ชมรมอนุรักษ์พุทธศิลป์แห่งภาคอีสาน

ห้องเวทย์วิทยาคมและสิ่งลี้ลับเหนือธรรมชาติ => ฆราวาสผู้เรืองวิทยาคม => ข้อความที่เริ่มโดย: คนศรีเกษ ที่ 04 พฤษภาคม 2557, 21:32:01



หัวข้อ: ปู่หมอธรรมเฮือง
เริ่มหัวข้อโดย: คนศรีเกษ ที่ 04 พฤษภาคม 2557, 21:32:01
                            ปู่หมอธรรมเฮือง ฆราวาสผู้เรืองเวทย์ แห่งแดนอีสานใต้ ณ บ้านหนองเหล่า ตำบลหนองเหล่า อำเภอเขื่องในจังหวัดอุบลราชธานี


หัวข้อ: Re: ปู่หมอธรรมเฮือง
เริ่มหัวข้อโดย: คนศรีเกษ ที่ 04 พฤษภาคม 2557, 21:47:23
005 005 005   เร็ว ๆ นี้    005 005 005


หัวข้อ: Re: ปู่หมอธรรมเฮือง
เริ่มหัวข้อโดย: คนศรีเกษ ที่ 04 พฤษภาคม 2557, 21:50:35
019 019 019   ขอให้ติดตามตอนต่อไป    019 019 019


หัวข้อ: Re: ปู่หมอธรรมเฮือง
เริ่มหัวข้อโดย: ตังกวย... ที่ 06 พฤษภาคม 2557, 01:31:59
..ศิษย์เอกพ่อท่านศรี วัดบ้านคูขาดตั้วหนิ ตำราอิ๊หยังหลายๆ อย่างกะอยู่นำพ่อใหญ่เฮืองนี่หละ มีพ่อใหญ่เฮืองนี่หละเพิ่นเฮียนธรรมติดไวกว่าหมู่ สมัยแต่กี้ฆารวาสบ่เก่งจริงบ่ได้สร้างเหรียญดอกครับ ในเขื่องในเห็นแต่เหรียญพ่อใหญ่เฮืองนี่หละ ผมมีหนังสืองานศพเพิ่นยุ เดี๋ยวสิลองค้นมาให้อ่านเบิ่งครับ . .. 023 023


หัวข้อ: Re: ปู่หมอธรรมเฮือง
เริ่มหัวข้อโดย: คนศรีเกษ ที่ 06 พฤษภาคม 2557, 22:01:52
               ครั้งหนึ่งในชีวิตด้วยความบังเอิญแท้ ๆ ผมได้มีโอกาส ได้สัมผัส ได้รู้ ได้เห็น หมอธรรมอีสานที่มีวิชาความรู้ในเรื่องเวทมนต์ คาถาอาคม ฮีตครองประเพณีต่าง ๆ ของคนอีสานเป็นอย่างดี อีกทั้งเป็นหมอยาพื้นบ้าน ซึ่งอาศัยความรู้จากตัวยาจากสมุนไพรพื้นบ้านต่าง ๆ ที่ท่านได้เรียนมาใช้ในการรักษาผู้คนในทั้งหมู่บ้านและจังหวัดไกล้เคียงทั้งใกล้และไกล ทั่วทุกสารทิศพากันเหมารถมานั่งรอนอนรอกันทั้งวันเพื่อให้หมอธรรมท่านนี้รักษาเพราะเขาเชื่อกันว่า มาหาปู่หมอธรรมเฮืองแล้วถ้าดวงยังไม่ถึงที่ตายแล้วหายทุกราย แต่ถ้าปู่บอกว่าคนไหนหมดบุญแล้วก็ไม่มีทางรอดเด็ดขาด ตายแน่นอน โดยเฉพาะเรื่องผีสาง นางไม้ ผีปอบ คุณไสย์ ต่าง ๆ ท่านเก่งกาจและชำนาญทางด้านนี้มาก แม้แต่ผู้ที่เป็นพระระดับเกจิอาจารย์ยังนับถือท่าน ถึงกับออกปากชมให้ผู้เขียนฟังว่า " เก่งกว่าพระบางองค์ที่ว่าแน่ ๆ เสียอีก " ขอให้ติดตามต่อไป


หัวข้อ: Re: ปู่หมอธรรมเฮือง
เริ่มหัวข้อโดย: คนศรีเกษ ที่ 07 พฤษภาคม 2557, 21:20:55
 ครั้งแรกที่ได้พบปู่                                                                                                                                  ผู้เขียนเป็นชาวจังหวัดศรีสะเกษ วันหนึ่งจำได้ว่าประมาณปี พ.ศ. 2540-2541 ประมาณนั้น ถึงวันนี้ก็เป็นเวลา 15 - 16 ปี มาแล้ว วันนั้นเป็นวันเสาร์ คุณแม่ของผมใช้ให้ขับรถไปส่งพี่สาวของผมเพื่อให้พาไปหาพระระดับเกจิอาจารย์องค์หนึ่งของเมืองศรีสะเกษ เพื่อให้ทำพิธีรักษาทางไสยศาสตร์ ซึ่งพระองค์นี้ เก่งทางสะเดาะเคราะห์ อาบน้ำมนต์ ค้ำโพธิ์ ค้ำไทรตอกหลักปีต่ออายุ รวมถึงการทำนายโชคชะตาราษีอีกด้วย แม่ผมคุ้นเคยกับพระองค์นี้มาก พอพระเห็นอาการป่วยของพี่สาวผมแล้วมีลักษณะแปลก ๆ ยังไงชอบกล แกทำพิธีให้หลายครั้งแล้วแต่ไม่หาย แกสงสารจึงบอกว่า คราวนี้ จะพาไปรักษากับหมอท่านหนึ่งไม่ใช่พระแต่เป็นฆราวาส เรียกว่าหมอธรรมเฮือง(ต่อไปผมจะหมายถึงปู่หมอธรรมเฮืองหรือเรียกสั้น ๆ ว่า ปู่ )และแล้วแกก็นัดว่า พรุ่งนี้วันอาทิตย์ให้มารับท่านประมาณ 9 โมงเช้า จะพาไปพบหมอธรรม ซึ่งอยู่ที่อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี                                                                                                                                                                          รุ่งเช้าผมพาแม่และพี่สาวขับรถไปรับหลวงพ่อที่วัดตามนัด หลวงพ่อรออยู่แล้วจึงออกเดินทางทันที  ผมขับรถตามที่หลวงพ่อบอกทางก็ไปถึงที่หมาย ใช้เวลาประมาณชั่วโมงเศษก็ถึงบ้านหนองเหล่า อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี พอใกล้จะถึงบริเวณบ้านปู่ ปรากฏว่า มีรถชนิดต่าง ๆ ทั้งรถยนต์ปิคอัพ รถบรรทุกขนาดกลาง รถสองแถว รวมถึงรถอีแต๊ก จอดเรียงรายกันอยู่ตามข้างถนน ตามร่มไม้ และตามบ้านผู้อยู่อาศัยบริเวณนั้นเต็มไปหมด ส่วนคน ก็นั่ง ๆ นอน ๆ รอคิวพบปู่อยู่ตามที่ต่าง ๆ ผู้ป่วยบางคนลุกไม่ไหวนอนรอในรถ มีญาติคอยพัดวีให้อยู่ก็มี ผมสงสัยและคิดอยู่ในใจว่า ปู่นี้มีดีอะไรหนอคนถึงมาหามากขนาดนี้                                                                                                                                                                                                                                                             พอส่งทุกคนลงจากรถแล้วผมก็ไปหาที่จอดเหมาะ ๆ ซึ่งอยู่ห่างออกไปพอสมควร ด้วยความสงสัยก็เลยเดินเข้าไปใกล้ๆ กับห้องปู่ทำพิธี ซึ่งอยู่ในบริเวณบ้านของปู่เอง ก็เลยได้รู้ ได้เห็น ได้สัมผัสกับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้น กล่าวคือ เท่าที่สังเกตุและได้พูดคุยกับคนที่นั่งรอนอนรอก็ได้ทราบว่า แต่ละคนก็มีปัญหาไม่เหมือนกัน บ้างก็เป็นคนป่วยให้ช่วยรักษาให้หาย ทั้งที่ไปรักษากับนายแพทย์ ของโรงพยาบาลของทางราชการ หมดเงินทองไปเป็นหมื่นเป็นแสนก็ไม่หายแต่ก็มีคนแนะนำมาหาปู่ จึงมาให้ปู่ช่วยซึ่งเป็นหนทางสุดท้าย  บางคนมีปัญหากลุ้มใจ ทุกใจเรื่องครอบครัวแตกแยก เรื่องผัว เรื่องเมียทะเลาะกัน ไม่เข้าใจกัน เรื่องลูกเกเร บางคนถูกผีปอบเข้าสิง บางคนมาหาฤกษ์ยามการแต่งงาน ขึ้นบ้านใหม่ ออกรถใหม่ และ อื่น ๆ ปู่ท่านก็จะสงเคราะห์ให้ทุกคน โดยไม่กำหนดเงินค่าครูแล้วแต่จะให้ โดยให้แต่ละคนใส่เงินในจานสังกะสีซึ่งลูกหลานปู่เตรียมไว้ พร้อมทั้งดอกไม้ ธูปเทียน บางคนใส่เงิน 20 ก็มี ปู่ก็ไม่ว่า ไม่มีเงินให้ก็ไม่เป็นไร ส่วนวืธีการสงเคราะห์แต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน คราวหน้าจะเล่าให้ฟัง                                                                                                                                                    ส่วนพี่สาวของผู้เขียนนั้น ปู่หลับตาลง นั่งทางในส่องดูแล้วบอกว่า ที่เจ็บป่วยบ่อย ๆ และรักษาไม่หายและมีอาการแปลก ๆ เช่น เวียนหัวตลอดเวลา ลุกขี้นยืนและเดินไม่ได้ในบางครั้งนั้น ปู่บอกว่าเกิดจาก วิญญาณพยาบาทเข้าสิง เนื่องจากสามีของพี่สาวผู้เขียน เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุมาหลายปีแล้ว แต่ไม่ยอมไปเกิด ยังคงเป็นสัมภเวสีวิญญาณพเนจร ที่มีกิเลสตัณหา มีความหึงหวง อาฆาตพยาบาท เพื่อไม่ให้มีสามีใหม่ และจะมาเอาชีวิตเพื่อจะเอาไปอยู่ด้วย ปู่บอกว่า กรณีนี้ รักษาโดยไม่ต้องใช้ยาสมุนไพรใดๆ แต่ปู่จะสวดมนต์ขับไล่วิญญาณร้ายให้หนีไป และแล้วปู่ก็ได้ทำด้ายสายสิญจน์ให้คล้องคอเอาไว้ ไม่ต้องถอดออกทั้งเวลาอาบน้ำและเวลานอน อีกทั้งเอาน้ำมนต์ที่ปู่ทำให้ไปดื่มให้หมดต่อที่บ้านก็จะหาย ปู่ก็บอกให้กลับบ้านได้ ไม่น่าเชื่อตั้งแต่นั้นมาอาการป่วยของพี่สาวผู้เขียนก็หายไปตราบเท่าทุกวันนี้  ส่วนผู้เขียนก่อนกลับวันนั้นได้เข้าไปกราบปู่ที่ตักและบอกปู่ว่า วันหลังจะมาหาปู่ใหม่นะครับ หลวงปู่เอามือลูบหัวผู้เขียนและพูดอย่างเอ็นดูกับผู้เขียนว่า มาหาปู่ให้ได้นะหลานนะ แล้วผู้เขียนก็กราบลาปู่กลับบ้าน ทันที


หัวข้อ: Re: ปู่หมอธรรมเฮือง
เริ่มหัวข้อโดย: คนศรีเกษ ที่ 09 พฤษภาคม 2557, 13:48:05
กลับไปหาปู่ตามสัญญา    
                                                                                                                                           
หลังจากนั้นไม่นานผู้เขียนก็ได้กลับไปหาปู่ ที่หนองเหล่า เขื่องในอีกครั้ง ไปคราวนี้ ผู้คนมารอพบปู่มากเช่นเคย จอดรถที่เหมาะ ๆ แล้ว ก็เลียบ ๆ เคียง ๆ ไปใกล้ ๆ ปู่ ให้ปู่เห็นเท่านั้น เมื่อกราบปู่แล้ว ปู่หันมารับทราบแล้วก็ยิ้มถามว่ากินข้าวมาแล้วหรือยัง ผู้เขียนบอกกินมาแล้ว น่าสงสารปู่ยังห่วงคนอื่นทั้งที่ปู่จะมีเวลากินข้าวไหมหนอ  ยังไม่ได้ทำอะไรเพราะพี่น้องจากใกล้ไกล มารอคิวยาวเหลือเกิน จึงถือโอกาสนั่งลงดูวิธีการรักษาของหมอ                                                                                                                                                                              
คนที่มาหาปู่ส่วนใหญ่จะมาด้วยเรื่อง    
                                                                                                           
ประการแรก เจ็บป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ รักษาอย่างไรก็ไม่หาย
ประการที่สองมาขอให้ทำนายโชคชะตาราศรี  มาขอให้ทำนายเหตุการณ์ที่จะเกิดขี้นต่อไปว่าจะเป็นอย่างไร ดีหรือร้าย เจ็บป่วยจะหายหรือไม่ จะตายหรือไม่ มาขอฤกษ์ยามที่จะทำพิธีมงคลต่าง ๆ เป็นต้น
ประการที่สามมาขอให้ไล่ผี ไล่ปอบ ถอนคุณไสย์    เท่าที่สังเกตุ  ดูเหมือนจะมีเรื่องใหญ่ ๆ 3 เรื่องนี้เป็นหลัก นอกนั้นก็เรื่องสัพเพเหระ    
                                                                                                     
การสงเคราะห์และรักษา  
                                                                                                                             
ไม่มีการกำหนดอามิสสินจ้างใด ๆ แล้วแต่จะให้ โดยให้ใส่ไว้ในจานสังกะสี พร้อมดอกไม้ธูปเทียน บางคน ให้ 20 บาท ก็มี ปู่ก็ไม่ว่า                                                          
                                                                                                                                                       
วิธีการรักษา
                                                                                                                                           
เบื้องต้น ปู่ก็จะเริ่มสอบถามพูดคุย ถามชื่อ วันเดือนปีเกิด อยู่ที่ไหน สาเหตุมาด้วยเรื่องอะไร ถามถึงของรักษาที่นับถืออยู่ในปัจจุบัน เสร็จแล้วก็จะนั่งธรรมโดยการส่องดูทางใน แล้วก็ทำนายทายทักออกมา ถ้าป่วยก็จะบอกว่าเป็นอะไร รักษาอย่างไร แล้วก็จะเรียก ลุงพร ซึ่งเป็นผู้ช่วยปู่ ให้ไปจัดยาตามที่บอก ว่าจะมีสมุนไพรอะไรบ้าง ซึ่งลุงพรก็มีเตรียมพร้อมอยู่แล้ว แล้วบอกผู้ป่วยพร้อมกับลุงพร ออกไปจัดยาในห้องถัดไป มีครกบดยาโขลกตำกันตรงนั้น ให้กินกันตรงนั้น ที่เหลือเอากลับไปกินบ้าน ส่วนค่ายา ค่าสมุนไพรต่าง ๆ ลุงพรแกกำหนดเป็นราคามาตรฐานอยู่แล้ว ก็จ่ายค่ายาให้ลุงพรแกไป                                                                                              
                                                       
ส่วนกรณี สอบถามโชคชะตาราศรี ปู่ก็จะบอกตรง ๆ ว่าดีหรือร้าย ก่อนถามก็ขอให้ทำใจให้ดี ปู่จะถามว่า ให้ตอบตรง ๆ หรือ ไม่ ถ้ายืนยันปู่ก็จะบอกตามตรง ส่วนผู้ที่ถามว่า ป่วยจะหายหรือไม่ จะตายหรือไม่ หรือมีอายุยืนไปจนสิ้นอายุขัยหรือไม่ ปู่ก็จะทำพิธี ใช้ด้ายมงคลเสก หรือด้ายสายสิญจน์ของทางพระสงฆ์ นั่นแหละ จำนวน 2 เส้น ผูกไว้บนอุปกรณ์ อย่างหนึ่งซึ่งผู้เขียนจำไม่ได้แล้วว่าเป็นอะไร ซึ่งหย่อนลงมาจากเพดานห้อง แล้วปู่จะทำการอธิษฐานและเสี่ยงทายโดยใช้ไฟเผาไปที่ด้ายมงคลนั้น ถ้าไฟไหม้จากปลายด้ายด้านล่าง ไปจนสุดด้านบนที่ผูกไว้ทั้ง 2 เส้น ถือว่าดีที่สุด แต่บางคน ไหม้ไปถึงกึ่งกลางก็ดับ บางคนไหม้ไปสุดเส้นเดียว แต่อีกเส้นไหม้ไปไม่สุด ปู่ก็จะทำนายตามนั้น ซึ่งผู้เขียนก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าเป็นวิชาอะไร และ ทำไมจึงต้องใช้ด้าย 2 เส้น ใครมีความรู้เรื่องนี้ ช่วบอธิบายด้วยครับ                                                                                                                                              
ส่วนการไล่ผี ไล่ปอบ ถอนคุณไสย์ต่าง ๆ นั้น เห็นว่าปู่เชี่ยวชาญมาก ผีที่ว่าร้าย ๆ เจอวิชาปู่หนีหมด ผีปอบที่ว่าแข็ง พอว่าจะพาไปให้ปู่ไล่เท่านั้น มันกลัวมากรีบออกก่อนแล้ว มีรายหนึ่งวันที่ผู้เขียนกำลังนั่งอยู่กับปู่นั้น มีญาติพามาหาปู่มาจากสกลนคร บอกปู่ว่าลูกสาวถูกผีปอบเข้าสิง หมอผีที่สกลไล่อย่างไรก็ไม่ออก แถมท้าทายหมอว่าจะหักคอหมอเสียอีก พอมาหาปู่วันนั้นก็สิ้นท่า ผู้ป่วยที่ปอบสิงอยู่ก็ไม่พูดไม่จา แถมไม่ยอมลงจากรถ ปู่นั่งทางในดูและบอกว่ามันมาต้องปู่แล้ว  มันกลัววิชาปู่ ปู่ก็เลยเรียกลุงพร ให้ไปทำพิธีไล่ปอบที่รถแทนโดยปู่ไม่ต้องออกไปเอง แต่ได้มอบย่ามประจำตัวของปู่ใส่ซึ่งน่าจะใส่เครื่องราง ของขลังและเครื่องมือการไล่ปอบไว้อย่างครบครัน พร้อมด้วยด้ายมงคลเสกของปู่ และน้ำมนต์ของปู่ขวดหนึ่งไปไล่แทน  
                                                                                                                                                               
