกไปอยู่นอกเขตหมู่บ้านตามลำพังกับครอบครัวของตน

เรื่องที่เขาลือกันว่าอาจารย์สิงห์เป็นปอบนั้น ปู่คำผุกทราบดี แต่ไม่กลัว

ปู่คำผุกได้กราบขออนุญาตหลวงพ่อเจ้าอาวาสให้ช่วยพาไปหา แต่หลวงพ่อเจ้าอาวาสก็ผัดผ่อนเรื่อยมา ไม่พาไปสักที
ในที่สุดก็หันไปพึ่งหลวงพี่รูปหนึ่ง ซึ่งมีเมตตาต่อปู่คำผุกมากกว่าผู้ใด
หลวงพี่รูปนั้นอาสาพาไปจนพบตัวอาจารย์สิงห์
พบแล้วก็ทิ้งปู่คำผุกไว้กับอาจารย์สิงห์
ส่วนหลวงพี่อาจเกรงกลัวอาจารย์สิงห์จึงขอกลับวัดไม่อยู่ด้วย

เมื่อพบกันแล้วอาจารย์สิงห์รับปากว่าจะสอนให้ไม่หวงวิชา
ให้ปู่คำผุกพักผ่อนหลับนอนที่บ้านของอาจารย์สิงห์สักคืน พอให้หายเหนื่อย แล้วค่อยเรียนทีหลัง
ระหว่างนั้นอาจารย์สิงห์ได้บอกว่า อยากจะให้ปู่คำผุกดูอะไรสักอย่างหนึ่ง
จึงลุกขึ้นไปฉวยเอาพานเก่าๆที่วางอยู่บนหิ้งพระออกมา
ในพานมีห่อผ้าขาว ข้างในห่อผ้าเป็นแผ่นจารอักขระทองคำโบราณ ไม่ทราบว่าเป็นของใครสมัยใด
ตัวอักขระเป็นภาษาที่อาจารย์สิงห์อ่านไม่ออก เคยให้ผู้รู้ในศาสตร์วิชาภาษามากมายหลายคนช่วยอ่าน ก็ไม่สามารถอ่านได้ ไม่ทราบว่าเป็นภาษาอะไร

เมื่อส่งแผ่นจารทองคำให้ปู่คำผุกรับไปถือไว้ในมือ
เหตุอัศจรรย์พลันอุบัติขึ้น
ฟ้าผ่าเปรี้ยงเสียงสนั่นลั่นโดยพลัน
ผ่าลงมาแถวๆนั้น
เป็นฟ้าผ่ากลางแดดที่ผิดธรรมชาติ ผ่าโดยไม่มีเมฆฝน ผ่าลงมากลางไอร้อนของแดดแผดจ้า
แรงกระเทือนของฟ้าที่ผ่า ถึงทำเอาปู่คำผุกสลบเหมือด

หลังจากฟื้นขึ้นมา เรื่องแปลกประหลาดทีใครก็คาดไม่ถึง ก็เกิดขึ้นด้วย
ปู่คำผุกเปลี่ยนกลายไปเป็นคนละคน

ปู่คำผุกได้เรียกเอาแผ่นจารทองคำนั้นมาถือไว้ในมืออีกครั้ง
แล้วบอกว่า แผ่นจารนี้เป็นของปู่คำผุกทำไว้เป็นร้อยชาติมาแล้ว
ถ้อยคำที่เขียนไว้ในนี้เป็นเสมือนคำสาปแช่ง
ผู้ใดครอบครองไว้จะต้องได้ยาก จะตกทุกข์ลำบากแสนเข็ญตลอดชีวิต

หลังจากนั้นก็อ่านและแปลข้อความในแผ่นจารให้อาจารย์สิงห์ฟัง อย่างคล่องแคล่วชำนาญปานโกหก

นอกจากนี้ปู่คำผุกยังย้ำยังสั่งอีกว่า ให้อาจารย์สิงห์เอาแผ่นจารนี้ไปคืนไว้ที่เก่า หรือเอาไปฝังไว้ฝังไว้ในโบสถ์
ถ้าทำตามนี้แล้ว ชีวิตที่เปี่ยมทุกข์ของอาจารย์สิงห์จะกลับเป็นสุขดังเดิม