วันนั้น คนเยอะมาก กว่าปู่จะได้กินข้าวกลางวันก็ปาเข้าไป บ่าย 2 โมงกว่า เกือบ 3 โมงเย็น ยังมีคนรอคิวอยู่อีกพอสมควร ปู่บอกว่าขอเวลาไปกินข้าวก่อน ปู่เลี่ยงออกจากห้องทำพิธีไปกินข้าวที่ห้องด้านหลังซึ่งลูกหลานได้จัดเตรียมอาหารไว้แล้ว โดยไม่ลืมเรียกผู้เขียนเพียงคนเดียวติดตามไปด้วย ช่วงกินข้าวก็ได้ถือโอกาส สอบถามปู่เกี่ยวกับเรื่องการงาน เรื่องการเงิน เรื่องครอบครัวและเรื่องต่าง ๆ ที่อยากจะทราบและวิธีแก้ไข บางอย่างผู้เขียนไม่ได้บอก แต่ปู่ก็ทราบเหมือนตาเห็น จนปู่กินข้าวเสร็จ ก็เลยลาปู่กลับ บอกปู่ว่า วันหลังจะมาอีก จะพาภรรยาและ ลูก ๆ มา ด้วย ปู่บอกว่า อยากจะได้ เมนทอล การบูรผง และ กาฝากมะม่วง เพื่อจะเอามาเป็นส่วนผสมกับสมุนไพรอื่น ๆ ซึ่งผู้เขียนก็รับปากว่าจะหามาให้ แล้วก็กราบที่ตัก ปู่เอามือลูบหัวและอวยพรให้เดินทางกลับด้วยความปลอดภัย......


หัวข้อ: Re: ปู่หมอธรรมเฮือง
เริ่มหัวข้อโดย: คนศรีเกษ ที่ 10 พฤษภาคม 2557, 07:36:02
                           ต่อมา เมื่อมีเวลาว่าง เสาร์ อาทิตย์  เดือนละครั้ง หรือ สองเดือนครั้ง ผมก็จะหาโอกาสแวะเวียนไปเยี่ยม ปู่เสมอมาโดยไม่ลืมที่จะซื้อ เมนทอล การบูรผง จากร้านขายยากำโหล่ เมืองศรีสะเกษ ไปฝากทุกครั้ง                                                                                                                                                                                                                                                                      มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมได้ใช้ความพยายามไปเสาะหากาฝากมะม่วงจนได้มาจากวัดแห่งหนึ่ง ซึ่งโชคดีมาก กิ่งมะม่วงกิ่งใหญ่ทั้งกิ่ง มีการฝากเต็มไปหมด ผมไปขอกับเจ้าอาวาสและจ้างเด็กวัดขึ้นไปตัดลงมาทั้งกิ่ง เอาไปฝากปู่คราวนั้น ปู่ดีใจมากจะให้เงินผู้เขียนเป็นค่าจ้าง แต่ผู้เขียนไม่รับ บอกตั้งใจหามาฝากปู่ เพื่อให้เอามาเป็นส่วนผสมของยาสมุนไพร จะได้บุญกุศลร่วมกันกับปู่  ช่วงหลังผมไปเยี่ยมปู่อย่างเดียวไม่ได้สอบถามอะไรมากนัก เอาของไปฝากแล้วก็ลากลับ เพื่อปู่จะได้มีเวลาสงเคราะห์ผู้เดือดร้อนที่รอเข้าคิวพบปู่จำนวนมากทุกวัน  จนเวลาผ่านไปปีเศษ ผมไปหาปู่เพียงคนเดียวหลายครั้ง ยังไม่มีเวลาพาครอบครัวไปเยี่ยมปู่สักครั้งเดียว จนกระทั้ง วันหนึ่ง เป็นวันหยุดโอกาสเหมาะ ผู้เขียน ภรรยา และลูก ๆ พร้อม จึงนัดกันไปพบปู่ กินข้าวเช้าเสร็จก็รีบขับรถมุ่งสู่ อำเภอเขื่องใน ทันที โดยไม่ลืมหยิบกล้องถ่ายรูปไปด้วย อีกทั้งแวะซื้อ เมนทอล และ ผงกาบูรเช่นเคย คราวนี้ แปลกใจมาก ทำไมไม่เห็นรถจอดจำนวนมาก บริเวณบ้านปู่เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา หรือว่าปู่ไม่อยู่ หรือว่าปู่ไม่สบาย สอบถามลูกหลานแถวนั้น บอกว่า วันนี้ ปู่ไม่รับแขก เพราะว่าเป็นวันสวดมนต์ กราบไหว้บูชาครูบาอาจารย์ที่ประสิทธิ์ประสาทวิชาให้ทั้งวัน ซึ่งทุกคนที่จะมาหาปู่ทราบดี มีแต่ผู้เขียนที่ไม่ทราบ บอกเขาว่าจะขอพบปู่แว๊ปเดียวได้หรือไม่ น้องเขาทำท่าอิดออด ผู้เขียนก็เลยตื้อต่อ บอกว่าให้ไปบอกปู่ว่าหลานมาจากศรีสะเกษมาขอพบและบอกชื่อผู้เขียนไป หายไปสักพัก น้องเขาออกมาบอกว่าปู่อนุญาต แต่ให้รอสักพัก ปู่กำลังสวดมนต์ พร้อมแล้วจะบอก ผู้เขียน รออยู่นานพอสมควร น้องเขาก็ออกมาพาเข้าไปพบปู่ ซึ่งอยู่ที่ห้องอีกห้องหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่ห้องที่ปู่รับแขกปรกติ แต่เป็นห้องพระส่วนตัวของปู่ พอเห็นหน้าผู้เขียน ปู่ยิ้มทักทายแบบอารมณ์ดีเช่นเคย พร้อมทั้งถามว่ากินข้าวมาแล้วหรือยังเหมือนทุกครั้ง คราวนี้ ภรรยาผมสอบถามเรื่องโชคชะตาราศรี เรื่องสุขภาพ เรื่องเงิน เรื่องงานต่าง ๆ ปู่ก็ดูให้โดยละเอียด ตามมาด้วยลูก ๆ ทั้ง 2 คน ปู่ก็ถามวัน เดือน ปีเกิด และทำนายอนาคตของลูกว่า ดวงเกิดมาเป็นอภิชาติบุตรทั้งคู่ จะได้เป็นที่พึ่งพาอาศัยของพ่อแม่ทั้งสองคน                                                                                                                                                                                                                                                            ต่อมาปู่ก็ลุกขึ้นไปหยิบเหล็กจาร และบอกผู้เขียนเข้ามาใกล้ ๆ สั่งให้ก้มหัวลงและบอกว่า ปู่จะลงกระหม่อมให้ เจ็บนิดหน่อยนะ ว่าแล้วก็ร่ายเวทมนต์ คาถาอาคมด้วยเสียงอันดังพอสมควรพร้อมลงเหล็กจารที่หนังศรีษะของผู้เขียนเริ่มจากกลางกระหม่อมไล่ไปเรื่อยจนรอบศรีษะ  ผู้เขียนเจ็บจนน้ำตาไหล เสียงเหล็กจารกรีดเข้าไปที่หนังศรีษะดังกรวด ๆ แต่ก็ต้องอดทน เมื่อปู่ลงเหล็กจารจนรอบศรีษะแล้วก็หยุด จากนั้น ก็นำขวดน้ำมันชนิดหนึ่งซึ่งผู้เขียนคิดว่า น่าจะเป็นว่าน 108 ชนิด ที่ปู่เคี่ยวจนใสและปลุกเสกจนครบสูตร มีกลิ่นหอมและเย็น เทใส่มือทั้ง 2 ข้างของปู่ แล้วนวดคลึงลงบนศรีษะของผู้เขียนจนทั่ว แล้วปู่ก็ร่ายเวทย์มนต์คาถาอาคม แล้วก็เป่าลงไปที่ศรีษะของผู้เขียนสลับกันไปมาระหว่างการร่ายเวทย์มนต์และการเป่าหรือการถ่ายปราณจากปู่เข้าสู่ร่างของผู้เขียนอยู่หลายครั้งจนครบสูตร ผู้เขียนรู้สึกเย็นยะเยือกทุกครั้งที่ปู่เป่าอีกทั้งสัมผัสได้ถึงความหอมและเย็นของน้ำว่านที่ซึมเข้าสู่ศรีษะและร่างกาย ความเจ็บปวดจากการลงเหล็กจารที่หนังศรีษะค่อย ๆ ผ่อนคลายและหายเจ็บไปในที่สุด .ต่อมาก็เรียก ลูก ๆ ทั้งสองคนเข้าไป สั่งให้ก้มศรีษะลงทั้ง 2 คน แต่คราวนี้ ปู่ไม่ใช้เหล็กจาร แต่ใช้นิ้วชี้ด้านขวา จิ้มลงบนศรีษะวนเวียนไปมาโดยรอบและก็ร่ายเวทย์มนต์คาถาอาคมเช่นเคย จนเสร็จ แต่เด็กทั้งสอง ปู่ไม่ได้ลงน้ำมันให้ ส่วนภรรยาผู้เขียน ปู่ให้ด้ายมงคลและน้ำมนต์ให้เอากลับไปบูชาที่บ้าน                                                                                                        ก่อนที่จะลากลับ ขออนุญาตปู่ ถ่ายภาพ ปู่บอกว่า เดี๋ยวให้ไปเปลี่ยนเสื้อก่อน หายเข้าไปในห้อง ได้เสื้อสีขาวตัวเก่งออกมาตามภาพ ผู้เขียนสังเกตุเห็นว่า เสื้อตัวนี้พิเศษ เพราะว่าปู่ เขียนยันต์ เป็นตัวหนังสือธรรมอีสาน ไว้ที่อกเสื้อด้านหน้าด้วย แต่ถ่ายภาพไม่ติดตัวยันต์ เสร็จแล้วก็ลากลับด้วยความอิ่มเอิบใจทั้งครอบครัว


หัวข้อ: Re: ปู่หมอธรรมเฮือง
เริ่มหัวข้อโดย: คนศรีเกษ ที่ 11 พฤษภาคม 2557, 08:16:59
ปู่หมอธรรมเฮืองผีย่าน                                                                                                                         ครั้งหนึ่ง ปู่ธรรมธรรมเฮืองได้แสดงความสุดยอดของพลังจิต ในสายหมอธรรมอีสานที่ปู่ได้เล่าเรียนมาจนสามารถ มีตาทิพย์ เห็นวิญญาณ และสื่อสารกับผีได้ โดยแสดงให้ผู้เขียนเห็นแบบชัดเจนก็คือ ภรรยาของผู้เขียนได้ซื้อรถเก๋ง มือสองคันหนึ่ง ดูจากภายนอกสภาพทั่ว ๆ ไป ยังดูใหม่ มีคนเอามาขายให้ในราคาค่อนข้างถูก โดยบอกว่า เป็นรถบ้าน ซื้อมาขับเองได้ไม่กี่ปี แต่อยากจะขายเพื่อซื้อคันใหม่ให้มีขนาดที่ใหญ่ขึ้นกว่าคันเดิม ภรรยาผู้เขียนเห็นแล้วชอบ จึงตัดสินใจซื้อทันที ขับได้ไม่นาน ก็เกิดเรื่องแปลก ๆ ทั้งที่ภรรยาผู้เขียนก็ขับรถมานานหลายปี มีความชำนานพอสมควร ขับทางไกล้ ทางไกล ขับไปต่างจังหวัดได้ แต่วันหนึ่ง ขับผ่าไฟแดงไปเฉี่ยวชนกับรถจักรยานยนต์เอาดื้อ ๆ  เธอบอกว่ามองไม่เห็นไฟแดงจริง ๆ ไม่รู้เป็นเพราะอะไร ก็เสียเงินให้คู่กรณีไปตามระเบียบ                                                  ต่อมาไม่นาน ขับไปเที่ยวกับเพื่อน ๆ ที่หาดคูดื่อ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ก็ไปเฉี่ยวชนกับจักรยานยนต์อีก คราวนี้หนัก รถยนต์ก็เสียหายต้องซ่อมเอง ต้องซ่อมรถจักรยานยนต์ให้คู่กรณี รวมถึงต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลและค่าทำขวัญให้ผู้เจ็บอีก   อีกครั้ง ขับรถไปงานเลี้ยง ถอยชนเสาโคมไฟแสงจันทร์ที่ลานจอดรถของร้านเอาดื้อ ๆ เช่นกัน คราวนี้ เธอบอกว่ามองเห็นเสาไฟ พยายามหักพวงมาลัยหลบ แต่ทำไมไม่พ้นก็ไม่รู้  ผลก็คือ ท้ายรถยนต์ยุบ เสาไฟคดงอ เสียเงินซ่อมทั้งสองอย่างอีกตามเคย                                                                                                                                       ผู้เขียนเห็นว่า ตั้งแต่ซื้อรถยนต์คันนี้มาไม่นาน ก็มีเหตุให้เกิดเรื่องราวและเสียเงินอยู่บ่อย ๆ จึงพาภรรยาขับรถคันนี้ไปหาปู่  เมื่อเจอปู่ ก็เล่าเรื่องรถและเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นให้ปู่ฟัง ปู่รับทราบแล้วหลับตาลงนั่งธรรม ชั่วอึดใจก็ลืมตาขึ้น บอกกับผู้เขียนและภรรยาว่า รถยนต์คันนี้มีผีเด็กสิงอยู่ และก็เล่าต่อเหมือนตาเห็นว่า เจ้าของรถยนต์คนเดิมขับไปชนเด็กผู้หญิงตายคาที่ วิญญาณได้สิงสถิตย์อยู่ในรถคันนี้ ไม่ยอมไปเกิด เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ก็เพราะผีเด็กแกล้งทำให้เกิดขึ้น ปู่บอกว่า เห็นวิญญาณเด็กคนนี้แล้วน่าสงสาร ปู่จะช่วยเขา ว่าแล้ว ก็หยิบขันน้ำมนต์ที่วางอยู่ใกล้ ๆ มาร่ายเวทมนต์ คาถาอาคม อีกครั้ง พอเสร็จ ปู่มองหน้าผู้เขียนแล้วบอกว่า คราวนี้ปู่จะไปไล่ผีเอง สั่งให้ผู้เขียนยกเอาขันน้ำมนต์ ส่วนปู่หยิบเอาด้ายมงคลเสกหรือด้ายสายสิญจน์ที่ทำไว้แล้ว พร้อมทั้งมัดหญ้าคาขนาดกำมือสำหรับประพรมน้ำมนต์ติดมือไปด้วย แล้วลุกขึ้นบอกให้ผู้เขียนเดินนำไปที่รถที่จอดไว้ด้านนอก พอถึงรถปู่สั่งให้ผู้เขียนเปิดประตูรถเก๋งออกทั้ง 4 ด้าน แล้วปู่ก็ไปยืนอยู่บริเวณประตูที่นั่งคนขับโดยไม่เข้าไปในรถ สั่งให้คนที่มามุงดูถอยให้ห่างประตูรถออกไปให้หมด อย่าปิดทาง เอามัดหญ้าคาจุ่มน้ำมนต์ในขันที่ผู้เขียนอุ้มอยู่ แล้วก็ประพรมไปบริเวณที่นั่งคนขับ พร้อมกับพูดว่า " อีนางน้อยเอ้ย หม่องนี้ มันบ่อแม่นหม่องเจ้าอยู่เด้อ ให้หนีออกไปสา ให้เจ้าไปเกิดใหม่ ในภพ ในภูมิ ของเจ้าเด้อ ออกไป ออกไป ออกไป " ว่าแล้ว ก็จุ่มน้ำมนต์ในขันหลายครั้งประพรมเข้าไปในรถ ปากก็ร่ายเวทมนต์คาถาอาคมไปเรื่อย ๆ ชั่วอึดใจปู่ก็กวาดสายตามองขึ้นไปบนท้องฟ้า แล้วก็บอกว่า " อีน้อย ๆ มันออกไปแล้ว " " มันไปเกิดใหม่แล้ว " ต่อจากนั้น ปู่ก็เข้าไปนั่งในรถ แล้วเอาด้ายมงคลที่ถือติดมือมาด้วย มัดไว้กับพวงมาลัยรถยนต์ แล้วก็เป็นอันเสร็จพิธี                                                                                                                                             ต่อจากนั้นมา รถยนต์คันนั้นก็ไม่เคยเกิดเหตุอะไรอีกเลย จนกระทั่งภรรยาผมได้ขายรถยนต์คันนั้นไปแล้วเมื่อหลายปีก่อน


หัวข้อ: Re: ปู่หมอธรรมเฮือง
เริ่มหัวข้อโดย: คนศรีเกษ ที่ 13 พฤษภาคม 2557, 10:17:27
คิดถึงปู่                                                                                                                                                        เมื่อถึงวันหยุดเสาร์ - อาทิตย์ ไม่ติดภาระกิจอะไร อยู่ว่าง ๆ ผมมักจะคิดถึงปู่อยู่เสมอ  ปู่ยังคงสบายดี มีสุขภาพแข็งแรง อยู่เหมือนเดิมหรือเปล่าหนอ เมนทอล และ ผงการบูร ที่ซื้อไปฝากคราวที่แล้ว หมดแล้วหรือยังก็ไม่ทราบ ว่าแล้วก็ไปหาปู่ดีกว่า โดยไม่ลืมนำของฝากติดมือไปด้วย เมื่อพบปู่ ปู่ทักทายแบบอารมณ์ดีเช่นเคย พร้อมกับเอ่ยปากถาม " กินข้าวมาแล้วหรือยัง " โถ ปู่ครับ ปู่ห่วงแต่คนอื่นแต่ตัวปู่เอง มีเวลากินข้าวหรือเปล่าก็ไม่ทราบ คราวนี้ ผมได้รู้จักลูกชายของปู่ โดยปู่แนะนำให้รู้จัก ชื่ออะไรผมก็จำไม่ได้เสียแล้ว อายุวัยกลางคน รูปร่างผอมสูง แต่อายุน่าจะน้อยกว่า " ลุงพร " ผู้ช่วยของปู่ที่ผมรู้จักมาก่อนหน้านี้แล้ว ได้คุยกันเล็กน้อย ผู้เขียนสอบถามว่า ได้สืบทอดการเรียน " หมอธรรม " จากปู่ไว้บ้างหรือเปล่า แกตอบว่า ก็พยายามเรียนอยู่ แต่ว่าเรียนยาก แกตอบว่าอย่างนั้น เนื่องจากคนมาก ก็เลยไม่ได้คุยอะไรกันอีก                                                                                                          วันนั้น ไม่มีธุระอะไรกับปู่ เพียงแวะมาเยี่ยมเฉย ๆ ทักทายกับปู่และเอา เมนทอล และ ผงการบูรให้แล้ว ก็คิดว่าจะกลับ แล้วก็เดินออกมาด้านนอก แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไร ปู่ก็ให้คนออกมาเรียกให้เข้าไปพบ ปู่กำลังยุ่งมากแต่ก็ยังอุตส่าห์บอกผู้เขียนว่า  " อย่าเพิ่งกลับนะ ปู่มีของจะฝาก " ผู้เขียนดีใจมาก ในใจคิดว่าปู่น่าจะแจกพระ หรือ วัตถุมคลอะไรสักอย่าง  ผู้เขียนจึงนั่งรออยู่ตรงนั้น นานพอสมควร สักครู่ ปู่ลุกขึ้นเรียกผู้เขียนให้เดินตามเข้าไปในห้องพระ หรือ ห้องสวดมนต์ของท่าน แล้วก็เอาย่ามประจำตัวออกมา ล้วงหยิบตะกรุดโทนออกมาให้ จำนวน 3 ดอก บอกให้ผู้เขียน 1 ดอก และฝากให้ลูกชายทั้ง 2 คน คนละดอก ปู่สั่งให้ก้มหัวลง วางตะกรุดทั้งหมดใส่มือแต่ยังไม่ปล่อย ร่ายมนต์ไปนานพอสมควรจึงให้รับเอากับมือปู่ และ พูดสำทับว่า ปู่ทำให้เป็นพิเศษ ให้เก็บรักษาไว้ให้ดีเป็นของ " ศักดิ์สิทธิ์ " ดีใจมากรีบลากลับทันที                                                                                                                 ลักษณะตะกรุด ตามภาพที่เห็น เป็นตะกรุดทองแดง แต่ละดอกยาวเท่ากัน คือประมาณ 5 นิ้ว ปู่ม้วนแล้วไม่ได้หุ้มอะไรไว้ ผู้เขียนกลัวว่าเมื่อใช้ไปนาน ๆ ตะกรุดจะชำรุดเสียหาย จึงได้นำเอาสายยางพลาสติคใสมาหุ้มเอาไว้


หัวข้อ: Re: ปู่หมอธรรมเฮือง
เริ่มหัวข้อโดย: m92f ที่ 13 พฤษภาคม 2557, 23:35:04
ขอบคุณมากครับ สำหรับข้อมูลดี ๆ


ผมมาเป็นเขยอยู่บ้านนี้ (บ้านหนองเหล่า อ.เขื่องใน) ลูกชาย ธรรมเฮือง ตอนนี้ ก็เป็นหมอธรรมเหมือนกัน ชื่อ พ่อใหญ่สี ครับ


หัวข้อ: Re: ปู่หมอธรรมเฮือง
เริ่มหัวข้อโดย: คนศรีเกษ ที่ 16 พฤษภาคม 2557, 20:04:37
อะไรอยู่ในกระป๋อง                                                                                                                                            ผู้เขียนจำได้ว่าในช่วงนั้น ไม่ได้ไปพบไปเยี่ยมปู่นานเป็นปี เนื่องจากติดภาระหน้าที่การงาน ยุ่งมากจนไม่มีเวลาว่างที่จะคิดถึงปู่ บางครั้งหยุดเสาร์ อาทิตย์ ก็ต้องทำงาน จนกระทั่ง วันหนึ่ง  ผู้เขียนจำเป็นต้องไปทำภาระกิจการงานที่ยโสธร ทำภาระกิจต่าง ๆ เสร็จสิ้นแล้ว ช่วงบ่าย กลับศรีสะเกษทางด้านอำเภอเขื่องใน เพื่อจะตัดเข้าอำเภอยางชุมน้อย และเข้าศรีสะเกษต่อไป เมื่อรถวิ่งมาถึงเขื่องใน ไม่ทราบเป็นเพราะอะไร มาดลใจให้ผู้เขียนคิดแว๊ปไปถึงปู่ จำได้ว่าเมื่อใกล้ถึงตลาดเขื่องในช่วงนี้ เลี้ยวซ้ายเข้าไปอีกหน่อย ไม่กี่กิโลเมตร ก็จะถึงบ้านหนองเหล่า บ้านที่ปู่อยู่ซึ่งผู้เขียนคุ้นเคยมากเพราะว่าเทียวไปมาหลายครั้งแล้ว ว่าแล้วก็หักพวงมาลัยซ้ายเข้าหนองเหล่าทันที                                                                                                                                                                                                   วันนั้น เป็นวันธรรมดาไม่ใช่วันหยุด และเป็นช่วงเย็นแล้ว ไม่มีรถจอดเพราะคงจะกลับหมดแล้ว จอดรถเสร็จโผล่หน้าเข้าไปในห้อง เห็นมีชาวบ้านหนองเหล่านั่งคุยกับปู่อยู่ 4 - 5 คน ทักทายปู่แล้ว ชาวบ้านคงเสร็จธุระพอดีก็พากันออกจากห้องไป เหลือแต่ปู่กับผู้เขียน มาพบปู่คราวนี้ สังเกตุดูปู่แก่ตัวลงกว่าเดิมมาก การเดินของปู่เดินแบบคนแก่หลังค่อม เวลายืนขึ้นลำตัวปู่แทบจะตั้งฉาก 90 องศากับพื้น เมื่อเจอหน้ากัน ปู่ตัดพ้อผู้เขียนในเชิงน้อยใจว่า เป็นเวลานานแล้วไม่มาเยี่ยมปู่เลย ไม่เหมือนก่อน คิดว่าลืมปู่แล้ว ผู็เขียนก็เลยเข้าไปกราบที่ตัก กล่าวคำขอโทษและ เล่าความจำเป็นต่าง ๆ ให้ฟัง ปู่นั่งฟังนิ่ง ๆ เหมือนใช้ความคิดโดยไม่พูดอะไร สักครู่หนึ่ง ปู่ก็ลุกขึ้นไปหยิบ สิ่งของชนิดหนึ่งออกมาจากในห้องสวดมนต์ของปู่ จำได้ว่าเป็นกระป๋องพลาสติกสีขาวทึบปิดฝาแน่น ความสูงประมาณสักครึ่งฟุต เสียงดังขลุก ๆ เหมือนมีวัตถุอะไรอยู่ข้างใน เมื่อปู่เปิดฝาแล้วเทสิ่งของนั้นออกมา ปรากฏว่า ของสิ่งนั้นลักษณะเหมือนหินชนิดหนึ่ง กลมแต่แบน ๆ ลักษณะคล้ายจาวตาล ขนาดโตกว่าเหรียญ 10 บาท นิดหน่อย สีน้ำตาลอ่อน ๆ หรือสีออกแบบท้องปลาไหล อยู่ในกระป๋องมีแค่ชิ้นเดียว ปู่พูดว่า " มีคนเพียรขอ อยู่หลายครั้ง แต่ปู่ไม่ให้ หนักเข้า ขอซื้อให้บอกราคามา แต่ปู่ก็ไม่ขาย เพราะเขาไม่ใช่คนที่เป็นเจ้าของสิ่งนี้ "แต่วันนี้ ปู่เห็นว่าผู้เขียน สมควรที่จะเป็นเจ้าของสิ่งนี้ จึงได้มอบใส่มือให้ผู้เขียน ฟรี ๆ โดยไม่ต้องการค่าตอบแทนแต่อย่างใด ผู้เขียนดีใจมาก ได้ของแล้วก็รีบลากลับ เพราะว่าใกล้มืืดค่ำแล้วกลัวจะกลับบ้านลำบาก วันนั้น ก็ปากหนัก ไม่ได้ถามปู่ว่า สิ่งที่ปู่มอบให้นี้คืออะไร แต่ก็คิดว่าไม่เป็นไร วันหลังจะกลับมาถามใหม่ ....                                                                                               พอได้มาแล้ว ด้วยความเชื่อมั่นและศรัทธายิ่ง จึงได้นำไปอัดกรอบพลาสติค โดยไม่ลืมตัดภาพใบหน้าของปู่ อัดลงไปในกรอบพลาสติคอีกด้านด้วยเพื่อไม่ให้ลืมปู่ และห่มจีวรให้อย่างงาม เชิญชมภาพครับ


หัวข้อ: Re: ปู่หมอธรรมเฮือง
เริ่มหัวข้อโดย: คนศรีเกษ ที่ 16 พฤษภาคม 2557, 22:01:10
บทส่งท้าย                                                                                                                                                    ต่อมาอีกนานพอสมควร  ผู้เขียนหาเวลาว่างจนได้ โดยตั้งใจที่จะกลับไปหาปู่ เพื่อจะถามปู่ว่า สิ่งที่อยู่ในกระป๋องที่ให้มานั้นเป็นอะไร ออกจากศรีสะเกษแต่เช้า รีบบึ่งรถเข้าไปหนองเหล่า เขื่องในทันที แปลกใจทั้งที่วันนี้เป็นวันหยุด ปรกติ รถจะต้องจอดเป็นแนวยาว คนจะต้องพลุกพล่าน เมื่อใกล้ถึงบ้านปู่ แต่วันนี้ ว่างเปล่า มีแต่ความเงียบ ผู้เขียนเริ่มใจหาย ปู่ไปไหนหนอ หรือว่าป่วย .....หรือว่า ........ทำให้คิดไปต่าง ๆ นานา.วิ่งเข้าไปจอดรถที่หน้าบ้านปู่  จำได้แม่น เพราะว่าไปบ่อย เป็นบ้านปู่แน่นอน  สิ่งที่เห็นคือ บ้านที่อดีดเคยคราคร่ำ และเนืองแน่นไปด้วยผู้คน วันนี้ ปิดสนิท เงียบเหงา ไม่มีแม้แต่คนในบ้านที่จะสอบถาม เดินอ้อมไปด้านหลังบ้านก็ปิด ก็เลยต้องเดินต่อไปที่บ้านข้างเคียง สอบถามได้ความว่า " ปู่หมอธรรมเฮือง เสียชีวิตแล้ว " ในขณะนั้น ผู้เขียนรู้สึกตกใจ ทำให้ตัวผู้เขียนเย็นวูปไปชั่วขณะหนึ่ง  เสียใจมาก ที่ไม่ได้มาร่วมงานศพของปู่เพราะว่าไม่ทราบ และ ไม่มีใครบอก  ได้แต่รำพึงในใจว่า " ปู่ได้ลาจากโลกนี้และพวกเราไปแล้ว โดยไม่มีวันกลับ " น้ำตาแห่งความรัก เคารพ ความศรัทธาและอาลัยยิ่ง มันไหลออกมาโดยไม่รู้สึกตัว ได้แต่พนมมือขึ้นหันหน้าไปทางห้องสวดมนต์ที่เคยคุยกับปู่ และ ตั้งจิตอธิษฐาน ขอให้ดวงวิญญาณของปู่ จงขึ้นไปสถิตสถาพรเสวยสันติสุขในสุคติสัมปรายภพบนสรวงสวรรค์ด้วยเทอญ  วันนั้น จึงต้องเดินทางกลับด้วยความผิดหวัง เสียใจ และเศร้าใจเป็นอย่างยิ่ง                                     สิ่งที่จะถามปู่ก็เลยหมดโอกาสเสียแล้ว ยังคงเป็นปริศนาต่อไป จนถึงเท่าทุกวันนี้ เพื่อนฝูงหลายคนสอบถามว่าเป็นอะไร ก็บอกว่าไม่รู้ ปู่หมอธรรมเฮืองให้มา และปู่แกก็เสียชีวิตแล้ว มันก็เลยเดากันใหญ่ วิเคราะห์จากคนให้ บางคนก็บอกว่าเป็น " คดหินกายสิทธิ์(หินขวานฟ้า) " บ้างก็บอกว่าเป็น " หมากไม้มณีโคตร " แต่บางคนคิดไปถึง " ขี้เหล็กไหล " ไปโน่นก็มี แต่ไม่ว่า จะเป็นอะไร เมื่อปู่ให้ และผู้เขียนรับมากับมือของปู่ คุณค่าจึงอยู่ที่จิตใจ ความเคารพ นับถือศรัทธา เหล่านี้จึงมีค่าสูงยิ่ง  อีกทั้ง วัตถุชนิดนี้ จะต้องมีความสำคัญ มีความศักดิ์สิทธิ์ เนื่องจากปู่อาจจะใช้เป็นส่วนประกอบในพิธีกรรมบางอย่าง เช่น แช่ในขันเพื่อประกอบพิธีทำน้ำมนต์ หรืออาจจะใช้เป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์โรคบางชนิด ก็อาจจะเป็นได้ เนื่องจากวัตถุสิ่งนี้อยู่ในห้องสวดมนต์ของปู่  และด้วยความบังเอิญผู้เขียนถ่ายภาพปู่แล้วติดภาพกระป๋องที่ใส่วัตถุนั้นมาด้วย ....                                                              ตามภาพ อยู่ในกระป๋องสีขาวทึบที่วางอยู่ข้างปู่ กระป๋องใด กระป๋องหนึ่ง ในสองกระป๋อง ในวงสีเหลืองนั้นอย่างแน่นอนครับ


หัวข้อ: Re: ปู่หมอธรรมเฮือง
เริ่มหัวข้อโดย: คนศรีเกษ ที่ 17 พฤษภาคม 2557, 05:12:15
เหรียญธรรมเฮือง                                                                                                                                            ผู้เขียน เห็นเหรียญธรรมเฮือง ซึ่งเป็นเหรียญฆราวาส จับขึ้นมาส่องดู เห็นมีรอยลงเหล็กจารด้านหน้าเหรียญไว้ด้วย มีความเก่าพอสมควร จึงได้เช่าเก็บเอาไว้ ไม่ทราบว่า เป็นเหรียญของปู่หมอธรรมเฮือง บ้านหนองเหล่า ตำบลหนองเหล่า อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี หรือเปล่า เพราะว่าในเหรียญ นอกจากชื่อธรรมเฮืองและอักษรธรรมอีสานแล้ว ไม่ได้บอกรายละเอียดอะไรไว้เลย ท่านใดทราบ ช่วยให้ข้อมูลของเหรียญนี้ เพื่อเป็นวิทยาทานด้วยครับ ขอขอบคุณล่วงหน้าครับ


หัวข้อ: Re: ปู่หมอธรรมเฮือง
เริ่มหัวข้อโดย: คนโก้ ที่ 17 พฤษภาคม 2557, 09:30:06
ขอบคุณที่แบ่งปันเรื่องราวดีๆครับ 007


หัวข้อ: Re: ปู่หมอธรรมเฮือง
เริ่มหัวข้อโดย: คนศรีเกษ ที่ 21 พฤษภาคม 2557, 07:59:36
 005  005  005 พอดีอ่านเจอข้อเขียน ของท่าน  " หนองเหล่า " ใน www.ubonpra.com ท่านบอกว่า ปู่หมอธรรมเฮือง เป็นลูกศิษย์ของ " พระครูศรีสุตาภรณ์ " เกจิอาจารย์ชื่อดังของอำเภอเขื่องใน และ เหรียญธรรมเฮือง ที่ปรากฏในภาพเป็นเหรียญของ ปู่ธรรมเฮือง แห่งบ้านหนองเหล่า ตำบลหนองเหล่า อำเภอเขื่องใน  จังหวัดอุบลราชธานี แน่นอน อ่านข้อเขียนโดยตามลิ้งค์ ไปเลยครับ http://www.ubonpra.com/board/index.php?topic=118.90  005  005  005