จากนั้นก็ลุกขึ้นจะกลับวัด
"อ้าว..เณร จะไม่เรียนอ้อน้ำไหลแล้วหรือไร" อาจารย์สิงห์เอะอะ
"ไม่เรียน..เฮารู้หมดแล้ว" อาจารย์คำผุกตอบอย่างไม่ใยดี

นี่เป็นเรื่องแปลก ที่อาจารย์สิงห์เห็นว่าไม่ใช่เรื่องปกติธรรมดา
ชะรอยจะเป็นเหตุอัศจรรย์อะไรสักอย่างที่ยังไม่ทราบแน่ชัด ยังสรุปไม่ได้
จึงหาทางทัดทานปู่คำผุกไว้ก่อนไม่ยอมให้กลับ

"นี่ก็จวนมืดแล้ว ขอให้เณรพักที่นี่สักคืนตามที่ข้าน้อยตั้งใจแต่แรกเถอะ พรุ่งนี้จะกลับก็ไม่ว่า"

ปู่คำผุกขัดไม่ได้จึงยอมพักค้างคืนที่บ้านตามคำร้องขอของอาจารย์สิงห์

ระหว่างนั้นพวกชาวบ้านเริ่มระแคะระคายเหตุการณ์ฟ้าผ่าบ้านอาจารย์สิงห์จึงชวนกันมาดู
ในที่สุดก็มารวมตัวกันอยู่ที่บ้านอาจารย์สิงห์เป็นจำนวนมาก
คงเห็นแปลกที่เณรตาบอดปรากฏตัว ทั้งยังมีเรื่องพิลึกที่เกิดขึ้นหลังฟ้าผ่าน่าสนใจติดตาม

อาจารย์สิงห์เองได้ป่าวประกาศกับชาวบ้านว่าเณรตาบอดรูปนี้ ท่าจะเป็นผู้มีบุญ ควรที่จะต้องจับตาดูเอาไว้เผื่อจะได้เห็นอะไรดีๆ

thxby10515kruba
บันทึกการเข้า
เต้ อุบล
พุทธศาสนิกชน ฅนรักษ์ธรรมะ
Administrator
*****

พลังน้ำใจ : 634
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 982

Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com Level 25 : Exp 44%
HP: 0%



อย่าสุไลเสียถิ้ม พงษ์พันธุ์พี่น้องเก่า อย่าสุละเผ่าเซื้อ ไปย่องผู้อื่นดี

sabayd8861@hotmail.com
ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #2 เมื่อ: 30 กรกฎาคม 2555, 07:39:30 »

ชาวบ้านจำนวนมากพอสมควรรวมตัวอยู่ที่บ้านอาจารย์สิงห์
หุงหาข้าวปลากินกันปานงานบุญเล็กๆ
พอจะเปรียบได้กับเลี้ยงข้าวปุ้น(ขนมจีน)ผีแม่ม่ายเช่นทุกวันนี้

คืนนั้นจารย์ปู่คำผุกเข้าพักในห้องที่ภรรยาอาจารย์สิงห์จัดให้ตามลำพัง
ตกดึกก็เกิดเหตุประหลาด
มีแสงสว่างปรากฏอยู่ในห้อง
ถึงกับมีลำแสงลอดออกมาตามร่องตามรูกระดานหรือแม้แต่ช่องลม

สมัยนั้นบ่มีไฟฟ้าใช้เน้อ

อาจารย์สิงห์อดรนทนไม่ได้ ย่องเข้าไปแอบดูผ่านรูไม้ฝาห้องเข้าไป

พอเห็นเท่านั้นถึงกับผงะ และมีอันรีบแจ้นลงไปป่าวประกาศกับหมู่ชาวบ้าน ให้พากันแอบดูบ้าง

ภาพที่ปรากฏคือ
ไม่มีใครเห็นเป็นรูปเป็นตัวจารย์ปู่คำผุก
เห็นเป็นเพียงดวงไฟสว่างเรืองรอง
คล้ายหลอดนีออนอย่างเช่นปัจจุบัน

รุ่งเช้าอาจารย์สิงห์แสร้งถามว่า
"เมื่อคืนฝันดีไหมเณร"
"ฝันดีหลาย"
"ฝันไงล่ะ"
"ฝันว่าตัวเจ้าของเอง เอาลิ้นเลียขอบจักรวาล"