หัวข้อ: Re: ปู่หมอธรรมเฮือง
เริ่มหัวข้อโดย: คนศรีเกษ ที่ 23 พฤษภาคม 2557, 16:44:23
 014  014  014  เพื่อน ๆ ครับ เป็นที่แน่นอนแล้วว่า เหรียญธรรมเฮือง เหรียญนี้ เป็นเหรียญของ ปู่หมอธรรมเฮือง แห่งบ้านหนองเหล่า ตำบลหนองเหล่า อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี แต่อยากทราบว่า สร้างปีไหน ใครเป็นคนสร้าง และ จำนวนที่สร้างประมาณกี่เหรียญ บางคนบอกว่า สร้างประมาณ พ.ศ. 2515 - 2520 ท่าน พระครูศรีสุตาภรณ์ มีส่วนร่วมในการปลุกเสกด้วยหรือไม่ อย่างไร อีกทั้งการลงเหล็กจาร ปู่หมอธรรมเฮือง เป็นคนลงเองทุกเหรียญหรือไม่ ใครพอทราบประวัติบ้างครับ  014  014  014


หัวข้อ: Re: ปู่หมอธรรมเฮือง
เริ่มหัวข้อโดย: คนศรีเกษ ที่ 23 พฤษภาคม 2557, 21:27:49
 023  023  023 บล๊อคนี้ไม่มีเม็ดตา ง แตก 023  023  023


หัวข้อ: Re: ปู่หมอธรรมเฮือง บ้านหนองเหล่า ตำบลหนองเหล่า อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: คนศรีเกษ ที่ 31 พฤษภาคม 2557, 06:59:55
                     
เหรียญ ธรรมเฮือง ถึงแม้ว่าจะเป็นเหรียญฆราวาสที่ไม่ใช่เหรียญพระพุทธ หรือ พระสงฆ์ ซึ่งมีจำนวนน้อยมากในประเทศไทยนี้แทบจะนับคนได้ ที่กล้าออกเหรียญมาให้คนเช่าและนับถือบูชา จะต้องไม่ธรรมดาแน่นอน        
                                                                                                             
เราลองมาช่วยกันพิจารณาดูว่า ในเหรียญนี้ อักษรธรรมหรือยันต์ที่ปรากฎในเหรียญ อ่านว่าอย่างไร  มีความหมายและใช้ไปในทางไหน ซึ่งจากการศึกษาและค้นคว้าอักษรธรรมอีสานซึ่งผู้เขียนพอจะมีความรู้บ้าง พอจะอ่าน และ แปลความหมายได้ดังนี้ ( ถ้าผิดพลาดขออภัยและช่วยกันชี้แนะด้วยนะครับ ถือว่าเป็นการแบ่งปันความรู้กันครับ )
ด้านหน้าของเหรียญ ในวงกรอบสีเขียว ซึ่งมีอักขระอยู่เพียง 3 ตัว อ่านว่า
มะ อะ อุ
ความหมาย หมายถึง หัวใจตรีเพชร อันว่า หัวใจ ในทางพระเวท หมายถึง มนต์หรือคาถาอาคมต่าง ๆ ที่ย่อลงให้สั้น ทั้งนี้ เพื่อความสะดวกในการปลุกเสก และในการลงเลขยันต์ ท่านโบราณาจารย์จึงได้ย่อมนต์คาถาต่าง ๆ ลงให้สั้นที่สุดเท่าที่จะสั้นได้ โดยเอาส่วนที่สำคัญที่สุดมาแค่ 1 ตัว หรืออย่างมากที่สุด ไม่เกิน 9 ตัว เรียกกันว่า หัวใจคาถา หรือ หัวใจ 108 ส่วนความหมาย และความสำคัญของ หัวใจตรีเพชร นั้นพอสรุปได้ว่า หมายถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีความสำคัญมาก เพราะว่าเป็นพระคาถาหัวใจพระไตรปิฎก  มะ (แทนพระพุทธ มาจาก มะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ) อะ (แทนพระธรรม มาจาก อะกาลิโกเอหิปัสสิโก) อุ (แทนพระสงฆ์ มาจาก อุชุปะฏิปันโน สาวะกะสังโฆ) ซึ่งมิได้เรียงเรียงแบบของฮินดู (อุ อะ มะ) หรือ " โอม " หัวใจตรีเพชรหรือ มะ อะ อุ  อีกความหมายหนึ่งนั้นใช้เป็น หัวใจพระไตรปิฏก โดยให้ มะ (แทน พระมหากัสสะปะ) อะ (แทนพระอานนท์) อุ (แทนพระอุบาลี) ผู้ซึ่งเป็นพระผู้เริ่มสังคายนาพระไตรปิฏก รวมความแล้วเป็นหัวใจพระไตรปิฎกทั้งนั้น เป็นคาถาใช้ได้ทุกทาง ครอบจักรวาลใช้ดีทุกด้าน ป้องกันอันตราย และ ทางคงกระพันชาตรี ทางโบราณเกจิอาจารย์ต่างๆ ถือกันว่ายันต์บทนี้เป็นยันต์ที่เด่นในทางแคล้วคลาดและเป็นเมตตามหานิยมสูงมาก และเป็นคาถาที่ใช้คู่ กับ"นะ โม พุท ธา ยะ"ซึ่งขาดเสียอย่างใดอย่างหนึ่งแทบมิได้ ดังนั้น เหรียญนี้ แม้ว่าจะเป็นเหรียญฆราวาส แต่ได้นำยันต์สำคัญมาใช้เป็นตัวแทนทั้ง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รวมถึงพระไตรปิฎก จึงไม่ธรรมดาแน่นอน    
                                                                                           
วันหลัง จะพยายามอ่านและหาความหมาย ความสำคัญของยันต์ด้านหลังมาให้ช่วยกันวิเคราะห์และศึกษากันครับ


หัวข้อ: Re: ปู่หมอธรรมเฮือง
เริ่มหัวข้อโดย: คนศรีเกษ ที่ 01 มิถุนายน 2557, 06:09:54
                         
อักษรธรรมที่ปรากฏบนหลังเหรียญ ธรรมเฮือง แถวแรก บนสุด
อ่านว่า พุท ธะ สัง มิ ครับ
ความหมาย หมายถึงหัวใจ ไตรสรณาคมน์ หรือ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า คาถายอดศีล ครับ
ย่อมาจาก
?
พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
พุท ธะ สัง มิ นี่ตัดมาคำเดียว พุทธัง ธัมมัง สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
                                                                                               
พุท ธะ สัง มิ เป็นยอดพระคาถาทางเมตตา ทางอยู่คงก็ใช้ได้  ตลอดจนจะใช้เป็นล่องหนกำบังก็ได้ ท่านเรียกว่า ฝอยท่วมหลังช้างแล


หัวข้อ: Re: ปู่หมอธรรมเฮือง
เริ่มหัวข้อโดย: เต้ อุบล ที่ 01 มิถุนายน 2557, 07:30:17
ส่วนคาถาหลังเหรียญทั้งหมดนั้นไซร้อ่านได้ความว่า

พุทธะสังมิ นะโมพุทธายะ นะมะพะธะ จะพะกะสะ อิสะวาสุ อิกะวิติ อุทธังอัทโธ โธอัทธังอุท    ฯแลท่านเอยฯ


หัวข้อ: Re: ปู่หมอธรรมเฮือง
เริ่มหัวข้อโดย: คนศรีเกษ ที่ 03 มิถุนายน 2557, 06:43:28
                            ขอขอบคุณ ท่าน เต้ อุบล ที่ช่วยอ่านคาถาอักษรธรรมอีสานหลังเหรียญ ธรรมเฮือง ทั้งหมด ให้เพื่อน ๆ ทราบเป็นการนำร่องแล้ว ผู้เขียนก็สบาย ตามร่องของท่าน เต้ อุบล อย่างเดียว คาถาต่อไปอ่านว่า นะ โม พุท ธา ยะ หรือเรียกว่า พระคาถาพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ ครับ  คาถาพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ หรือ"แม่ธาตุใหญ่" ซึ่งมีพุทธคุณเหนือยันต์ทั้งปวง หรือ เป็นประธานพระคาถานั่นเอง รวมทั้งความเชื่อสืบต่อกันว่า "ผู้ใดที่ท่องหรือบริกรรมพระคาถาบทนี้ ด้วยจิตอันสงบและมั่นคงแล้วจะมีพุทธคุณคุ้มครองครอบจักรวาล" หรืออาจกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ "มีพุทธคุณครบทุกด้าน เช่น เมตตามหานิยม แคล้วคลาด ป้องกันภัย มหาเสน่ห์ มหาอุด รวมทั้งไล่ภูตผีและใช้กันเสนียดจัญไรได้อีกด้วย"

ส่วนที่มาของ พระคาถาพระเจ้า ๕ พระองค์ เป็นการเขียนโดยใช้ ตัวย่อนามพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ คือ

นะ หมายถึง พระกุกกุสันโธ ใช้เขียนแทน ธาตุน้ำ ซึ่งเรียกว่า อาโปธาตุ มีกำลังเท่ากับ ๑๒

โม หมายถึง พระโกนาคม ใช้เขียนแทน ธาตุดิน ซึ่งเรียกว่า ปฐวีธาตุ มีกำลังเท่ากับ ๒๑

พุท หมายถึง พระกัสสป ใช้เขียนแทน ธาตุไฟ ซึ่งเรียกว่า เดโชธาตุ มีกำลังเท่ากับ ๖

ธา หมายถึง พระสมณะโคดม (พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน) ใช้เขียนแทน ธาตุลม ซึ่งเรียกว่า วาโยธาตุ มีกำลังเท่ากับ ๗

ยะ หมายถึง พระศรีอารยเมตไตรย (พระพุทธเจ้าองค์ถัดไป หลัง พ.ศ.๕๐๐๐) ใช้เขียนแทน อากาศธาตุ มีกำลังเท่ากับ ๑๐

เมื่อรวมกำลังธาตุทั้ง ๕ ก็จะเป็นคุณพระพุทธเจ้า ๕๖


หัวข้อ: Re: ปู่หมอธรรมเฮือง
เริ่มหัวข้อโดย: คนศรีเกษ ที่ 05 มิถุนายน 2557, 16:44:13
                          
  คาถาตัวนี้ อ่านว่า นะ มะ พะ ทะ ครับ คาถาบทนี้ หมายถึง หัวใจของธาตุทั้ง 4 ครับ มีดังนี้ครับ  
                                                                                                                           
๑. นะ  คือ ธาตุน้ำ    หรืออาโปธาตุ     ใช้ในทางเสน่ห์  เมตตา  มหานิยม
                                     
๒. มะ  คือ ธาตุดิน    หรือปถวีธาตุ      ใช้ในทางขับไล่ภูตผีปีศาจ
       
๓. พะ  คือ ธาตุไฟ   หรือเตโชธาตุ     ใช้ในทางคงกระพันชาตรี  
      
๔.ทะ คือ ธาตุลม     หรือวาโยธาตุ     ใช้ในทางกำบัง ล่องหน สะกดจังงัง  
                                                                                                                                                                    
คาถาบทนี้ มีความสำคัญมาก
เนื่องจาก ในการสร้างวัตถุมงคล และเครื่องรางต่าง ๆ จะต้องมีการตั้งธาตุ และ ปลุกธาตุ เพื่อให้ของสิ่งนั้นเกิดพลัง โดยการลงเลขยันต์นั้นจะต้องตั้งด้วยแม่ธาตุใหญ่ คือ นะ โม พุท ธา ยะ และ ตามด้วยธาตุ 4  นะ มะ พะทะ


หัวข้อ: Re: ปู่หมอธรรมเฮือง
เริ่มหัวข้อโดย: คนศรีเกษ ที่ 07 มิถุนายน 2557, 09:27:53
                            
คาถาตัวนี้ อ่านว่า จะ ภะ กะ สะ ครับ หรือหัวใจธาตุ กรณีย์ ใช้หนุนธาตุ 4 ให้มีกำลังและมีอานุภาพมากขึ้นครับ  จะ ภะ กะ สะ ย่อมาจาก                                                        
จะ เช ทุชชะนัสสัคคัง แปลว่า ให้พึงเว้นจากการคบคนชั่ว ถอดออกมาเป็น ?จะ"
ภะ เช สาธุสะมาคะตัง แปลว่า ให้พึงคบหาสมาคมกับคนดี ถอดออกมาเป็น ?ภะ"
กะ เร ปุญญะมะโหรัตตัง แปลว่า ให้พึงทำแต่ความดีทั้งกลางวันและกลางคืน ถอดออกมาเป็น ?กะ"      
สะ ย่อมาจาก สรนิจฺจมนิจฺจํ แปลว่า ให้ระลึกถึงความไม่เที่ยงของสังขารเป็นนิจ ถอดออกมาเป็น "สะ"  
คาถา จะ ภะ กะ สะ สี่คำนี้ ถ้าใครได้เรียนให้แตกฉานแล้ว ท่องกลับไป กลับมา จะมีอานุภาพมาก
ลุยไฟ...ถ้าเราจะลุยไฟมิให้พอง ท่านให้เสกน้ำลายทามือทาเท้า ด้วยคาถาบทนี้ จะภะกะสะ ภะกะสะจะ กะสะจะภะ สะจะภะกะ เสกให้ได้ 108 คาบ ทาฝ่ามือฝ่าเท้ามิรู้สึกร้อนเลย

เรียกฝน..ถ้าจะกระทำให้ฝนตก ครั้นเมื่อถึงเที่ยงคืน ให้ชักลูกประคำ ภาวนาด้วยคาถาบทนี้ จะภะกะสะ สะจะภะกะ ภาวนาให้ถ้วน 108 คาบ ฝนนั้นจะตกลงมาหนักแล

ห้ามลม..ถ้าจะห้ามลมมิให้พัด หรือฝนมิให้ตก จึงให้นั่งชักลูกประคำภาวนาด้วยคาถานี้ จะภะกะสะ ภะกะสะจะ 16 คาบ เป็นมหาละลาย เสื่อมสูญหายไปหมดสิ้นแล
บังตา..ถ้าจะไปทางเรือเมื่อผ่านด่านขนอน (ด่านเสียภาษี) ประสงค์จะมิให้ร้องเรียกเราได้ จึงให้ภาวนาคาถาบทนี้ จะภะกะสะ 17 คาบ เราผ่านไปเขาดูแลเรา จะอ้าปากร้องเรียกเรา มิสามารถจะอ้าปากได้

ล่องหน..สิทธิการิยะ ท่านให้เอาใบไม้รู้นอน เอาให้ได้ 7 สิ่ง จงเอาประสมเข้าด้วยกัน และปั้นเป็นรูปพระหนุมานนั่งคุกเข่าพนมมือสูงองคุลีหนึ่ง จึงลงอักษรในองค์พระหนุมานนั้น จงลงรักปิดทองเสียให้เรียบร้อย สำเร็จแล้ว เสกด้วยพระคาถาบทนี้ ภะกะสะจะ สะจะภะกะ ให้ได้ 108 คาบ
ทำเสร็จแล้วจึงเอาพระหนุมานนั้นห่อผ้าโพกหัวเข้าไว้ให้แน่น จึงไปเถิด เที่ยวไปในสารทิศใดๆก็ดี คนทั้งหลายไม่เห็นตัวเราเลย ถ้าจะขึ้นเรือนผู้ใด คนในเรือนนั้นก็หลับสนิท

ถึงหากว่าจะแลเห็นก็อ้าปากมิออก ทั้งแคล้วคลาดอยู่คงด้วย ประเสริฐนักแล

นี่เป็นส่วนหนึ่งของคาถาพระธาตุกรณีย์ ถ้าทำสำเร็จแล้ว ตำราท่านว่า อย่าว่าแต่ศึกมนุษย์เลย ถ้าแลจะสับประยุทธ์ด้วยเทพยดานั้น ก็ย่อมได้...


หัวข้อ: Re: ปู่หมอธรรมเฮือง
เริ่มหัวข้อโดย: คนศรีเกษ ที่ 07 มิถุนายน 2557, 11:23:52
คาถาตัวนี้ อ่านว่า อิ สวา สุ ครับ หมายถึง หัวใจพระรัตนตรัย หรือ หัวใจแก้วสามดวง                              
  อักขระ อิ สวา สุ นี้ได้มาจากตัวต้นของบทสรรเสริญ พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ นั่นเอง
อิ  หมายถึง พระพุทธคุณ (อิติปิโสฯ)
สวา หมายถึง  พระธรรมคุณ (สวากขาโตฯ)
สุ หมายถึง พระสังฆคุณ (สุปะฏิปันโนฯ)                                                                                             
นับถือกันว่า คาถา อิ สวา สุ นี้ มีคุณวิเศษทางคุ้มครองป้องกันภัยเป็นสิริมงคลยิ่ง


หัวข้อ: Re: ปู่หมอธรรมเฮือง
เริ่มหัวข้อโดย: คนศรีเกษ ที่ 07 มิถุนายน 2557, 11:35:55
คาถาตัวนี้ อ่านว่า อิ กะ วิ ติ หมายถึง หัวใจพระพุทธเจ้าครับ
กล่าวกันว่า พระคาถานี้หากภาวนาเป็นประจำ เพื่อให้คุณพระรักษา จะอยู่ยงคงกระพันชาตรี กันปืน เสกขมิ้นกิน อยู่คงทน สะเดาะโซ่ตรวนก็ได้ เสกน้ำมนต์สะเดาะกุญแจก็ได้ กันสุนัขก็ได้


หัวข้อ: Re: ปู่หมอธรรมเฮือง
เริ่มหัวข้อโดย: คนศรีเกษ ที่ 07 มิถุนายน 2557, 12:20:15
คาถาตัวนี้ สุดท้ายแล้วนะครับ
อ่านว่า อุด ทัง อัด โธ โธ อัด ธัง อุด ทะ
หมายถึง หัวใจมหาอุด ครับ
กล่าวกันว่า คาถาบทนี้ มีสรรพคุณเด่นชัดในด้านทาง อยู่ยงคงกระพันชาตรี หยุดมัจจุราชชนิดที่ว่า " แมลงวันไม่ได้ดมเลือด " เลยแหละครับ
                                                                                                                       
ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่า เหรียญ ธรรมเฮือง ได้รวมเอา พระคาถาที่สุดยอดในด้านต่าง ๆ มารวมเอาไว้ในเหรียญนี้ ไม่ธรรมดาเสียแล้วนะครับ เหรียญธรรมเฮืองเหรียญนี้


หัวข้อ: Re: ปู่หมอธรรมเฮือง
เริ่มหัวข้อโดย: คนศรีเกษ ที่ 07 มิถุนายน 2557, 12:33:44
 007  007  007 เรื่องราวต่าง ๆ เกี่ยวกับ ปู่หมอธรรมเฮือง ฆราวาสผู้เรืองวิทยาคม แห่งบ้านหนองเหล่า ตำบลหนองเหล่า อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี ที่ผู้เขียนได้สัมผัสมาก็ได้จบบริบูรณ์แล้ว เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้  007  007  007


หัวข้อ: Re: ปู่หมอธรรมเฮือง
เริ่มหัวข้อโดย: คนศรีเกษ ที่ 15 สิงหาคม 2557, 16:54:53
บังเอิญผู้เขียนอ่านเจอข้อมูลที่น่าสนใจมากจาก www.ubonamulet.com ว่า หลวงปู่ผา  โกสโล วัดเดือยไก่ อำเภอม่วงสามสิบ จังหวัดอุบลราชธานี ครั้งหนึ่งได้เคยมาเรียนวิชา " ดวงธรรมบรรลุ " ซึ่งเป็นสุดยอดวิชาแห่งดินแดนอีสาน จากปู่หมอธรรมเฮือง ครับ                                                                             ประวัติ หลวงปู่ผา โกสโล โดยย่อ
สมญานาม หลวงปู่ผา ผีย่าน พระผู้เฒ่าจอมอาคมแห่งเมืองอุบล ด้วย

อิทธิฤทธิ์บุญบารมี ปรากฎคดกายสิทธิ์กลางหน้าผากติดตัวมาตั้งแต่เกิด
หลวงปู่ผา โกสโล วัดเดือยไก่ อ.ม่วงสามสิบ จ.อุบลฯ อายุ 90 ปี 70
พรรษา หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า "พ่อใหญ่ผา ผีย่าน''เหตุที่ได้ชื่อนี้ ต้อง
ท้าวความตั้งแต่อาจารย์ ด้วยอาจารย์ของท่านนาม ปู่หมอธรรมเฮือง
ฆราวาสผู้เรืองเวทย์ แห่งบ้านหนองเหล่า ผู้สำเร็จวิชาดวงธรรมบรรลุ สุด
ยอดวิชาแห่งดินแดนอีสาน ซึ่งสืบทอดมาหลายชั่วอายุคน ผู้ที่เรียนวิชา
ในสายนี้นั้นมีจุดประสงค์เพื่อช่วยผู้คนที่ตกทุกข์ได้ยาก ผู้ที่เรียนสำเร็จจะ
สามารถแก้คุณไสย ขับอัปมงคล ไล่ผีป่าผีปอบ ปราบอวิชาต่ำมนต์ดำทั้ง
หลาย รู้เหตุการณ์ล่วงหน้า ทายทักได้แม่นยำดั่งตาทิพย์ หลวงปู่ผาเรียน
วิชากับปู่หมอธรรมเฮืองทั้งหมดเป็นเวลา 1 ปีเต็ม ได้ใช้วิชาที่เรียนมา
สงเคราะห์ชาวบ้าน ตั้งแต่เป็นพระหนุ่ม ด้วยสมัยก่อนนั้นการแพทย์การ
คมนาคมยังเข้าไปไม่ถึง ชาวบ้านก็จะมานิมนต์หลวงปู่ไปที่หมู่บ้าน หลวง
ปู่ก็ขี่ม้าคู่ใจไป ไปถึงก็มีคนป่วยรออยู่มาก บางวันไปถึงสี่ห้าหมู่บ้านก็มี
นอกจากจะรักษาโรคด้วยยาสมุนไพรแล้ว ยังมีคนที่โดนของ ผีปอปเข้า
สิง มาให้รักษา เมื่อหลวงปู่ไปรักษา จากที่เสียสติ บางคนหวีดร้องเสียง
ดังพูดพร่ำมิได้ความ หลวงปู่ก็สยบมาหมด รักษาหายขาดไม่เป็นอีกเลย
ถึงปัจจุบันก็ยังมีมานิมนต์ไปอยู่ ทั้งต่างจังหวัดต่างอำเภอติดชายแดนลาว-
เขมรก็มี จนชาวบ้านทั้งหลายขนานนามท่านว่า พ่อใหญ่ผา ผีย่าน(ผี
กลัว)  อ่านรายละเอียดตามลิงค์ ไปเลยครับ http://www.ubonamulet.com/index.php?option=com_ccboard&view=postlist&forum=6&topic=198&Itemid=53


หัวข้อ: Re: ปู่หมอธรรมเฮือง
เริ่มหัวข้อโดย: คนศรีเกษ ที่ 17 สิงหาคม 2557, 08:17:45
วิชาดวงธรรมบรรลุ คืออะไร              
                                                                                                                                                                                           
วิชาธรรมบรรลุนี้มีต้นกำเนิดถ่ายทอดกันมาหลาย ชั่วอายุคนแล้วอยู่ทางภาคอิสานถ้าได้เอ่ยถึงวิชาธรรมบรรลุแล้วทางภาคอิสาน ย่อมจะรู้จักมักจี่กันดีเป็นอย่างมากเพราะเป็น วิชาที่ช่วยเหลือคนมาเป็นจำนวนมาก เช่น ถูกคุณไสย การกระทำย่ำยี ผีเข้า ต่างก็หันมาหาวิชาธรรมบรรลุกันมากมาย เพราะวิชาดวงธรรมบรรลุนี้เป็นวิชา ที่ใช้เผยแพร่และแก้การถูกกระทำไม่ใช่เป็นวิชาที่จะนำมากระทำสิ่งเลวร้าย ไม่ดีต่อกัน เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ววิชานี้จึงสามารถปราบอวิชชาได้ทั้งสิ้น แต่ คนที่ เรียนวิชานี้ แล้วได้ถึงขั้นบรรลุในวิชานี้ หาน้อยมาก ในแผ่นดินไทย
จุดเด่นวิชชานี้คือ วิชาที่ใช้พลังบารมี ของพระพุทธเจ้า ของพระอรหันตเจ้า ของพระอินทาเจ้า ของพระนางธรณี มารวมเป็นพลังวิชาที่มหัศจรรย์คือ ? วิชาธรรมบรรลุ ? ปราบ ผี ปราบมาร ปราบอวิชชา แก้คุณผี คุณไสย ได้โดยสิ้นเชิง ไม่มีข้อสงสัย
ผู้ที่ เรียนวิชานี้แล้ว ต้องปฎิบัติตัวดังนี้ คือ
อยู่ในศีล 5 โดยเคร่งคัด
กิน สุรา และ เที่ยวนารี ต้องเลิกโดยเด็ดขาด
ต้องสวดมนต์ อาราธนาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ทุกวัน
ห้ามกินเนื้อ 10 อย่างเหมือนพระสงฆ์
                                                                                                               อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  https://www.facebook.com/pages/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A5%E0%B8%B8/1464489263781151                                                                                                      


หัวข้อ: Re: ปู่หมอธรรมเฮือง
เริ่มหัวข้อโดย: คนศรีเกษ ที่ 30 สิงหาคม 2557, 11:04:52
                     วันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาได้มีโอกาสแวะไปวัดไปหาพระอาจารย์ที่เป็นคนพาผมไปพบและรู้จักกับปู่หมอธรรมเฮือง ไม่ได้เจอกันนานเพราะผู้เขียนติดภาระหน้าที่การงานเมื่อพบกันจึงได้คุยถึงเรื่องเก่า ๆ เกี่ยวกับปู่เสียยืดยาว  ผู้เขียนสอบถามถึงเรื่องเหรียญ ธรรมเฮือง พระอาจารย์บอกว่าไม่ทราบว่า ใครเป็นคนสร้าง ปีที่สร้าง และ มีจำนวนเท่าไร เท่าที่ทราบ เหรียญที่สร้างมี 2 แบบ คือ เหรียญทองแดงรมดำ กับเหรียญเงิน (มีจำนวนน้อย) ส่วนการปลุกเสกนั้น ปู่หมอธรรมเฮือง เป็นคนปลุกเสกเดี่ยวเอง เสร็จแล้วปู่ก็เป็นคนแจกให้กับคนที่มาพบปู่ที่บ้านของปู่นั่นแหละ ส่วนการทำบุญก็แล้วแต่ศรัทธา พระอาจารย์ก็ได้มา 1 เหรียญ เป็นเหรียญเงิน ทำบุญไปเท่าไรจำไม่ได้ น่าเสียดายที่พระอาจารย์ยังค้นหาเหรียญไม่เจอ แต่คิดว่าไม่น่าจะหาย กำลังพยายามค้นหาอยู่ จึงไม่สามารถถ่ายภาพเหรียญมาโชว์ได้ ส่วนเหรียญที่มีรอยเหล็กจารนั้นมีจริง แต่ปู่ไม่ได้จารทั้งหมดทุกเหรียญ เหรียญที่ลงเหล็กจารนั้นมีจำนวนน้อย หายาก และมีราคาเช่าหาแลกเปลี่ยนสูงกว่าเหรียญที่ไม่ได้ลงเหล็กจาร ส่วนอักขระที่ลงนั้นพระอาจารย์บอกว่า น่าจะเป็นอักษรธรรมอีสาน แต่ไม่ทราบว่าเป็นตัวอะไรบ้าง เพราะวิธีการลงเหล็กจารของปู่นั้น จะเป็นแบบง่าย ๆ กล่าวคือ ปู่จะเอาเหรียญหรือแผ่นทองแดง(กรณีจารตะกรุด) วางบนฝ่ามือซ้ายพาดไว้ที่เข่าซ้ายโดยใช้เข่าเป็นที่รอง จับเหล็กจารด้วยมือขวา กดเหล็กจารลงไปบนวัตถุแล้วสงบนิ่ง เข้าสมาธินั่งธรรม ลากอักขระที่ลงไปเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นเส้นตรงบ้าง โค้งบ้าง หักมุมบ้าง ไขว้กันไปมาจนครบสูตรแล้วก็เสร็จ พระอาจารย์ได้เอาแผ่นทองแดงแผ่นหนึ่งที่ปู่จารให้แต่ไม่ได้ม้วนทำเป็นตะกรุด เนื่องจากเอาไว้บูชาใต้พรหมหน้ารถ ก็ปรากฏรอยจารอย่างที่เห็นในภาพ ทำให้ผู้เขียนนึกถึงวิชาที่ปู่เรียน คือ วิชาดวงธรรมบรรลุ  ซึ่งเมื่อปู่เรียนสำเร็จแล้วก็คงจะทำการฝึกฝนจนชำนาญ ดวงธรรมซึ่งบรรลุแล้วก็คงจะพัฒนาแตกแขนงก้าวหน้าออกไปเรื่อย ๆ จนสามารถรู้แจ้งแทงตลอดแห่งดวงธรรม จนถึงขั้นเกิดฌานหยั่งรู้หรือเกิดปัญญาขึ้นมาเอง การลากเส้นยันต์แต่ละเส้นแม้ว่าจะอ่านไม่เป็นตัว เมื่อบรรลุแล้วย่อมมีความหมาย ความศักสิทธิ์ ตามที่ปู่อยากให้เป็นแน่นอนครับ เชิญชม รอยเหล็กจารที่ปู่ลงบนแผ่นทองแดงและเหรียญครับ


หัวข้อ: Re: ปู่หมอธรรมเฮือง
เริ่มหัวข้อโดย: คนศรีเกษ ที่ 07 กันยายน 2557, 10:03:39
ตอนไปดูเขายิงผีปอบ
สืบเนื่องจากหัวข้อที่แล้ว ผู้เขียนได้ไปพบพระอาจารย์และก็ได้คุยกันหลายเรื่ิองตามที่กล่าวมาแล้ว ผู้เขียนก็ได้สอบถามพระอาจารย์ว่า แรกเริ่มรู้จักปู่ธรรมเฮืองได้อย่างไร และ ด้วยเหตุผลอย่างไรจึงได้นับถือศรัทธาปู่จนถึงขั้นเรียกว่าเป็นอาจารย์ของท่าน ทั้งที่ปู่เป็นฆราวาสและพระอาจารย์ก็เป็นพระสงฆ์ระดับเกจิอาจารย์ของเมืองศรีสะเกษ อีกทั้งพระอาจารย์ก็มีคนนับถือมากอยู่แล้ว แต่อาจารย์บอกว่า เพราะว่า เห็นปู่ธรรมเฮืองปราบผีปอบโดยวิธีให้ลูกศิษย์ไปยิงผีปอบแบบ จะะจะ ด้วยตามาแล้วนั่นเอง โปรดติดตามตอนต่อไป


หัวข้อ: Re: ปู่หมอธรรมเฮือง
เริ่มหัวข้อโดย: คนศรีเกษ ที่ 11 กันยายน 2557, 21:49:34
            พระอาจารย์เล่าว่า เนื่องจากคุณพ่อของท่านเป็นหมอธรรมเหมือนกับปู่หมอธรรมเฮือง แต่เป็นหมอสู่ขวัญ เน้นสู่ขวัญให้คู่บ่าวสาวแต่งงานใหม่ ขึ้นบ้านใหม่ และเป็นหมอทำพิธีสะเดาะห์เคราะห์ แก้ดวง แก้เคล็ด และเป็นหมอดูทำนายโชคขะตาราศรี นอกจากนั้นก็เรียนวิชาไสยศาสตร์และเวทมนต์คาถาอาคมมาพอสมควรแต่เน้นไว้ป้องกันตัวเองให้แคล้วคลาดปลอดภัย เมื่อพระอาจารย์บวชเป็นพระก็ได้เรียนวิชาต่าง ๆ จากพ่อจนจบ เมื่อจบแล้วพ่อของท่านแนะนำให้ไปหาปู่หมอธรรมเฮือง แห่งบ้านหนองเหล่า ตำบลหนองเหล่า อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี เพราะสมัยนั้นผู้คนเล่าลือกันมากว่า ปู่หมอธรรมเฮืองเก่งทางด้านไสยศาสตร์และเวทมนต์คาถาอาคม พระอาจารย์จึงอยากจะรู้จักเผื่อจะได้ศึกษาเล่าเรียนวิชาเพิ่มเติมจากที่เรียนกับพ่อของท่านจนจบแล้ว จึงได้เดินทางไปพบปู่กับพระที่เป็นเพื่อนอีก 2 รูป                                                                                                                             วันนั้นท่านจำได้ว่าประมาณปี พ.ศ. 2516 - 2517 ประมาณนั้น เพราะช่วงนั้น จังหวัดยโสธร เพิ่งตั้งใหม่ ๆ โดยแยกตัวออกมาจากจังหวัดอุบลราชธานี เมื่อไปถึงก็ประหลาดใจมากที่เห็นผู้คนมากมายมาพบปู่ มีทั้งพระสงฆ์ และ ฆราวาส นั่ง ๆ นอน ๆ รอพบปู่อยู่ใต้ร่มไม้ก็มี ยังไม่ทันได้ทำอะไร ก็ปรากฎว่า มีรถยนต์ 6 ล้อ วิ่งเข้ามาจอดบริเวณหน้าบ้านปู่ มองขึ้นไปบนกระบะรถ เห็นมีชายฉกรรจ์ 5 - 6 คน นั่งล้อมวงจับผู้หญิงวัยกลางคน ผิวขาว รูปร่างสันทัด หน้าตาจัดว่าสวยพอดู อายุประมาณ 40 ปีเศษ ไว้ไม่ให้ดิ้นลงจากรถ สอบถามได้ความว่าผู้หญิงคนนี้ ถูกผีปอบเข้า ญาติพี่น้องคุมตัวมาให้ปู่ไล่ผีปอบออกจากตัว เมื่อมาถึงก็จะคุมตัวลงจากรถ แต่ผีปอบที่อยู่ในตัวไม่ยอมลง ผีปอบตัวนี้แก่กล้ามาก ได้แสดงฤทธิ์เดชให้เห็นโดยชายฉกรรจ์ 5 - 6 คน ไม่สามารถควบคุมตัวให้ลงจากรถยนต์ได้ แม่นางไม่รู้เอาเรี่ยวแรงมาจากไหน ใครเข้าไปจะจับตัวก็สะบัดหลุดหมด จนทุกคนอ่อนใจ พากันลงมานั่งอยู่ข้างรถ บางส่วนก็เข้าไปข้างในบ้านบอกปู่ว่า พาคนมาให้ปู่ไล่ผีปอบออกจากตัว แต่ผีปอบไม่ยอมลงจากรถ ปู่รับทราบแต่นั่งเฉยไม่สนใจปอบ ส่วนข้างนอกบนรถ ผีปอบที่เข้าสิงก็ออกลายหมอลำขึ้นมาทันที ลำเป็นกลอนกล่าวพรรณาไปเรื่อยอย่างไม่สะทกสะท้านกับสายตาคนหมู่ใหญ่ที่มามุงดู สอบถามได้ความว่า ผู้หญิงคนนี้เป็นนางทรง มีสำนักทรงอยู่ที่อำเภอคำเขื่อนแก้ว เป็นคนทรงผีฟ้า โดยตั้งเป็นสำนักทรงเพื่อรักษาคนป่วย โดยเชิญผีฟ้ามาเข้าทรง ทำมาหลายปี มีคนพาผู้ป่วยมารักษากันมากและได้ผล ทำให้มีฐานะดีขึ้นทันตาเห็น แต่ต่อมาน่าจะเกิดไปกระทำผิดข้อห้ามหรือข้อขะลำอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็เลยกลายเป็นปอบ เรียกกันว่าปอบผีฟ้า ญาติพี่น้องก็เลยคุมตัวมาให้ปู่ไล่ออก