พอตกสายหลังอาหารเช้าแล้ว
จารย์ปู่คำผุกก็ลงจากเรือน
เดินดุ่มออกไป จะกลับวัด

แปลกที่ว่าไม่ต้องให้ใครจูงอีกแล้ว

เดินไปเองได้เหมือนคนตาดี

เชื่อหรือไม่
หลังจากนี้มา จารย์ปู่คำผุกแม้บอด กลับเห็นทุกอย่างได้เฉกเช่นคนปกติ
บางทีจะเห็นได้ลึกซึ้งกว่าด้วยซ้ำ

คนตาบอดมาแต่เล็ก เป็นภาระให้พ่อแม่ จนถึงกับผลักไสลูกชายตาบอดให้วัดรับภาระนั้น

ใครจะไปเชื่อว่าบัดนี้จารย์ปู่คำผุกหาได้เป็นภาระของใครไม่

ผู้ที่มีชีวิตทันร่วมชีวิตของจารย์ปู่คำผุกอธิบายถึงเรื่องการมองเห็นไว้ดังนี้
จะว่าท่านมองเห็นเหมือนคนตาดีเสียทีเดียวก็ไม่ใช่
หากแต่สามารถไปไหนมาไหนได้ตามปกติ ไม่อาศัยใครจูง
ที่แปลกมากเมื่อการมองเห็นอย่างแจ่มชัดแสดงผล
คนก็อัศจรรย์ใจกันทั้งบ้านทั้งเมือง

อย่างเช่นมีผู้นำผ้าแพรมาเป็นของกำนัลจารย์ปู่คำผุก
ท่านรับผ้ามาไว้ในมือแล้วร้องทักโดยพลัน

"โฮ้..คืองามแท้ สีฟ้าใส บ่มีแป้วมีแมง"
(โอ้โฮ..สวยจัง ผ้าสีฟ้าสด ไร้มลทิน)

หรือแม้แต่มีใครมีธุระหรือเดือดร้อนต้องการความช่วยเหลือ
เดินทางมาหา
จะพระหรือโยม
ท่านรู้จักหมด
ร้องทักไปก่อนแล้ว
"เอ้า..เชิญๆพ่อใหญ่ ขึ้นมาบนเฮือนเลย"
"นมัสการครูบา..นิมนต์ข้างบนเลยข้าน้อย"

ท่านรู้เห็นสิ่งเหล่านั้นได้อย่างไร

ต่อมาจารย์ปู่คำผุกได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุเมื่อายุครบถ้วนตามพระวินัย
และยังคงอาศัยอยู่ที่วัดเดิมต่อไป ไม่ไปไหนอีกเลย จนกระทั่งถึงวันสึกออกจากพระ

thxby10516kruba
บันทึกการเข้า
เต้ อุบล
พุทธศาสนิกชน ฅนรักษ์ธรรมะ
Administrator
*****

พลังน้ำใจ : 634
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 982

Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com Level 25 : Exp 44%
HP: 0%



อย่าสุไลเสียถิ้ม พงษ์พันธุ์พี่น้องเก่า อย่าสุละเผ่าเซื้อ ไปย่องผู้อื่นดี

sabayd8861@hotmail.com
ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #3 เมื่อ: 30 กรกฎาคม 2555, 07:39:57 »

เล่าเรื่องอาจารย์คำผุก(ต่อ)

ระหว่างที่เป็นพระนั้น จารย์ปู่คำผุกปรากฏชื่อเสียงขึ้นเรื่อยๆ
มีสานุศิษย์เลื่อมใสนับถือไม่น้อย

มีอยู่พรรษาหนึ่ง ท่านเลือกพลานหินเหมาะๆบนเขา(ไม่ทราบพิกัด)
ลงนั่งภาวนาอยู่ตรงนั้นตลอดวันและคืนไม่ลุกไปไหน
ไม่ว่าฝนจะตกแดดจะออกหรือน้ำค้างลง

นี่ช่างชวนให้นึกถึงหลวงพ่อเกษม สุสานไตรลักษณ์ คราวที่นั่งบำเพ็ญกลางแจ้ง เพื่อไถ่โทษถอนสาปแช่งของเจ้าแม่สุชาดา