หัวข้อ: Re: ปู่หมอธรรมเฮือง
เริ่มหัวข้อโดย: คนศรีเกษ ที่ 12 กันยายน 2557, 19:57:22
ก่อนที่จะไปถึงเรื่อง ปู่หมอธรรมเฮือง ไล่ปอบ และ ให้ทีมลูกศิษย์ไปยิงปอบ ผู้เขียนได้ไปค้นคว้าเรื่อง ผีฟ้า มาให้เพื่อน ๆ รู้จักเพื่อเป็นการปูทางเสียก่อน โดยไปค้นพบ ข้อเขียนของ ครูสุธะนะ  พามนตรี (ครูตี๋ ครูไทยเลย) ที่เขียนไว้ใน GotoKnow ในหัวข้อ " ผีฟ้าเอย ........." ก็เลยคัดลอกมาให้เพื่อน ๆ ได้อ่านเพื่อเป็นการปูทางเผี่อว่าเพื่อนบางคนอาจจะยังไม่เคยรู้จัก หรือรู้แต่เพียงผิวเผินจาการฟังเขาเล่าต่อ ๆ กันมา ผมขอขอบคุณ ครูสุธะนะ ไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยนะครับ
                                     "ผีฟ้าเอย............"                                                                                             หากกล่าวว่า ผี คือ สิ่งเลวร้าย วิญญาณคนตาย หรือตัวแทนความน่ากลัวต่างๆบนโลกใบนี้ ก็คงจะไม่ใช่ความหมาย ของ ผีฟ้า ผู้ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นผู้วิเศษรักษาคนป่วยในแถบอีสานของประเทศไทย เพราะผีฟ้าที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้ เป็นคนอีสานธรรมดาที่ผ่านกระบวนการทางสังคม ทำให้เกิดสถานะใหม่ขึ้นมา เรียกกันว่า ผีฟ้า

              ผีฟ้า คือ คำเรียก เทวดา ของชาวไทยในภาคเหนือ และภาคอีสาน เป็นการบูชาแบบพื้นบ้านที่มีการนับถือผีกันคนที่เป็นร่างทรงของผีฟ้าจะสืบทอดกันจากรุ่นสู่รุ่นในลูกๆ ที่เป็นผู้หญิง เมื่อมีคนที่เจ็บไข้ได้ป่วย ชาวบ้านมักนำมาให้ผีฟ้าเสี่ยงทาย และช่วยรักษา ผีฟ้าจึงเป็นประเพณีอีกอย่างหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อในเรื่องของไสยศาสตร์ และการทรงเจ้าเข้าผีของสังคมดั้งเดิมของคนไทย
              ผีฟ้า หรือ เรียกเต็มว่า หมอลำผีฟ้า (ลำคือการร้องเพลง) คือ บุคคลที่เปรียบได้เป็นผู้รักษา ทำหน้าที่รักษาผู้ป่วยในหมู่บ้านผ่านพิธีกรรมเฉพาะของผีฟ้า ทำให้ชุมชนเกิดความร่มเย็นเป็นสุข ผีฟ้า และ หมอลำผีฟ้า เป็นคำเรียกคนกลุ่มพื้นวัฒนธรรมล้านช้าง กลุ่มอีสาน และ กลุ่มลาว แต่ถ้าเป็นผู้ไทจะเรียกกันว่า ผีหมอ สำหรับคนพื้นบ้านอีสานจะเรียกว่า ผีฟ้าผีแถน เพราะคนอีสานเชื่อว่า แถน คือผู้สร้างสรรพสิ่ง ผู้สร้างสรรพชีวิต
               การเข้าสู่สถานการณ์เป็นผีฟ้า ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถจะเป็นผีฟ้าได้ อาจเรียกได้ว่าการเป็นผีฟ้าของใครก็ตามขึ้นอยู่กับความบังเอิญ หลังจากนั้น การประพฤติปฏิบัติตน และความสามารถเฉพาะตน จะทำให้ ผีฟ้า คนนั้นเป็นที่เคารพนับถือของคนในหมู่บ้าน การเข้าสู่สถานะของผีฟ้ามีอยู่หลายวิธี เช่น เกิดการเจ็บป่วยโดยไม่รู้สาเหตุ จนกระทั่งมี สัญญาณ มาบอกให้รับเป็นผีฟ้า หรืออาจจะมีคนมาบอกให้รับเป็นผีฟ้าแล้วจะหายจากโรคภัยไข้เจ็บ คำอธิบายนี้สอดคล้องกับความเชื่อในภาคกลางที่เกี่ยวข้องกับร่างทรงที่พบว่าเป็นอะไรต่างๆ นานาโดยไม่รู้สาเหตุ หรือ ผีฟ้าใหญ่ ซึ่งนิยมเรียกกันว่า แม่ครู หรือ แม่เมือง จะเป็นผู้คัดเลือก ซึ่งก็อาจใช้วิธีการคัดเลือกโดยผี หรือร่างทรง บางทีผีฟ้าก็สืบทอดผ่านลูกสาว ผ่านการกระบวนการขัดเกลาทางสังคมโดยระบบครอบครัว

               ความสัมพันธ์ของผีฟ้าและคนในชุมชน ผู้ที่เป็นใหญ่ในผีฟ้าสำนักใดๆ หรือในชุมชนใดๆ จะเรียกกันว่า แม่ครู หรือ แม่เมือง สำหรับลูกศิษย์จะเรียกกันว่า ลูกคาย ลูกลม หรือ ลูกเทียน โดยคนที่มารับการรักษาจะถือว่าเป็นศิษย์ของผีฟ้า เมื่อเป็นลูกศิษย์แล้วจะต้องมาร่วม เลี้ยงข่วง ทุกปี ถ้าหากมาไม่ได้ ด้วยเหตุใดก็ตาม ลูกศิษย์คนนั้นจะต้องฝากเครื่องบูชา เช่น มะพร้าว ข้าวสาร น้ำตาล ไปให้แม่ครู หรือ แม่เมือง การกระทำเช่นนี้ถือได้ว่าเป็นความสัมพันธ์แบบเครือญาติ ในทาง มานุษยวิทยาเรียกว่า ญาติเทียม หรือ ญาติสมมติ

             องค์ประกอบและคุณสมบัติของผีฟ้า ผีฟ้า มีขนบธรรมเนียมการปฏิบัติอย่างเป็นขั้นตอนและแบบแผน โดย ผีฟ้าจะต้องมีหิ้งบูชา ไว้สำหรับกล่าวบูชาเวลาจะไปรักษา หรือ เลี้ยงข่วง ที่หิ้งจะมี เครื่องคาย ซึ่งก็คือเงินที่ใส่ในขันเพื่อบูชาครู โดย เครื่องคายยังมีเครื่องประกอบหลายอย่าง คือ ดอกไม้ กับเทียน โดยจะใช้แบบ ขันห้า หรือ ขันแปด ( ดอกไม้ 5 คู่ เทียน 5 คู่ หรือ ดอกไม้ 8 คู่ เทียน 8 คู่ ) นอกจากนี้ยังมีเทียนขี้ผึ้งโดยใช้ฝ้ายผูกกับหลักหรือตะปู ขันน้ำหอม เทียนแผ่น และเทียนขี้ผึ้ง
             เครื่องแต่งกายของผีฟ้า ตามปกติแล้วก็จะแต่งตามสบาย แต่ถ้าเป็นกลุ่มชาติพันธุ์เฉพาะเช่นผู้ไท จะมีการแต่งตัวเป็นพิเศษและอลังการ ถือได้ว่าเป็นเครื่องแต่งกายในโอกาสพิเศษ ดนตรี จะใช้ แคนเก้า (แคน9คู่) ซึ่งเป็นแคนใหญ่สุด เสียงทุ้มกังวาน ถ้าเป็นผู้ไทจะใช้ปี่ ที่เรียกกันว่า ปี่โหรง (ปี่หลวง หรือ ปี่ใหญ่) ที่สำคัญ ผีฟ้า รวมถึงลูกศิษย์และญาติผู้ป่วย จะต้องปฏิบัติตาม ขะลำ (ข้อห้าม) ที่สำคัญคือ ห้ามกินอาหารและน้ำบนเรือนศพ ไม่กินสัตว์ที่ตายเอง ไม่กินอาหารเดนคน ห้ามเดินลอดใต้ถุนห้องน้ำ (อันนี้น่าจะเพิ่งเริ่มเพราะเรือนอีสานเก่าไม่มีห้องน้ำและห้องครัว) ห้ามเดินลอดไม้ค้ำเครือกล้วย ห้ามรอดราวตากผ้า ห้ามพูดคำหยาบ และ ห้ามเดินลอดเส้นหนังควายหนังวัว

               ขั้นตอนการรักษาของผีฟ้าจะเริ่มจากการ รำเชิญผีฟ้าลง จากนั้นจึงรำส่อง (รำวินิจฉัยโรค) โดยส่องผ่านกระจก ซึ่งผีฟ้าจะบอกว่ามีผีอะไรมาทำผู้ป่วย หรือผู้ป่วย ไปทำอะไรมา ต่อมาถ้ารำส่องแล้วแล้วพบว่า ผีทำ คือผู้ป่วยได้ไปทำอะไรผิดไว้ ผีฟ้าจะทำการรักษาได้โดยใช้พิธี เสี่ยงไข่ ว่าจะหายหรือไม่ โดยการเสี่ยงไข่ให้ตั้งบนพื้น ก่อนที่จะทำการรักษาจะมีการรำเอิ้นขวัญ (เรียกขวัญ) ให้กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวของผู้ป่วย จากนั้นจึง รำปัว (รำรักษา) และ รำสั่งสอน ซึ่งก็คือ การรำอบรมสั่งสอนผู้ป่วยและญาติผู้ป่วยไปพร้อมๆกัน สุดท้ายคือ รำส่ง คือการรำส่งแถนกลับคืนฟ้า การรักษาตรงนี้จะมีบางช่วงตอนที่แม่เมือง จะถามคนป่วยว่า ?เจ้าจะเป็นอะไร? โดยมีความหมายคือ ?เจ้าจะเป็นตัวละครอะไร ในนิทานพื้นบ้านของชาวอีสาน? จากนั้นคนๆนี้จะถูกกำหนดให้เป็นตัวนี้ตลอดไป การกำหนดตัวละครนี้จะถูกนำมาใช้ในอีกครั้งใน พิธีเลี้ยงข่วง ซึ่ง ผู้ป่วยที่เคยถูกรักษานี้จะออกมาร่ายรำเป็นตัวละครนั้นอย่างสนุกสนาน
              การเลี้ยงข่วงผีฟ้าเป็นพิธีกรรมสำคัญอย่างหนึ่งของพวกผีฟ้า ลูกศิษย์ และผู้ป่วยที่เคยมารับการรักษากับผีฟ้า ตามตำนานกล่าวว่า จะเลี้ยงข่วง ในยามดอกไม้บาน โดยฤดูดอกไม้บานจะเริ่มตั้งแต่เดือน 3 ? 5 วิธีการเลี้ยงข่วงจะเลี้ยงที่ลานของแม่เมือง เมื่อถึงเวลาของงานเลี้ยงข่วง จะมีการส่งข่าวบอกต่อกัน คนอยู่ไกลมักจะมาก่อนเพื่อมาเตรียมเครื่องพิธี ซึ่งเครื่องสำคัญก็คือดอกจำปา ทำเป็นพวงมาลัยใส่หัวหรือคล้องคอ พอตกตอนบ่ายจะเริ่มพิธีการเลี้ยงข่วงซึ่งเป็นช่วงที่สนุกกันเต็มที่ เพราะลูกศิษย์ และผู้ป่วยที่ผีฟ้าเคยรักษาและถูกสมมติให้เป็นตัวละครจะออกมารำฟ้อน คนไหนรำเหนื่อยก็พัก คนไม่เหนื่อยก็รำไปฟ้อนไป มีความวุ่นวายขวักไขว่ ท่ามกลางเสียงดนตรีที่มาจาก แคน พิณ กลอง และฉาบ ที่ให้อารมณ์และความรู้สึกในเชิงวิงวอน ขอร้อง ต่อแถน ดังนั้นท่ามกลางความสนุกสนานของการเลี้ยงข่วงจึงมีอณูของความขลังศักดิ์สิทธิ์แทรกตัวลงในพิธีกรรมครั้งนี้ด้วย นอกจากนี้ลักษณะการรำจะเป็นการเอื้ออาทร มีการผูกข้อต่อแขน ทำให้เกิดการสัมผัสกันของข้อมือ เป็นการสื่อถึงความอาทรซึ่งกันและกันมีความรู้สึกไปถึงหัวใจ

               หมอลำผีฟ้า จะเป็นผู้หญิงที่มีอายุหรือบางท้องถิ่นจะเป็นผู้หญิงสาว โดยเฉพาะที่จังหวัดเลย และจะต้องสืบเชื้อสายมาจาก กลุ่มหมอลำผีเท่านั้น แต่ที่จริงผีฟ้าสามารถสิงได้ทั้งหญิง ชาย และเด็ก โดยไม่จำกัดอายุ
               หมอแคน (หมอม้า) จะต้องเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ในการเป่าแคนมาเป็นอย่างดี เพราะในการประกอบพิธีจะต้องใช้เวลานาน จะต้องมีการเป่าอยู่ตลอดเวลา ส่วนผู้ป่วยนั้น จะต้องแต่งกายตามที่ได้กำหนดไว้ คือ มีผ้าไหมหรือผ้าขาวม้า พาดบ่า มีดอกมะละกอ ซึ่งตัดร้อยเป็นพวงทัดหู ผู้ป่วยนั้นสามารถที่จะฟ้อนรำกับหมอลำได้.. และสิ่งที่สำคัญอีกอย่าง คือ เครื่องคาย เป็นสิ่งที่อัญเชิญครูอาจารย์ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วมาช่วยเหลือ รักษาผู้ป่วย

               ผีฟ้า หรือ ผีแถน นั้นชาวอีสานมีความเชื่อว่าเป็นเทวดามากกว่าเป็นผี ผีฟ้าจึงเป็นผีที่อยู่ระดับสูงกว่าผีชนิด อื่นๆ ส่วนแถนนั้น มีความเชื่อว่าเป็นคำเรียกรวมถึงเทวดา และแถนที่ใหญ่ที่สุดคือ "แถนหลวง" ซึ่งเชื่อว่าเป็นพระอินทร์ ผีฟ้าหรือผีแถนนั้นแต่ละพื้นที่มีการเรียกที่แตกต่างกันไป และมีความเชื่อว่า ผีฟ้า นั้นสามารถที่จะ ดับยุคเข็ญหรือทำลายล้างอุปสรรคทั้งปวงได้ และสามารถที่จะช่วยเหลือมนุษย์ที่เดือดร้อนได้ การที่มนุษย์เกิดการเจ็บป่วยนั้นเนื่องจากไปละเมิดต่อผี การละเมิดต่อบรรพบุรุษ การรักษาต้องมีการเชิญผีฟ้ามาสิงสถิตอยู่ในร่างของคนทรง เรียกว่า "ผีฟ้า นางเทียน" ในการลำผีฟ้าของชาวอีสานนั้นมีองค์ประกอบ ทั้งหมด 4  ส่วนคือ หมอลำผีฟ้า หมอแคน ผู้ป่วย และ เครื่องคาย

คุณค่าผีฟ้า

              การที่ผีฟ้า มี ข้อขะลำ (ข้อห้าม) ที่สำคัญ เช่น ห้ามกินอาหารบนเรือนศพ ไม่กินสัตว์ที่ตายเอง ไม่กินอาหารเหลือเดนจากคน และไม่เดินลอดราวตากผ้าเป็นต้น เหล่านี้ ถือได้ว่า เป็นวิธีการหนึ่งในการควบคุมสังคม หรือพฤติกรรมของคน โดยอีกนัยก็คือ เตือนให้คนมีสติตลอดเวลานั่นเอง เพราะหากผีฟ้าคนใดเกิดทำผิดข้อขะลำ ก็จะกลาย เป็น "ปอบผีฟ้า" ซึ่งเป็นสถานะที่ต่ำต้อย และได้รับการดูถูกจากชาวบ้านในชุมชน และการปรับเปลี่ยนสถานะของคนมาเป็นผีฟ้า ไม่ขึ้นกับสภาพเศรษฐกิจใดๆทั้งสิ้น ถ้าหากคนใดผ่านความเชื่อตรงนี้มาได้ ก็ถือได้ว่าเป็น ผีฟ้า ผู้มีสถานะที่สูงส่งกว่าคนทั่วไป