แม้จะต่างบุคคลต่างวาระและสถานที่
บรรยากาศการบำเพ็ญเพียรแบบนี้ควรจะคล้ายๆกัน

โหดเอาการ(อัตตกิลมถานุโยคแท้ๆ)

ครบพรรษาท่านจึงลุกขึ้นเดินออกจากพลานหินนั้น
ประกาศแก่ชาวบ้านแลสานุศิษย์

"เฮาจะสึก"

โยมพี่ชายถึงกับงงๆ

"สึกทำไม"
"สึกออกไปเอาเมีย"
"โฮ้..ตาบอดแบบนี้ยังไม่เจียม จะมีหมาที่ไหนมาเอาน้อ"
"จะมีมาให้เฮาเลือก2คน มากันเองด้วย"
"โม้.."

หลังจากสึกออกมาเป็นฆราวาสแล้ว
ราวๆ3วันต่อมา มีหญิงสาว2คนเดินทางมาพบจารย์ปู่คำผุกจริงๆ
แจ้งความประสงค์จะขอเป็นเมีย
จารย์ปู่พิจารณาเลือกคนหนึ่ง ถ้าจำไม่ผิดชื่อว่า"แม่อ่ำ"
ท่านว่าแม่อ่ำเป็นคู่เก่ามาแต่กาลก่อน ทั้งบุญยังมีถึงกัน
ส่วนอีกคนที่ไม่เลือก ก็ใช่
เสียแต่บุญที่หล่อนสร้างมานั้น ไม่ถึงขั้นจะได้อยู่ร่วมกันในชาตินี้

หญิงซึ่งจารย์ปู่คำผุกปฏิเสธ ถึงกับเป็นลมล้มพับไปด้วยความเสียใจ

thxby10517kruba
บันทึกการเข้า
เต้ อุบล
พุทธศาสนิกชน ฅนรักษ์ธรรมะ
Administrator
*****

พลังน้ำใจ : 634
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 982

Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com Level 25 : Exp 44%
HP: 0%



อย่าสุไลเสียถิ้ม พงษ์พันธุ์พี่น้องเก่า อย่าสุละเผ่าเซื้อ ไปย่องผู้อื่นดี

sabayd8861@hotmail.com
ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #4 เมื่อ: 30 กรกฎาคม 2555, 07:40:19 »

เล่าเรื่องอาจารย์คำผุก(ต่อ)

จารย์ปู่คำผุกเมื่อครองชีวิตฆราวาส ยังคงถือศีลปฏิบัติธรรมตามปกติ
ปรากฏชื่อเสียงว่าเป็นผู้มีคุณธรรม คุณวิเศษ ขจรขจายอยู่ตลอดชีวิต
มีผู้เลื่อมใสนับถือเป็นจำนวนมาก
ผู้คนที่อาศัยอยู่ร่วมหมู่บ้านให้ความยำเกรงและเคารพเป็นที่สุด
ด้วยเห็นทั้งความดีและอภินิหารปรากฏอยู่เนืองๆ

ยามมีบุญบ้านหรือทำบุญเรือนใดก็ตาม จารย์ปู่คำผุกมักรับเชิญไปร่วมเสมอ

หลายครั้งแสดงอภินิหารให้ชาวบ้านประจักษ์

อย่างเช่นเมื่อเดินเข้าประตูเรือน ร่างกายจะสูงใหญ่ จนจะต้องก้มตัวลงลอดประตูเข้าไป
เวลาออกก็เดินผ่านประตูด้วยร่างกายปกติ

เรื่องนี้ชาวบ้านเห็นกันเป็นประจำ

ครั้งหนึ่งมีพระเดินทางมาพบแล้วขอให้จารย์ปู่คำผุกสึกให้
เกิดเป็นประเด็นร้อนให้ชาวบ้านพากันสงสัยสอบถาม

พระรูปนั้นได้อธิบายว่า ตนเองตั้งใจบวชไม่สึกจนกว่าจะพบพระอริยบุคคลชั้นสูง
ตราบใดที่ยังไม่พบ จะบวชเพื่อแสวงหาสิ่งที่ตั้งใจนี้ไปตลอด

คราวหนึ่งธุดงค์ขึ้นไปบนเขาฝั่งลาว พบฤาษีบำเพ็ญอยู่ในถ้ำ
ฤาษีถามว่าบวชมากี่พรรษาแล้ว
ตอบไปว่าบวชมานานนับ10พรรษา