หัวข้อ: Re: ปู่หมอธรรมเฮือง
เริ่มหัวข้อโดย: คนศรีเกษ ที่ 14 กันยายน 2557, 11:16:16
                       
          ย้อนกลับมาที่หน้าบ้านปู่หมอธรรมเฮือง ผีปอบที่เข้าสิงสู่อยู่ในร่างทรงก็ยังไม่ยอมลงจากรถ และไม่ยอมให้ใครเข้ามาจับตัว พอเข้ามาทีไรก็ผลักออกไปจนกระเด็นกระดอนกันไปคนละทิศละทางจนอ่อนใจ ก็พากันลงมานั่งข้างรถ พระอาจารย์ได้โอกาสก็เข้าไปสอบถามความเป็นมาเป็นไปของนางทรงคนนี้ บังเอิญได้สอบถามกับคนขับรถที่ญาติเหมามาก็เลยได้ข้อมูลเยอะ เพราะว่าคนขับรถเป็นคนแถวนั้น และพาคนป่วยไปรักษาที่สำนักทรงนี้บ่อย ความเป็นมาเป็นไปที่คนขับรถเล่าให้พระอาจารย์ฟังพอสรุปได้ว่า แรกเริ่มเดิมที นางทรงคนนี้ ได้ไปรับครอบเป็นคนทรงผีฟ้า โดยมีครูบาอาจารย์ทำพิธีครอบเชิญผีฟ้าให้มาเข้าทรง แต่ไปทำพิธีที่ไหน อย่างไร ไม่มีใครทราบแน่ชัด วัตถุประสงค์ก็เพื่อ ปกป้องคุ้มครองรักษาบ้านเรือน และคนในครอบครัวให้อยู่เย็นเป็นสุข อีกทั้ง เพื่อรักษาผู้คนทั่วไป เมื่อเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ รักษาอย่างไรก็ไม่หาย  
 
                                                                      วิธีการรักษา                                                                                                                     นางทรง จะมีสำนักทรงเป็นของตัวเองก็คือบ้านที่อยู่อาศัยนั่นแหละ ญาติจะต้องนำคนป่วยมาให้รักษาที่สำนัก เมื่อมาถึงก็จะต้องมีขันธ์ห้า ขันธ์แปด มีค่าคายและเครื่องประกอบต่าง ๆ ตามที่นางทรงกำหนด เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้วก็จะเริ่มทำพิธี โดยนางทรงจะทำพิธีอัญเชิญผีฟ้าให้เข้ามาประทับร่างทรง ส่วนใหญ่ตัวนางทรงก็จะนั่งสั่นสะท้านอยู่ครู่หนึ่ง ไม่นานก็จะนอนลงสั่นต่อ สักพักก็หายแล้วจะลุกขึ้นนั่ง แล้วก็เริ่มออกลายหมอลำขึ้นมาทันที ต่อมาก็ยกแขนขึ้นฟ้อนรำทำเป็นจังหวะ ลูกมือที่เป็นหมอแคนที่อยู่ข้าง ๆ ก็เป่าแคนรับ คนทรงก็จะลุกขึ้นแล้วก็จะลำบอกเหตุการณ์ต่างๆ ที่เป็นสาเหตุของการเจ็บป่วยและวิธีการรักษา ผู้ป่วยบางรายเจ็บหนักนอนซมมานานหลายวัน ลุกขึ้นเดินไม่ได้ญาติพากันหามใส่รถมายังสำนักทรง แต่ผีฟ้าก็สามารถทำให้ลุกขึ้นมายืนฟ้อนรำวนเวียนคู่กับคนทรงผีฟ้าได้อย่างสดชื่น กระปี้กระเป่า ผิดกับตอนหามมาอย่างน่าประหลาด ทำให้ผู้คนเห็นเป็นสิ่งมหัศจรรย์และเพิ่มความศรัทธาเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่ง ส่วนคำทำนายส่วนใหญ่ก็จะออกไปในทางว่า ผู้ป่วยไปโดนผีป่า ผีไร่ ผีนา ผีบ้าน ผีเรือน กระทำ หรือผิดของรักษา สุดท้ายผู้ป่วยก็จะต้องถวายเครื่องเซ่นไหว้ขอขมาก่อนจึงจะหายป่วย ส่วนเครื่องเซ่นไหว้นั้น ก็อาจจะเป็น เหล้าไห ไก่ตัว ผ้าซิ่นไหม ผ้าสะโหร่งไหม หรือ ให้สร้างศาลให้ใหม่แล้วแต่กรณี เมื่อผีฟ้าบอกแล้ว ญาติก็จะต้องไปจัดการเครื่องเซ่นไหว้ขอขมาให้แล้วเสร็จ หรือถ้าจะให้สะดวกก็ต้องมอบค่าใช้จ่ายต่าง ๆ โดยคิดเป็นการเหมาทุกอย่าง เกี่ยวกับเครื่องเซ่นไหว้ไว้ให้ ทางสำนักทรงจะเป็นคนอำนวยความสะดวกโดยจัดการแทนให้ ส่วนใหญ่ก็จะลงเอยแบบนี้ แถมทางญาติบอกว่าถ้าหาย วันหลังก็จะกลับมาสมนาคุณอีก เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยนางทรงก็จะทำพิธีรดน้ำมนต์ให้คนป่วยแล้วกลับไปบ้านได้ ไม่นานคนป่วยก็จะหายเป็นปกติ ทำให้คนทรงผีฟ้าและบริวารเช่น หมอแคน ลูกมือที่เป็นคนจัดหาเครื่องเซ่นไหว้ ญาติพี่น้องของนางทรง ได้อานิสงส์จากลาภสักการะเครื่องบูชาครู เงินทองจากค่าคาย ที่ผู้คนนำมาให้ ทำให้สำนักทรงมีฐานะดีขึ้นอย่างรวดเร็วทันตาเห็น


หัวข้อ: Re: ปู่หมอธรรมเฮือง
เริ่มหัวข้อโดย: คนศรีเกษ ที่ 14 กันยายน 2557, 14:02:45
 
นางทรงผีฟ้ากลายเป็นปอบผีฟ้า    
                               
                         สำนักทรงเปิดรักษาคนไข้มาหลายปี เป็นที่รู้จักของคนยโสธรและจังหวัดใกล้เคียง มีคนพาคนป่วยมาให้รักษามิได้ขาด  แต่ต่อมาปรากฎว่า นางทรงกลายเป็นปอบผีฟ้า สาเหตุอาจจะเนื่องมาจาก นางทรงเกิดทำผิดข้อห้าม (ข้อขะลำ) อย่างใดอย่างหนึ่ง หรืิอผิดครูถือไม่ได้ก็อาจจะเป็นได้ ดังนั้น เมื่อนางทรงกระทำผิดครูแล้ว ก็จะทำให้วิชาอาคมที่ครูบาอาจารย์ถ่ายทอดให้เสื่อมลง ไม่สามารถควบคุมผีฟ้าที่อัญเชิญมาประทับทรงให้เข้าและออกได้ตามปกติ เมื่อมีคนป่วยมาให้รักษา ผีฟ้าที่กลายเป็นปอบไปแล้ว ก็จะเข้าสิงสู่ในร่างกายของคนป่วย ทำการรักษาโรคแล้วก็ออก เมื่อคนป่วยกลับไปบ้า่นแล้วก็หาย แต่คนป่วยบางคนเข้าแล้วก็ไม่ยอมออกเพราะติดใจในร่างของผู้ป่วยเคราะห์ร้ายคนนั้น ปอบผีฟ้าก็จะใช้มารยาหลอกลวงให้คนหลงเชื่อ ทำการรักษาคนป่วยแบบหมอรักษาโรคเลี้ยงไข้  เกาะกินสูบเลือด สูบเนื้อจนซูบผอมลงเรื่อย ๆ จนตัวเหลืองอร่าม ผ่ายผอมไม่มีเลือดฝาดเพราะผีปอบเกาะกินจนตายไปในที่สุด ทำให้ญาติผู้ป่วยหลงเชื่อ ไม่รู้ว่าปอบผีฟ้ากินตาย พากันเข้าใจว่า สิ้นอายุขัยของผู้ป่วยเอง คงจะหมดความสามารถที่จะรักษาให้หายได้ พอนานวันเข้าก็แก่กล้ายิ่งขึ้น ออกลูกออกหลานปอบในร่างนางทรงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงขั้นแก่กล้าถึงขนาดว่า เข้าสิงสู่ร่างผู้ป่วยบางคนเกิดติดใจในรสชาติของร่างจนถึงขนาด เกาะกินเลือดเนื้อ จนคนป่วยซูปผอมตายไปในที่สุด แต่ยังไม่พอปอบผีฟ้ายังไม่ยอมให้ตาย มีฤทธิ์เดชแก่กล้าถึงขนาดชุบชีวิตคนตายขึ้นมาให้มีอากัปกิริยากระปี้ กระเป่า ร่างกายสดชื่น มีน้ำมีนวล หน้าตาสดใส ลุกขึ้นมานั่งพูดจาพาทีได้คล่องแคล่ว กินข้าวปลาอาหารได้มาก หลับนอนได้เหมือนคนกำลังเริ่มจะหายป่วย ปอบผีฟ้าจึงถือโอกาสสูบกินน้ำเลือด น้ำเหลืองอย่างเอร็ดอร่อยต่อไปได้อีก ทั้งที่ผู้ป่วยได้ตายไปนานแล้ว เมื่ออิ่มหนำสำราญเป็นที่พอใจของมันแล้ว มันจึงจะออก และ ผละจากร่างนั้น ทำให้คนที่ตายไปหลายวันแต่เป็นศพที่ชุบชีวิตขึ้นมา ก็จะกลับคืนสู่สภาพเดิม ศพจะนอนเบิกตาโพลง ลำตัวแข็งทื่อ ร่างกายผ่ายผอมเหลือแต่หนังหุ้มและกระดูก ส่งกลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้ง นั่นแหละ ญาติพี่น้องถึงได้รู้ว่า คนป่วยได้ตายไปหลายวันแล้ว จึงรู้ว่า นางทรงเป็นปอบผีฟ้าเข้าสิงทำให้ตาย                                                                                                          เมื่อคนที่เคยเลื่อมใสเริ่มรู้ว่าคนทรงเป็นปอบผีฟ้าและเคยเข้ากินคนป่วยตายไปหลายรายแล้ว เขาก็เล่าลือบอกต่อกันไป ทำให้เกิดความหวาดกลัว ไม่พากันนำคนป่วยมาให้รักษา ลาภสักการะก็ค่อย ๆ ลดน้อยถอยลง ญาติพี่น้องที่มาคอยเป็นลูกมือ เช่น หมอแคน ก็พากันเดือดร้อนหนีหายไปไม่อยู่ในสำนักทรงต่อไปอีก ส่วนปอบผีฟ้าก็อดหยาก ปากแห้ง ไม่มีคนมาให้สิงสู่เพื่อดูดกินเลือดกินเนื้ออีก หนักเข้า ก็ออกเที่ยวสัญจรหากินไปในที่ต่าง ๆ เมื่อพบคนป่วยหรือคนที่อ่อนแอขวัญอ่อน จิตใจไม่เข้มแข็งตกใจง่าย  ก็จะเข้าสิงสู่เกาะกินไปจนผอมตาย นานเข้าก็มีฤทธิ์เดชแก่กล้าขึ้นเรื่อย ๆ ถึงขนาดบางครั้ง สำแดงเป็นวิญญาณปีศาจร้ายสัญจรออกเที่ยวหากินตามที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะเวลาค่ำคืนยามดึกสงัด จะออกเป็นแสงดวงไฟกลมสว่างดวงโตดังผีกระสือ สำแดงเดชให้คนเห็นเป็นดวงหน้าของเจ้าของคือ นางทรง โดยไม่กลัวคนเห็นและจำหน้าได้  อดหยากมาก ๆ ก็จะออกเที่ยวหากินของสดคาวโดยเฉพาะแม่ลูกอ่อนที่ออกลูกใหม่และกำลังอยู่ไฟ ไม่เว้นแม้แต่สัตว์เลี้ยงต่าง ๆ ที่คนเลี้ยงไว้ ถ้าผีฟ้าได้โอกาสก็จะเข้าสิงสู่เกาะกินสัตว์เหล่านั้นจนล้มตายไปก็มี พอหาคนอื่นเข้าสิงสู่ไม่ได้ ก็จะเข้าสิงสู่ลูกหลานญาติพี่น้องของตัวเองนั่นแหละ เพราะว่านางทรงไม่สามารถที่จะควบคุมผีฟ้าได้แล้ว ทำให้เป็นที่หวาดกลัวและเอือมระอาของญาติพี่น้อง อีกทั้งทำให้ผู้คนพากันเกลียดชังทั้งกล่าวหาว่าเป็นผีปอบทั้งตระกูล ตั้งข้อรังเกียจและไม่ยอมคบหาสมาคมด้วย ทำให้ญาติพี่น้องทั้งหลายได้รับความเดือดร้อนกันทั่วหน้า  จึงได้พากันเหมารถยนต์ คุมตัวมาให้ปู่หมอธรรมเฮืองไล่ผีปอบออกนี่แหละ                                                                                


หัวข้อ: Re: ปู่หมอธรรมเฮือง
เริ่มหัวข้อโดย: บ่หัวซาผีบ้าเดินดิน ที่ 16 กันยายน 2557, 09:32:53
รอติดตามอยู่นะครับ ยอดเยี่ยมมากครับท่าน คนศรีเกษ 007 007


หัวข้อ: Re: ปู่หมอธรรมเฮือง
เริ่มหัวข้อโดย: คนศรีเกษ ที่ 19 กันยายน 2557, 21:27:36
วิธีการไล่ปอบของปู่หมอธรรมเฮือง    
                       หลังจากปอบผีฟ้าได้ออกลายหมอลำ ทั้งฟ้อน ทั้งลำ กล่าวพร่ำพรรณาเยาะเย้ย ถากถางผู้คนไปเรื่อยบนกระบะท้ายรถโดยไม่เกรงกลัวใคร และหยิ่งทรนงในตัวเองมาก ว่าไม่มีใครทำอะไรตัวเองได้ แม้ว่าจะพาตนมาหาหมอธรรมที่ว่าเก่งที่สุดแล้วก็ตาม ส่วนปู่นั้นยังคงนั่งนิ่งอยู่ภายในบ้าน ไม่ออกมาต่อกรกับปอบ ปล่อยให้นางร้องหมอลำต่อว่าเยาะเย้ยถากถางต่อไป แต่จากการสังเกตุของพระอาจารย์จะเห็นว่า ปู่ได้เตรียมการที่จะต่อสู้กับปอบผีฟ้าตนนี้ โดยได้ทำพิธีบูชาครูบาอาจารย์โดยจัดถวายขันธ์ 5 ขันธ์ 8 และจุดเทียนไขดอกเล็ก ๆ เป็นจำนวนมากคาดคะเนว่า น่าจะถึง 20 - 30 ดอก ปักลงไปบนแผ่นไม้กระดานที่วางอยู่หน้าโต๊ะหมู่บูชาของปู่ ต่อมาปู่หันหน้าเข้าหาโต๊ะหมู่ทำพิธีกราบไหว้บูชาครูบาอาจารย์ตามที่ร่ำเรียนมาเป็นเวลานานพอสมควร จากนั้นก็ได้เรียกลูกศิษย์ใกล้ชิดให้ไปเตรียมอุปกรณ์ต่าง ๆ เกี่ยวกับการไล่ปอบไว้ให้พร้อม แล้วก็นั่งธรรมต่อที่หน้าโต๊หมู่นั้นโดยไม่ลุกไปไหนและทำทีเป็นไม่สนใจปอบ แต่จริง ๆ นั้น ปู่ใช้เวทเวทย์มนต์ คาถาอาคมต่อสู้กับปอบ โดยใช้สมาธิจิตบีบบังคับปอบให้เชื่อฟังและทำตามคำสั่งของปู่                                    ต่อมาอีกไม่นานทางด้านนอกนั้น นางทรงอยู่ ๆ ก็หยุดฟ้อน หยุดลำขึ้นมาดื้อ ๆ อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย บอกว่าเหนื่อยและก็ร้อน แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนที่มุงดูอยู่รอบ ๆ พากันแตกตื่นและสงสัยในพฤติกรรมก็คือ อยู่ ๆ นางทรงก็ก้าวลงมาจากกระบะท้ายรถด้วยตัวเองโดยไม่มีใครเรียกร้อง หรือขึ้นไปฉุดกระชากลากดึงให้ลงมาเหมือนคราวแรก ลงมาแล้วก็เดินอย่างสงบเสงี่ยมเข้าไปในห้องที่ปู่นั่งธรรมอยู่ แล้วนางทรงก็นอนลงต่อหน้าปู่ แต่ก็ห่างออกมาประมาณ 5 - 6 เมตร แล้วก็เอ่ยปากออกมาว่า ข้างนอกร้อนมากและนางก็เหนื่อยจะขอนอนพักก่อนแล้วก็หลับตาลง ส่วนปู่ก็นั่งธรรมไปเรื่อย ๆ และวางแผนจะกำจัดปอบคอกนี้ให้สิ้นซาก พระอาจารย์กล่าวเสริมให้ผู้เขียนฟังว่า ปู่คงจะทราบจากการนั่งธรรมแล้วว่า ปอบผีฟ้าที่สิงอยู่ในร่างนางทรงนั้น เป็นปอบที่แก่กล้ามากและก็มิได้มีเพียงแค่ตัวเดียว ปู่บอกว่านอกจากตัวแม่แล้ว มันก็ได้ออกลูกออกหลานปอบออกมาอีกถึง 8 ตัว รวมเป็นทั้งหมด 9 ตัว ดังนั้น ทำให้ปอบคอกนี้ดุร้ายมากไม่เกรงกลัวใคร พระอาจารย์กล่าวเสริมอีกว่า ปกติธรรมดาการไล่ปอบ เท่าที่เคยเห็น หมอธรรมจะใช้มีดหมออาคม จิ้มหรือแทงลงไปที่ร่างหรือใช้หวายอาคมทำเป็นแส้ เฆี่ยนหรือตีลงไปที่ตัวคนที่ถูกปอบเข้า ไปเรื่อย ๆ จนกว่าปอบจะเจ็บจนทนไม่ไหวแล้วก็จะออก การสังเกตุว่าปอบออกหรือยังนั้น ก็ให้ใช้สายตามองดูจะเห็นปอบวิ่งอยู่ใต้ผิวหนังเป็นก้อนกลมนูนขึ้นมาเหมือนไข่เป็ดไข่ไก่ ถ้าก้อนกลมหายไปก็แสดงว่าออกแล้ว แต่ปอบบางตัวที่แก่กล้ามีฤทธิ์เดชมากไม่ยอมออกง่าย ๆ ก็จะใช้มารยาหลอกลวงโดยไปซ่อนอยู่ที่โคนขาหนีบใต้ร่มผ้า หรืออวัยวะเพศ ทำให้ยากแก่การค้นหาและอาจจะหลงผิดคิดว่าปอบออกแล้วก็ได้ ดังนั้นรายนี้ ปู่คงจะทราบแล้วว่า ใช้วิธีปกติธรรมดาคงจะยาก แต่ถ้าจะเอาให้อยู่คงจะต้องใช้ ท่าไม้ตาย (ขอยืมสำนวนของเกมส์สตรีทไฟท์เตอร์มาใช้) ปู่จึงสั่งให้ลูกศิษย์หากาน้ำร้อนออกมาใส่น้ำให้เต็มกา แล้วขึ้นตั้งไฟต้มให้เดือด จากนั้นปู่ก็ร่ายเวทมนต์คาถาอาคมตามสูตรที่ได้ร่ำเรียนมา ชั่วอึดใจปู่ก็เทน้ำร้อนที่ต้มจนเดือดใส่ลงไปในแก้วแล้วก็ยกขึ้นมาเทเข้าปากอมไว้จนเต็มปากโดยปู่ไม่แสดงอาการว่าร้อนแต่อย่างใด จากนั้น ปู่ก็เดินไปที่ร่างของนางทรงที่กำลังนอนหลับอยู่แล้วก็พ่นน้ำร้อนลงไปที่ตัวของนางทรง  ทำให้นางทรงสะดุ้งสุดตัวนอนดิ้นทุรนทุรายปากก็ร้องว่าร้อน ๆ ๆ ๆ ขณะนั้นปู่ก็เทน้ำร้อนแก้วใหม่อมแล้วก็พ่นลงไปที่ร่างของนางทรงไปเรื่อย ๆ จนปอบผีฟ้าที่สิงอยู่ในร่างทนความร้อนไม่ไหว จึงร้องบอกว่า ร้อน ๆ ๆ กลัวแล้ว กลัวแล้ว ออกแล้ว ออกแล้ว  นั่นแหละปู่จึงหยุด ก็เป็นอันว่าในที่สุด ปอบตัวแม่ก็หอบลูกหอบหลานทั้ง 9 ตัว ออกจากร่างนางทรงทั้งหมดในทันที โปรดติดตามตอนจบคราวหน้าครับ


หัวข้อ: Re: ปู่หมอธรรมเฮือง
เริ่มหัวข้อโดย: คนศรีเกษ ที่ 21 กันยายน 2557, 10:58:17
                              ปู่บอกว่า ปอบคอกนี้มันแก่กล้ามาก เอาไว้ไม่ได้ไล่ออกไปแล้วถ้ามันยังไม่ตายมันก็จะพากันไปเข้าคนอื่นอีก แถมออกลูกออกหลานเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ต้องกำจัดให้สิ้นซากด้วยการฆ่าให้ตายอย่างเดียว ก่อนที่ปอบจะออกจากร่างของนางทรงนั้น ทีมงานของปู่ที่เป็นลูกศิษย์ก็ได้แยกกันไปทำหน้าที่ของแต่ละคน ทีมแรกเป็นทีมไล่ต้อนปอบไปยิงยังจุดที่กำหนด ทีมนี้จะมารอที่ประตูบ้านซึ่งเป็นช่องที่ปู่กำหนดให้ปอบออกทางประตูนั้น อุปกรณ์ในการไล่ต้อนปอบของกลุ่มนี้ก็คือ ขี้หินแห่ ( หินลูกรัง) ที่ปู่ปลุกเสกลงอาคมเพื่อการไล่ผีไล่ปอบไว้อย่างดีแล้ว เมื่อปอบหนีออกมาทางช่องนี้ ลูกศิษย์กลุ่มนี้ก็จะไล่ต้อนให้วิ่งไปตามทางที่กำหนด โดยใช้ขี้หินแห่เสกหว่านเป็นแนวกั้นไม่ให้ออกนอกเส้นทาง ซึ่งปอบมันจะกลัวขี้หินแห่นี้ ลูกศิษย์ก็จะไล่ต้อนไปเรื่อย ๆ เหมือนต้อนวัวต้อนควายนั่นแหละ พระอาจารย์อธิบายให้ผู้เขียนเห็นภาพอย่างนั้น ส่วนผู้คนทั้งคนแก่คนเฒ่าทั้งพระทั้งเณรก็วิ่งตามกันเป็นพรวนเพื่อไปดูเขายิงปอบ เป็นที่น่าประหลาดที่คนอื่น ๆ ทั่วไปไม่มีใครมองเห็นปอบ เว้นแต่ทีมลูกศิษย์ของปู่ที่ปู่ได้ครอบครูไว้เท่านั้น กับหมา 4 - 5 ตัวที่มันวิ่งเห่าตามปอบไปเป็นทาง จนถึงจุดยิงปอบซึ่งเป็นต้นไม้ใหญ่อยู่นอกหมู่บ้าน พระอาจารย์บอกว่า เป็นต้นกระบากใหญ่พอสมควร เมื่อถึงจุดก็ไล่ต้อนปอบคอกนั้นให้ขึ้นไปบนต้นกระบาก แล้วก็เอาด้ายสายสิญจน์เสกเส้นใหญ่ พันรอบโคนต้นกระบากไว้ กันไม่ให้ปอบหนีลงมา คราวนี้ ก็มาถึงทีมที่สอง คือ ทีมยิงปอบ ทีมนี้มีอยู่ 3 - 4 คน พร้อมอาวุธครบมือ ยืนรอทำหน้าที่พร้อมอยู่แล้วอยู่ที่ใต้ต้นกระบาก ปืนที่ใช้ยิงปอบนั้น คือ ปืนแก๊ปไทย(อีสาน)ประดิษฐ์ ใช้กระสุนเม็ดตะกั่วซึ่งปู่ได้ลงอาคมและปลุกเสกไว้แล้วเช่นกัน อันว่าปืนแก๊ปนั้น เป็นปืนยาวประเภทหนึ่ง ซึ่งชาวอีสานจะมีไว้เพื่อใช้ล่าสัตว์เช่น ยิงนก กระรอก กระแต กระต่าย เป็นต้น ตอนผู้เขียนเป็นเด็กจำได้ว่าคุณพ่อซึ่งเป็นตำรวจมีอยู่หนึ่งกระบอกเอาไว้ยิงนก เวลาจะยิงต้องบรรจุดินปืน(หมื่อ) ทางปากลำกล้อง จากนั้นก็จะนำวัสดุที่อ่อนนุ่นคือ ใยมะพร้าวบรรจุตามดินปืนลงไป จากนั้นก็จะใช้เหล็กเป็นเส้นเล็ก ๆ ยาวกว่าปากกระบอกปืนเล็กน้อย แหย่ลงไปเพื่อกระทุ้งเบา ๆ ให้แน่นพอสมควรแต่อย่าให้แน่นมาก จากนั้นก็ถึงสิ่งสำคัญ คือลูกตะกั่ว ขนาดประมาณหัวไม้ขีด ใส่ตามลงไป  5 - 9 เม็ด กรณีปืนยิงปอบต้องใช้ลูกตะกั่วลงอาคมเท่านั้น จากนั้นก็ใช้ใยมะพร้าวบรรจุตามลงไปพร้อมใช้เหล็กเส้นเล็ก ๆ กระทุ้งเบา ๆ เช่นเคย ก็เป็นอันเสร็จพิธีบรรจุกระสุนเข้าไปในรังเพลิง ต่อมาก็เป็นการลั่นไกยิงหรือการจุดระเบิด ก็จะเอาลูกแก๊ปเป็นแก๊ปแบบกระดาษเป็นแผง ใส่เข้าไปบริเวณนกสับของปืน ซึ่งง้างนกไว้รอใส่แล้วก็หนีบไว้ เมื่อยกปืนขึ้นเล็งตรงเป้าหมายก็เหนี่ยวไกปืน จะทำให้แก๊ปจุดระเบิดเป็นประกายไฟดินปืนที่อยู่ในรังเพลิงก็จะเผาไหม้และผลักดันลูกตะกั่วออกทางปากลำกล้องและวิ่งไปยังเป้าหมายในที่นี้ก็คือปอบครับ ลูกศิษย์แต่ละคนยิงทีละนัดอย่างใจเย็น เลือกยิงเป้าหมายเอาตามใจชอบ พระอาจารย์เล่าว่า ลูกศิษย์เลือกยิงอย่างสนุกสนานครึกครื้น พวกเขามองเห็นปอบแต่คนอื่นมองไม่เห็น พวกเขาร้องบอกกันว่า นั่น ๆ ยิงอีเฒ่าตัวแม่มันก่อน มันอยู่ตรงโคนต้นกระบากนั่น มันปีนขึ้นต้นไม้ไม่ได้เหมือนลูก ๆ มัน เมื่อจัดการแม่มันเสร็จแล้ว ก็จัดการลูก ๆ มันทีละตัว เมื่อยิงทีละนัดไปแล้ว ก็บรรจุลูกกระสุนใหม่ตามขั้นตอนที่กล่าวไว้ แต่ถึงกระนั้นกว่าจะจัดการกับมันเสร็จก็ใช้เวลาพอสมควร เพราะกว่าจะบรรจุกระสุนได้แต่ละนัดให้พร้อมที่จะยิงได้ก็ต้องใช้เวลา บางนัดพวกปอบคอกนี้มันสามารถแสดงอิทธิฤทธิ์ทำให้ปืนลั่นก่อน ทั้งที่ยังไม่ได้ง้างนกยิงก็มี บางนัดมันทำให้ปากกระบอกปืนสะบัดออกจากเป้าหมายไม่ให้ลูกตะกั่วถูกพวกมันก็ได้ ก็เล่นเอาเหนื่อย แต่ในที่สุดก็จัดการมันครบทุกตัว ยกเว้นมีลูกมันตัวหนึ่งแหกด่านขี้หินแห่ขณะไล่ต้อนเตลิดหนีไปได้ ตามไม่ทันหายจ้อยไปไหนก็ไม่รู้ เมื่อจัดการเสร็จแล้วก็ยกทีมกลับมาที่บ้านปู่อีกครั้ง ทั้งทีมไล่ต้อน ทีมยิง และท่านผู้ชมทั้งหลายรวมทั้งญาติของนางทรงที่พากันวิ่งไปดูและให้กำลังใจ เมื่อมาถึง นางทรงยังคงนอนนิ่งอยู่หลับตาเหมือนนอนหลับ ปู่กำลังนั่งธรรมเข้าสมาธิอยู่ข้าง ๆ ไม่นาน นางทรงก็ลืมตาขึ้นลุกขึ้นนั่งช้า ๆ ทำหน้างง ๆ มองไปรอบ ๆ ไม่คุ้นสถานที่ นางทรงกลับมาเป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง ถามว่า ที่นี่ที่ไหน และนางมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ญาติ ๆ ก็พากันอธิบายเรื่องราวต่าง ๆ ให้ทราบ พอนางเข้าใจแล้ว ก็คลานเข้าไปกราบปู่ ปู่เอามือลูบศรีษะอย่างเอ็นดู และอบรมสั่งสอนว่า ให้เลิกอาชีพนางทรงนี้ซะ เพราะปัจจุบันการรักษาพยาบาลก็ก้าวหน้ามากขึ้น มีแพทย์แผนปัจจุบันออกไปทำการรักษาโรคตามโรพยาบาลอำเภอต่าง ๆ อย่างทั่วถึงแล้ว ไม่จำเป็นต้องรักษาโรคโดยการเข้าทรงอีก ให้ประกอบสัมมาอาชีพทำไร่ ทำนา ทำสวน หรือจะทำมาค้าขายก็ได้แล้วแต่ชอบ แต่อย่าหวนกลับไปถือผีฟ้าอีก นางทรงก็รับคำ แล้วปู่ก็รดน้ำมนต์ให้ พร้อมทั้งผูกด้ายสายสิญจน์ให้ทั้งคอและแขน และอวยพรให้ทำมาหากินร่ำรวยมีเงินทองใช้อย่าให้ขาดและให้กลับบ้านโดยสวัสดิภาพ                                                                บทส่งท้าย  จากเหตุการณ์คราวนั้น เป็นสาเหตุให้พระอาจารย์เกิดนับถือ ศรัทธา ในวิชาอาคมของปู่หมอธรรมเฮืองขึ้นมาในทันที ต่อมาก็ได้ฝากตัวเป็นลูกศิษย์ และได้เรียนวิชาอาคมจากปู่หมอธรรมเฮืองเพิ่มเติมเท่าที่สามารถเรียนได้ เป็นบางอย่างเท่านั้น ผู้เขียนก็เลยถือโอกาสถามถึงการไล่ปอบโดบใช้น้ำร้อน อมแล้วพ่นใส่นางทรงนั้น เป็นน้ำร้อนจริง ๆ หรือ พระอาจารย์ตอบว่าใช่ ขนาดว่า คนนั่งอยู่ใกล้ ๆ ละอองน้ำร้อนกระเด็นมาถูกตัวยังร้อนจนสะดุ้ง แต่ปู่ไม่ร้อนเนื่องจาก ปู่สำเร็จวิชา ดวงธรรมบรรลุ สามารถใช้วิชาธาตุทั้ง 4 คือ นะ มะ พะ ทะ  หรือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ได้เป็นอย่างดี พระอาจารย์เล่าเสริมว่า ถ้าเรียนสำเร็จ การที่จะอาบน้ำร้อนที่ต้มจนเดือดมิให้ร้อนนั้น ให้ภาวนาด้วยอาโปธาตุ(ธาตุน้ำ) และ เตโชธาตุ(ธาตุไฟ) 15 คาบ มิร้อนแล ส่วนนางทรงนั้น เป็นที่น่าประหลาดว่า ร่างกายผิวหนังก็มิได้พุพอง แสบร้อนจากน้ำร้อนลวกแต่ประการใด หากแต่ว่าอาการต่าง ๆ จะไปเกิดกับผีปอบที่เข้าสิงร่างอยู่โน่นแหละ แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าไอ้ลูกปอบที่แหกด่านขี้หินแห่หนีเตลิดไปได้นั้น ไม่รู้ป่านนี้หายไปอยู่ที่ไหน ไม่มีใครทราบข่าวคราวจนกระทั่งทุกวันนี้


หัวข้อ: Re: ปู่หมอธรรมเฮือง
เริ่มหัวข้อโดย: คนศรีเกษ ที่ 14 ธันวาคม 2557, 15:07:33
                    วันนี้ วันอาทิตย์ เป็นวันหยุดและเป็นวันพระ ไปนั่งกราบพระที่โต๊ะหมู่บูชาประจำบ้าน เปลี่ยนดอกไม้ในแจกันนั่งสวดมนต์อยู่นานพอสมควร ครู่ใหญ่ ๆ  ไม่ทราบว่ามีอะไรมาดลจิตดลใจให้บังเอิญเหลือบไปเห็น ใบประกาศนียบัตรเกียรตินิยม จากการประกวดพระเครื่องหลายแห่ง ที่เคยส่งพระเข้าประกวด ติดรางวัลบ้าง ไม่ติดบ้าง จำนวนหลายใบซ้อนกันอยู่ข้างโต๊ะหมู่ จึงเอาออกมาดู พอเปิดไปเรื่อย ๆ ก็ต้องตกตะลึงเมื่อมองเห็นภาพขยายสี ขนาด 8 X 10 นิ้ว จำนวน 1 แผ่น ซ้อนอยู่ในใบประกาศ เป็นภาพของ ปู่หมอธรรมเฮืองอีกภาพหนึ่งที่ผู้เขียนได้ถ่ายเอาไว้ในคราวเดียวกันกับภาพเก่า ๆ ที่เคยนำเสนอไว้ก่อนหน้านี้แล้วและนำไปขยาย แต่ที่พิเศษสุด ๆ ก็คือ ด้านหลัง มีรอยหมึกเขียนยันต์ลายมือของปู่ จำนวน 2 แถว ซึ่งผู้เขียนนำไปให้ปู่ทำพิธีปลุกเสกให้และเอามาเก็บไว้นานจนลืม เห็นทีจะต้องรีบเอาไปใส่กรอบบูชาซะแล้วเรา