"บวชนานปานนี้ ครูบาสวดอิติปิโสได้หรือไม่"
"สวดได้"
"งั้นสวดให้ฟังหน่อย"

พระรูปนั้นสวดอิติโสจนจบได้อย่างถูกต้องแม่นยำ

ฤาษีน้ำตาไหลพราก

"อ้าว..ร้องไห้ทำไม"
"ร้องไห้เพราะสงสารท่าน..บวชมาจนป่านนี้ยังสวดอิติปิโสไม่เป็น"
"สวดผิดหรือ"
"ไม่ผิด..แต่ว่าสวดไม่เป็น เอานะจะสวดให้ดู"

เมื่อฤาษีเริ่มสวด ฟ้าก็มืดครึ้มทันใด
สวดไปไม่กี่จบ ฟ้าก็แลบลมก็แรง
ต่อมาพายุฝนก็บังเกิด ทั้งลมทั้งฝนกระหน่ำอย่างรุนแรงน่ากลัว

ครั้นฤาษีหยุดสวด ฟ้าก็ใสกระจ่างสิ้นลมฝนเป็นปลิดทิ้ง

"นี่..สวดอิติปิโส ต้องสวดให้เป็นเช่นนี้"

หลังจากนั้นจึงได้ถามฤาษีว่า
"ทุกวันนี้ยังมีพระอรหันต์อยู่หรือไม่"
"ยังมี"
"จะหาพบได้ที่ไหน"
"เดินลงเขาและตรงไปทางทิศตะวันออก หมู่บ้านแรกที่เจอ พระอรหันต์มีอยู่ที่นั่น"
"จะรู้ได้อย่างไรว่าคนไหนเป็นพระอรหันต์"
"ไม่ยาก คนนี้แปลกกว่าใคร เป็นคนรูปร่างใหญ่ เหมือนปลาบู่ เป็นคนตาบอด คนนั้นล่ะพระอรหันต์"

พระรูปนั้นอำลาฤาษีแล้วเดินลงเขาตรงไปตามทิศที่ฤาษีชี้บอก

ขณะนั้นอยู่ฝั่งลาว แต่ไฉนเดินเพียงแค่ค่อนวันเท่านั้นก็ทะลุถึงหมู่บ้านท่าสว่าง ซึ่งอยู่ในเขตจังหวัดอำนาจเจริญได้อย่างน่าอัศจรรย์

พระได้ตั้งใจอธิษฐานว่า จะทราบว่าใครเป็นพระอริยบุคคลได้อย่างไร หากไม่มีมีลักษณะพิเศษแสดงให้รู้ ดังนั้นขอให้พบท่านผู้นั้นในท่วงท่านั่งสมาธิ

เมื่อเดินเข้าเขตหมู่บ้าน พบชาวบ้านก็ถามว่ามีใครตาบอด2ข้าง ตัวใหญ่เหมือปลาบู่บ้าง
ชาวบ้านชี้ทางไปบ้านจารย์ปู่คำผุกกันทุกคน

พระเมื่อเดินถึงบ้านจารย์ปู่คำผุก เห็นว่าจารย์ปู่คำผุกกำลังนั่งอยู่บนชานเรือน
นั่งในท่างกำลังทำสมาธิภาวนาดังที่ตนเองอธิษฐานไว้ไม่มีผิด

ยังไม่ได้ส่งเสียงทักทายหรือก้าวขึ้นเรือน
จารย์ปู่คำผุกก็ร้องใส่ก่อน

"โฮ้..ครูบา บวชออกหาพระอรหันต์ หาเจอไหมล่ะ"

นั่นจึงเป็นเหตุให้พระขอให้ฆราวาสจารย์ปู่สึกให้
ด้วยแน่ใจว่าพบแล้วซึ่งพระอริยบุคคลขั้นสูง

thxby10518ทิดอ้วน, JUMBO A, kruba
บันทึกการเข้า
Sodinfives
maxbet
Newbie
*

พลังน้ำใจ : 0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2

Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com Level 1 : Exp 40%
HP: 0%



ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #5 เมื่อ: 31 ตุลาคม 2560, 14:38:12 »

ผมอยากจะรู้มากเลยนะครับ

บันทึกการเข้า

หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.19 | SMF © 2006-2009, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!